ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: เจ้าสาวภูต : บทที่ ๓ บทเพลงของภูตพราย

เจ้าสาวภูต : บทที่ ๓ บทเพลงของภูตพราย

ความลับเรื่องคู่หมายขององค์หญิงลี่จูถูกปิดเอาไว้ไม่ให้เจ้าตัวรู้จนกว่าจะถึงงานเทศกาลหนุ่มสาว องค์หญิงผู้แสนสงบเสงี่ยมจึงใช้ชีวิตตามปกติต่อไป โดยไม่อนาทรร้อนใจต่อสิ่งใด ยกเว้นความกลุ้มใจเล็กๆ เกี่ยวกับความฝัน

ตั้งแต่มาอยู่ในร่างองค์หญิงลี่จู หน่อมมักจะฝันเห็นอนาคตเป็นระยะ สำคัญบ้างไม่สำคัญบ้างสลับสับเปลี่ยนกันไป อย่างน้อยเดือนหนึ่งก็ต้องมีสักสามสี่วันที่จำความฝันของตัวเองได้ชัด ทว่าช่วงหลังหน่อมกลับจำอะไรไม่ได้ ทั้งๆ ที่รู้สึกว่ากำลังฝันถึงเรื่องสำคัญอยู่แท้ๆ แต่พอลืมตาตื่นขึ้นมาความทรงจำก็ถูกปกคลุมไปด้วยม่านหมอก ราวกับถูกอำนาจลึกลับขัดขวางไม่ให้ทราบความจริง

เขาไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย ใจมันโหวงเศร้าซึมแปลกๆ ไม่รู้ว่าควรแก้ไขอย่างไรดี ครั้นจะปรึกษาคนอื่นก็ไม่กล้า ท่านแม่ไม่เชื่อเรื่องงมงาย ส่วนไทเฮาก็เชื่อเกินไปจนเป็นกังวล เลยได้แต่เก็บเงียบเอาไว้

เช้านี้ก็เช่นกัน หน่อมลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมอาการปวดใจที่ไม่ทราบสาเหตุ เขาถอนใจเมื่อทราบว่าตนฝันเรื่องเดิม สิ่งที่คงค้างอยู่ในความทรงจำคือฉากเริ่มต้นที่เป็นผืนป่าที่ค่อนข้างสลัวและฉากจบในม่านหมอกสีดำ

“องค์หญิงจะบรรทมต่อไหมเพคะ” นางกำนัลถามเนื่องจากเห็นว่ายังเช้าอยู่มาก

“ไม่ละ เราอยากเดินเล่นก่อนไปเฝ้าไทเฮา”

ขณะนี้หน่อมพักอยู่ในตำหนักของไทเฮา ในสัปดาห์หนึ่งจะมีหนึ่งหรือสองวันที่ไปค้างกับสนมเฉิน ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นคืนที่เสด็จพ่อไม่มาหาท่านแม่

“รอสักครู่นะเพคะ หม่อมฉันจะไปเตรียมน้ำล้างหน้ามาให้” นางกำนัลคนเดิมบอก

“ขอน้ำเย็นนะ” หน่อมย้ำ

ช่วงนี้อากาศเริ่มหนาว น้ำล้างหน้าในตอนเช้าจึงผสมน้ำร้อนให้อุ่นพอเหมาะ แต่หน่อมชอบแบบไม่ผสมมากกว่าเพราะความเย็นของน้ำช่วยกระตุ้นให้สดชื่น

เวลาที่องค์หญิงตื่นนอนจะต้องมีนางกำนัลมาคอยปรนนิบัติอย่างน้อยสี่คน สองคนคอยดูแลเรื่องล้างหน้าแปรงฟัน อีกสองคนจัดเตรียมชุดกับเครื่องประดับ คนเลือกชุดจะต้องรู้ใจ นำเสื้อผ้าทั้งหลายมารีดเตรียมเอาไว้ให้เลือกตั้งแต่เมื่อคืน ส่วนคนดูแลเครื่องประดับจะทำหน้าที่เป็นพนักงานเกศาคอยช่วยจัดแต่งทรงผมและแต่งหน้าให้ด้วย นอกจากสี่คนนี้ยังมีนางกำนัลอาวุโสคอยควบคุมดูแลงานอีกต่อหนึ่ง

หน่อมถูกสอนให้ทำอะไรด้วยตัวเองมาตั้งแต่จำความได้ พอมาเจอการดูแลแบบเกินพอดีทุกอิริยาบถเลยอึดอัด ช่วงแรกเขาขอจัดการเรื่องส่วนตัวเอง ทว่าหัวหน้านางกำนัลกลับเข้าใจว่านางกำนัลรับใช้ไม่ดี จึงเปลี่ยนคนใหม่มาให้และลงโทษคนเก่า กว่าจะรู้ว่าเรื่องเลยเถิดไปไกลนางกำนัลก็ถูกโบยไปแล้ว เขาได้บทเรียนจึงไม่กล้าวุ่นวายก้าวก่ายงานของนางกำนัลอีกเลย

ชีวิตในวังเหมือนจะสุขสบายแต่ก็ลำบาก หน่อมตระหนักดีว่าตัวเองมีฐานันดรสูง ขยับตัวนิดหน่อยหรือพูดไม่คิดก็อาจทำให้ใครบางคนถึงตายได้ ถ้าไม่มีความทรงจำขององค์หญิงลี่จูกับนิสัยปรับตัวเก่งซึ่งเป็นนิสัยดั้งเดิม เขาคงอยู่ในวังไม่ได้

อีกเรื่องที่ต้องปรับตัวและทำใจคือร่างกายใหม่ที่เป็นเพศตรงข้าม หน่อมไม่ตะขิดตะขวงใจกับร่างใหม่นัก แค่รู้สึกไม่สะดวกเพราะพละกำลังที่ด้อยลง รวมถึงประจำเดือนที่มาให้รำคาญใจอย่างสม่ำเสมอ ทุกครั้งที่ประจำเดือนมาหน่อมมักปลอบตัวเองไม่ให้คิดมากว่าโชคดีที่สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง พี่สาวของเขามีปัญหาเรื่องมดลูก ประจำเดือนมาแต่ละครั้งจะปวดท้องอย่างรุนแรง บางคราวก็มีไข้ ต้องลางานแทบทุกเดือน

เมื่อล้างหน้าแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว นางกำนัลจะยกน้ำผลไม้ไม่ก็น้ำมะนาวผสมน้ำผึ้งมาให้ดื่ม ระหว่างนั้นซูเสียก็จะเข้ามาชวนคุย ส่วนใหญ่มักเริ่มด้วยการถามว่าเมื่อคืนฝันว่าอะไร

“เราฝันว่าพวกเจ้าได้กินขนมกัน มีแต่ของดีๆ น่ากินทั้งนั้น”

หน่อมแต่งเรื่องขึ้นมาเพราะรู้ว่าซูเสียจะต้องจดมันลงไปในสมุดบันทึกความฝัน แล้วถวายให้ไทเฮาอ่าน ในเดือนนี้หน่อมจำความฝันไม่ได้เลย ถ้ามันยังว่างเปล่าไทเฮาต้องทรงค้นหาสาเหตุแน่ อาจเรียกมาสอบถามไม่ก็เก็บตัวถือศีลอีก

ไทเฮาทรงแสดงออกเสมอว่าพระนางมีพลานามัยสมบูรณ์ดี แต่ในความจริงเริ่มอ่อนแอเหมือนผู้สูงอายุทั่วไป อากาศเย็นขึ้นมาก็ปวดข้อปวดเข่า หน่อมเลยไม่ค่อยอยากให้นั่งสวดมนต์นานๆ

“ถ้าเป็นจริงก็ดีสิเพคะ พวกหม่อมฉันคงมีความสุขน่าดู” นางกำนัลคนสนิทอีกคนว่า

“ต้องเป็นจริงสิ ใกล้เทศกาลเปลี่ยนฤดูแล้ว ปีนี้เครื่องเซ่นไหว้เป็นขนม เราจะขอให้แบ่งมาที่ตำหนักนี้เยอะๆ ดีไหม” หน่อมว่าเพราะรู้ว่าเพ่ยอิงชอบ

“ดีเพคะ” คนเห็นแก่กินรับคำแบบไม่ต้องคิด

“อายุก็ไม่ใช่น้อยแล้วยังตะกละไม่เข้าเรื่อง” ซูเสียตำหนินางกำนัลรุ่นน้อง

“แหม...ขอสักเรื่องเถอะพี่ซูเสีย สาวแก่ตัวอวบอ้วนอย่างข้าก็มีแต่เรื่องกินนี่แหละที่เป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิต” เพ่ยอิงโต้

ถ้าเป็นที่โลกเดิม ลองผู้หญิงอายุยี่สิบห้าอย่างเพ่ยอิงพูดว่าตัวเองเป็นสาวแก่คงถูกสาววัยสามสิบกว่าค้อนใส่ อายุยี่สิบห้าถือเป็นวัยกำลังดี เรียนจบและทำงานได้ระยะหนึ่งแล้ว เป็นช่วงที่เหมาะแก่การคบหาดูใจกับใครสักคนอย่างจริงจัง อย่าว่าแต่ยี่สิบห้าเลย สามสิบห้าแล้วยังไม่แต่งงานหน่อมก็ยังไม่รู้สึกว่าอยู่ในวัยขึ้นคาน

ทว่าในโลกนี้สังคมและวัฒนธรรมหลายอย่างแตกต่าง ผู้คนส่วนใหญ่มักตายก่อนวัยหกสิบ จึงต้องรีบเร่งผลิตลูกหลาน อายุสตรีที่เหมาะแก่การออกเรือนจึงอยู่ที่สิบเจ็บถึงยี่สิบสองปี เกินกว่านั้นก็ถือว่ามีแววขึ้นคานแล้ว อายุยี่สิบห้าอย่างเพ่ยอิงยิ่งไม่ต้องพูดถึง ถ้าไม่มีผลประโยชน์ให้ฝ่ายชาย อย่าหวังเลยว่าจะมีคนวัยใกล้กันมาสู่ขอ

รักจริงนั้นมีอยู่ แต่กลับหาได้ยากยิ่งในหมู่ชนชั้นสูง เห็นทีความหวังที่จะได้พบรักแท้สักครั้งเพื่อที่จะเข้าใจหัวใจตัวเองมากขึ้นคงไม่มีวันมาถึง

ความคิดของหน่อมขุ่นมัวอยู่อึดใจ ก็เปลี่ยนเป็นแจ่มใสเมื่อได้ออกมาเดินเล่นนอกตำหนัก ไทเฮาไม่โปรดไม้ผลัดใบ ในสวนจึงเน้นตกแต่งด้วยต้นสน ถึงกระนั้นก็ยังมีดอกไม้ตามฤดูกาลแซมอยู่บ้าง ฤดูนี้ดอกไม้ที่กำลังบานสวยคือยู่จินเชียงกับไป่เหอ หรือที่คุ้นหูในชื่อทิวลิปกับลิลลี่

ในสวนรอบตำหนักมีดอกลิลลี่สีขาว ปลูกเอาไว้ใกล้กับสนสามพันปีต้นใหญ่ หน่อมมักจะแวะมาดูทุกครั้งที่มาเดินเล่นว่าดอกไม้เติบโตไปถึงไหนแล้ว องค์หญิงลี่จูชอบดอกโบตั๋น ส่วนตัวหน่อมไม่ชอบดอกไม้ชนิดไหนเป็นพิเศษ ไม่รู้ทำไมระยะนี้ถึงได้สนอกสนใจดอกลิลลี่มากกว่าอย่างอื่น

“อุ๊ย! ตรงนั้นมีดอกสีชมพูหลงมาด้วยเพคะ” นางกำนัลที่มาด้วยกันชี้ชวนให้ดู

“แปลกจริง คราวก่อนข้าให้เจ้าสั่งคนสวนให้ถอนดอกสีชมพูนี่ออกไปแล้วไม่ใช่รึ” ซูเสียหันมาถามเพ่ยอิง

ไทเฮามิใคร่มาเดินเล่นบ่อยนัก แต่พระนางก็ชอบให้ทุกอย่างเป็นระเบียบ หากมีดอกไม้สีแปลกหลงมาก็ต้องรีบจัดการก่อนจะทำให้ระคายสายพระเนตร

“ข้าบอกแล้วนะพี่ซูเสีย แต่สงสัยคนสวนจะลืม ไม่เป็นไร ข้าจัดการให้เอง” เพ่ยอิงทำท่าว่าจะถอนดอกลิลลี่สีชมพูออกจากแปลงด้วยตัวเอง

“อย่าถอนทิ้งเลย เสียดายออกอุตส่าห์โตจนออกดอกใกล้บานแล้ว ถ้ากลัวไทเฮาจะกริ้ว ก็ย้ายมาใส่กระถางดีกว่า เราจะเอากลับไปเลี้ยงต่อที่ห้องเอง”

เพ่ยอิงรับคำสั่งองค์หญิงแล้วเร่งไปตามคนสวนมา ในระหว่างที่รอหน่อมก็ย่อตัวลงนั่ง สูดกลิ่นหอมของดอกไม้เข้าไปเต็มปอด ดอกลิลลี่พวกนี้หอมจนฉุน แต่หน่อมกลับไม่คิดว่ากลิ่นแรงเกินไป เขารู้สึกว่าตัวเองอารมณ์ดีมาก จึงร้องเพลงที่แวบเข้ามาในหัวออกมา


“กระต่ายน้อยต้องศรของนายพราน
มันสิ้นปราณกลับสู่ผืนพิภพ
กาลเวลาผ่านผันมาบรรจบ
เทพจึงสบโอกาสเขียนชะตา
กระต่ายน้อยเกิดใหม่เป็นดอกไม้
หอมตรึงใจไปทั่วพงพนา
ปลุกจ้าวแห่งป่าสนธยา
ให้ตื่นมาในรอบหนึ่งพันปี”


นิทานเพลงทำนองไม่คุ้นแต่ก็ไพเราะยิ่ง พวกนางกำนัลฟังกันเพลิน มีก็แต่ซูเสียเท่านั้นที่หน้าซีด ครั้งสุดท้ายที่องค์หญิงร้องเพลงนี้คือช่วงก่อนที่นางจะประสบอุบัติเหตุจมน้ำ ช่วงนั้นองค์หญิงร้องเพลงนี้บ่อยมาก นางเที่ยวถามใครต่อใครว่ารู้ตอนต่อของบทเพลงนี้หรือไม่ ทว่าก็ไม่มีใครทราบ

ท่านนักพรตแห่งเขาลู่ซานบอกว่าบทเพลงนี้เป็นบทเพลงของพวกภูตพราย องค์หญิงมีจิตวิญญาณบริสุทธิ์ คงบังเอิญไปได้ยินเข้าก็เลยจำมา จึงเตือนว่าอย่าได้ร้องเพลงนี้อีก เพราะมันจะดึงดูดภูตผีปีศาจทั้งดีและร้ายให้มารวมตัวกัน มนุษย์ที่งดงามไม่เพียงแต่ต้องตา ยังเป็นที่ปรารถนาของเหล่ามารร้ายด้วย ไทเฮาได้ยินเช่นนั้นจึงสั่งห้ามโดยเด็ดขาด องค์หญิงลี่จูก็เชื่อฟังเป็นอย่างดี แล้วทำไม...

“องค์หญิงลืมแล้วหรือเพคะว่าไทเฮาไม่ชอบให้ร้องเพลงนี้” ซูเสียถามเมื่อร้องเพลงจบ

“จริงหรือ...เรานี่แย่จริง ขอบใจที่เตือนนะซูเสีย”

แม้องค์หญิงจะยอมรับกับปากว่าเผลอลืมไป ซูเสียก็ยังคิดว่ามันแปลก เป็นไปไม่ได้ที่องค์หญิงลี่จูจะลืมเรื่องสำคัญที่ไทเฮาทรงย้ำหนักหนา นางสังหรณ์ใจไม่ดีเลย กลัวจับจิตว่าองค์หญิงอาจโดนมารรังควานเหมือนในอดีต จึงเร่งรายงานให้ไทเฮาทรงทราบ


ไทเฮาไม่ทรงตกพระทัยเมื่อทราบเรื่อง ท่าทีของพระนางยังคงไว้ซึ่งความสุขุมราวกับทรงทราบมาก่อนว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น พระนางมีบัญชาให้คนไปทำความสะอาดตำหนักผลึก แล้วตามนักพรตมาทำพิธีกรรมขับไล่ภูตผีที่ตำหนักนั้น มีการเขียนยันต์พิชิตมารแปะเอาไว้เสียมากมาย เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ทรงออกคำสั่งให้องค์หญิงลี่จูไปพักอยู่ที่นั่นจนกว่าจะพ้นฤดูหนาว

ไทเฮาทรงไม่มีพระนัดดาที่เกี่ยวพันกันทางสายเลือด จึงทรงเอ็นดูองค์หญิงน้อยที่งามหมดจดนางนี้มาก สิบกว่าปีมานี้พระนางฟูมฟักเลี้ยงดูองค์หญิงลี่จูด้วยความรัก มดไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม จึงตระหนกยิ่งนักเมื่อได้ยินคำทำนายเกี่ยวกับชะตากรรมของเด็กคนนี้

“ในกาลต่อไปหากมิกลับสู่โลกที่จากมา องค์หญิงก็ต้องเข้าสู่สมรภูมิรบ”

“โลกที่จากมาคือที่ไหน”

“ข้อนี้กระหม่อมไม่ทราบแน่ชัด พลังวิญญาณขององค์หญิงแตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป เมื่อถึงเวลาพวกพ้องของนางจะมารับตัวไป”

“เมื่อไร...พวกนั้นจะมาพานางกลับไปเมื่อไร” ไทเฮาตรัสถามอย่างร้อนรน

“ฤดูหนาวในช่วงปีที่องค์หญิงอายุสิบแปดคือช่วงอันตรายที่สุด ถ้าผ่านช่วงนั้นไปได้และมีชีวิตอยู่จนถึงคิมหันต์ปีหน้า ชะตานางจะเข้าสู่อีกเส้นทางโดยสมบูรณ์”

นักพรตเตือนให้ไทเฮาปลงตกต่อดวงชะตา ปล่อยองค์หญิงลี่จูให้กลับไปยังโลกของนางดีกว่าต้องเหยียบย่ำบนเส้นทางที่เจิ่งนองไปด้วยโลหิต ทว่าพระนางกลับไม่ยอมเชื่อคำแนะนำนั้น

“ไม่! นางคือหลานสาวคนเดียวของข้า ข้าจะไม่ยอมให้ใครมาพาตัวนางไปและจะไม่ยอมให้นางเข้าสู่สนามรบ”

สองปีมานี้ไทเฮาทรงเตรียมรับมือคำทำนายอย่างแข็งขัน พระนางมีบัญชาให้สร้างตำหนักผลึกตามหลักเทพพิทักษ์เพื่อป้องกันภัยจากภูตผี ทุกทิศของตำหนักแปดเหลี่ยมหลังนี้ประดับด้วยแก้วผลึกที่มีฤทธิ์ขับไล่สิ่งชั่วร้าย พระนางเชิญนักพรตที่มีพลังแก่กล้าจากทั่วแผ่นดินมาทำพิธีปลุกเสกตำหนัก ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างค่ายกลปราบมารป้องกันไว้อีกชั้นหนึ่ง ถึงกระนั้นก็ไม่อาจทราบได้ว่าความดื้อรั้นของสตรีวัยชรากับอาคมของนักพรตที่เป็นมนุษย์จะต้านทานฤทธิ์ของผู้ที่กำลังมาเยือนได้หรือไม่


ปลายเดือนเก้ามาถึงเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ จนบัดนี้แว่นก็ยังไม่มีโอกาสได้ถามเรื่องความบาดหมางในอดีตขององค์ชายรองกับกุ้ยอี้ แค่พูดชื่อองค์ชายรองพี่ชายก็ทำหน้าเครียดเสียจนไม่กล้าพูดต่อ ถ้าอยากรู้จากปากเห็นทีต้องเลือกจังหวะเวลาให้เหมาะ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจังหวะเหมาะๆ ที่ว่าจะมาถึง แว่นจำต้องละวางความสงสัยแล้วมุ่งความสนใจไปยังเรื่องที่สามารถทำได้ก่อน

กุ้ยฮวาเข้าวังคราวนี้ต้องอยู่ยาวไม่ต่ำกว่าสองเดือน หย่าลี่จึงเตรียมพวกเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มกันหนาวเอาไว้ให้มากมาย แม่เลี้ยงผู้แสนดีใส่ใจกุ้ยฮวาเหมือนเคย ทั้งยังเผื่อแผ่ความห่วงใยให้ไป๋หลินด้วย

โบ้ได้รับเทียบเชิญจากองค์หญิงลี่จูให้ไปเป็นแขกในวัง เนื่องจากไป๋หลินเป็นคนธรรมดา หน่อมจึงมอบตำแหน่งพระสหายขององค์หญิงให้ ตำแหน่งนี้เทียบเท่ากับนางกำนัลระดับกลาง สามารถเข้าออกพื้นที่ส่วนใหญ่ในเขตพระราชฐานชั้นกลางได้โดยไม่มีความผิด

องค์หญิงองค์หนึ่งสามารถมีพระสหายได้สี่คนและพระสหายแต่ละคนจะต้องสวมชุดเครื่องแบบเวลาอยู่ในวัง หน่อมจึงอาสาจัดเตรียมพวกเสื้อผ้าให้ ถึงกระนั้นของใช้ส่วนตัวกับของจำเป็นอื่นๆ ก็ยังขาดอยู่ หย่าลี่จึงช่วยเตรียมเผื่อให้ น้ำใจของสกุลเฉินทราบไปถึงประมุขมู่ ทางนั้นจึงส่งแจกันหยกล้ำค่ามาให้แทนคำขอบคุณ

แว่นได้ทราบในตอนนี้เองว่าบิดาของไป๋หลินเป็นคนใหญ่คนโตชนิดที่ขุนนางยังต้องเกรงใจ อีกทั้งพรรคเทพสวรรค์ก็ร่ำรวยผิดจากที่คิด มู่ฮูหยินส่งเครื่องประดับมาให้บุตรสาวมากมายเพื่อใช้ในการเข้าวัง นางสนับสนุนให้ลูกสาวทำตามความพอใจ ผิดกับประมุขมู่ที่ไม่อยากให้ธิดาเข้าไปข้องเกี่ยวกับราชสำนัก ถ้าฮูหยินมิทัดทานเอาไว้ ท่านประมุขคงเรียกตัวไป๋หลินกลับไปนานแล้ว

เจ้เป็นอีกคนที่ต้องเข้าวังไปในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน แต่จะไปเมื่อไรนั้นยังไม่กำหนดวันที่ ต้องรอคำสั่งองค์ชายสามก่อน องค์ชายดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองจุ้ยห้าน ทิ้งเมืองโดยพลการไม่ได้ คาดว่ากว่าฮ่องเต้จะมีรับสั่งเรียกตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้งก็เดือนสิบเอ็ด

ช่วงที่ผ่านมาเจ้เข้าออกบ้านสกุลเฉินหลายครั้งในฐานะหลงชิงชิง เป็นธรรมดาที่ซูหยวนจะต้องถูกสั่งให้ไปสืบว่าสหายของคุณหนูผู้นี้เป็นลูกเต้าเหล่าใคร แว่นหวั่นใจว่าความจะแตก เขากลัวว่าท่านพ่อจะสั่งให้เลิกคบกับคณิกา แต่เรื่องก็ไม่เลวร้ายดังที่หวาดหวั่น เพราะหลงชิงชิงมีตัวตนอยู่จริง

ชิงชิงอยู่ในการดูแลของลุงกับป้า บิดานางเป็นนายอำเภอ ส่วนมารดาเป็นอดีตนางรำ ทั้งคู่เสียชีวิตตั้งแต่ชิงชิงยังเล็ก ป้าซึ่งเป็นพี่สาวบิดาจึงรับอุปการะ สองสามีภรรยาสกุลเป้าเป็นคนต่างถิ่น เดินทางเข้าเมืองหลวงมาเพื่อทำการค้าขาย ปัจจุบันฐานะร่ำรวยพอใช้ ฐานะของชิงชิงจึงเป็นหลานสาวเศรษฐี แม้พื้นเพครอบครัวจะไม่ดีเท่าตระกูลขุนนางแต่ก็ไม่ต่ำเกินกว่าจะคบหา

เจ้บอกให้เพื่อนวางใจไม่ต้องคิดมากว่านี่เป็นการสวมรอยเป็นคนอื่น เพราะฟางเซียนก็คือชิงชิงมาตั้งแต่ต้น ประมาณปีก่อนเจ้ได้พบสามีภรรยาสกุลเป้า แล้วถูกชะตากัน เจ้มักจะมาอยู่กับทั้งคู่เวลาที่เบื่อชีวิตในหอซูเมิ่ง สองลุงป้าจึงบอกเพื่อนบ้านว่านางเป็นหลานสาว

เจ้มาที่บ้านสกุลเฉินก่อนที่แว่นกับโบ้จะเข้าวัง เพื่อเตรียมความพร้อมเรื่องช่วยหน่อมอีกครั้ง เธอบอกเพื่อนๆ ว่าองค์ชายสามเพิ่งส่งเทียบเชิญมาให้ พร้อมกับเร่งให้เข้าวังตามพวกกุ้ยฮวาไปภายในเจ็ดวัน

“ไปพร้อมกันเลยไม่ดีเหรอ อีกสองวันถึงจะเดินทางมีเวลาเตรียมตัวอยู่” แว่นชวน

“ก็อยากไปด้วยอยู่หรอก แต่ติดตรงธุระปะปังมันเยอะนี่สิ ตอนนี้ยังจัดการได้ไม่เรียบร้อยเลย ขอตามไปทีหลังดีกว่า”

“เกี่ยวกับหนุ่มหน้าหวานคนนั้นหรือเปล่าคะ” โบ้แซว เขายังจำเต้กุนที่เจอกันเมื่อครั้งไปหมู่บ้านไผ่เขียวได้

“ไม่เกี่ยวย่ะ แค่อยากจัดการเรื่องแต่งร้านให้เรียบร้อยก่อน”

อาชีพคณิกาทำได้เดี๋ยวเดียวก็ต้องเลิก เจ้เลยมองหาอาชีพเสริมเอาไว้ โดยมีสองสามีภรรยาสกุลเป้าเป็นหุ้นส่วนคนสำคัญ

“ชักอยากหุ้นด้วยแล้วสิ” แว่นแสดงท่าทีสนอกสนใจ

“หุ้นส่วนที่ให้แต่เงินไม่ลงแรงชั้นไม่สนย่ะ” เจ้ปฏิเสธทันที

ขณะนี้เธอมีกำลังทรัพย์มากพอจะเปิดร้านพร้อมกันสิบร้านได้สบาย ขาดก็แต่คนไว้ใจได้มาช่วยบริหารจัดการ นี่ถ้าแว่นไม่ใช่คุณหนูอ่อนแอออกไปไหนมาไหนแทบไม่ได้ คงขอให้มาช่วยงานนานแล้ว

“ส่งตัวแทนไปไม่ได้เหรอ” แว่นยังตื๊อ

“ขอคิดอีกทีตอนเปิดสาขาสองละกัน แต่แกจะเอาพวกยามาฝากขายที่ร้านก็ได้นะ ทำห่อเล็กๆ ถูกๆ หน้าหนาวคนเป็นหวัดกันเยอะ”

พอได้รับคำแนะนำความคิดแว่นก็เริ่มบรรเจิด เขาปลูกสมุนไพรเอาไว้เต็มบ้านแต่แทบไม่ได้ใช้ประโยชน์ ถ้าทำสำเร็จก็จะมีรายได้ที่เกิดจากน้ำพักน้ำแรงตัวเอง

“ขอไปค้นตำราก่อนนะว่ามียาอะไรพอทำขายได้บ้าง เดี๋ยวกลับมา”

แว่นทิ้งแขกเพื่อกลับไปที่ห้อง เขาจำได้ว่ามีตำรายาแก้หวัดเก็บเอาไว้ในตู้ เปิดประตูห้องออกยังไม่ทันสุด กลิ่นบางอย่างก็ลอยมาเตะจมูก

“อาจารย์!” แว่นร้องทักก่อนจะทันได้เห็นตัวเสียอีก

ชายหนุ่มยืนกอดอกอยู่ริมหน้าต่าง ท่าทางเหมือนเพิ่งมาถึง ไม่เจอกันหลายเดือนท่านอาจารย์ยังทำตัวมอซอและหน้าหล่อเหมือนเคย แว่นถลาไปหาแล้วส่งยิ้มกว้างให้ด้วยความคิดถึง

“ตำราฝังเข็มที่ท่านแนะนำให้อ่าน ข้าหาเล่มหนึ่งเล่มสองมาศึกษาจนจบแล้ว มันน่าสนใจมากเลย แต่ข้าก็ไม่กล้าทดลองกับคน ท่านว่าข้าควร...”

“หุบปากสักเดี๋ยวได้ไหม ยายเด็กน่ารำคาญนี่” หลิ่งปินเอ็ด “ข้าแค่เอายามาให้ ไม่ว่างเล่นกับเจ้าหรอก”

“ยาเหลืออีกตั้งเยอะ ท่านไม่ต้องรีบไปหาเพิ่มหรอก อยู่คุยกันดีกว่า”

ช่วงนี้แว่นแทบไม่มีอาการแน่นหน้าอกเลย เขาหลับสบายตื่นมาทำนั่นทำนี่ได้โดยไม่เหนื่อย

“นี่เป็นยาตัวใหม่ ให้กินก่อนนอนทุกวันวันละเม็ด” หลิ่งปินโยนขวดยาให้

แว่นเปิดขวดออกแล้วลองดม เขาได้กลิ่นสมุนไพรที่ไม่รู้จักหลายชนิด แสดงว่าส่วนผสมเหล่านี้เป็นของหายาก

“ยาเก่าทิ้งไปให้หมด ต่อให้แน่นหน้าอกก็อย่าเอามากินอีก” สั่งเสร็จแล้วก็ตั้งท่าจะกระโดดออกไป

แว่นยังคุยธุระไม่เสร็จก็เลยถลาไปกอดเพื่อรั้งตัวเอาไว้ ขณะที่ใบหน้าแนบกับตัวชายหนุ่มเขาก็ได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ ลอยมา

“อาจารย์...ท่านบาดเจ็บนี่ เป็นเพราะไปหายาให้ข้าใช่ไหม” แว่นใจหายวาบเมื่อนึกถึงคำกล่าวในตำรา

‘ยาวิเศษมีอยู่จริง แต่ต้องทุ่มเทแลกมาด้วยเลือดเนื้อชีวิตและลมหายใจ’

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหลิ่งปินกำลังเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อหาทางช่วยชีวิตกุ้ยฮวา

“ใช่ที่ไหนเล่า จะให้บอกกี่ครั้งว่าอย่าสำคัญตัวผิด” ชายหนุ่มปฏิเสธเสียงแข็งแต่แววตาฟ้องชัดว่าโกหก

สองเดือนมานี้เขารอนแรมลงใต้เพื่อค้นหาส่วนผสมในการปรุงยา โรคประจำตัวกุ้ยฮวาไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ จำเป็นต้องเปลี่ยนยาไปตามอาการและสภาพอากาศในช่วงนั้น

“ข้าจะทำแผลให้ถอดเสื้อออกมาก่อน” แว่นเอ่ยอย่างเฉียบขาด เขากอดแขนชายหนุ่มเอาไว้แน่นแล้วลากตัวพามาที่เตียง

“เป็นสาวเป็นนางมาไล่ปล้ำถอดเสื้อผู้ชายได้อย่างไรกัน พ่อเจ้ารู้คงอกแตกตาย” หลิ่งปินตำหนิ

“ท่านแก่กว่าท่านพ่อข้าอีก ทำแผลให้คนรุ่นลุงไม่เห็นจะมีอะไรไม่ดีไม่งามตรงไหน ท่านรีบถอดเดี๋ยวนี้เลย ไม่อย่างนั้นข้าจะใช้กำลัง”

หลิ่งปินอยากหัวเราะให้ฟันหักกับคำขู่ของแม่หนูตัวจ้อย ถ้าเขาเอาจริงนางต่างหากที่จะโดนเหวี่ยงกระเด็น

“แผลเล็กน้อยข้าจัดการเองได้ ไม่ต้องให้เจ้ามาวุ่นวายหรอก”

“ไม่! ท่านเจ็บเพราะข้า ข้าก็ต้องรับผิดชอบ” แว่นยืนกรานหนักแน่น แล้วชิงลงมือด้วยการปลดสายคาดเอวเขาออก

หลิ่งปินถึงกับอึ้งเพราะไม่คิดว่ากุ้ยฮวาจะกล้า สองศิษย์อาจารย์ยื้อยุดฉุดกระชากเสื้อผ้ากันเป็นการใหญ่ จังหวะที่แว่นกำลังจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำเพราะสู้แรงหลิ่งปินไม่ได้ โบ้ก็เปิดประตูพรวดเข้ามาพอดี เพื่อนตัวแสบเบิกตามองสถานการณ์ตรงหน้าตาค้าง โบ้ไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว เขาปิดประตูโครมใหญ่ แล้ววิ่งไปฟ้องเจ้ว่าอิแว่นแอบเก็บผู้ชายเอาไว้ไม่ยอมแบ่งเพื่อน

แว่นไม่เสียเวลาตามไปอธิบายให้จอมมโนเข้าใจ เขากลับฉวยโอกาสนี้กระชากเสื้อผ้าท่านอาจารย์ที่เคารพออก จนชายหนุ่มอยู่ในสภาพเปลือยอก

“เจ้านี่มันน่ารำคาญจริง เอ้า! อยากทำอะไรก็ทำ”

หลิ่งปินยกมือยอมแพ้ ก่อนจะแหวกเสื้อท่อนบนออกให้เห็นบาดแผลกลางหลังชัดๆ มันเป็นแผลถลอกเหมือนถูกหินบาด นอกจากนี้บนแผ่นหลังขาวเนียนยังมีรอยช้ำเป็นหย่อมๆ กับบาดแผลที่ใกล้หายอีกหลายจุด บ่งบอกว่าช่วงที่หายไปผจญอันตรายมาไม่น้อย

แว่นรีบไปเปิดหีบยา ขนเอาทุกอย่างที่มีมาใช้รักษาแผลให้ ยิ่งมองเนื้อตัวหลิ่งปินมากเท่าไร ก็ยิ่งตระหนักว่าเขาทุ่มเทเพื่อกุ้ยฮวาเพียงไร

“ข้าไม่เข้าใจเลยว่าทำไมท่านต้องทำเพื่อข้าขนาดนี้ ท่านอาจารย์...นี่ท่านหลงรักข้าอยู่ใช่ไหม”

คำถามที่ไม่ควรออกมาจากปากสตรีทำให้หลิ่งปินถึงกับสำลักน้ำลาย เขานึกตำหนิบิดานางเสียมากมาย เหว่ยหงสอนลูกสาวอย่างไรถึงโตมากลายเป็นคนแบบนี้

“เจ้านี่มันช่างเพ้อเจ้อเสียจริง การรักษาเจ้าคือศักดิ์ศรีของหมออย่างข้าต่างหาก รับปากไปแล้วว่าจะดูแลก็ต้องทำตามนั้น”

แว่นกำลังทายาแก้ฟกช้ำที่หลังให้จึงไม่เห็นสีหน้าของชายหนุ่มว่าตรงกับคำพูดเพียงใด แต่เมื่ออีกฝ่ายยืนกรานเช่นนั้นเขาก็ไม่อยากคิดมาก

ทายาที่แผ่นหลังให้เสร็จ แว่นก็เปลี่ยนตำแหน่งมาทายาให้ที่ด้านหน้า หลิ่งปินอุตส่าห์ยอมให้จอมยุ่งลูบๆ คลำๆ ทาถูยาตามตัวเพื่อตัดรำคาญ แต่แม่ตัวยุ่งก็ยังไม่วายทะเล้นจนต้องลงไม้ลงมือ

“ท่านอาจารย์ ท่านรู้อะไรไหม” ลูกศิษย์ตัวดีปั้นหน้าจริงจังถามเสียงขรึม

“อะไร?”

“กล้ามท่านอย่างแน่นเลย ที่สุดของคำว่าซ่อนรูป”

กล้ามเนื้อทุกส่วนของเขาสมบูรณ์แบบชวนตะลึง ประหนึ่งคนที่ฝึกซ้อมร่างกายเป็นอย่างดีเพื่อเข้าประกวด ถ้าบอกว่าเป็นหมอ วันๆ ได้แต่เข้าป่าหาสมุนไพรคงไม่มีใครเชื่อ

หลิ่งปินไม่แสดงความเห็นต่อคำวิจารณ์ เขาปัดมือลูกศิษย์ตัวแสบให้พ้นไปจากเนื้อตัว แล้วเขกหัวสั่งสอนเด็กทะลึ่งรัวๆ



-โปรดติดตามตอนต่อไป-

สวัสดีท้ายตอนค่ะ
หน่อมเริ่มมีบทเสียทีหลังจากที่จืดจางมานาน
แต่สุดท้ายก็ยังโดนแย่งซีนด้วยแว่นกับท่านอาจารย์ -_-‘
มันคืออะไรไหนบอกว่านางเป็นนางเอก?
ชะตากรรมมิแคล้วจะเป็นเหมือนสัตว์พันปี
เป็นชื่อภาคซะดิบดี ออกมาอุ๊งอิ๊งสองบทจบซะงั้น เอิ๊กกกก
พูดเล่นนะคะ บทนางยังมีอีกเยอะค่ะ
ถาม : ตอนนี้ท่านหมอจะโผล่มาทำไมหน่อยเดียว?
ตอบ : โผล่มาให้แว่นจับแก้ผ้าค่ะ 5555
ไม่ใช่ละ โผล่มาบรรเทาความคิดถึงค่ะ
เพราะเฮียจะหายไปอีกทั้งภาค
คนหล่อเกรดแพลตตินั่มเกรดก็เงียะค่ะ ค่าตัวแพง
ขอหยอดกระปุกเก็บเงินจ้างเฮียแกก่อนนะคะ
แล้วจะให้ออกมาเยอะๆ แบบจุใจ ^O^



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 มิ.ย. 2558, 00:12:20 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 มิ.ย. 2558, 00:12:20 น.

จำนวนการเข้าชม : 1283





<< เจ้าสาวภูต : บทที่ ๒ ข่าวยามสาย   เจ้าสาวภูต : บทที่ ๔ กับดักริษยา >>
นักอ่านเหนียวหนึบ 19 มิ.ย. 2558, 17:06:40 น.
5555 หล่อแพลตตินัม มันน่าขย้ำจิงจิ๊งงงงง 555


ใบบัวน่ารัก 19 มิ.ย. 2558, 22:13:06 น.
เจ้ เปิดร้านขายอะไรอะ
ขายของชำ หรือขายขนม
หรืออะไรน้า-------
หนุ่มๆๆหายไปไหนกันหมดอะ มาตอนหน้าด้วยนะค้า


Zephyr 11 ก.ค. 2558, 18:49:07 น.
หนุ่มหล่อเกรดเริ่ดขนาดนี้ ขอลูบมั่งจิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account