ความลับ (ที่) ซ่อนเร้น .. หรือจะเป็น ความรัก!(?)
คำถาม .. ที่มีคำตอบ
แต่คำตอบ .. กลับยังคงมากมายด้วยคำถาม

เพราะนิยามในคำหนึ่งคำนั้น
แฝงเร้นซุกซ่อนไว้ซึ่งความลึกลับ
ความซับซ้อนชวนสับสน รอยยิ้มปนเปื้อนคราบน้ำตา
เล่ห์เสน่หาหวานล้ำ และพร้อมจะนำความเจ็บปวดมาให้ .. ได้ทุกเวลา

.. หากว่ามันคือ ความรักที่มากล้น จนกลายเป็น .. ความลับ ! ..
Tags: ความรัก ความลับ

ตอน: บทที่ ๙ .. สายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น





แล้วจู่ๆเจ้าของเสียงเงี๊ยวง๊าวปริศนาก็เผยตัว ให้คนที่กำลังตามหาได้เห็น มันเป็นลูกแมวดังที่วิชชุ์วิธูคาดไว้จริงๆ จากการประเมินคร่าวๆ เขาคิดว่ามันน่าจะมีอายุราวๆ ๒-๓ เดือน หากร่างกายของมันกลับเล็กแกร็นและสภาพโดยรวมดูทรุดโทรมจนน่ากลัว

แม้ว่าชายหนุ่มจะเห็นมัน แต่ก็ไม่สามารถเข้าถึงตัวได้ เพราะมันเพียงแค่เยี่ยมหน้าออกมาสังเกตการณ์อย่างระแวงระวัง แล้วพยายามซุกซ่อนตัวเองหลังแนวต้นโมกพวงในเขตรั้วบ้านของเภตรา ก่อนจะหลุบเข้าไปอีกครั้งเมื่อมันเองก็เหมือนจะเห็นเขามองอยู่เช่นกัน

วิชชุ์วิธูละสายตาจากพุ่มโมกมองเลยเข้าไปยังลานจอดรถ ลังเลว่าควรจะทำอย่างไรเพื่อบอกเจ้าของซีดานสีครามหม่นให้ได้ทราบว่า ลูกแมวที่ทำให้เขาต้องมาด้อมๆมองๆอยู่ตรงนั้นเอง

ราวกับกระแสความคิดส่งผ่านไปถึง ประตูรถด้านคนขับเปิดออก แล้วองก์อัมพุทค่อยก้าวลงจากยานพาหนะ ซึ่งหญิงสาวก็เหลียวมองมายังริมรั้วตำแหน่งที่มีใครคนหนึ่งยืนรอพอดิบพอดี

ขณะเฝ้ามองเรือนกายระหงรีบรุดก้าวเดินมาทางนี้ ในความคิดของวิชชุ์วิธูกลับเห็นว่า ท่วงท่าอิริยาบถนั้นช่างเหมือนภาพเคลื่อนไหวที่แช่มช้าแต่น่าชม จนเผลอคลี่รอยยิ้มบางนัยน์ตาฉายแสงอ่อนโยนไม่รู้ตัว

๑๐ ปีที่ห่างหายไม่ได้พบ .. อาจเปลี่ยนแปลงรูปกายภายนอกได้ ทว่า สิ่งที่อยู่ภายใน .. ยังคงเหมือนวันวาน

"เงี๊ยว ..."

เสียงแหลมเล็กบอกเผ่าพันธุ์ดังขึ้นขัดภวังค์รำลึกของชายหนุ่ม และเขาเชื่อว่าหญิงสาวที่กำลังเร่งฝีเท้าก็ได้ยินไม่ต่างกัน เพราะเธอถึงกับชะงักกึก หยุดยืนกลางทางเหลียวหน้าเหลียวหลังทันที

วิชชุ์วิธูจึงเบี่ยงสายตาหันหน้าไปทางพุ่มโมก บอกเป็นนัยให้องก์อัมพุทรู้ว่าเจ้าของเสียงแหลม ที่ร้องเป็นพักๆอยู่เยื้องไปทางซ้ายมือของเธอ

องก์อัมพุทเห็นและอ่านอากัปกิริยาของอดีตอาจารย์บรรณารักษ์ได้ก็บ่ายหน้าตามไปไม่รีรอ

ภาพลูกแมวตัวน้อยสีเทาสลับจุดดำเป็นดวงๆคล้ายเสือดาว กำลังตะเบ็งเสียงร้องอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่เพราะร่างกายผ่ายผอมซึ่งคาดว่าคงจะอดโซมาหลายมื้อ ไม่เอื้อให้มันส่งเสียงได้นาน ในที่สุดมันก็ค่อยเงียบและทรุดลงช้าๆ

หญิงสาวไม่อาจทนมองสิ่งที่สายตาเห็นและประสาทสัมผัสรับรู้ได้ เธอถลาเข้าไปหาลูกแมวน้อยอ่อนแอตัวนั้นชนิดที่วิชชุ์วิธูคาดไม่ถึง

ชั่วพริบตาร่างเล็กจิ๋วอ่อนปวกเปียกก็อยู่ในสองอุ้งมือขององก์อัมพุท โดยที่เจ้าตัวไม่มีทีท่าหวั่นเกรงต่อสิ่งสกปรกหรือเชื้อโรคแม้แต่น้อย

ทันใดนั้นเอง หญิงสาวก็หันขวับมาทางวิชชุ์วิธู ร้องเรียกอย่างลืมตัวด้วยเสียงดังแกมตระหนก

"อาจารย์คะ .. แถวนี้มีคลีนิกรักษาสัตว์มั้ยคะ แบบที่ใกล้ที่สุดน่ะค่ะ .. เราต้องพามันไปหาหมอด่วนค่ะ"

"มาเถอะ .. เดี๋ยวผมไปเอารถ แล้วจะบอกพ่อให้คอยดูแลบ้านให้ก่อน"

วิชชุ์วิธูไม่เอ่ยถามหรือขัดข้องในสิ่งที่หญิงสาวร้องขอ และว่องไวพอจะทำตามที่พูดไม่อิดออดชักช้าสักวินาที






เภตราขับรถมาหยุดยังลานจอดของสวนอาหารแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากโรงเรียนอนุบาลท่องนทีของเธอจนเกือบถึงย่านพุทธมณฑล หลังเวลาล่วง ๑๘ นาฬิกามาเล็กน้อย

หญิงสาวยังคงนั่งอยู่ในรถอย่างนั้น ทบทวนถึงเมื่อแรกที่รับโทรศัพท์ตอนกลางวัน เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่า คนที่เอ่ยปากนัดหมาย จะพาสารร่างมาปรากฏตัวที่นี่

ก็เมื่อวันก่อนเภตรายังต่อล้อต่อเถียงเขาอยู่เลย แต่ไม่คิดว่าผ่านไปแค่สองวัน .. เขาจะออกจากป่ามาได้จริงๆ

พลันก็นึกไปถึงคำพูดเข่นเขี้ยวที่คิดว่าถูกเขาหยอกล้อขึ้นมา .. ปากเก่งๆแบบนี้ อย่าให้พี่เจอนะ

คนปากเก่งไม่ได้กลัวคำอ้างที่ยกมาข่มขู่ หากรู้สึกถึงบางสิ่งที่เชื่อมโยงระหว่างกันมากกว่าอื่นใด

ความคิดถึง .. และโหยหา

เภตราเงยหน้าสบตาตนเองกับกระจกส่องหลัง แววระยับยินดีที่จะได้พบ 'คนสำคัญ' กำลังเต้นระริกอย่างไม่อาจปิดบังได้

หญิงสาวสำรวจความพร้อมแล้วลงจากรถ ก้าวเข้าสู่จุดต้อนรับของทางร้านเพื่อแจ้งความประสงค์ ก่อนที่พนักงานจะเดินนำเธอไปยังมุมลับตาของสวนอาหาร ซึ่งเป็นสถานที่นัดพบ 'ประจำ' หากว่ามีโอกาสได้เจอะเจอกัน .. เพื่อใช้เวลาอยู่กับคนที่หัวใจผูกพันมานานปี

ก้าวแรกเมื่อพ้นทางเดินที่บริกรพามาส่ง เพียงแค่ได้เห็นแผ่นหลังที่รับกับไหล่กว้างดูผึ่งผายของเมฆพัด เภตราก็อดใจสั่นหวั่นไหวไม่ได้ และมันเป็นเช่นนี้ทุกครั้ง เพราะต่อให้เธอกล้าพูดคุยต่อปากต่อคำกับเขาแค่ไหน มันก็ยังมีเครื่องมือสื่อสารเป็นตัวกลาง แต่ถ้าต้องมาอยู่ต่อหน้ากันตัวต่อตัว ความรู้สึกของเธอย่อมต่างไปอย่างสิ้นเชิง

เภตราลอบถอนใจกับชายหนุ่มที่ยอมรับได้หน้าชื่นตาบานว่า เคยหมายปองเขาและประกาศกับองก์อัมพุทอย่างโจ่งแจ้งครั้งวัยรุ่น .. ผิดกับความสัมพันธ์ในวันนี้ ที่เหมือนต้องหลบๆซ่อนๆ แต่ก็ยังอาจหาญไปมาหาสู่กันเพราะไม่สามารถริดรอนเยื่อใยออกจากใจได้ ทั้งๆที่เขาเป็นคนปฏิเสธเธอเองแท้ๆ

ประสบการณ์ในชีวิตที่เพิ่มขึ้น คงมีส่วนช่วยให้รู้จักยั้งคิด ไม่ผลีผลามกับอารมณ์ความรู้สึกเหมือนแต่ก่อน .. แต่ ไม่ใช่กับเภตราแน่นอน

"พี่พัด .. มาถึงนานยังคะ รึยังอิ่มเก้งกวาง .. จนไม่ยอมสั่งอะไรมากินเล่น"

เมฆพัดเหลียวหลังตามเสียงเรียกยิ้มกว้างจนใบหน้าครึ้มหนวดเคราดูกระจ่างได้ทันตา ผิวคล้ำแดดที่เกิดจากการทำงานไม่ได้ลดทอนความน่ามองลงเลย มีแต่จะยิ่งเสริมบุคลิกให้ดูคมเข้ม น่าค้นหาในสายตาของเภตรา .. เป็นความลึกลับชวนให้หลงใหลสำหรับเธอ

ทว่า นอกจากรอยยิ้มกว้างขวางของเขาที่จงใจขว้างมาถึงผู้มาใหม่ ดวงตาที่ทอดมองกลับแฝงประกายวิบวับกรุ้มกริ่ม ส่งผลให้หญิงสาวคล้ายมีอาการวูบวาบขึ้นมา

"ปากยังน่ารักเหมือนเดิม .. เดี๋ยวเถอะ"

เดี๋ยวเถอะ .. คำนี้คำเดียวก็ทำเอาจิตใจของเภตราแทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จนเธอต้องรีบสาวเท้าอ้อมไปนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเมฆพัด ทำไม่รู้ไม่ชี้กับคำขู่ซ้ำๆ แต่ไม่มีวันชินกับหางเสียงที่ฟังแล้วระทึกถึงหัวใจได้

"ว่าแต่ .. พี่พัดมาได้ยังไงคะ เภานึกว่างานยุ่งมากๆ .. มากจนวันก่อนต้องตัดสายกันไปเฉยๆ"

"น้อยใจพี่?"

ชายหนุ่มเลิกคิ้วถามยิ้มๆพลางรินน้ำดื่มใส่แก้ว ก่อนยื่นส่งให้อีกฝ่าย เนื่องจากต้องการความเป็นส่วนตัวจึงสั่งเครื่องดื่มมารอ และไม่ต้องการให้มีบริกรมารบกวนการสนทนาของพวกเขา

เภตราพึมพำขอบคุณเสยกแก้วน้ำขึ้นจิบ ไม่ตอบคำถามใดๆให้เข้าเนื้อเข้าหนังตัวเองอีก .. เพราะมันได้เข้าไปอยู่ในใจมากพอแล้ว

เมฆพัดใช้สายตาพิจารณาหญิงสาวเพื่อนสนิทขององก์อัมพุทช้าๆ ความเปลี่ยนแปลงของคนตรงหน้าที่เขาได้เห็นมาตลอด จากเด็กกะโปโลเมื่อไม่นาน กลายมาเป็นหญิงสาวที่จัดได้ว่าสมบูรณ์แบบพอตัว ทั้งรูปร่างหน้าตา ไหนจะหน้าที่การงาน ซึ่งทำให้เขารู้สึกภูมิใจลึกๆ ที่เธอเดินตามเส้นทางมาได้เป็นอย่างดี

ในฐานะพี่ชาย .. ที่เป็นห่วงอนาคตอันสวยงามของเด็กสาวคนนี้ เขาจึงไม่อยากให้เธอหมกมุ่นครุ่นคิดเรื่องอื่นมากกว่าการเรียน

แต่ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง .. วันนั้น ไม่มีใครรู้หรอกว่า เมฆพัดอัดอั้นคับแน่นในอกขนาดไหนที่จำต้องหักใจ และพูดจาทำร้ายความรู้สึกดีๆของเภตรา

เมฆพัดพยายามที่จะหลบเลี่ยงไปให้ไกล ด้วยการเลือกทำงานท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพร กับคณะวิจัยอนุรักษ์สัตว์ป่าและพันธุ์พืช แต่ไม่นานเขาก็ค้นพบว่า ต่อให้เดินทางไปไกลแสนไกลเพียงใด .. สุดท้าย ภาพเดียวที่ตราตรึงคือ ภาพเด็กสาวที่รวบรวมความกล้าบอกความในใจกับเขา

มันยังชัดเจนแจ่มแจ่งไม่เลือนหาย กับภาพหยดน้ำใสที่ค่อยๆเอ่อท้นจากนัยน์ตาใสกระจ่างเป็นนิตย์ก่อนไหลรินพราวเป็นสาย โดยปราศจากเสียงสะอื้น นอกจากการพยักหน้ายอมรับ และหันหลังเดินจากไป .. ด้วยเหตุผลที่เขาไม่อาจตอบรับคำขอของเธอได้

เป็นอดีตที่ไม่น่าจดจำเอาเสียเลย .. และเขากำลังแก้ไขมัน ตลอดระยะเวลาที่กลับมาวนเวียนกับผู้หญิงคนเดียวคนเดิม .. ที่เคยถูกทำร้ายจิตในคราวนั้น .. ซึ่งความจริงในข้อนี้ยังถูกเก็บงำเอาไว้

"พอดีหัวหน้าต้องลงมากรุงเทพฯด่วน ให้พี่ตามมาด้วย .. แล้วก็เห็นว่าพอมีเวลา .. พี่ยังไม่หายข้องใจนะ เรื่องที่เราคุยกันวันก่อน.."

เมฆพัดพูดอย่างคลุมเครือไม่บอกให้ชัดเจนว่า เรื่องใดกันแน่ จนเภตรานิ่วหน้าไม่อยากออกความเห็นใดๆ เพราะเกรงจะขว้างงูไม่พ้นคอ จนชายหนุ่มต้องเปรยถามมีเลศนัยดังที่เธอคิดไว้ไม่ผิด

"พี่ถาม .. ไม่ยอมตอบนะ"

"ระบุสิคะ ว่าหมายถึงเรื่องไหน"

เอาสิ .. เภตราจะลองสำบัดสำนวนกับเขาสักตั้ง ให้หายคิดไปเองเลยว่า .. เขาก็คิดถึงเธอเช่นกัน

"เอ .. เราคุยกันแค่ไม่กี่เรื่องนี่นา ไม่นับที่พี่เป็นห่วงยัยพุด .. เภาก็น่าจะตอบพี่ได้ .. ว่าไง .. ลองบอกให้ชื่นใจหน่อยซิ"

"อ้าว เภานึกว่า ที่พี่พัดอุตส่าห์สละเวลานัดมาคุย ก็เพราะเป็นห่วงเพื่อนเภาซะอีก .. แย่จัง เภาเข้าใจผิดไปเองเหรอเนี่ย"

หญิงสาวโคลงศีรษะไปมากับตัวเอง แอบอมยิ้มนิดๆเพราะคนฝั่งตรงข้ามเริ่มปั้นหน้านิ่ง ก่อนกลายเป็นบึ้งตึง หัวคิ้วที่ย่นเข้าหากันบอกได้ดีว่า กำลังหงุดหงิดเมื่อถูกยั่วอารมณ์ เพราะเธอไม่ยอมตอบเขาอย่างที่ต้องการ

ครู่เดียวเมฆพัดก็เปลี่ยนอิริยาบถเป็นเอนหลังกับพนักเก้าอี้ กอดอกจ้องหน้าเภตราราวกับจะสะกดด้วยคาถาบางอย่าง แล้วผ่อนลมหายใจระบายออกช้าๆ จนเธอปล่อยเสียงหัวเราะคิกและเลือกที่จะเบี่ยงเบนประเด็นไปเรื่องอื่น เพราะกำลังรู้สึกขัดเขินกับสายตาวับวาวคู่นั้น

"พี่พัดหิวรึยัง เภาหิวแล้วล่ะ .. เรียกเด็กมาสั่งอะไรกินกันดีกว่าค่ะ ไม่อยากกลับบ้านดึก .. ว่าแต่ พี่พัดมายังไงคะ แล้วพักที่ไหน ขากลับเภาจะได้ไปส่ง"

"สนใจพี่ด้วยเหรอ .."

"พูดแบบนี้ .. น้อยใจ?"

นี่ล่ะ .. นาทีที่เภตรารอคอยก็มาถึงจนได้ เมื่อเธอสามารถเอาคืนเขาด้วยคำๆเดียวกัน แม้มันจะเป็นเรื่องแค่เล็กน้อย แต่ก็ถือว่าได้โต้ตอบคนขี้แกล้งอย่างเขาแล้ว

"น้อยใจสิ .. ถ้าไม่เพราะคิดถึง พี่ไม่ตื๊อหัวหน้ามาให้เหนื่อยหรอก"

"นั่นแน่ .. แล้วบอกว่าหัวหน้าให้ตามมา .. ยอมรับตรงๆก็ได้นี่ ว่าคิดถึงเภา .. เชอะ"

"พี่คิดถึงเภา"

บทจะยอมรับ เมฆพัดก็พูดได้หน้าตาเฉย แต่นัยน์ตากลับโชนแสงวาววาม จนเภตราอ้ำอึ้งงันไปเลยทีเดียว และวินาทีถัดมาดวงหน้าก็เริ่มผ่าวร้อนชอบกล ทั้งๆที่คิดว่ารับมือกับผู้ชายคนนี้ได้แล้ว

"เอ่อ .. ตลกล่ะพี่พัด .. อย่ามาอำเภาเลย .."

ชายหนุ่มมองตรงตั้งใจสบตาคนเก่งที่ดูก็รู้ว่ากำลังเก้อเขินกับคำพูดของเขา .. ก็น่ารักแบบนี้ เขาจะปล่อยให้หลุดมือไปได้อย่างไร






รถยนต์ของวิชชุ์วิธูแล่นมาถึงปากทางหมู่บ้าน 'ตระการจิต' หลังตะวันตกดินปล่อยให้ความมืดโรยตัวมาพักใหญ่ เนื่องจากต้องใช้เวลาพูดคุยทำความเข้าใจเกี่ยวกับอาการของลูกแมวจร และการรักษาพยาบาลนานพอสมควร

นายสัตวแพทย์ประจำคลีนิกแจ้งแก่องก์อัมพุทและชายหนุ่ม หลังจากการตรวจสุขภาพโดยละเอียดพบว่า ลูกแมวขาดสารอาหารจำเป็นต้องให้น้ำเกลือและดูแลอย่างใกล้ชิด รวมถึงรอผลการตรวจเลือดอีกครั้ง ถึงจะไม่มีอาการบาดเจ็บภายนอกที่รุนแรง แต่ก็ไม่อาจนอนใจได้เพราะสภาพร่างกายที่อ่อนแอจนน่าเป็นห่วง

นอกจากนี้คุณหมอจะทำวัคซีนสำหรับแมวรวมถึงถ่ายพยาธิให้ ภายในสามวันค่อยมารับตัวกลับ แต่หากมีเรื่องด่วนฉุกเฉินทางคลีนิกจะติดต่อมาตามที่ได้กรอกประวัติใส่ชื่อวิชชุ์วิธูเป็นเจ้าของไข้ไว้

แม้องก์อัมพุทอยากจะแย้งขึ้นมาเพราะต้องการมีส่วนรับผิดชอบเช่นกัน แต่ก็ต้องจำยอมต่อเหตุผลเกี่ยวกับภาระหน้าที่ของตัวเองที่ว่า เมื่อช่วยงานเสร็จเธอก็ต้องกลับบ้าน หลังจากนั้นใครจะดูแลมันในวันที่ต้องไปทำงาน

ต่อให้เสียดายแต่เธอไตร่ตรองแล้วว่า หนทางนี้ดีที่สุดสำหรับหนึ่งชีวิตน้อยๆ หากมันอยู่ที่นี่ก็น่าจะได้รับการดูแลเอาใจใส่ จากคนที่อยู่ข้างๆซึ่งไม่ได้นิ่งดูดายมาตั้งแต่แรก

และเหมือนกับวิชชุ์วิธูอ่านความคิดขององก์อัมพุทที่นั่งเงียบมาตลอดทางได้ ว่ากำลังเป็นกังวลในเรื่องใด เขาจึงเอ่ยปากบอกให้หญิงสาวคลายความวิตก

"ไม่ต้องห่วง .. ถ้าหมอให้กลับบ้านได้ ผมจะรับมาดูแลเอง"

"เรื่องค่าใช้จ่าย คุณก็รับผิดชอบไปแล้ว .. นี่ยังจะรับภาระอีก น่าจะให้พุด เอ่อ ดิฉันได้ช่วยบ้างนะคะ"

องก์อัมพุทค้านเสียงอ่อนขณะก้มหน้าบีบมือของตนเบาๆ ก่อนเงยขึ้นหันมามองด้านข้างคนที่ตั้งตนเป็นเจ้าของลูกแมวลาย ที่ตอนนี้อยู่ในความดูแลของคลีนิกรักษาสัตว์เรียบร้อยแล้ว

วิชชุ์วิธูเหลือบมองนิดหนึ่งก่อนหันมาสบตา ยิ้มบางๆกับความปรารถนาดีนั้น เพราะรู้อยู่แล้วว่าองก์อัมพุทคงทนนิ่งเฉยไม่ได้แน่

"ทำใจให้สบาย .. รอให้มันหายดีก่อน แล้วค่อยถามความสมัครใจดูก็ได้ .. ว่าเจ้าตัวน้อยอยากอยู่กับใคร"

คำพูดอ่อนโยนของเขาสร้างรอยยิ้มให้หญิงสาวได้ในที่สุด จะมีใครที่คิดได้อย่างนี้ .. ให้แมวตัดสินใจเลือกคนเลี้ยงเอง!

"นั่นสินะคะ .. ขนาดปลูกเรือนยังต้องตามใจคนอยู่ ไว้เจ้าตัวน้อยหายดี ก็คงไม่สายที่จะให้เขาเลือกจริงๆ"

ความคิดที่เห็นดีเห็นงามคล้อยตามกัน ช่วยทำให้บรรยากาศภายในห้องโดยสารรถยนต์คลายความอึดอัดไปได้มาก ด้วยเสียงหัวเราะประสานกันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน




เมื่อวิชชุ์วิธูขับมาถึงหน้าประตูรั้วเขตบ้านของเภตรา ก็ค่อยๆชะลอความเร็วและจอดสนิทหมายส่งผู้โดยสารลง ซึ่งเขาถูกดักคอเป็นที่เรียบร้อยว่า ไม่ต้องลงจากรถเดินมาส่งก็ได้ หลังจากนั้นองก์อัมพุทจึงพนมมือไหว้ขอบคุณอย่างอ่อนช้อย

ภายใต้สีหน้าเรียบเฉยของชายหนุ่ม กลับรู้สึกได้ว่ามุมปากของเขากระตุกเล็กน้อย จากการแสดงออกแบบเคารพนบนอบของหญิงสาว ที่ดูแล้วมากเกินไปสักหน่อย

ทว่า .. ก่อนเกือบจะเสียกิริยามากไปกว่านี้กับบรรยากาศอึมครึมเริ่มย่างกราย ความรู้สึกคั่งค้างก็แทบปลิดปลิว เมื่อได้ยินคำพูดที่อธิบายความขัดใจในท่าทีอย่างชัดเจน ว่าเธอทำไปด้วยเหตุผลใด

"ขอบคุณนะคะ อาจารย์ .. วิชชุ์วิธู"

"คุณ .. จำผมได้สินะ"

"เหมือนที่อาจารย์ .. จำได้ นั่นล่ะค่ะ"

องก์อัมพุทเม้มปากเล็กน้อยกับท่าทีเรียบเฉยของเขา ราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ชั่วอึดใจก็คลายลงลดความหม่นมัวไปได้ แค่นี้เธอก็สบายใจบ้างแล้ว ที่ตัดสินใจลองเรียกเขาออกไปเพราะอยากรู้ว่า เขาจะคิดอย่างไร .. จำเธอได้จริงไหม .. หรือแค่อดีตนักเรียนคนหนึ่งที่ผ่านแล้ว .. ผ่านเลย

"ครู ไม่คิดว่าจะจำได้ .. มันตั้ง .. เกือบ ๑๐ ปีแล้ว ไม่คิดด้วยว่า จะมาพบกันในลักษณะนี้"

"แต่พุดก็ดีใจนะคะ .. ที่อาจารย์จำพุดได้จริงๆ .. ถึง .. มันจะไม่น่าเป็นไปได้"

หญิงสาวเปลี่ยนความตั้งใจไม่พูดว่า 'ถึงมันจะทำให้เธอเสียใจ' ได้ทัน

ตอนนี้ในความคิดกำลังขัดแย้งกันอย่างหนัก ว่าได้มีโอกาสคุยแล้ว น่าจะถามสิ่งที่ติดค้างและคาใจเธอมาตลอด .. เรื่องของเด็กหญิงเกรซ .. และแม่ของเธอ

แต่แล้วไม่ทันที่คำถามจะถูกปล่อยออกมา กระจกรถก็ถูกเคาะจากด้านคนขับเสียก่อน และพอชายหนุ่มลดกระจกลง พฤหัสจึงเอ่ยถามไม่รั้งรอ ทั้งมองมายังหญิงสาวอีกคน แววตาฉายชัดความเอ็นดูเผื่อแผ่มาถึง

"เจ้าวิชชุ์ .. ทำไมไม่ส่งหนูพุดเข้าบ้าน แล้วกินอะไรมากันรึยัง"

"เอ่อ .. ยังเลยครับ ลืมไปเลย มัวแต่ยุ่งๆกันเรื่องธุระ .."

"งั้นหนูพุดยังไม่ต้องลงนะ .. ไปกินข้าวด้วยกัน .. รู้สึกว่าหนูเภาก็ยังไม่กลับมาเลย ลุงเดินมาดูบ้านให้หลายรอบละ .. ไป ขับรถเข้าบ้านเรา เดี๋ยวพ่อเดินตามไป"

ชายผู้เลยวัยเกษียณที่ยังดูคล่องแคล่วกระฉับกระเฉง รวบรัดบอกหญิงสาวอย่างไม่ให้เธอปฏิเสธได้ และเลื่อนสายตามามองบุตรชายออกคำสั่ง ซึ่งเขายินดีทำตามไม่ขัดข้อง พอเห็นว่าบิดาถอยห่างจากรถ ชายหนุ่มก็เข้าเกียร์เดินหน้า ค่อยเหยียบคันเร่งให้แล่นผ่านหน้าบ้านของเภตรา ไปยังบ้านของพฤหัสที่อยู่ถัดกัน

สองหนุ่มสาวลงจากรถรอเจ้าของบ้านเดินมาถึง จนกระทั่งพวกเขาถูกต้อนให้เข้าบ้านพร้อมกัน โดยมีผู้สูงวัยยิ้มแย้มสดชื่นเดินนำหน้าอย่างอารมณ์ดี เพราะค่ำนี้มีสาวมากินข้าวด้วยอีกวัน






เมฆพัดใช้ปลายนิ้วชี้เกลี่ยปอยผมที่ปรกหน้าผากของเภตราแผ่วเบา เมื่อเธอขยับกายพลิกตัวมาซบซุกแนบอกเขา หวังให้ได้ไออุ่นจากเรือนร่างแข็งแกร่งอุดมด้วยกล้ามเนื้อ

ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศภายในห้องพักของโรงแรม ทำให้คนที่ยังหลับใหลสอดแขนสวมกอดรอบเอวชายหนุ่มไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้ผ้าห่มที่มีเพียงเนื้อแนบเนื้อ สัมผัสจึงยิ่งแนบแน่นจนคนถูกกอดระบายยิ้มกว้าง แล้วก็อดก้มลงจุมพิตแก้มนวลเบาๆไม่ได้

แต่ก็เพียงไม่นานนักกับรอยยิ้มอบอุ่น และสายตาที่ทอดมองหญิงสาวในอ้อมอกอย่างอ่อนโยนสื่อความหมายลึกซึ้ง

ยามเมื่อเมฆพัดตระหนักได้ว่า สิ่งที่เขากำลังทำอยู่และที่ผ่านมาไม่ใช่เรื่องถูกต้อง .. แล้วอารมณ์สนิทเสน่หาเหล่านั้น ก็แทบจะพลันเลือนหายไปจากใบหน้าเข้มครึ้มหนวดเคราในบัดดล

ชายหนุ่มรู้ตัวดีว่า ไม่ควรทำอะไรที่เหมือนกับการเอาเปรียบแบบนี้ แต่ก็ไม่เคยห้ามใจได้สักครั้ง .. และเหนือสิ่งอื่นใด เขายังถูกขอร้องจากเภตราให้เก็บเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกันเอาไว้ .. อย่าให้ใครรู้

เขาเคยบอกกับหญิงสาวหลายครั้งหลายคราว่า พร้อมจะรับผิดชอบทุกอย่าง .. แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือ การปฏิเสธ

เภตราปฏิเสธความรับผิดชอบจากเขาอย่างสิ้นเชิง .. โดยไม่อธิบายใดๆให้เข้าใจ

แรกๆที่เมฆพัดจำยอมรับเงื่อนไข เพราะเธออ้างว่า ยังไม่เคยพาเขาไปแนะนำตัวกับใคร จึงไม่พร้อมจะบอกผู้ใหญ่ อีกทั้งเหตุผลสำคัญที่เธออ้างถึง มีเรื่องงานเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย นั่นทำให้เขารอได้

แต่แล้ว .. ทุกครั้งที่ชายหนุ่มพูดเรื่องนี้ขึ้นมา .. คำว่า ไม่พร้อม ก็มารออยู่ริมฝีปากละมุน ที่เขาวนเวียนเคล้าคลอ แลกรสสัมผัสนับครั้งไม่ถ้วน จนเขาไม่อยากฟัง

ยิ่งเขาผูกสัมพันธ์ลึกซึ้งแน่นแฟ้นกับเภตรามากเท่าใด .. แทนที่จะรู้สึกว่าได้เป็นเจ้าของเรือนกายเต็มตึงที่ได้ใกล้ชิดกว่าใคร หากแท้ที่จริงแล้ว ในส่วนลึกกลับมีแต่ความหวาดระแวงหวั่นวิตกว่า สักวันเธออาจได้พบคนที่ดีกว่า .. และทอดทิ้งเขาไปอย่างไม่ไยดี

พอคิดเช่นนี้ เมฆพัดจึงเผลอตัวกระชับอ้อมกอดแน่นอย่างหวงแหน แม้ไม่อยากคิดก็อดคิดไม่ได้ .. ว่าควรทำอย่างไรดี ที่จะผูกมัดผู้หญิงคนนี้ไว้กับเขา .. ตลอดไป

เภตราเริ่มอึดอัดหลังจากรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยในวงแขนของชายคนเดียวในหัวใจ แต่เพราะแรงกอดที่ผิดปกติทำให้เธอเผยอเปลือกตาทีละน้อย ถามเสียงอู้อี้กับอกกำยำที่คลุกคลีกันก่อนหน้านี้

"หืม .. เภาเผลอหลับไปเหรอคะเนี่ย .. กี่โมงแล้ว .. เดี๋ยวต้องกลับบ้านแล้วค่ะ"

"ไม่กลับไม่ได้เหรอ .. คืนนี้อยู่กับพี่นะ"

เมฆพัดไม่ตอบคำถาม หากก้มลงซบไหล่เนียนออดออเซาะเสียงทุ้มหวาน ขัดกับหน้าตาที่เกือบจะเรียกได้ว่า รกรุงรังเหลือเกิน

"ไม่ได้ค่ะ เภาบอกยัยพุดไว้ว่าจะกลับ .. พรุ่งนี้ยังต้องทำงานอีก"

"งั้น .. เราก็ไปด้วยกัน .. พี่จะไปหาพุดกับเภานี่ล่ะ"

"ไม่ได้นะคะ!"

เภตราทะลึ่งตัวพรวดพราดลุกขึ้นนั่ง พร้อมกับร้องห้ามเสียงหลง ลืมไปว่าตอนนี้ตนอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าเบื้องหน้าชายหนุ่ม และเขาก็ตอบสนองด้วยการโลมเลียมสัดส่วนเย้ายวนของเธอด้วยสายตาเร่าร้อน ก่อความรู้สึกวาบหวามปั่นป่วนได้ไม่จบไม่สิ้น

แต่สำหรับเภตรา .. เธอจะรู้สึกแบบนนั้นเฉพาะในยามปกติ .. ไม่ใช่นาทีนี้

ห้วงอารมณ์เสน่หาล้ำลึกที่กำลังปลุกเร้าเลือดในกายเมฆพัด ถูกบั่นทอนจนมลายแทบไม่หลงเหลือ แปรเป็นความรู้สึกขุ่นมัวจนชายหนุ่มไม่อาจทนไหว เขาหรี่ตามองหญิงสาวก่อนสะบัดหน้า ผละกายออกจากกันทั้งร่างกำยำล่ำสันไร้อาภรณ์ ก้าวลงจากเตียงใหญ่หนานุ่ม เดินเข้าห้องน้ำปิดประตูกระแทกดังปังเป็นการระบายออก ซึ่งบอกเธอได้ชัดเจนว่า เขากำลังรู้สึกอย่างไร

เภตรายกมือขึ้นปิดหน้า กัดริมฝีปากกลั้นเสียงสะอื้น เสียใจกับคำพูดไม่ยั้งคิด ที่ทำให้เมฆพัดโกรธมากมายถึงเพียงนั้น

ทางเดียวที่คิดได้คือ ต้องรีบไปจากที่นี่ก่อนที่เขาจะเริ่มรู้สึกเกลียดเธอไปมากกว่านี้ .. จากการกระทำของตัวเธอเอง




หลายนาทีทีเดียวกว่าเมฆพัดจะสงบจิตสงบใจ กับความเกรี้ยวกราดในอารมณ์เมื่อครู่ได้ แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่า ทำไมเภตราที่ยอมให้เขากอดก่าย และร่ายมนตร์ประทับตราในเรือนกายอย่างชิดเชื้อ จะดื้อดึงจนน่าตกใจแค่เขาเอ่ยปากอยากให้น้องสาวร่วมรับรู้ความสัมพันธ์ของพวกเขา

ทั้งๆที่เขามั่นใจและจริงจังกับเธอ .. จนแทบจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว

แต่ทำไม .. ?

ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างไม่คิดไม่ตก และมองไม่เห็นทางออก

ตอนนี้คงต้องปล่อยไปก่อน ไว้เขาจะหาทางใหม่ หรือไม่ก็ .. คงต้องใช้ไม้แข็ง .. ติดต่อพ่อแม่ของเภตราด้วยตัวของเขาเอง

คิดได้ดังนั้น ใบหน้าเข้มครึ้มใกล้รกเรื้อของเมฆพัดก็ประดับยิ้มกว้าง ราวพบทางออกเหมาะเจาะเหมาะใจ

ก่อนจะต้องยิ้มค้างแล้วค่อยจางหายเป็นอากาศธาตุ ปรากฏริ้วรอยปวดร้าวแทรกขึ้นมาแทนที่

เมื่อย่างเท้าพ้นประตูห้องน้ำพากายกลับเข้ามาในห้องนอนอีกครั้ง .. พบว่า บนเตียงเหลือเพียงความยับย่นของผ้าปูที่นอน แต่ร้างเรือนร่างอิ่มอุ่นที่เขาตระกองกอดได้ไม่กี่ชั่วโมงเสียแล้ว








***********************************************************









โปรดติดตามตอนต่อไป ...


ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม .. ขอขอบคุณสำหรับการกดไลค์ฺฮะ



แรมรติ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 มิ.ย. 2558, 10:57:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 มิ.ย. 2558, 10:57:41 น.

จำนวนการเข้าชม : 1175





<< บทที่ ๘ .. เมื่อเวลานั้นมาถึง   บทที่ ๑๐ .. อะไรก็เกิดขึ้นได้ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account