ภิรมย์รัก
กุลสตรี!

รุจิรดาแอบเบ้ปากด้วยความเบื่อหน่ายปนขุ่นเคือง
หากนับว่าการที่เธอยื่นมือออกไปช่วยเหลือน้องสาวของ หม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์ นั้นไม่เป็นกุลสตรี
หญิงสาวก็ยอมรับตามความจริง
แต่เมื่อคนที่ชี้ความจริงข้อนี้ให้เธอรู้เป็นพี่ชายของคนที่เธอช่วยเอาไว้
หญิงสาวจึงรู้สึกเหมือนตนกำลังทำคุณบูชาโทษ
ต่อแต่นี้ไปก็อย่าได้มาเจอะมาเจอกันอีกเลยเป็นดีที่สุด!

หากภาวนาไปไม่พ้นสามวัน
คนที่เธอไม่อยากพบเจออีกในชาตินี้ กลับมาเป็นอาจารย์ของเธอเอง
คราวนี้คงต้องฟังแลกเชอร์ว่าด้วย “ความเป็นกุลสตรี” เสียจนหูชาแน่ๆ
เธอต้องหาทางหนีสถานเดียว!

แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร...
ยิ่งพยายามหนีให้ไกลจากดวงตาสีดำคูคมนั้นเท่าไหร่
กลับยิ่งเหมือนอีกฝ่ายจะไล่ตามมาไม่ปล่อยเสียอย่างนั้น!

Tags: ย้อนยุค,ศิษย์,อาจารย์,ท่านชาย,ท่านหญิง,ความรัก,พีเรียด

ตอน: บทที่ 13 [50%]

บทที่ 13

“เอ้า เริ่มได้”

มือเรียวสีนวลราวงาช้างตบลูกโม่ให้เข้าที่อย่างรวดเร็ว ก่อนจะยกแขนขึ้นทำมุมตั้งฉากกับพื้น ดวงตาคมหวานหรี่ลงเล็กน้อย เพื่อจะสามารถมองเป้าหมายให้วางอยู่บนศูนย์หน้าได้อย่างไม่คลาดเคลื่อน นิ้วเรียววางทาบอยู่บนโกร่งไกปืนอย่างเยือกเย็น รอเพียงเสียงสัญญาณจากผู้สั่งเท่านั้น

“ยิง!”

ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!

หม่อมราชวงศ์ภัทรวัติส่งยิ้มให้หลานสาวด้วยสีหน้าแช่มชื่น “ดีมาก รดา เท่าที่ลุงเห็น เหมือนจะมีนัดหนึ่งเข้าเป้าดำด้วยนะ”

“แหม...” รุจิรดาลากเสียงยาว เธอสลัดลูกโม่ออกมาด้านนอกเพื่อสำรวจว่าข้างในไม่มีกระสุนค้างอยู่แล้วอย่างรอบคอบ ก่อนจะเก็บกลับเข้าไปในกล่องพลางเอ่ย “คุณลุงล่ะก็ ชอบล้อรดาอยู่เรื่อยเชียว ฝึกมาตั้งนาน เพิ่งเข้าเป้าดำได้ไม่กี่นัดเอง อย่างนี้รดาไม่สบายใจเลยค่ะ เหมือนเรียนโดยไร้ความก้าวหน้าอย่างไรก็ไม่รู้”

“คิดมากน่ะ” คุณชายภารวัติหัวเราะหึๆ “ของอย่างนี้ต้องใช้เวลา หากไม่ได้มีพรสวรรค์จริงๆ ก็ต้องใช้พรแสวง ฝึกหัดบ่อยๆ เข้าใจหรือไม่? ว่าแต่ช่วงนี้รดาเหมือนจะไม่ค่อยได้อยู่ติดบ้านเลยนะ”

เรียวปากอิ่มสวยเม้มเข้าหากันคล้ายลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “รดา...ไปอ่านหนังสือที่บ้านเพื่อนค่ะ ช่วงนี้ใกล้จะสอบปลายภาคแล้ว ยังมีรายงานที่จะต้องทำอีก”

“แล้ววันนี้รดาไม่ไปมหา’ลัยหรือ?”

“วันนี้วันหยุดนะคะ รดาก็ถือโอกาสหยุดอยู่บ้านให้แม่สายอบรมสักวัน” หลานสาวตอบด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะเมื่อคิดถึงคุณแม่บ้านที่ช่วงนี้เริ่มเขม่นเธอมากขึ้นทุกวัน “แล้วคุณลุงล่ะคะ วันนี้คุณลุงไม่มีธุระที่ไหนหรือคะ?”

“มีสิ” ร่างสูงสง่าภูมิฐานที่ยังคงความหล่อเหลาเอาไว้ได้ดุจยามเป็นหนุ่มน้อยแย้มยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะลดเสียงเบาลงราวกับกลัวใครได้ยิน “วันนี้ลุงว่า...จะไปหาของขวัญมาให้ป้าของหลานเสียหน่อย...ครบรอบวันแต่งงานน่ะ”

ดวงตาสีน้ำตาลใสวาววับขึ้นทันควัน “อุ้ย! ใกล้จะถึงวันครบรอบแต่งงานของคุณลุงกับคุณหญิงป้าแล้วหรือคะเนี่ย ดีจัง คุณลุงจะเลือกอะไรให้คุณหญิงป้าหรือคะ?”

“ลุงก็ยังไม่รู้” น้ำเสียงของคุณชายภารวัติเปลี่ยนเป็นกลัดกลุ้มขึ้นทันควัน “ถ้าวันนี้รดาว่าง แล้วไม่อยากถูกแม่สายจับเข้าครัวอีกล่ะก็...ไปเป็นเพื่อนลุงไหม? ไปช่วยลุงเลือกของให้ป้าเขาหน่อย”

“อุ้ย! นี่คุณลุงกำลังชี้โพรงให้กระรอกนะคะ” รุจิรดาหัวเราะเสียงใส ดวงตาพราวระยับอย่างขบขัน

คุณชายยิ้มกว้าง ขยิบตาอย่างเจ้าเล่ห์ “แล้วกระรอกจะเข้าโพรงที่ชี้ให้รึเปล่า?”

“แหม...ชี้ให้ขนาดนี้ ไม่เข้าแล้วจะทำอย่างไรล่ะคะ”

สองลุงหลานสบตากันพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

เมื่อขออนุญาต มรว. ลักขณาวดีและยอมให้แม่สายค้อนควักเสียหน่อยหนึ่งแล้ว หญิงสาวก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดกระโปรงเรียบร้อยแล้วจึงรีบลงมาหาคุณลุงที่จอดรถรออยู่หน้าบ้านด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“เมื่อกี้คุณป้าคงไม่สงสัยเราใช่ไหม รดา?”

“โอ้ย ไม่สงสัยหรอกค่ะ” รุจิรดาหัวเราะเสียงใส “แค่บอกว่าจะไปดูลูกม้าตัวใหม่ที่สโมสรกับคุณลุง คุณหญิงป้าก็ยอมปล่อยให้ไปโดยดีแล้วล่ะค่ะ”

“ดีแล้วล่ะ ลุงอยากเซอร์ไพรส์เขาเสียหน่อย” คุณชายภารวัติยิ้มกว้าง “ไปกันหรือยัง?”

“ไปกันเลยค่ะ!”



“เธอว่าสร้อยเส้นนี้สวยไหมนภิศ?”

พิมพรชูสร้อยทองเส้นบางในมือขึ้นสูง ปล่อยให้แสงจากไฟสว่างส่องกระทบเนื้อทองจนเปล่งแสงสุกปลั่งไปทั่วทั้งเส้น “ฉันชอบเส้นนี้จริงๆ เธอว่าซื้อดีหรือเปล่า?”

“ชอบก็ซื้อสิ” นงนภิศตอบสั้นๆ ขณะที่ดวงตาก็ยังคงพินิจต่างหูเพชรเส้นน้อยบอบบางตามสมัยนิยมด้วยสายตาชื่นชม “ฉันอยากได้ต่างหูคู่นี้มากกว่า เธอว่าสวยไหม?”

“สวย” พิมพรชะโงกหน้าเข้าไปดูต่างหูที่เพื่อนชี้พลางพยักหน้า ทว่าปลายหางตากลับเห็นเงาร่างคุ้นเคยวับแวม

หญิงสาวรีบเงยหน้าขึ้นมองไปยังอีกร้านหนึ่งโดยเร็ว ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าเงาร่างคุ้นตานั้นคือเพื่อนร่วมคณะของเธอเอง

รุจิรดา!

“นั่น...นภิศ นั่นรดารึเปล่า?”

“หืม?” นงนภิตละสายตาจากต่างหูเพชรขึ้นมองตามคำพูดของเพื่อนก่อนขมวดคิ้ว “ใช่ รดาจริงๆ ไหนบอกไม่มีเวลา จะต้องอยู่ที่บ้าน สงสัยคงมากับท่านหญิงอร...”

ประโยคถัดไปหายไปเสียเฉยๆ เมื่อนงนภิตเห็นเงาร่างของผู้มากับเพื่อนร่วมคณะของเธอ

นั่นมิใช่หม่อมเจ้าหญิงอรกัญญา ทว่าเป็นบุรุษท่าทางภูมิฐาน ที่แม้จะล่วงเข้าสู่วัยกลางคนแล้ว แต่กาลเวลาก็มิอาจพรากรูปโฉมหล่อเหลาและท่าทางสง่าทรงภูมิออกไปได้

ยายรดามากับใครกัน!

แล้วดูท่าทางของหล่อนสิ! ยิ้มกว้างหน้าระรื่น ระริกระรี้อย่างหน้าไม่อาย มือเจ้าหล่อนหรือก็ชี้เลือกเครื่องประดับงดงามให้คนขายเลือกขึ้นมาวางให้เลือกชี้ชมดูได้อย่างสะดวก โดยที่บุรุษผู้นั้นก็ไม่มีท่าทีขัดคอเธอสักนิดเดียว

ผู้ชายคนนั้นเป็นใครกัน?

นงนภิตขมวดคิ้วแน่น ขณะที่พิมพรกลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงคลางแคลง

“เอ...รดามากับใครหนอ? ท่าทางจะรวยเสียด้วยสิ”

“ผู้ชายคนนั้น...” นงนภิตหันกลับมาหาพิมพร ดวงตาฉายแววหงุดหงิดระคนริษยาอย่างชัดเจน “หรือจะเป็นเจ้าบุญทุ่ม คนเลี้ยงดูรดารึเปล่า?”

“นภิต! เธอจะบ้าหรือ? เขามาด้วยกันแค่นั้น ทำไมถึงตีความไปถึงขนาดนั้นได้...”

หญิงสาวยักไหล่ “เธอคิดดู ปกติยายรดาก็แต่งตัวปอนๆ มาเรียน จะบอกว่าเป็นคนในครอบครัว รดาก็พูดเองว่าครอบครัวตัวเองไม่ได้ร่ำรวย แล้วจะมาเดินดูเครื่องประดับสวยๆ งามๆ อย่างนี้ได้อย่างไรกัน ถ้าไม่ได้มากับ ‘คนเลี้ยงดู’?”

ดวงตาของนงนภิตจ้องมองไปยังเงาร่างสูงโปร่งของเพื่อนร่วมคณะ เห็นอีกฝ่ายหยิบเอาสร้อยทับทิมล้อมเพชรขึ้นมาทาบคอตนเองด้วยรอยยิ้มสดใส แว่วเสียงหัวเราะอย่างเอื้อเอ็นดูมาจากบุรุษผู้นั้นก่อนที่เขาจะหันไปพยักเพยิดกับคนขาย ราวกับจะตอบตกลงเอาสร้อยทับทิมแพงระยับเส้นนั้นโดยที่ไม่ต้องคิดสิ่งใดมากมาย

พิมพรมองตามภาพนั้นด้วยสายตากังขา แม้จะรู้สึกว่าคำพูดของนงนภิตจะรุนแรงไปบ้าง แต่ ‘ความจริง’ ตรงหน้าก็ทำให้เธอไม่สามารถปฏิเสธได้เต็มปาก

ปกติรุจิรดาพูดเสมอว่าบ้านเธอไม่ได้ร่ำรวย...

แล้วถ้าคนตรงหน้าไม่ได้เป็นคนในครอบครัว แต่สามารถซื้อของแพงๆ ให้เธอได้อย่างง่ายดาย มันก็น่าสงสัยจริงๆ นั่นล่ะ

เรียวปากแต้มสีสวยของนงนภิตพลันยิ้มกว้าง แววตามาดหมาย “พิม”

“หือ?”

“เธอว่า...ถ้ามนต์ณัฐรู้เรื่องนี้จะเป็นอย่างไร?”

“อย่านะนภิต!” พิมพรเบิกตากว้าง รีบห้ามเพื่อนเสียงดัง “เธอจะบ้าหรือ! เรื่องไม่มีหลักฐานอย่างนี้ จะเอาไปพูดพล่อยๆ ไม่ได้หรอกนะ!”

ดวงตาของนงนภิตมองตามเงาร่างของหญิงชายตรงหน้า เห็นผู้ชายคนนั้นหยิบนาฬิกาข้อมือเรือนสวยออกมาทาบกับข้อมือเพื่อนสาว เห็นแววตาเปล่งประกายระยิบระยับของรุจิรดาที่มองอีกฝ่ายอย่างขอบคุณ รอยยิ้มแฝงเลศนัยก็ยิ่งขยายกว้าง

“หลักฐาน? ฉันว่ามีแล้วล่ะ”

ในห้วงคำนึงของหญิงสาว ปรากฎเงาร่างสูงโปร่งของบุรุษรุ่นราวคราวเดียวกัน ใบหน้าหล่อเหลาที่มักเจือรอยยิ้มรื่นรมย์เอาไว้เป็นนิจ ดวงตาที่มองโลกด้วยสายตาของผู้ที่เบิกบานอยู่เสมอ ชวนให้คนที่เฝ้ามองรู้สึกเป็นสุขไปด้วย...

...ผู้ชายคนนี้ดีเกินกว่าจะต้องมาตกหลุมของผู้หญิงอย่างรุจิรดา

และเธอจะเป็นคนช่วยเขาออกมาเอง



“ลุงชอบจ๋า ให้รดาลงที่นี่ก็ได้ รดาจะหารถไปต่อเอง”

รุจิรดาเอ่ยเสียงสดใส พลางมองออกไปนอกหน้าต่างรถแล้วเอ่ย “วันนี้อากาศดี รดาอยากนั่งรถสามล้อเย็นๆ เสียหน่อย แล้วนี่ก็ยังเช้าอยู่ รดาไปเองได้”

“แต่ว่า...” คนขับรถประจำบ้านเอ่ยเสียงเบาราวกับลังเล

“ไม่แต่แล้วค่ะลุง” หญิงสาวขัด รอยยิ้มระบายเต็มดวงหน้า “ได้ข่าวว่าวันนี้คุณหญิงป้าเธอมีธุระที่บ้านของคุณหญิงแม้นมาศนะจ๊ะ ลุงต้องรีบกลับไม่ใช่หรือ?”

“ก็ได้ครับ” ลุงชอบเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ พลางกระวีกระวาดเปิดประตูรถให้รุจิรดาพลางถาม “ว่าแต่คุณหนูจะให้ผมมารับกลับกี่โมงครับวันนี้?”

“ไม่เป็นไร วันนี้รดากลับเองดีกว่าจ้ะ อาจจะต้องแวะไปที่อื่นด้วย”

วันนี้เธอกะจะไปยืมหนังสือจากวังนฤบดินทราทิตย์เสียหน่อย ถ้าหากอาจารย์มิให้ยืม ก็คงต้องอยู่คัดลอกข้อความที่เธอต้องการเอามาใส่ไว้ในรายงานอยู่ที่นั่นสักพัก

รุจิรดาลงจากรถก่อนจะออกเดินไปตามทางร่มรื่น ถนนหนทางในยามนี้ไม่ค่อยมีรถมากนัก เนื่องจากแม้จะยังเป็นเวลาเช้า แต่ก็เลยเวลาเข้างานของผู้ที่ต้องทำงานประจำไปแล้ว เธอเองมีเรียนตอนใกล้เที่ยง ยังเหลือเวลาอีกมากนัก หญิงสาวจึงไม่รีบร้อนที่จะหารถเข้าไปในมหาวิทยาลัย

ทว่าเสียงแตรรถที่ดังขึ้นด้านหลังก็ทำให้เธอต้องหันกลับไปมองอย่างฉงน

“รดา”

มนต์ณัฐส่งเสียงเรียกเพื่อนสาวอย่างยินดี พลางค่อยๆ จอดรถเทียบบาทวิถีอย่างนุ่มนวล “จะเข้ามหา’ลัยล่ะสิ ไปกับเราก็ได้นะ”

หญิงสาวพยักหน้า ก่อนจะเปิดประตูรถเข้าไปนั่งด้านในโดยไม่รอให้อีกฝ่ายลงมาเปิดให้ “ตอนแรกก็กะว่าจะเดินเล่นไปเรื่อยๆ มาเจอณัฐเสียก่อน อดเลย”

“เธอก็แปลก จากที่นี่ไปมหา’ลัยไกลออกจะตาย ยังอยากเดินเล่นอีก”

“แล้วณัฐล่ะ? ทำไมมาสายนี้ได้” รุจิรดามองออกไปนอกกระจกรถก่อนเอ่ยต่อ “นี่ไม่ใช่เส้นที่มาจากบ้านณัฐนี่นา”

“เรา...” ชายหนุ่มทำท่าอึกอัก สุดท้ายจึงผ่อนลมหายใจแผ่วพรูราวกับกำลังรู้สึกหนักอก “เราออกจากบ้านมาตั้งแต่เช้า ไปส่งพี่ชัยเข้ากระทรวง แล้วก็กะจะขับรถเล่นเสียก่อน”

ดวงตาสีน้ำตาลใสพินิจมองอีกฝ่ายนิ่งๆ “ณัฐ มีเรื่องไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า?”

“ไม่มีสักหน่อย...”

“แน่นะ?”

“แน่...ไม่แน่ก็ได้” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงยอมแพ้ “เรา...ไม่รู้สิ เรารู้สึกอึดอัด”

“หืม?”

“เมื่อวานเราแวะไปที่วังนฤบดินทราทิตย์มา” มนต์ณัฐค่อยๆ เล่าด้วยใบหน้าสับสน “ว่าจะไปหาหญิงอร แต่...ไม่รู้ว่าหญิงอรโกรธอะไรเรา เลยให้คนมาบอกว่าไม่อยู่เสียอย่างนั้น”

“เอ...” รุจิรดาเอียงคอเล็กน้อย ดวงตาหรี่ลงราวกับกำลังครุ่นคิด ทั้งๆ ที่จริงแล้วเธอกำลังพยายามปกปิดเสียงหัวเราะที่กำลังจะหลุดออกจากปากอย่างเต็มความสามารถ

โธ่...ณัฐเอ๋ยณัฐ ทำไมเรื่องอื่นฉลาดจัง ทีเรื่องเส้นผมบังภูเขาอย่างนี้ไม่ยักฉลาดด้วย!

“วันก่อน เราเจอพี่ชัยกับหญิงอรคุยกันที่มหา’ลัย” น้ำเสียงของอีกฝ่ายราวกับกำลังหาที่ระบาย “ไม่รู้ไปสนิทสนมกันตั้งแต่ตอนไหน พอเราถามพี่ชัยว่าเขาคุยอะไรกันก็ไม่ยักบอก จะไปถามหญิงอร หญิงอรก็ไม่ให้พบเสียอย่างนั้น”

“อ้าว แล้วจะไปอยากรู้ว่าเขาคุยอะไรกันทำไมล่ะ?” หญิงสาวแกล้งแหย่

มนต์ณัฐหันมาขึงตาใส่เพื่อนสนิทราวกับเธอพูดอะไรขัดหู “รดาไม่รู้อะไร พี่ชัยน่ะ...เห็นเงียบๆ ท่าทางสุขุมนุ่มนวลอย่างนั้น จริงๆ แล้วเป็นคนเจ้าชู้มากเลยนะ กับผู้หญิงสาวๆ สวยๆ พี่ชัยก็พูดดีด้วยทั้งหมดนั่นล่ะ”

“อ้อ แล้วณัฐก็เลยกลัวว่าพี่ชัยจะมาหลอกหญิงอรอย่างนั้นหรือ?”

“ก...ก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว!”

เห็นเขายืนยันเสียงหนักอย่างนั้น รุจิรดาเลยแกล้งเอ่ยต่อไป “แต่อย่างพี่ชัย เราคิดว่าวัยอย่างพี่ชัยคงอยากจะมีใครสักคนแล้วล่ะ อีกอย่าง...กับหญิงอร ก็ดูสมกันดีออก พี่ชัยดูท่าทางเป็นผู้ใหญ่พึ่งพาได้ หญิงอรก็อ่อนหวานน่ารัก ใครอยู่ใกล้มีหรือจะอดใจไม่หลงรักได้ ถ้าพี่ชัยชอบหญิงอรจริงๆ ก็น่าจะเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ”

“รดา!” ชายหนุ่มอุทานเสียงดัง ความไม่ชอบใจพลุ่งพล่านเมื่อคิดตามคำพูดของเพื่อนสาว

หรือ...พี่ชัยจะ...

รุจิรดาแกล้งบ่นอุบ

“อ้าว มาขึ้นเสียงใส่เราทำไมเนี่ย เราก็แค่พูดความจริง...”

“ความจริงที่หญิงอรจะเสียหายน่ะสิ” มนต์ชัยแย้งเสียงดุๆ “รดาอย่าพูดไปนะ โดยเฉพาะหญิงอร อย่าพูดให้เธอได้ยินเลยทีเดียว ประเดี๋ยวเกิดมีความคิดเอนเอียงไปทางพี่ชัย สุดท้ายก็จะเจ็บเสียเปล่าๆ”

รุจิรดาอยากจะหัวเราะนัก แต่ก็ต้องกลั้นเอาไว้อย่างเต็มความสามารถพลางรับปากเพื่อนสนิท

จวบจนได้เห็นสีหน้าของมนต์ณัฐที่ยิ่งสับสนมากขึ้น หญิงสาวจึงได้แต่หัวเราะอย่างไร้เสียง

โถๆๆ ณัฐเอ๋ย ทำไมไม่บอกเล่า ว่าหากเธอพูดออกไป คนที่จะเจ็บเมื่อมันเป็นเรื่องจริงขึ้นมาก็คือตัวเองนั่นล่ะ!

คนทั้งคู่พากันเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปทางอื่นเสียตลอดทาง กระทั่งมาถึงมหาวิทยาลัย มนต์ณัฐที่จอดรถเรียบร้อยแล้วหันไปหารุจิรดาพลางเอ่ย “เดี๋ยวเราเดินไปส่งที่คณะ”

“ไม่เป็นไรหรอก คณะของณัฐกับเราไกลกันจะตาย ลำบากเปล่าๆ”

“ไม่ลำบากหรอก เรายังเหลือเวลาอีกตั้งนานกว่าจะเข้าเรียน อยากจะเดินเตร่ไปชมโฉมสาวนิติศาสตร์เสียหน่อย”

“งั้นก็ตามใจจ้ะ”

ทั้งสองพากันเดินตัดเข้าไปยังคณะของรุจิรดาซึ่งอยู่ไม่ไกลจากลานจอดรถนัก คนที่คณะค่อนข้างบางตา เพราะบางส่วนก็ขึ้นไปเรียนแล้ว อีกบางส่วนก็ยังคงนั่งอยู่บนม้าหินอ่อนใต้ต้นไม้ร่มรื่นรอบอาคารเรียน

“ว่าแต่นี่ก็ใกล้จะสอบปลายภาคเทอมสุดท้ายแล้ว รดาจบแล้วคิดหรือยังว่าอยากทำอะไร?”

“เราอยากสอบทนายความ” รุจิรดาตอบเสียงสดใส “เป็นความฝันตั้งแต่เราเข้าปีหนึ่งเลยเชียวล่ะ”

“แหม...เก่ง” มนต์ณัฐหัวเราะพลางเอ่ยชมอีกฝ่าย ก่อนที่หางตาจะเหลือบไปเห็นเงาร่างของหญิงสาวสองสามคนที่เดินตรงมาทางพวกเขา “นั่นเพื่อนของรดารึเปล่า?”

ร่างโปร่งบางในชุดนิสิตหันไปมองกลุ่มคนที่เดินตรงมาแล้วจึงพยักหน้า “ใช่ ถ้าอย่างนั้นเราไปหาเพื่อนก่อนนะ”

หญิงสาวยกมือขึ้นโบกลา แสงแดดอ่อนๆ กระทบกับสายนาฬิกาข้อมือเรือนหรูทันที ก่อนจะออกเดินไปหากลุ่มเพื่อนที่เข้ามาสมทบ

นงนภิตยิ้มเยือน มองเงาร่างอีกฝ่ายด้วยสายตาประหลาด พลางหันไปหามนต์ณัฐที่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น “รดา มากับมนต์ณัฐหรือจ๊ะ?”

รุจิรดาพยักหน้าน้อยๆ พลางส่งยิ้มให้พิมพรที่ยืนอยู่ด้านข้าง “สวัสดีพิม นี่ใกล้จะเข้าเรียนแล้ว ไปกันเถอะ”

“เดี๋ยวสิๆ” นงนภิตเอื้อมมือมาคว้าข้อมือน้อยเอาไว้ ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อมองเห็นนาฬิกาเรือนนั้นได้ถนัดตา “โอ้โห...รดา นาฬิกาเรือนนี้สวยมากเลย เธอซื้อมาจากไหนหรือ?”

มนต์ณัฐที่ตั้งท่าจะเดินกลับไปที่รถหันกลับมามองด้วยความสนใจเช่นกัน

รุจิรดาเม้มเรียวปากอิ่ม เดิมเธอไม่ได้คิดจะใส่นาฬิกาเรือนนี้มามหาวิทยาลัย ทว่านาฬิกาข้อมือที่เธอใส่เป็นประจำทุกวันกลับถ่านหมด แล้วหญิงสาวก็ยังไม่มีเวลาไปเปลี่ยนถ่านนาฬิกา จึงได้แต่หยิบเรือนที่คุณชายภารวัติซื้อให้เป็นของรางวัลที่เธอพาท่านมาเลือกของได้ถูกใจแทน

...ไม่คิดว่าจะเป็นสิ่งที่นงนภิตจะเอามาให้หาเรื่องเธอในวันนี้จนได้!

“เรา...มีคนซื้อให้น่ะ”

“ใครน่ะ?” อีกฝ่ายแย้มริมฝีปากเล็กน้อย “คงไม่ใช่คนในครอบครัวหรอกใช่ไหม? เธอบอกว่าบ้านเธอไม่ค่อยรวยนี่นา คงไม่มีปัญญาซื้อนาฬิกาจากสวิสมาให้หรอกใช่ไหม?”

“เอาเป็นว่าใครจะซื้อให้เราก็ช่างเถอะ เธออย่าสนใจเลยนภิต มันไม่ใช่เรื่องของเธอสักหน่อย ไปเรียนกันได้แล้ว”

“ฉันก็แค่สงสัย ถ้าเธอบริสุทธิ์ใจก็คงบอกได้ว่าใครเป็นคนซื้อให้นี่นา” นงนภิตแย้มริมฝีปากกว้างขึ้นไปอีกราวกับสมใจอะไรบางอย่าง ดวงตาคมสวยเหลือบมองใบหน้างุนงงของมนต์ณัฐที่ยืนอยู่ไม่ไกลอย่างมาดหมาย “หรือเธอไม่บริสุทธิ์ใจจะบอกว่าคนที่ซื้อให้...อยู่ในฐานะไหน?”

ลูกแก้วสีน้ำตาลใสในกระบอกตาลุกเรืองขึ้นด้วยโทสะภายใน ทว่าริมฝีปากของหญิงสาวกลับเม้มแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ คล้ายกับกำลังสะกดอารมณ์ไว้อย่างเต็มที่

“ฉันจะบอกไม่บอกก็เรื่องของฉัน”

“ไม่อยากบอก หรือไม่กล้ายอมรับกันแน่ว่าคนที่ให้นาฬิกาเรือนนี้อยู่ในฐานะ...ที่ไม่ธรรมดาสำหรับเธอ? คนที่ให้น่ะคงจะรวยมากสินะ คงไม่ใช่หนุ่มๆ หรอก ถึงจะได้ใช้เงินมือเติบถึงขนาดนี้ ไม่รู้ว่าเธอไปทำอะไรให้ เขาถึงใจป้ำขนาดนี้เนาะ จริงอย่างที่ฉันพูดไหม รดา?”

คำพูดสบประมาทอย่างโจ่งแจ้งทำให้รุจิรดาถึงกับอ้าปากค้าง

นงนภิตกำลังหมายความว่าเธอได้นาฬิกาเรือนนี้มาด้วยวิธีสกปรกอย่างนั้นหรือ?

“นงนภิต...เธอกำลังล้ำเส้นแล้วนะ ฉันขอเตือน!”

หากนงนภิตอยากจะลามปาม หรือเหยียดหยันเธออย่างไรก็ย่อมได้

แต่ถ้าหญิงสาวผู้นี้จะบังอาจลามปามมาถึงครอบครัว หรือคนที่เธอเคารพรัก เธอยอมไม่ได้!

รุจิรดารู้ตัวเองดี เธอไม่ได้เป็นคนใจเย็นดังเช่นที่คนอื่นๆ คิด ที่ผ่านมาเธอเฝ้าปกปิดเรื่องที่ตนเองอยู่ในความอุปการะของหม่อมราชวงค์ลักขณาวดีและหม่อมราชวงค์ภารวัติด้วยเหตุผลเดียว

หากเธอทำสิ่งใดผิดพลั้ง ความเสียหายนั้นจะไม่ลามมาถึงผู้มีพระคุณทั้งสองของเธออย่างเด็ดขาด

นฤมาศบดินทร์ของเธอมิได้เป็นนามสกุลที่ทรงศักดิ์อันใดในวงสังคม คุณพ่อปล่อยให้เธอได้ทำในสิ่งที่อยากทำ สอนในสิ่งที่ท่านเห็นว่าเธอควรรู้ ซึ่งนั่นหมายความครอบคลุมถึงสิ่งที่ ‘กุลสตรี’ ตามยุคสมัยไม่แตะต้องกัน

ตอนเด็กๆ เด็กหญิงรุจิรดาต่อยตีกับเด็กผู้ชายแถวบ้านเสียจนทั่ว ในยามแรกรุ่น รุจิรดาเคยยิงโจรที่บุกเข้าไปในบ้านตอนเธออายุเพียงสิบห้าปี ยามที่คุณพ่อต้องไปราชการและคุณแม่ต้องตามไปด้วย พี่ชายของเธอยังคงเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนประจำ หากพลโทดิษพงษ์ผู้เป็นบิดาไม่เคยสอนวิชาการเอาตัวรอดพวกนี้ให้เธอ หญิงสาวและคนรับใช้ในบ้านตอนนั้นคงไม่มีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้ได้

ยามนี้เธออยู่ในอุปการะของผู้มีพระคุณ เธอจะทำให้เกียรติประวัติของท่านด่างพร้อยด้วยความประพฤติของเธอไม่ได้!

เธออยากจะรอจนถึงวันที่ตนเองสามารถยืนหยัดได้อย่างสง่างาม รอให้ตนเองคู่ควร แล้วถึงจะประกาศด้วยความภาคภูมิใจว่าเธอเป็นหลานสาวของท่าน เป็นคนที่ท่านทั้งสองถนอมกล่อมเกลี้ยงมากับมือ

ดังนั้น การที่นงนภิตจะเอาท่านมาจาบจ้วงล่วงเกิน จึงเป็นสิ่งที่เธอไม่อาจทน!

“หรือว่าฉันพูดผิด?”

มนต์ณัฐรีบก้าวยาวๆ มายืนเคียงข้างเพื่อนสาวพลางคว้าข้อมืออีกฝ่ายเอาไว้แน่น สีหน้าของรุจิรดายามนี้เย็นชาขึ้นเรื่อยๆ จนเขาใจหาย

“รดา...ใจเย็นๆ นะ”

“นภิต พอเถอะ ที่นี่มันใต้คณะนะ! อาจารย์ท่านชายก็เสด็จมาแล้วด้วย!”

คำว่า ‘อาจารย์ท่านชาย’ ทำให้สองสาวเบิกตากว้างด้วยความตื่นตะลึง

หม่อมเจ้าอดุลยวิทย์ประทับยืนนิ่งห่างออกไปไม่ไกลตั้งแต่เมื่อใดก็สุดรู้ สีพระพักตร์เรียบเฉยนั้นมิได้บ่งบอกเลยแม้แต่น้อยว่าทรงได้ยินสิ่งที่พวกเธอกำลังทุ่มเถียงกันอยู่หรือไม่

ทว่าดวงเนตรวาววับเยือกเย็นก็เพียงพอที่จะทำให้คู่กรณีทั้งสองฝ่ายแยกกันโดยพลัน

นงนภิตหันไปยกมือไหว้ทำความเคารพวรองค์สูงสง่า ก่อนรีบเดินขึ้นไปบนตึกเพื่อเตรียมตัวเรียนทันควัน ปล่อยให้รุจิรดายืนนิ่ง สีหน้าเยียบเย็นราวกับน้ำแข็ง

หม่อมเจ้าอดุลยวิทย์ปรายเนตรมองสองมือที่กำลังเกาะกุมกันอยู่ด้วยแววเนตรเรียบเฉย ทว่ารอย ‘อะไรบางอย่าง’ ที่ฉายออกมาจากดวงเนตรสีรัตติกาลนั้น เพียงแวบเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้มนต์ณัฐปล่อยมือออกจากข้อมือบางอย่างรวดเร็ว แล้วรีบสะกิดให้รุจิรดาทำความเคารพอีกฝ่ายพร้อมกัน

เนตรคมกล้าสว่างวาบขึ้นอีกครายามมองท่าทีสนิทสนมของชายหญิงทั้งคู่

“เอ่อ...” มนต์ณัฐละล้าละลัง เขาเป็นห่วงรุจิรดาในยามนี้ก็จริง แต่สายตาของท่านชายในยามนี้...บ่งบอกว่าเขารีบออกไปก่อนจะดีกว่า “ถ้าอย่างนั้นเรา...ไปก่อนนะรดา”

ร่างบอบบางไม่ตอบคำ เพียงพยักหน้าเงียบๆ

ชายหนุ่มหันไปไหว้ผู้อาวุโสกว่าอีกครั้ง ก่อนจะรีบเดินออกไปโดยเร็ว

ทิ้งร่างโปร่งบางของเพื่อนสนิทไว้กับวรองค์สูงสง่าเพียงลำพัง

รุจิรดาถอนหายใจยาวอย่างไร้เสียง พลางตั้งท่าจะเดินออกไปอีกทาง อารมณ์ขุ่นมัวที่ยังไม่ได้ระบายออกทำให้เธอรู้สึกอึดอัดเหลือประมาณ

ตอนนี้ยังพอมีเวลา ไปเดินเล่นให้อารมณ์เย็นๆ เสียหน่อยก็น่าจะดี

“รุจิรดา”

สุรเสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นเบื้องหลัง หยุดยั้งร่างโปร่งมิให้ก้าวออกไป

หญิงสาวหันกลับมา พลางสบดวงตาสีน้ำตาลของตนเข้ากับดวงเนตรเย็นเยียบของอีกฝ่าย “เพคะ?”

“ยังไม่เข้าเรียนใช่ไหม อย่างนั้นตามเรามาที่ห้องพักอาจารย์ก่อนสิ”

“แต่ว่า...”

“ประโยคเมื่อครู่ไม่ใช่ประโยคคำถามนะ”

คิ้วเรียวขมวดมุ่น ริมฝีปากเชิดขึ้นทันที

ทรงหมายความว่าเมื่อครู่คือประโยคคำสั่งสินะ...

ท่านชายอดุลยวิทย์ปรายเนตรมองข้อมือบอบบางที่ถูกชายอื่นจับต้องอีกครา ความขุ่นเคืองรางๆ ปรากฎอยู่ในแววเนตรสวยเพียงครู่หนึ่งก่อนจะหายวับไปอีกครั้งยามดำเนินก้าวยาวๆ ปล่อยให้ร่างเล็กของอีกฝ่ายแทบจะวิ่งตามมาอย่างทุลักทุเล





ปณัชญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 มิ.ย. 2558, 00:26:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 มิ.ย. 2558, 00:26:00 น.

จำนวนการเข้าชม : 1351





<< บทที่ 12 [100%   
ฤดูฝน 23 มิ.ย. 2558, 08:47:40 น.
หายไปนาน ดีใจที่กลับมาอัพ ท่านชาย กับ รดา ต่อค่ะ


ukkanirut 23 มิ.ย. 2558, 09:57:30 น.
ท่านชายหึง ><
//คนอ่านเอามือข่วนข้างฝา แกรกกกก แกรกกกกกกกก


phakarat 23 มิ.ย. 2558, 10:48:15 น.
ดีใจจังกลับมาแล้ว หายไปนานเลยค่ะรอตามท่านชายกะรดามาตลอดเลย


lovemuay 23 มิ.ย. 2558, 19:23:54 น.
คิดถึงท่านชายจังเลยค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account