ความลับ (ที่) ซ่อนเร้น .. หรือจะเป็น ความรัก!(?)
คำถาม .. ที่มีคำตอบ
แต่คำตอบ .. กลับยังคงมากมายด้วยคำถาม

เพราะนิยามในคำหนึ่งคำนั้น
แฝงเร้นซุกซ่อนไว้ซึ่งความลึกลับ
ความซับซ้อนชวนสับสน รอยยิ้มปนเปื้อนคราบน้ำตา
เล่ห์เสน่หาหวานล้ำ และพร้อมจะนำความเจ็บปวดมาให้ .. ได้ทุกเวลา

.. หากว่ามันคือ ความรักที่มากล้น จนกลายเป็น .. ความลับ ! ..
Tags: ความรัก ความลับ

ตอน: บทที่ ๑๐ .. อะไรก็เกิดขึ้นได้




องก์อัมพุทลอบสังเกตดวงหน้าของเภตราที่นั่งตรงกันข้าม ซึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาทำท่าตั้งอกตั้งใจกินโจ๊กไก่ใส่ขิง ราวกับหากปล่อยให้มันคลาดสายตา มันจะหนีหายจนไม่สามารถตามกลับมาได้อีก

ตามความเป็นจริงท่าทางเช่นนั้น ควรจะเกิดจากรสชาติอาหารที่ผ่านกรรมวิธีปรุงอย่างดี และคนกินน่าจะมีความสุขทุกครั้งที่ตักแต่ละคำเข้าปาก พร้อมๆกับละเลียดลิ้มชิมความอร่อย

แต่เภตรากลับเหมือนหุ่นยนต์ที่ถูกป้อนโปรแกรมให้มองแต่ชาม ตักโจ๊กเข้าปากเคี้ยวก่อนกลืนลงคอ แล้วก็เวียนทำซ้ำๆจนองก์อัมพุทที่วางช้อนของตน แอบมองอยู่หลายนาทีก็ไม่มีทีท่าว่าเพื่อนจะรู้สึกตัว

วันนี้หญิงสาวเห็นชัดเจนว่า เจ้าของบ้านแต่งหน้า ‘จัด’ กว่าที่เคย คล้ายกับต้องการกลบเกลื่อนร่องรอยบางอย่าง ที่ไม่อยากเปิดเผยให้ใครรู้

หากมันเป็นแค่ริ้วรอยแห่งวัยตามธรรมชาติ เภตราคงไม่ให้ความสนใจมากมายนัก ด้วยวิสัยของเธอที่องก์อัมพุทรู้จักดี เรื่องเล็กๆเช่นนี้ไม่สามารถทำให้ผู้หญิงที่มั่นใจในตัวเองอย่างเภตรากังวลได้อยู่แล้ว

ยิ่งเภตรามีอาการเงียบหงอยเหมือนคนกำลังครุ่นคิดวิตก จนความสดใสร่าเริงพลันหดหายไปเสียเฉยๆ มันก็ยิ่งทำให้องก์อัมพุทเพิ่มความห่วงใยมากขึ้นไปอีก

โดยเฉพาะเมื่อคืนที่พอจะรับรู้จากเสียงรถยนต์แว่วๆ ตอนเพื่อนสนิทกลับมาถึงบ้านแล้วเธอหลับไปได้สักพัก ก่อนจะงัวเงียผงกศีรษะจากหมอน พลางเอื้อมมือคลำหาโทรศัพท์มือถือ ยกขึ้นกดหน้าจอดูเวลาก็เห็นว่าล่วงเข้าวันใหม่เล็กน้อย

“เภา .. แกเป็นอะไรหรือเปล่า ..”

“หืม .. อะไร .. อ๋อ โจ๊กอร่อยดีนะ”

เภตราเหมือนจะสะดุ้งน้อยๆ กับคำถามไม่มีปี่มีขลุ่ย เธอกะพริบตาถี่ๆก่อนเงยหน้ายิ้มหากไม่ยอมสบตานานนัก อย่างที่อีกคนมองดูยังไง มันก็เป็นแค่การฝืนฉีกปากให้กว้างกว่าเดิม แวบเดียวที่เห็นดวงตาเจิดจ้าอยู่เป็นนิจ มันกลับแห้งผากไม่มีวี่แววประกายขี้เล่นเหลือเลย แถมคำตอบก็คนละเรื่องกับคำถาม

“ใจลอยไปไหนน่ะ .. หรือว่านอนไม่พอ ฉันถามเรื่องแก ไม่ได้ถามเรื่องโจ๊ก .. นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อน ฉันจะคิดว่าแกคงเพี้ยน เพราะคิดถึงพี่ชายฉัน”

แคร้ง!

คือ เสียงกระทบกันลั่นของช้อนที่หลุดจากมือลงไปในชาม องก์อัมพุทไม่คิดว่าเพื่อนจะสติเลื่อนลอย ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวขนาดนี้ ด้วยเหตุที่เธอไม่มีทางรู้เลยว่า คำพูดเมื่อครู่ไปกระทบกับความคิด ความรู้สึกของเภตราเข้าอย่างจัง

“เอ่อ ... ขอโทษ .. มือมันลื่นน่ะ .. แต่ฉันอิ่มแล้วล่ะ .. ถ้ายังไงวันนี้เราแยกกันไปอีกวันนะ พอดีฉันมีธุระตอนเช้า คงถึงโรงเรียนช้าหน่อย .. โอเคนะพุด ..”

เจ้าของบ้านอึกอักบอก บวกกับท่าทางลุกลี้ลุกลน ยิ่งก่อความสงสัยแก่องก์อัมพุทมากขึ้นทุกที ครั้นจะออกปากถามไถ่ ก็ดูเหมือนว่าเพื่อนรีบร้อนลุกจากเก้าอี้อย่างคนจะหนีการสนทนา คว้าถ้วยชามของตนนำไปวางกองที่อ่างล้างจาน ก่อนหันกลับมายังโต๊ะอาหารอีกครั้ง พลางเร่งสาวเท้าเข้ามาหยิบกระเป๋าถือและแฟ้มเอกสารติดตัวไปด้วย

เภตราเดินลิ่วๆพ้นประตูหลังจากสวมรองเท้าส้นเตี้ยไปถึงรถของตัวเองแล้ว ทิ้งให้คนที่นั่งอยู่กับที่ก็ได้แต่กลอกตามองตาม ไม่คิดว่าคนพูดจะทำอะไรรวดเร็วราวพายุบุแคม ที่พัดวูบมาวาบไปอย่างไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายตั้งตัว

กว่าองก์อัมพุทจะหอบข้าวของออกจากบ้านบ้าง เธอก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเภตรา จึงทำได้แค่บ่นพึมพำกับตัวเอง มองผ่านลานจอดรถไปจนถึงแนวรั้วบ้าน

“เป็นอะไรของแกนะ .. เภา”




ขณะที่หญิงสาวพาตัวเองมาถึงรถคู่ใจสีครามหม่น ที่จอดอยู่ด้านในใกล้กับสวนเล็กๆของบ้านข้างๆ หลังจากเปิดประตูรถส่งข้าวของของเธอวางไว้เบาะหลังเรียบร้อยแล้ว ก็มีความรู้สึกว่าเหมือนกำลังถูกใครบางคนจับจ้อง

และไม่ช้าไม่นานไปกว่านาทีนั้นเลย เพียงเงยหน้าขึ้นมาก็พบคำตอบ พร้อมกับรอยยิ้มอบอุ่นใจดีทำให้เจ้าตัวยิ้มตามไปด้วย

“คุณลุง .. อรุณสวัสดิ์ค่ะ ตื่นแต่เช้าเลยนะคะ .. เมื่อวานขอบคุณมากค่ะ สำหรับมื้อค่ำที่แสนอร่อย”

“จ้ะ .. แล้วนี่กำลังจะไปทำงานเหรอหนูพุด .. วันหลังก็มากินข้าวด้วยกันสิ ชวนหนูเภาอีกคน .. อ่อ จริงสิ วันนี้เจ้าเกรซก็จะมาล่ะ แม่เขาบอกลุงเมื่อวานว่า ฝากให้พี่ชายไปรับกันแล้ว ..”

ความเป็นกันเองและเปิดเผย ทำให้พฤหัสบอกเล่าเรื่องในครอบครัวโดยไม่ปิดบัง นั่นย่อมเป็นข้อยืนยันไขสิ่งที่ค้างคาใจองก์อัมพุทมานาน ด้วยคำพูดของตัวบุคคลที่มีความน่าเชื่อถือที่สุดในตอนนี้

อาจจะเพราะชายวัยหลังเกษียณเห็นสีหน้าประหลาดใจ และกิริยายืนฟังนิ่งนานคล้ายสงสัย จึงตีความหมายเป็นคนละทางกับความคิดของหญิงสาวที่ตนรู้สึกเอ็นดูไม่น้อย เขาจึงเสริมข้อมูลราวกับเป็นการตอกย้ำความจริงที่ว่า

“พี่ชาย .. ก็เจ้าวิชชุ์ไง ลูกชายคนโตของลุงเองล่ะ หนูพุด .. โตกว่ากันจนอายุแทบจะเป็นพ่อเจ้าเกรซได้แล้ว .. ฮ่าๆ”

พฤหัสหัวเราะลงลูกคออารมณ์ดี อธิบายได้ไม่ติดขัด เพราะไม่คิดว่าเรื่องเหล่านี้จะถูกมองไปในทางเสียหาย

องก์อัมพุทได้แต่ยิ้มไม่กล้าพูดในสิ่งที่เห็นด้วย .. เพราะเธอคิดเช่นนั้นจริงๆ

“เฮ้อ .. มีลูกสาวตอนอายุมากๆ .. มันก็ทำให้ลุงทั้งหวง ทั้งห่วง .. ประสาพ่อคนล่ะหนูพุด หวงว่าใครจะมาฉกชิงเอาแก้วตาดวงใจเราไป ห่วงว่าต่อไปใครจะอยู่ดูแล .. ถ้าไม่มีลุง ..”

ข้อเท็จจริงเพียงเท่านี้ กับคำปรารภของพฤหัสสะท้อนสำนึกรับผิดชอบเต็มเปี่ยม ส่งผลต่อจิตใจองก์อัมพุทจนรู้สึกถึงแรงเสียดทานบาดลึกภายใน

ผู้ชายตรงหน้า .. มีความเป็นพ่อในตัวเองสูงมาก .. มากจนเธอเกือบนึกอิจฉา .. เด็กหญิงผู้โชคดีที่ได้เกิดมาเป็นลูกสาวของบ้านนี้

พฤหัสแตกต่างจากพ่อของเธอ ราวฟ้ากับเหว!

“น้องเกรซโชคดีจังเลยค่ะ ที่มีคุณลุงเป็นคุณพ่อที่รักและห่วง ‘ลูกสาว’ มากอย่างนี้”

องก์อัมพุทพูดออกไปแทบจะตรงใจตรงความคิดของเธอ แต่ยังยับยั้งไม่ให้ความ ‘อิจฉา’ จากปมในวัยเยาว์สะท้อนมาทางถ้อยคำยินดีนั้นได้

“โชคดีของลุงมากกว่า .. ที่แม่เขา ..”

พฤหัสเอ่ยคำค้างคาจนองก์อัมพุทนึกลุ้นไปด้วยว่า เนื้อความที่ขาดหาย .. คุณลุงผู้อารีกำลังจะบอกอะไรกับเธอ

ถ้าไม่เป็นเพราะเสียงสตาร์ทเครื่องยนต์บริเวณลานจอดของพฤหัส ดังขึ้นเหมือนขัดจังหวะได้ถูกที่ถูกเวลา จนชายวัยหลังเกษียณต้องเหลียวไปมอง แล้วหันกลับมาสบตาเธอเหมือนจะรู้ตัวแล้วว่า ชวนคุยนานเกินไป

“ตายจริง สายแล้วนี่ .. ลุงก็มัวคุยเพลิน ทำให้หนูพุดเสียเวลาได้ ขอโทษทีนะหนูพุด .. เอาๆ รีบไปทำงานเถอะ เดี๋ยวลุงจะไปดูเจ้าวิชชุ์หน่อย สงสัยวอร์มเครื่องเตรียมไปรับลูกสาว .. คนเล็กของลุง”

องก์อัมพุทหลุดขำไม่รู้ตัวกับท่วงท่ายักไหล่ทิ้งท้ายคำพูด หูตาก็แพรวพราวใช่หยอกเสียเมื่อไหร่ ช่างเป็นคุณลุงที่รุ่มรวยอารมณ์ขันเหลือเกิน สามารถหยอดหย่อนลูกเล่นลูกล่อพร้อมจะทำให้เข้าใจผิด ก่อนจะเฉลยในท้ายที่สุด

“ค่ะ คุณลุง .. แบบนี้หนูพุดก็จีบลูกชายคนโตของคุณลุงได้สิคะ .. ถ้าน้องเกรซเป็นลูกสาว .. คนเล็กของคุณลุง”

หญิงสาวพยายามหักใจให้ลืมความขมขื่นในช่วงหนึ่งของชีวิตเมื่อนานมา แย้มยิ้มพูดคุยต่อ ‘มุก’ ที่ชายสูงวัยเริ่มเอาไว้ ซึ่งไม่คิดว่าตนเองจะกล่าวอะไรที่ดูกล้าหรือกร้านจนเกินงาม เพราะคู่สนทนาก็ตอบกลับมาอย่างไม่ยอมอ่อนข้อเช่นกัน

“ก็ดีสิ .. ถ้างั้น ลุงจะได้ขอจองทั้งหนูพุดหนูเภา .. ไว้ซะเลย”

พฤหัสบอกแฝงรอยยิ้มมีเลศนัย และหัวเราะเบาๆอย่างชอบอกชอบใจกับความคิดนั้น แต่มีผลให้องก์อัมพุทได้แต่ยืนทำหน้าเหลอหลา ไม่อาจคาดเดาและเข้าใจได้ว่า ที่ ‘คุณลุงหัส’ พูด มีความหมายว่าอย่างไร กับการ ‘ขอจอง’ พวกเธอทั้งสองคน ทั้งๆที่ก็เห็นว่า บ้านนี้มี ‘ลูกชายคนโต’ เพียงคนเดียว

แต่ไม่ทันที่จะได้ไขข้อข้องใจให้กระจ่าง ชายสูงวัยผู้เป็นเพื่อนบ้านก็เดินห่างจากแนวรั้ว ไปจนเกือบถึงลานจอดรถที่มีชายหนุ่มในหัวข้อสนทนาปรายตามองมาทางนี้อยู่เช่นกัน





รวิรุจน์ตั้งใจเคลียร์งานที่มีอยู่ให้เสร็จเรียบร้อยก่อนเที่ยงของวันนี้ เนื่องจากเป็นวันที่รับปากตรีวธูไว้ว่า เขาจะไปรับเธอหลังจากสอบวัดผลเสร็จแล้ว

ทั้งนี้ ชายหนุ่มก็บอกเด็กหญิงไว้ก่อนว่า ถ้าช้าเกินไปจนมีคนจากทางบ้านมารับก่อนที่เขาจะไปถึง ก็ให้ติดต่อเพื่อบอกเขาด้วย

แต่ในใจของรวิรุจน์ .. มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นว่า ยังไงตรีวธูก็ต้องรอเขาแน่นอน

โชคดีสองต่อนอกจากงานจะไม่มากมายนัก ตารางเวลาตลอดวันนี้เหมือนจะเป็นใจให้เขาเลยทีเดียว การประชุมที่เขาแอบกังวลนิดหน่อย เลื่อนวาระออกไปก่อนอย่างไม่มีกำหนด นั่นหมายความว่า งานเอกสารชุดที่อยู่ในมือคืองานสุดท้ายที่ต้องทำ

ชายหนุ่มปิดแฟ้มเก็บปากกาหลังลงลายมือชื่อของตนเรียบร้อย กดอินเตอร์คอมเรียกเลขาฯหน้าห้องให้เข้ามา ทั้งที่ปกติ เขามักจะชอบเดินออกไปหาเองมากกว่า แต่วันนี้คงต้องขอยกเว้นเพราะไม่อยากให้รู้ว่า เขาจะทำอะไรหลังจากนี้

“พี่เบญ .. ผมรบกวนเข้ามาข้างในหน่อยครับ”

รวิรุจน์เอ่ยปากอย่างเกรงใจเบญจา เลขาฯในวัยสี่สิบต้นๆที่นับอายุเรียกรุ่นพี่รุ่นน้อง ความสุภาพและมีมารยาทของเขา ทำให้สาวใหญ่ผู้ทำหน้าที่ประสานสิบทิศ ชื่นชมยกย่องอย่างออกหน้าออกตา เพราะน้อยนักที่คนในตำแหน่งผู้บริหารจะเรียกหาด้วยความเกรงอกเกรงใจ .. มากเท่าเจ้านายของเธอ

ไม่ถึงสามนาทีร่างเกือบท้วมมีน้ำมีนวล ก็เคาะประตูและเปิดเข้ามารอรับคำสั่งผู้เรียกหา พร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจจนนัยน์ตาเรียวยิบหยีเล็กลงกว่าเดิม

“ค่ะ .. คุณรุจน์”

“วันนี้ผมมีธุระ คงไม่เข้ามาอีกแล้ว งานเอกสารผมดูและเซ็นที่จำเป็นให้หมดแล้ว เหลือบางเล่มที่ต้องไปเพิ่มเติม ผมโน้ตแนบไว้ด้านหน้า ฝากพี่เบญด้วยก็แล้วกัน ถ้ามีใครติดต่อมาช่วยรับเรื่องไว้ก่อน แต่ถ้าด่วนจริงๆ ติดต่อผมได้เลย .. เฉพาะที่จำเป็นนะครับ .. ขอบคุณครับ”

ผู้บริหารฝ่ายการตลาดของอาร์อาร์เอส ค้าปลีกสั่งการรวดเดียวซึ่งเบญจาก็รู้ใจและตามได้ทันเสมอ ยิ่งเจ้านายโดยตำแหน่งเน้นย้ำเรื่อง ‘ที่จำเป็น’ .. เธอก็เข้าใจทันทีว่า เขาไม่ต้องการติดต่อกับผู้ใด

“รับทราบค่ะ .. คุณรุจน์”

เลขาฯสาวใหญ่ทบทวนทุกคำสั่งชัดเจน ไม่หกตกหล่นไปทางใด ก่อนจะย้ำให้ชายหนุ่มมั่นใจ แล้วก้าวเข้ามาหยิบแฟ้มงานตรงหน้า จากนั้นจึงค่อยหันหลังเดินออกจากห้องกลับไปยังโต๊ะทำงานของเธอ




เกือบบ่ายโมงครึ่งกว่ารวิรุจน์จะฝ่าการจราจรมาถึงโรงเรียนประถมชื่อดัง ที่แทบเรียกได้ว่าเป็นย่านชั้นในใจกลางเมืองหลวง

เป็นอีกครั้งที่ต้องลุ้นกับการติดต่อของตรีวธูมายังเขา ว่าจะโทรศัพท์มาบอกยกเลิกนัดกลางคันหรือไม่

ชายหนุ่มเผื่อใจไว้บ้างว่า หากไปถึงโรงเรียนช้า แม่ของเด็กหญิงอาจจะตัดหน้ามารับเธอไปแล้ว และเขาก็ต้องขับรถกลับ แม้จะผิดจากที่ตั้งใจแต่ก็ไม่เป็นปัญหาอะไรมากนัก

ทว่า เมื่อใกล้ถึงบริเวณหน้าโรงเรียน รวิรุจน์เห็นควรที่จะจอดรถตรงลานจอดของห้างสรรพสินค้าดิสเคาน์สโตร์แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก เพราะคาดการณ์ได้ไม่ยากว่า หน้าโรงเรียนต้องแออัดไปด้วยบรรดาผู้ปกครองที่ฐานะมีอันจะกิน ที่นำรถส่วนตัวมารับบุตรหลานไม่ต่างจากเขา

หลังจากจอดรถและเดินออกมาได้ครึ่งทาง โทรศัพท์ที่เงียบมาเป็นชั่วโมงก็ได้ทำหน้าที่ของมัน และเจ้าของก็ไม่ลังเลที่จะรับสายเลย

“ว่าไง .. พี่มาถึงแล้ว จะให้ไปรับที่ไหน”

รวิรุจน์ฟังตรีวธูบอกสิ่งที่เขาต้องทำตามระเบียบปฏิบัติของโรงเรียน ซึ่งถือว่าค่อนข้างเข้มงวดในการมาติดต่อรับนักเรียนของที่นี่

ในกรณีนี้ชายหนุ่มถือเป็นคนแปลกหน้าจึงต้องทำตามอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันปัญหาไม่พึงประสงค์ที่อาจจะเกิดกับเด็กในความรับผิดชอบของโรงเรียน

“คุณครูบอกให้พี่รุจน์มาเซ็นชื่อค่ะ ถึงรับเกรซกลับได้ .. เกรซบอกไปว่า พี่ชายจะมารับเหมือนเดิมค่ะ คุณครูเลยไม่ถามอีก เพราะคิดว่าคงเป็นพี่วิชชุ์”

เด็กหญิงแอบกระซิบในตอนท้ายจนเขายกยิ้มมุมปากอย่างสมใจไม่ได้ เมื่อเธอทำได้อย่างที่ให้สัญญาไว้จริงๆ

รวิรุจน์ขมวดคิ้วมองเห็นความยุ่งยากรำไร แต่เอาเถอะ เขาไม่ได้ประสงค์ร้ายกับเด็ก ต่อให้มีใครรายงานผู้ปกครองตัวจริง ก็ไม่มีใครทำอะไรเขาได้แน่

“งั้นรอพี่เข้าไปรับที่หน้าห้องก็แล้วกัน .. ตึก .. ชั้น .. ใช่มั้ย ..”

ผู้ปกครองจำเป็นทวนข้อมูลของตรีวธูอย่างคล่องแคล่ว กระทั่งมาถึงที่หมายในเวลาไม่นานนัก ซึ่งก็พบว่าเด็กหญิงนั่งรออย่างใจจดใจจ่ออยู่แล้ว พอเห็นหน้าก็แทบจะถลามาหาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นยินดี

“พี่รุจน์มาแล้ว .. คุณครูคะ ให้พี่ชายหนูเซ็นชื่อรับกลับได้หรือยังคะ”

“ค่ะ เชิญค่ะ .. รบกวนขอชื่อและหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อด้วยนะคะ”

รวิรุจน์ทำตามขั้นตอนโดยไม่อิดออด ซึ่งพอคุณครูเห็นดังนั้นก็ยิ่งเชื่อสนิทใจว่า บุคคลนี้ไม่น่าจะเป็นอันตรายต่อเด็กนักเรียนของเธอ จึงส่งยิ้มให้หลังรับสมุดที่เซ็นชื่อแล้วพร้อมหมายเลข ๑๐ หลัก เพื่อการติดต่อ .. หากเกิดปัญหาใดปัญหาหนึ่งในอนาคต

ชายหนุ่มรับกระเป๋าสะพายหลังของเด็กหญิงมาถือไว้ข้างหนึ่ง และทันทีที่ตรีวธูสวมรองเท้าเตรียมออกเดิน เธอก็คว้าหมับเข้าที่มือใหญ่ของเขา

“ไปค่ะ พี่รุจน์ .. เกรซพร้อมแล้ว”

ความน่ารักไร้เดียงสาของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นน้องสาว ทำให้รวิรุจน์อดก้มลงมองและส่งยิ้มให้ไม่ได้

ระหว่างที่สองพี่น้องต่างวัยกว่า ๒๐ ปี เดินจูงมือเคียงข้างกันไปนั้น รวิรุจน์แทบลืมความคิดก่อนหน้านี้ไปเลยว่า เขาคงต้องทำทุกอย่างให้แนบเนียนเพื่อให้คุณครูของตรีวธูเชื่อ และมันก็จะสะดวกแก่การ ‘กลั่นแกล้ง’ แม่เลี้ยงของเขา

แต่แผนในใจเกิดกลับตาลปัตร .. กลายเป็นความรู้สึกเอ็นดูน้องน้อยคนนี้ขึ้นมาอย่างที่ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้





ปารตีเพิ่งได้รับโทรศัพท์จากวิชชุ์วิธูว่า อาจจะไปรับตรีวธูช้ากว่าที่คาดไว้ เพราะทางผู้รับเหมารายสำคัญจำเป็นต้องคุยรายละเอียดให้จบ และบุตรชายคนโตของสามีก็แนะนำให้เธอออกมารับเด็กหญิงตอนเที่ยงได้เลย

เจ้าของโครงการหมู่บ้านจัดสรรเองก็ติดรับประทานอาหารกลางวันกับลูกค้า เธอไม่อยากพลาดโอกาสซึ่งมีมากเกือบร้อยเปอร์เซ็น ในการที่จะลงนามในสัญญาซื้อขายที่ดินแปลงงามในราคาที่ทั้งสองฝ่ายพอใจ

สาวใหญ่วัยงามขอปลีกตัวจากโต๊ะอาหาร ติดต่อลูกสาวคนเดียวของเธอ ปรากฏว่า สัญญาณปลายสายไม่สามารถติดต่อได้ จึงคิดในแง่ดีว่า ตรีวธูอาจจะยังสอบไม่เสร็จ หรือ อาจจะยังไม่ทันเปิดเครื่องหลังออกนอกห้อง ที่เธอรับทราบว่า จะมีการสอบของนักเรียนชั้นประถมเพียงครึ่งวัน

ปารตียังมองในแง่ดีว่า อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงธุระทางนี้ก็เรียบร้อย คงไม่กระไรนักถ้าจะให้ตรีวธูรออยู่ก่อน อีกอย่างเธอก็อยู่ในร้านอาหารของโรงแรมย่านเดียวกับโรงเรียนของลูกสาว คิดว่า เด็กหญิงน่าจะเข้าใจหากเธอไปช้าสักหน่อย

แต่ในความเป็นจริง การเจรจาที่ไม่อาจกำหนดเวลาให้ตายตัว ทำให้ทุกอย่างคลาดเคลื่อนไปหมด แม้ในเชิงธุรกิจปารตีจะพบกับความสำเร็จ แต่ขณะนี้เธอกำลังเผชิญหน้ากับความล้มเหลวที่กำลังเป็นปัญหายิ่งใหญ่ในชีวิตเสียแล้ว

“อะไรนะคะ .. มีผู้ปกครองมารับตรีวธูกลับไปแล้ว .. ใครคะ คุณครูปล่อยไปได้ยังไงกัน ดิฉันไม่เคยให้ใครมารับนอกจากตัวดิฉันเอง และคุณวิชชุ์วิธู”

ปารตีแทบเก็บอาการลมออกหูไว้ไม่อยู่ ทั้งโกรธทั้งกังวลจนกลายเป็นหวั่นหวาดกลัว .. ความรู้สึกแรกเพราะเธอไว้ใจสถานศึกษาแห่งนี้ ว่าจะดูแลลูกสาวสุดที่รักของเธอได้เป็นอย่างดี ..

และความรู้สึกหลังคือ ตอนนี้ลูกสาวของเธอไปไหน .. กับใคร!

คุณครูประจำชั้นประถมศึกษาของตรีวธูเห็นท่าไม่ดี จึงรีบนำสมุดรายงานมาเปิดดู ละล่ำละลักบอกปากคอสั่นไปหมด ด้วยเกรงว่าจะเป็นเรื่องร้ายแรง

“เอ่อ .. คุณปารตีคะ น้องเกรซบอกว่า .. พี่ชายค่ะ .. พี่ชายเป็นคนมารับ”

“อะไรนะคะ!”

เสียงแหลมสูงแสดงความไม่พอใจยิ่งยวดกับสิ่งที่ได้ยิน .. เป็นไปไม่ได้ ก็วิชชุ์วิธูบอกให้เธอเป็นคนมารับ เพราะเขาติดธุระ

“จริงๆค่ะ .. เอ่อ เจอแล้ว .. นี่ไงคะ เขาเขียนชื่อ และหมายเลขโทรศัพท์ชัดเจน ดิฉัน .. เอ่อ ทางเราคิดว่า ไม่น่ามีปัญหา ..”

คุณครูสาวที่ดูอ่อนประสบการณ์ยื่นสมุดรายงานด้วยมือสั่นเทา ปารตีก็รับมาทันทีเพื่อดูให้แน่ใจว่า ‘พี่ชาย’ คนนั้นที่มีการเอ่ยอ้าง .. คงไม่ใช่ ..

“รวิรุจน์!”

สมุดเซ็นชื่อร่วงตกลงพื้นไม่เท่ากับใจของปารตีที่ดิ่งวูบไม่แพ้กัน เธอซวนเซเล็กน้อยแต่ก็ยังหยัดตัวยืนอยู่ได้อย่างรวดเร็ว

แม้จะตระหนกกับชื่อเสียงเรียงนามของผู้ชายที่เกลียดชังเธอเหลือเกิน แต่อย่างน้อย .. ก็ยังพอสบายใจได้นิดหน่อยว่า ตรีวธูไปกับพี่ชายอีกคนจริงๆ ไม่อย่างนั้น คนเป็นแม่อย่างปารตีคงรู้สึกผิดไปชั่วชีวิต ที่ไม่อาจดูแลปกป้องสุดรักสุดดวงใจของตนได้

แต่ก็ยังมีคำถามในใจที่ตามมาอีกระลอกคือ รวิรุจน์พาตรีวธูไปไหน .. และเขาทำไปเพื่ออะไร

ปารตีพยายามโทรศัพท์ติดต่อลูกสาวแต่ก็ไร้ผล และเธอเพิ่งสังเกตเห็นข้อความแจ้งเตือนว่า สามารถติดต่อหมายเลขดังกล่าวได้ในช่วงเวลาที่เธอกำลังเจรจากับลูกค้าหลังมื้อธุรกิจนั่นเอง

ความร้อนรุ่มในอกทวีกำลังมากจนแทบจะควบคุมไว้ไม่อยู่ จนลืมเลือนไปว่าท้ายลายเซ็นชื่อของคนที่มาพาเด็กหญิงไปนั้นก็มีหมายเลขให้ติดต่อได้เช่นกัน

คุณแม่ผู้นึกตำหนิทั้งตนเองและชายหนุ่มที่เธอรู้อยู่ว่า จงเกลียดจงชังกันมานานเท่าอายุของเด็กหญิงวัย ๑๐ ขวบ เลือกที่จะติดต่อไปยังคนที่เธอไว้ใจมากที่สุดตลอดมาแทน

“คุณวิชชุ์ .. ทำยังไงดี คุณรุจน์ .. เขา ..”

วิชชุ์วิธูได้ยินน้ำเสียงละล่ำละลักร้อนรนบอกถึงความวิตกกังวลชัดเจน ชายหนุ่มนิ่วหน้าเล็กน้อยเมื่อมีชื่อของใครบางคนแทรกเข้ามา

“มีอะไรครับคุณรตี .. ใจเย็นๆก่อนค่อยพูดค่อยจา .. แล้วรับเกรซมาเรียบร้อยหรือยัง”

“จะให้พี่ใจเย็นได้ยังไง ในเมื่อน้องชายของคุณพาลูกสาวพี่ไปไหนก็ไม่รู้”

ปารตีโพล่งความอึดอัดคับข้องเสียงดังและสั่นเทา เธอชักจะโกรธขึ้นมาจริงๆเมื่ออะไรๆดูจะไม่ทันอกทันใจเอาเสียเลย

ชายหนุ่มผู้รับหน้าที่เป็นที่ปรึกษามาตลอดนับแต่ ‘วันนั้น’ ผ่านมากว่า ๑๐ ปี และเขาก็ยังคงทำหน้าที่นี้ให้แก่สาวใหญ่รุ่นพี่อย่างคนที่เปิดใจรับความจริง

มีหลายอย่างที่วิชชุ์วิธูสงสัยและพยายามตั้งข้อสังเกต หากยังไม่อยากย้ำถามใดๆกับปารตี เพราะดูเหมือนว่าคงไม่มีกะจิตกะใจรับฟังอะไรแล้ว จึงได้แต่ปลอบโยนให้คลายใจ รับปากว่าจะจัดการทุกอย่างให้

“เชื่อผมเถอะคุณรตี .. ต่อให้นายรุจน์มีปัญหากับเรา .. แต่เขาไม่มีทางทำร้ายเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆหรอกครับ .. แล้วยิ่งเกรซเป็นน้องสาว .. เป็นลูกพ่อเดียวกันแบบนี้ ..”

“แต่เขาเกลียดพี่ .. พี่กลัวใจเขานะ .. คุณวิชชุ์”

ปารตีเผยความหวาดหวั่นที่ครองพื้นที่ในใจมาตลอด แม้วิชชุ์วิธูจะยกแม่น้ำกี่สายมาอ้าง ก็ไม่ทำให้เธอมั่นใจอะไรได้เลย

เขาจะมารู้ใจคนอื่นได้อย่างไร ถึงจะเป็นพี่น้องคลานตามกันมาก็ตาม

“ขอเวลาผมหน่อยก็แล้วกัน ..”

แค่ประโยคสั้นๆของวิชชุ์วิธู กลับเป็นความหวังแก่ปารตีได้อย่างไม่น่าเชื่อ มันสามารถบรรเทาอาการตระหนกอกสั่นให้ทุเลาเบาบาง

“ค่ะ .. พี่ไว้ใจคุณ .. ถ้าพี่ไม่มีคุณ .. พี่ก็คง ..”

“ทำใจให้สบายนะครับ .. คุณรตี .. เกรซจะปลอดภัยแน่นอน .. ผมรับรอง”

ด้วยคำยืนยันหนักแน่นของคนที่สาวใหญ่ในตำแหน่งแม่เลี้ยงวางใจ ทำให้เธอยอมโอนอ่อนผ่อนตามและวางสายไปในที่สุด

ผิดกับอีกฝ่ายที่คราวนี้ถึงกับย่นคิ้วนิ่วหน้านัยน์ตาวาวโรจน์ ไม่บอกก็รู้ว่ากำลังเกรี้ยวกราดฉุนจัด อย่างไม่เคยมีใครได้เห็นเขาในอากัปกิริยาเช่นนี้มาก่อน .. มันก็เป็นเพราะความคิดไม่เอาไหนของรวิรุจน์

วิชชุ์วิธูรู้ว่า น้องชายของเขาต้องการกลั่นแกล้งปารตี .. และวิธีนี้มันย่อมได้ผลที่ต้องการเป็นอย่างดี

คนกลางอย่างเขาจะต้องแบกรับปัญหาเหล่านี้ไปอีกนานแค่ไหนกัน!






ความรอบคอบของรวิรุจน์ที่ดูจะมีมากเกินไป ทำให้เขาออกปากขอโทรศัพท์เครื่องกะทัดรัดของตรีวธูมาเก็บไว้ก่อนจะปิดเครื่อง ด้วยเหตุผลที่สามารถโน้มน้าวให้คนฟังโอนอ่อนตามได้ชะงัด นั่นคือ .. ต้องการ ‘เซอร์ไพรส์’ บิดา ที่ทั้งสองคนกำลังเดินทางไปพบ

แน่นอนว่าเด็กหญิงให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เพราะชายหนุ่มคาดการณ์ได้ไม่ยากว่า ตรีวธูเชื่อเขาสนิทใจ ไม่มีความระแวงใดๆว่า เขาจะเป็นพิษเป็นภัยกับเธอ ซึ่งก็ถูกต้องในความคิดของเด็กน้อย

แต่ไม่ใช่กับผู้ใหญ่บางคน .. ที่เขาพร้อมจะสร้างความปั่นป่วนให้ .. ยิ่งถ้ามีโอกาส เขาย่อมไม่พลาดแน่นอน

รวิรุจน์ขับรถมาตามเส้นทางสายหลักจนถึงมหาวิทยาลัยย่านพุทธมณฑล ก็เอ่ยถามตรีวธูเสียงเรียบ หากแฝงความอาทรไม่น้อย หลังจากถามไปแล้วครั้งหนึ่งตอนที่การจราจรยังแออัดกว่านี้

“หิวมั้ยเกรซ .. ข้างหน้ามีห้างอยู่ อยากกินอะไรก็บอกนะ”

“ไม่ค่ะ .. เกรซทานมาก่อนพี่รุจน์ไปรับ .. ตื่นเต้นจัง ที่พี่รุจน์ไปหาคุณพ่อกับเกรซด้วย”

ตรีวธูบอกความรู้สึกแท้จริงออกมาไม่ปิดบัง ซึ่งคนฟังก็ได้แต่เหลือบมองยิ้มบางๆ แล้วหันมาตั้งใจควบคุมยานพาหนะ ในใจอดคิดไม่ได้ว่า ป่านนี้ ‘คนพวกนั้น’ จะเป็นอย่างไรบ้าง

ทว่า ไม่ทันจะได้คิดอะไรมากไปกว่านี้ เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น แม้จะไม่อยากสนใจแต่ก็จำเป็นต้องหยิบมันขึ้นมาดู

วิชชุ์วิธู!

ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอเรื่อเรืองทำให้เจ้าของอุปกรณ์สื่อสารยกมุมปากกึ่งแสยะใส่ .. นี่ไง หนึ่งในคนพวกนั้น คงรู้ตัวแล้วสินะว่าเกิดอะไรขึ้น

ชายหนุ่มตัดสายไม่ยอมรับพร้อมปิดเครื่องไปทันที ท่ามกลางความงุนงงสงสัยของเด็กหญิงที่นั่งหน้าคู่กันมา

“พี่รุจน์ไม่รับสายเหรอคะ ..”

“ไม่ล่ะ .. ไม่ได้สำคัญอะไร .. ไหนๆเกรซก็ยังไม่หิว พี่ว่าเรารีบไปให้ถึงบ้านเร็วๆดีกว่า .. เนอะ”

รวิรุจน์บอกตรีวธูง่ายๆ และก็ได้รับรอยยิ้มสดใสดวงตาเปล่งประกาย พยักหน้าอย่างเห็นด้วยในทุกการกระทำและคำพูดของพี่ชายคนนี้





ตลอดวันที่ผ่านมาดูเหมือนว่า เภตราจะไม่มีสมาธิกับงานเอาเสียเลย นับตั้งแต่เธอขับรถออกจากบ้าน แล้วแวะเวียนไปยังโรงแรมที่เมฆพัดพักเมื่อคืน หลังจากเธอทิ้งเขามาเพราะไม่ต้องการให้เขาโกรธกับคำพูดของเธอมากขึ้นไปอีก

แต่เมื่อเช้าตอนไปถึงและสอบถามเจ้าหน้าที่ต้อนรับของโรงแรม หญิงสาวก็ได้คำตอบว่า บุคคลที่เธอถามหาเช็คเอาท์ไปตั้งแต่กลางดึกแล้ว

เภตราขอบคุณเจ้าหน้าที่คนนั้นก่อนผละจากมา พยายามโทรศัพท์ติดต่อหาเมฆพัด แต่กลับมีเพียงเสียงตอบรับว่า ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้

เจ้าตัวแทบหมดเรี่ยวแรง ดีว่าเธอนั่งอยู่หลังพวงมาลัยในรถยนต์ ไม่เช่นนั้นคงได้ทรุดลงไปกองกับพื้นเป็นแน่

น้ำตาแห่งความเสียใจอาบแก้มอีกหน รู้ดีว่า .. ผู้ชายคนเดียวของเธอก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน

กว่าจะประคับประคองตัวเองมาจนถึงโรงเรียนอนุบาลท่องนทีได้ก็สายมากแล้ว แต่ด้วยหน้าที่เธอจึงทนฝืนและทำงานต่อไป ทั้งที่ในใจอยากกลับบ้านไปนอนร้องไห้ให้สาใจกับความงี่เง่าของเธอนัก

เภตราระบายความเสียใจน้อยใจกับงานตรงหน้า อีกแค่สองวันก็จะปิดเทอมแล้ว หลังจากนี้เธอคิดว่าถ้ายังไม่สามารถติดต่อเมฆพัดได้ เธอคงจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อเป็นการไถ่โทษแก่เขา

และขณะนี้ก็ใกล้เลิกงาน ซึ่งเป็นเวลาที่องก์อัมพุทจะต้องเข้ามาพบเธอ เพื่อรายงานการปฏิบัติงานให้ทราบตามที่ตกลงกันไว้

เป็นครั้งแรกที่เภตรารู้สึกว่า ไม่อยากพบหน้าเพื่อนรักเลย .. หนำซ้ำยังอยากหลบไปให้ไกลอีกด้วย

แต่ .. ความหวังรางเลือนกลับทอประกายสว่างไสวในพริบตา

ใช่ .. องก์อัมพุท .. มีแต่องก์อัมพุทที่จะช่วยติดต่อเมฆพัดให้เธอได้

ติดอยู่ที่ว่า .. เภตราจะกล้าบอกจริงที่แอบปิดบังเก็บไว้เป็นความลับ ให้เพื่อนรับรู้หรือเปล่า เท่านั้น

ทว่า เสียงกระซิบพร่าพรายซึ่งซุกซ่อนอยู่ก้นบึ้งอันลี้ลับในหัวใจ กลับส่งสัญญาณเตือนถึงสิ่งที่เธอตั้งใจและทำมันลงไป .. ด้วยตนเอง ราวกับตอกย้ำให้ระลึกและจดจำ

จะต้องเสียใจ เสียน้ำตาทำไม ในเมื่อเขาไม่เคยรักเรามาตั้งแต่แรก .. เพราะเขาผิดหวังมา แล้วบังเอิญว่า เราแค่อยู่ใกล้มือคว้า .. มันถึงได้เป็นอย่างนี้ .. เคยมั้ย ให้เขาหมด .. เขาเคยบอกรักเรามั้ย .. ไม่เลย ไม่มีเลย

คำถามเองตอบเองของเภตรา ทำให้เธอสลัดคราบน้ำตาได้ทันก่อนที่มันจะหยดลงมาอีกครั้ง พร้อมเอ่ยพึมพำเบาๆคล้ายตัดใจจากความหลงใหลพร่ำเพ้อทั้งมวล

ช่างปะไร! จะต้องคอยตามง้องอนเขาทุกทีทำไมกัน











*******************************************************************







โปรดติดตามตอนต่อไป ...


ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม .. และขอขอบคุณสำหรับการกดไลค์ฮะ



แรมรติ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 มิ.ย. 2558, 10:45:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 มิ.ย. 2558, 10:45:33 น.

จำนวนการเข้าชม : 1185





<< บทที่ ๙ .. สายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น   บทที่ ๑๑ .. หรือมันคือ การเริ่มต้น >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account