ความลับ (ที่) ซ่อนเร้น .. หรือจะเป็น ความรัก!(?)
คำถาม .. ที่มีคำตอบ
แต่คำตอบ .. กลับยังคงมากมายด้วยคำถาม

เพราะนิยามในคำหนึ่งคำนั้น
แฝงเร้นซุกซ่อนไว้ซึ่งความลึกลับ
ความซับซ้อนชวนสับสน รอยยิ้มปนเปื้อนคราบน้ำตา
เล่ห์เสน่หาหวานล้ำ และพร้อมจะนำความเจ็บปวดมาให้ .. ได้ทุกเวลา

.. หากว่ามันคือ ความรักที่มากล้น จนกลายเป็น .. ความลับ ! ..
Tags: ความรัก ความลับ

ตอน: บทที่ ๑๑ .. หรือมันคือ การเริ่มต้น



พฤหัสที่กำลังง่วนกับการเตรียมของว่างรับหน้าลูกสาวคนเล็ก ต้องละมือวางตะเกียบคู่ยาวที่พลิกเกี๊ยวกรอบไส้กุ้ง ไส้ไก่ และไส้หมูให้สุกทั่วกัน แล้วชะโงกหน้ามาทางประตูห้องครัวเงี่ยหูฟังเสียงสัญญาณออดอีกครั้งให้แน่ใจ

เจ้าของบ้านค่อนข้างแปลกใจอยู่ไม่น้อย เพราะเมื่อเช้าวิชชุ์วิธูบอกกับบิดาก่อนออกจากบ้านว่า เขาจะเข้าไปพบผู้รับเหมาเพื่อคุยเรื่องงานที่ค้างไว้ แล้วค่อยรับตรีวธูกลับซึ่งกว่าจะถึงก็คงจะบ่ายจนเกือบเย็น

ชายหลังวัยเกษียณจึงคิดว่าอาจจะเป็นใครสักคนมาขายสินค้าตามบ้าน ครั้นจะเพิกเฉยก็ดูท่าว่าบุคคลที่กดออดอยู่คงไม่ล้มเลิกง่ายๆ ถ้าเขายังไม่ยอมปรากฏตัวเสียที

พฤหัสจำใจต้องพักงานครัวเอาไว้ชั่วคราว รู้สึกขุ่นเคืองเล็กๆเมื่อถูกขัดจังหวะการทำเกี๊ยวกรอบสารพัดไส้ให้ลูกสาวคนโปรด หลังจากล้างไม้ล้างมือเช็ดจนแห้งดี จึงสาวเท้าออกนอกห้องครัวไปทั้งที่ยังคาดผ้ากันเปื้อนอยู่เช่นนั้น

แล้วหน้าตาที่บอกความขุ่นมัวให้แก่ใครก็ตาม พลันต้องมลายหายไปราวกับมันไม่เคยมี เพราะเขาเห็นบุคคลที่เขย่งตัวสุดเอื้อมพยายามกดออดถนัดชัดเจนเบื้องหน้า ทั้งที่ไม่ต้องสวมแว่นสายตาตามปกติ อารามดีใจที่ได้พบทำให้คุณพ่อวัยดึกยิ่งเร่งฝีเท้ารุดไปเปิดประตูรับ

พฤหัสคว้าตัวตรีวธูมาโอบไว้ในอ้อมกอดอย่างแสนคิดถึง เพียงแค่ไม่กี่วันที่ห่างไปยังเหมือนกับเขาถูกทิ้งให้เดียวดายเนิ่นนาน

"เจ้าเกรซ .. มาเร็วจริงลูก .. พ่อยังทำของโปรดหนูไม่เสร็จเลย .. แล้วเจ้าวิชชุ์ล่ะทำไมให้น้องลงมากดออด ทั้งที่ก็เปิดประตูขับรถเข้ามาได้เลย"

คำถามประเดประดังหลังจากหอมแก้มซ้ายขวาและกลางกระหม่อมรับขวัญลูกน้อย จนเด็กหญิงฟังแทบไม่ทัน ไม่รู้ว่าจะบอกกับพ่อของเธออย่างไรดี

แต่คำตอบก็มาอยู่ตรงหน้าพฤหัสโดยไม่ต้องรอให้ตรีวธูบอกเล่า ชายสูงวัยซึ่งอยู่ในอิริยาบถย่อตัวให้ระดับความสูงพอๆกับเด็กหญิงชะงักเล็กน้อย ก่อนค่อยเงยหน้าขึ้นมองอย่างคาดไม่ถึง

"รุจน์!"

"สวัสดีครับ .. พ่อ"

รวิรุจน์กล่าวทักทายเสียงเรียบ สีหน้าไม่บ่งบอกความรู้สึกยินดียินร้ายใดๆ ยกมือไหว้เกือบจะเรียกได้ว่าทำไปอย่างแกนๆ แล้วค่อยลดมือลงมาวางบนศีรษะเล็กๆ ที่แทบจะอยู่ในฝ่ามือของเขาได้ทั้งหมด เรียกความสนใจน้องน้อยให้หันมาส่งยิ้มสดใส

"เกรซ .. ถึงบ้านแล้ว พี่หลับก่อนนะ .. หมดธุระแล้ว"

"อ้าว .. พี่รุจน์ไม่นอนบ้านนี้ .. ไม่อยู่คุยกับเกรซ กับคุณพ่อก่อนเหรอคะ"

ชายหนุ่มยกยิ้มเล็กน้อยกับคำถามซื่อใสไร้เดียงสาของเด็กน้อย ผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่กับเรื่องราวแต่หนหลัง ก่อนชำเลืองสายตาไปทางผู้ที่เคยได้ชื่อว่าเป็น 'สามีผู้ทรยศ' ของแม่ แค่นคำพูดที่หมายให้คนฟังซึ่งแก่แต่วัย หากไร้สำนึกต่อครอบครัวของตนในความรู้สึกของเขาได้ยิน

"ไม่หรอกเกรซ .. พี่เป็นคนนอก แค่มาส่ง .. แล้วก็กลับ .. ไปนะ"

"รุจน์ .. เจ้ารุจน์ .."

รวิรุจน์ค้อมศีรษะเล็กน้อยแทนคำลา ทั้งรู้ว่าไม่ควรทำแต่เพราะความเจ็บปวดที่ฝังลึก ทำให้เขาไม่อยากทนอยู่ตรงนั้นแม้แต่วินาทีเดียว

เสียงแหบพร่าสั่นเครือของชายวัยใกล้ชรายามเรียกชื่อเขา บอกความรู้สึกสะเทือนอารมณ์ในอกของพฤหัส จนชายหนุ่มยิ่งเร่งเร้าตัวเองเมินมองไม่ใส่ใจ แล้วหันหลังเดินกลับไปที่รถเพื่อจากไปให้เร็วที่สุด

ตรีวธูมองตามหลังพี่ชายคนรองอย่างงงัน ก่อนหันกลับมามองพฤหัสที่ยังคงทอดสายตาตามรวิรุจน์ไปเช่นกัน .. ด้วยความไม่เข้าใจ

หากแต่เป็นพฤหัสที่เข้าใจด้วยความนัยของบุตรชายถ่องแท้ .. ลูกชายบอกกับพ่อว่า ตนเองเป็นคนนอก

คำนี้ช่างกรีดย้ำซ้ำรอยให้มันชัดเจนอีกครั้ง .. ว่า รวิรุจน์ยังคงโกรธแค้นฝังใจ ในการตัดสินใจยุติความสัมพันธ์ฉันครอบครัวกับแหวนวง .. อดีตภรรยา ซึ่งเป็นมารดาของลูกชายทั้งสองคนด้วย

มันเป็นรอยร้าวที่ยากจะสมานได้จริงๆหรือนี่

เพราะอะไรกัน .. ทั้งๆที่วิชชุ์วิธูกับรวิรุจน์ ก็ไม่ใช่เด็กรุ่นราวคราวเดียวกับตรีวธู ตอนที่ได้รับรู้การตัดสินใจของพ่อกับแม่

แต่ทำไมเขาจึงไม่เข้าใจผู้เป็นพ่อเหมือนพี่ชาย .. ทำไม

"คุณพ่อคะ .. คุณพ่อเจ็บตรงไหนหรือเปล่าคะ"

เด็กหญิงตรีวธูที่เฝ้ามองบิดาเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นดวงตาของเขามีรอยรื้นมาคลอ จึงได้ถามด้วยความเป็นห่วง

พฤหัสกะพริบตาถี่ๆหันมายิ้มให้ลูกสาว รั้งร่างเล็กๆเข้ามากอดแนบอกปกปิดความรู้สึก ที่เด็กหญิงคงพอจะรับรู้เอาไว้ แล้วแสร้งกล่าวติดตลกไปว่า

"พ่อดีใจน่ะลูก .. แล้วพี่เขามาส่งเกรซนี่ แม่รู้รึเปล่าลูก"

คุณพ่อวัยเกษียณไม่ทันได้เห็นพิรุธจากลูกคนเล็ก เพราะเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเสียก่อน จนเขาต้องคลายอ้อมกอดให้หลวมเพื่อล้วงมันจากกระเป๋าหน้าของผ้ากันเปื้อนออกมารับสาย

"ว่าไง ที่รัก .. เป็นอะไรรึเปล่ารตี ใจเย็นๆ มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจา .. อย่าเพิ่งร้องไห้"

"คุณ .. ลูกค่ะ ลูก .. หายไป .. หายไปไหนไม่รู้"

ข้อความกระท่อนกระแท่นของปารตีที่เกือบฟังไม่ได้ศัพท์ ทำให้พฤหัสต้องค่อยๆปลอบประโลมอีกครั้ง จะได้คุยกันรู้เรื่อง

"เดี๋ยวๆ .. ลูก? .. ก็นี่ไง ลูกอยู่กับฉัน .. รุจน์เพิ่งมาส่งแล้วก็กลับไปนี่ล่ะ"

"อะไรนะคะ?"

ปารตีถามเสียงสูงและแหลมที่สุดเท่าที่คนฟังเคยได้ยินมา ก่อนที่เธอจะเงียบจนคิดว่าสัญญาณขาดหายไปแล้ว

"รตี .. ที่รัก .. ฮัลโหล .. เกิดอะไรขึ้น มีอะไร"

"เขา.. เขาแกล้งรตี .. เขาจะแกล้งให้รตีเป็นบ้า ฮือๆ"

พฤหัสได้ยินคำพูดซ้ำๆราวคร่ำครวญเพียงเท่านั้น แล้วปารตีก็ปล่อยโฮออกมาอย่างคนอัดอั้นตันใจ และสุดท้ายก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย .. แม้แต่จะฟ้องให้สามีรู้ว่า รวิรุจน์จงใจก่อเรื่องเอาไว้อย่างไร

ถึงยังไง .. เขาก็พ่อลูกกัน เธอจะพูดอะไรได้ ..

ความคับแค้นทำให้สาวใหญ่ตัดสายทิ้งทันที ไม่เปิดโอกาสให้พฤหัสได้ไต่ถามให้ละเอียด

ซึ่งมันกลับยิ่งสร้างความงุนงงแก่สามีเป็นอย่างมาก ที่ตอนนี้ก็ตีบตันคิดอะไรไม่ออกกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จนโอดในใจว่า

ทั้งลูกชาย .. ทั้งเมียรัก .. เป็นอะไรกันไปหมด ..



รวิรุจน์ขับรถออกมาอย่างไม่ไยดีเสียงเรียกปนแหบเครือของพฤหัสแม้แต่น้อย หากความรู้สึกในเศษเสี้ยวที่ได้พบก็อดดีใจไม่ได้ ว่าบิดาดูมีสุขภาพพลานามัยแข็งแรงดี หน้าตาอิ่มเอิบแจ่มใสกว่าหลายๆคนที่อยู่ในวัยหลังเกษียณ

แต่แทนที่จะยินดีพอใจได้นานๆ มันก็ถูกแปลเจตนาเป็นอคติไปเสียสิ้น ราวกับเจ้าตัวต้องการตอกลิ่มให้ทิ่มแทงจนเจ็บปวดไม่เลิกรา

แม่ของเขาผิดอะไร .. พ่อถึงทิ้งไปมีผู้หญิงใหม่ .. มีลูกใหม่ ครอบครัวใหม่ .. แล้วยังจะพี่ชาย .. ที่เห็นดีเห็นงามไปด้วยอีกคน

ชายหนุ่มไม่ยอมรับรู้รับฟังเหตุผลใดๆ เขาไม่มีวันเชื่อได้เลยว่า มารดาทื่แสนดีของเขาจะมีข้อตำหนิ มากเสียจนทำให้บิดาใช้เป็นข้ออ้างในการหย่าร้างได้ .. ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุผลเดียวที่เขาคิดออก .. ผู้หญิงคนนั้นจ้องจะจับพ่อของเขา

สองมือใหญ่ที่กุมพวงมาลัยรถยนต์กำแน่นดังต้องการจะบีบให้แหลกคามือ นัยน์ตาแดงก่ำหากแต่ทนฝืนกลืนก้อนสะอื้นไม่ต้องการให้ใครเห็น .. แม้แต่ตัวเอง

ยิ่งคิดก็เหมือนยิ่งเพิ่มเพลิงโทสะแก่เขาไม่สิ้นสุด

ไม่ว่าจะ .. คนที่เขายกย่องเทิดทูน .. คนที่เขานับถือ .. และคนที่เคยประทับใจ

ทุกคนทรยศต่อความรู้สึกของรวิรุจน์จนไม่เหลือดี

โดยเฉพาะ .. คนที่เขายอมรับกับตัวเองว่า ประทับตราตรึงในหัวใจเมื่อแรกพบ สมัยยังเรียนการตลาดปีสุดท้ายในมหาวิทยาลัย

นักธุรกิจสาวผู้มีบทบาทในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งถูกเชื้อเชิญมาในงานสัมมนาให้นักศึกษาที่สนใจเข้าร่วมรับฟังการบรรยาย

รวิรุจน์สะบัดศีรษะอย่างแรงพยายามสลัดความคิดไร้สาระออกจากสมอง ทว่า บางสิ่งที่อยากลืม ก็ยิ่งจดจำไม่สิ้นสุด ถึงแม้นเวลาจะล่วงเลยมานานนับสิบปี

และถ้าหากชายหนุ่มจะไม่จมอยู่แต่กับความชิงชังของตนต่อหลายๆคน จนไม่สนใจทัศนียภาพรอบกาย เขาก็คงจะสังเกตเห็นว่า ปากทางหมู่บ้านมีรถยนต์สีคุ้นตาคันหนึ่ง กำลังเลี้ยวแล้วแล่นขับสวนเข้ามาในอีกเลนข้างเคียงกันนี่เอง




องก์อัมพุทรู้สึกคลับคล้ายคลับคลากับรถยนต์ซีดานสีขาวมุก ที่เพิ่งแล่นออกสู่ถนนใหญ่เมื่อครู่อย่างมาก แต่ก็คิดว่าอาจจะเป็นเพราะความนิยมในสีนี้ของตลาดยานยนต์ ทำให้ใครๆเลือกใช้ตามความชอบและโฉลกตามตำรา

เพราะมันไม่มีเหตุผลอะไรที่เจ้านายของเธออย่างรวิรุจน์ จะมาขับรถเล่นอยู่แถวๆนี้ได้

หญิงสาวยักไหล่กับตัวเองขบขันความคิดเรื่อยเปื่อย ทั้งที่วันนี้ก็อ่อนล้าจากการทำกิจกรรมในห้องเรียนก่อนเด็กๆเข้านอนตอนบ่าย

การเล่านิทานเป็นอะไรที่ใช้พลังงานอย่างไม่น่าเชื่อ .. แถมยังเป็นนิทานที่ต้องสร้างสรรค์ให้ต่างไปจากบทประพันธ์เดิมด้วยแล้วล่ะก็ .. จินตนาการของเด็กๆ ไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ

องก์อัมพุทยิ้มกว้างกับสิ่งที่เธอใช้แทนการสอนที่เป็นแบบแผนในตำรา การพลิกแพลงให้เกิดการเรียนรู้ก็เป็นสิ่งสำคัญ ที่มีส่วนช่วยให้เด็กๆกล้าคิดและกล้าแสดงออก

กิจกรรมของเธอในวันนี้คือ การให้เด็กนักเรียน ๑๕ คนในความดูแล คิดประโยคง่ายๆ และเล่าออกมาแบบนิทาน ให้เป็นเนื้อเรื่องเชื่อมโยงกันด้วยประโยคง่ายๆ ซึ่งแรกๆมีหลายหลายคนที่ยังขัดเขิน ไม่เข้าใจ .. จนถึงไม่กล้าแสดงออกหรือเปล่งเสียงออกมา

แต่เมื่อค่อยๆเริ่ม ก็มีคนร่วมสนุก .. เด็กหญิงมิรันดา ที่ดูจะมีความกล้าคิดกล้าแสดงออกกว่าใคร เป็นตัวกระตุ้นที่ดีให้เพื่อนๆ เธอเป็นทั้งผู้นำและผู้สนับสนุนที่ดี ยิ่งทำให้องก์อัมพุทประทับใจและเอ็นดูเด็กหญิงมะระมากขึ้น ด้วยความคิดสร้างสรรค์ที่ส่องประกายออกมา

หญิงสาวเชื่อมั่นว่า หากมิรันดาได้รับการส่งเสริมด้านอัจฉริยภาพในทางที่ถูกที่ควร เธอจะไปได้ไกลในอนาคตอย่างแน่นอน

พอคิดมาถึงตรงนี้องก์อัมพุทรู้สึกได้ถึงความภูมิใจในตนเองไม่น้อย การสั่งสอนตามตำราอาจเป็นสิ่งที่ถ่ายทอดกันมา แต่การสื่อสารให้เกิดความสร้างสรรค์ เธอคิดว่ามันก็เป็นสิ่งสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันเลย

พรุ่งนี้จะเป็นวันสุดท้ายแล้วสินะ .. ที่เธอจะได้สวมบทบาท 'คุณครู'

คิดขึ้นมาก็อดใจหายไม่ได้ .. แม้จะเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่สิ่งเหล่านี้ก็เป็นประสบการณ์ที่ดี อย่างน้อย ๕ วันที่อยู่กับเด็กๆ ช่วยทำให้เธอใจเย็นขึ้น รู้จักควบคุมอารมณ์ได้มากขึ้น และมันสามารถนำไปใช้กับการทำงาน ที่เริ่มจะน่าเบื่อหน่ายได้ไม่มากก็น้อย

"เฮ้อ .. หรือจะลาออก แล้วมาทำงานกับเภาดี?"

องก์อัมพุทเปรยเบาๆปรึกษากับตัวเอง ก่อนที่จะชะลอรถยนต์เมื่อใกล้ถึงแนวรั้วบ้านของเภตรา และทันทีที่พาหนะของเธอขับเคลื่อนมาใกล้ๆ หญิงสาวก็ได้เห็น 'คุณลุง' บ้านข้างๆกำลังจับจูงมือเด็กหญิงตัวน้อยเข้าบ้าน

'ตรีวธูมาแล้ว .. ถ้าอย่างนั้น อาจารย์ .. ไม่สิ .. ต้องคุณวิชชุ์ .. เขาก็กลับมาแล้วน่ะสิ'

หญิงสาวคิดไปตามนั้น และพอได้คิดความรู้สึกก็เริ่มทำงาน .. ส่งผลให้ชีพจรกระเพื่อมราวกลับมีคลื่นลมระลอกไหวพัดผ่าน ให้จับได้ว่ามันกำลังตื่นเต้นอย่างไม่ควรจะเป็น

ลูกแมว ! .. ใช่ เธอคิดว่า น่าจะไปที่คลีนิกรักษาสัตว์ เพื่อสอบถามอาการของลูกแมวที่พวกเธอช่วยไว้เมื่อวันก่อน

เมื่อคิดได้ดังนั้นขาขวาก็เกิดปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไม่ตั้งตัว มันขยับมาอยู่ในตำแหน่างห้ามล้อเบรคจนตัวเองหัวเกือบทิ่ม ซึ่งนับว่าเป็นการเรียกสติให้กลับมาอย่างได้ผลชะงัดนัก

'ยัยพุด .. แกจะบ้าอีกนานมั้ย .. อย่านะ อย่าตั้งความหวัง อย่า .. แม้แต่จะคิด'

องก์อัมพุทติเตียนตัวเอง ทั้งๆที่ลึกๆในใจกลับเบ่งบานราวดอกไม้รับน้ำค้างในยามรุ่งอรุณ หรือเพราะคำพูดของพฤหัสเมื่อเช้าหรืออย่างไร ที่กลับมาสร้างความหวังอีกครั้ง .. จนหัวใจที่เจียนขาดรอนๆก่อนหน้าอดหวั่นไหวไม่ได้กันแน่

โดยไม่ทันที่คนมาถึงก่อนจะรู้ตัว รถของเภตราก็เลื่อนมาหยุดจ่อท้าย ซึ่งเจ้าของบ้านถึงกับนิ่วหน้า สงสัยว่าเหตุใดเพื่อนจึงจอดรถแช่อยู่อย่างนั้น จนเธอต้องลงจากรถมาเคาะกระจกถาม

"ยัยพุด .. เป็นอะไร ทำไมไม่เข้าบ้าน"

"หืม .. เภา .. เอ่อ .. เดี๋ยวนะ .. เดี๋ยวฉันเลื่อนรถให้แกเข้าก่อน นึกได้ว่ามีธุระ .. อาจจะกลับค่ำหน่อยนะ"

องก์อัมพุทแก้เก้อเท่าที่จะทำได้ จะให้เพื่อนรักรู้ไม่ได้เด็ดขาดว่า เกิดอะไรขึ้น .. ไม่งั้นคงถูกล้อแย่แน่

"แกจะไปไหน .. ไปด้วยกันก็ได้ วันนี้เซ็งๆ .. เผื่อหาไรกินกันข้างนอก .. ดีมั้ย"

"เอางั้น ?"

หญิงสาวย้อนถามเพื่อนที่คงจะ 'เซ็ง' จริงดังที่พูด ร้อยวันพันปีเธอไม่เคยเห็นเภตราทำหน้าเหม็นเบื่อได้เท่าวันนี้เลย .. เท่าที่นึกออกก็ เมื่อเช้า!

ในเมื่อเภตราไม่ได้สนใจซักไซ้ไล่เรียงในธุระ และองก์อัมพุทเองก็เห็นว่า ไม่มีอะไรต้องปิดบังความตั้งใจที่จะไปคลีนิก จึงพยักหน้าตอบรับ หลังจากที่เพื่อนอือออตกลงมาง่ายๆ

"งั้นไปคลีนิกสัตว์กัน แกเอารถของแกไปเก็บก็แล้วกัน .. เดี๋ยวฉันเขยิบรถหลีกทางให้แกก่อน"

'คลีนิกสัตว์' คือคำที่แปรรูปหน้าอันแสนเซ็งมาทั้งวันของเภตรา ให้เป็นความสงสัยจนต้องเอ่ยถามออกมาโดยอัตโนมัติ

"เฮ้ย .. พุด นี่เกิดอะไรขึ้น หมาแมวบ้านฉันก็ไม่ได้เลี้ยง .. แกจะไปทำไม"

"เอาน่า .. เดี๋ยวก็รู้ ไปๆ วันนี้น้องเกรซมา .. คุณลุงหัสคงอยากอยู่กับลูกสาว มากกว่าสาวข้างบ้านอย่างเรา"

คราวนี้เภตรายิ่งหน้าตาตื่นขึ้นไปอีก เมื่อองก์อัมพุทเอ่ยทำนองหยอกเย้าไปถึงผู้ใหญ่ใจดีข้างบ้าน .. ระหว่างที่เธอมัวแต่กลัดกลุ้มเรื่องของคนบางคน ..

เพื่อนของเธอกลับมีความคืบหน้าไปในทางที่ .. จะเรียกว่ายังไงดี เภตราก็ไม่อาจใช้คำได้ถูก นอกจากจะคิดได้ว่า องก์อัมพุทกำลังสร้างสายสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมของอดีตรักแรกเข้าแล้ว

และหญิงสาวก็หวนมานึกถึงสภาพของตนที่เป็นอยู่ในขณะนี้ .. ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับเมฆพัด พี่ชายของเพื่อนรักที่เธอเริ่มเห็นเค้าความสดใส ยามพูดถึงครอบครัวข้างบ้าน

แล้วเธอล่ะเภา .. จะทำอย่างไรกับความสัมพันธ์ลุ่มๆดอนๆของตัวเอง




วิชชุ์วิธูได้รับทราบเรื่องราวทั้งหมดจากปารตีผ่านทางโทรศัพท์แล้ว และเขากำลังขับรถกลับบ้านของพฤหัสให้เร็วที่สุด เผื่อว่าอาจจะทันได้พบหน้าน้องชาย ที่ทำตัวไม่สมกับวัย ไม่สมกับตำแหน่งหน้าที่การงานเอาเสียเลย

ชายหนุ่มติดต่อไปยังรวิรุจน์ แต่ก็ถูกตัดสัญญาณในคราวแรก ก่อนจะรับรู้ว่าน้องชายไม่ปรารถนาจะสนทนาใดๆ เมื่อมีเสียงตอบรับจากหญิงสาวว่า.. ไม่สามารถติดต่อหมายเลข .. ได้ในขณะนี้

นั่นยิ่งสร้างความเดือดดาลใจจนเผลอเหยียบคันเร่ง จนทะยานไปข้างหน้าเกิดพิกัดความเร็วที่ทางหลวงกำหนด

อดีตอาจารย์บรรณารักษ์ไม่สนใจแล้วว่า จะถูกกล้องจับความเร็วดักถ่ายไว้เป็นหลักฐานหรือไม่ เพราะเขาเข้าใจแจ่มแจ่งแล้วว่า น้องชายทำอย่างนี้เพื่ออะไร

"พ่อ .. รุจน์ยังอยู่ที่บ้านมั้ยครับ"

"ไม่วิชชุ์ .. รุจน์มาส่งน้อง แล้วก็กลับ .. พ่อ .. เอ่อ ช่างเถอะ .. รตีบอกวิชชุ์แล้วใช่มั้ย"

"ครับ .. แค่นี่ก่อนนะครับ ผมอาจจะกลับช้าหน่อย .. หรือไม่ก็อาจค้างที่บ้านนี่สักคืน"

วิชชุ์วิธูตัดสินใจเมื่อได้คำตอบที่ต้องการ เหลือระยะทางอีกไม่มากก็จะถึงบ้านของบิดา หากแต่อะไรบางอย่างทำให้เขาตระหนักว่า รวิรุจน์ควรโตเป็นผู้ใหญ่จริงๆเสียที

ชายหนุ่มบอกบิดาคร่าวๆ แค่พอให้ไม่ต้องเป็นห่วงกันมากนัก ก่อนวางสายและเลี้ยวรถกลับเมื่อถึงจุดที่มีป้ายกำกับกำหนดไว้

มีสถานที่เดียวที่เขาคิดว่า จะได้พบน้องชายชนิดที่ไม่ต้องไปควานหาตัวที่ไหนไกล .. ให้ยุ่งยากหรือเหนื่อยแรง แต่เรื่องนี้อาจสร้างความลำบากใจให้กับใครบางคนไม่น้อยอยู่เหมือนกัน




สายลมโชยพลิ้วก่อนค่อยเพิ่มแรงกรรโชกกรูเกรียว หากสัมผัสที่ได้คือความยะเยียบเย็น เพราะอยู่เกือบยอดภูที่ต่อให้อากาศในตอนกลางวันจะอบอ้าวเพียงใด แต่พอสายัณห์ผ่านพ้น ความอบอุ่นที่ร้อนแรงก็ปลาศนาการไปราวกับมันไม่เคยเกิดขึ้น

ดีว่าได้อาศัยวิสกี้น้ำใสในขวดแก้วคล้ายเครื่องดื่มบำรุงกำลัง ที่ได้มาจากกระบวนการผลิตโดยภูมิปัญญาชาวบ้าน หรือที่คนทั่วไปมักเรียกว่าเหล้าขาว ซึ่งผ่านการต้มกลั่นกันเองในหมู่บ้านข้างล่าง ก่อนที่จะแบ่งปันมาถึงพวกเจ้าหน้าที่พิทักษ์อุทยาน ให้ผ่านค่ำคืนอันเหน็บหนาวที่แสนยาวนานไปได้

มันคงจะทำให้เมฆพัดรู้สึกดีกว่าการได้เครื่องดื่มบรรเทาความหนาวบนยอดเขาแห่งนี้ ถ้าหากเขาจะไม่ต้องมาอยู่ในที่สูง จนสัญญาณการติดต่อใดๆก็ไม่สามารถใช้การได้

แม้เหล้าขาวจะดีกรีสูงมากพอขับไล่ความยะเยือกให้คลายไปชั่วครู่ชั่วยาม ทุกหยาดบาดลึกขณะล่วงสู่ลำคอจนร้อนวูบวาบ แต่ก็คงไม่เท่ากับความระอุที่คุกรุ่นในหัวใจของเมฆพัด

นับตั้งแต่ถูกหัวหน้าเรียกตัวกลับกลางดึก เพื่อประชุมด่วนจนไม่มีเวลาได้งอนง้อไต่ถามคนที่กอดกระชับชิดขอไออุ่นจากเขาเลย ว่าโกรธหรือน้อยใจกับความเกรี้ยวกราดหุนหันของเขาใช่ไหม จึงทำให้ต้องหนีอ้อมแขนนี้ไปโดยไม่ร่ำลาหรือปรับความเข้าใจกันก่อนสักคำ

พอได้คิดถึงกระไออุ่นท่ามกลางอากาศเย็นชื้นชวนสั่นสะท้าน ความรู้สึกหวามไหวของชายหนุ่มก็ยิ่งเพิ่มมากเป็นทวีคูณ ในห้องปรารถนายังคะนึงหาเรือนกายอบอุ่นละมุนหวาน ที่ทำให้เคลิบเคลิ้มหลงใหลเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ได้พบ คลั่งไคล้ทุกขณะที่ได้สัมผัสแนบชิด

ทั้งที่ยังไม่ทันได้โอบกอดให้สมกับความคิดถึง ก็มีเหตุให้ต้องมาผิดใจกัน ซึ่งเขามั่นใจว่า ทั้งตนเองและเภตรา มีเรื่องติดค้างมากพอที่ควรจะหันหน้าคุยกันให้รู้เรื่อง ก่อนที่ต่างฝ่ายจะแยกกันไปคนละทางเช่นนี้

แล้วเมื่อไหร่หนอ ที่ชายหนุ่มจะได้ลงไปปรับความเข้าใจ การจากมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยแบบนี้ อาจทำให้เภตราคิดน้อยอกน้อยใจ ประสาคนคิดมากอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่งานวิจัยทางนี้ก็สำคัญมากจนไม่สามารถละทิ้งไปได้ เพราะทุกคนทุ่มเทแรงกายแรงใจมานานนับปี เพื่อที่จะให้ได้ในสิ่งที่หลายคนเคยถอดใจ เพราะอุปสรรคนานัปการที่ทำให้ไม่อาจบรรลุผลตามเป้าหมาย

"ไงพัด .. หนาวล่ะสิ ปกติพี่ไม่ค่อยเห็นนายดื่มเท่าไหร่ หรือมีอะไรมากกว่านั้น"

"งานของเรา .. เราทุ่มเทกันมาได้เป็น ๑๐ ปี ทั้งสำรวจ เฝ้าสังเกต ศึกษา พัฒนา ดูแล .. ไม่อยากให้มันสูญหาย แต่บางที เหมือนเราลืมอะไรบางอย่างที่สำคัญไม่แพ้กันนะครับ"

เมฆพัดเปรยขึ้นราวกับรายงานขั้นตอนที่ได้ทำมาโดยละเอียดให้ทแกล้ว รุ่นพี่ในทีมวิจัยที่คลุกคลีกันมาได้ฟัง จนอีกฝ่ายต้องเสมองเสี้ยวหน้าคมคาย แต่ดูขรึมขลังเพราะรุงรังด้วยหนวดเครา ซึ่งเจ้าตัวยืนยันที่จะให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ

พระพายพัดพาความหนาวพาดผ่านอีกระลอกจากรอบทิศ ทำให้รุ่นพี่ต้องล้วงบุหรี่กล่องแดงขึ้นมา แล้วเคาะเบาๆกับโคนนิ้วชี้จนมวนบุหรี่เคลื่อนตัวออกมาสะดวกแก่การหยิบ หนุ่มรุ่นใหญ่ส่งกล่องสีแดงไปทางเมฆพัด แต่ชายหนุ่มปฏิเสธด้วยรอยยิ้มที่ถูกบดบังจนมองไม่เห็น แถมดวงตายังสะท้อนแสงหม่นไร้แววสดใส

ทแกล้วจึงคีบมันส่งให้ริมฝีปากงับเม้มไว้ มืออีกข้างควานหาไลท์เตอร์รุ่นคลาสสิคสีเงินวาว แล้วจุดมันอย่างชำนิชำนาญ กระทั่งกลุ่มควันสีขาวพวยพุ่งพ่นผ่านปากเป่าหลังจากอัดมันลึกเข้าปอด ปล่อยให้มันล่องลอยอ้อยอิ่งก่อนจางหาย

ต่างคนต่างสรรหาวิธีการให้ร่างกายอบอุ่น แต่การขับไล่ความหนาวเช่นนี้ดูเหมือนว่า ชายทั้งสองจะลืมสนใจสุขภาพของตับและปอดกันไปเลย

"อย่าใช้ปรัชญากับชีวิตให้มากนัก สุดท้ายการพูดออกไปตรงๆ .. ตามหัวใจต้องการ นั่นล่ะ ถึงจะได้สิ่งสำคัญมาครอบครอง"

"จากประสบการณ์เหรอพี่"

"เออ .. ไม่เจอกับตัว จะมาสอนนายได้เหรอ .. หึหึ"

หนุ่มรุ่นใหญ่แม้วัยจะเฉียด ๔๐ อีกเหล่มองตอบเสียงเข้มเข้าใจว่า รุ่นน้องกำลังมีเรื่องให้กลัดกลุ้ม เพราะไม่อย่างนั้นคงไม่ได้เห็นท่าทางเหนื่อยหน่ายซังกะตาย ทั้งที่อยู่กับงานที่รักมาเกือบทั้งชีวิตเช่นนี้

"แล้วที่เกาะแข้งเกาะขาตามอาจารย์กลับไปน่ะ ได้เรื่องได้ราวมั้ยล่ะ"

"หึหึ .. ถ้ามีเวลาอีกสักวันครึ่งวัน คงจะไม่ 'ได้เรื่อง' อย่างที่ไม่ควรจะได้หรอกพี่"

เมฆพัดพูดเสียงขื่นจากใจจริงๆ เพราะระยะเวลาที่น้อยเกินไป พูดกันไม่กี่คำ ซ้ำยัง 'ได้เรื่อง' แย่ๆกลับมาไม่ต่างจากหญิงสาวที่เขาเป็นห่วง

ชายหนุ่มเหม่อมองเงามืดทะมึนเบื้องหน้า ที่ตอนนี้โอบล้อมรอบตัว ๓๖๐ องศา อย่างไม่รู้เลยว่า ควรจะทำอย่างไรดี .. กับเภตรา









************************************************************



โปรดติดตามตอนต่อไป ..

ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม .. และ ขอขอบคุณสำหรับการกดไลค็เป็นกำลังใจฮะ



แรมรติ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ก.ค. 2558, 08:28:21 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ก.ค. 2558, 08:28:21 น.

จำนวนการเข้าชม : 1244





<< บทที่ ๑๐ .. อะไรก็เกิดขึ้นได้   บทที่ ๑๒ .. กลับตาลปัตร >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account