กุหลาบซ่อนกลิ่น (จบแล้ว)
นางเอกโตมาในไซด์งานก่อสร้าง ที่นั่นทำให้เธอรู้ว่า การแสดงตัวว่าเป็นหญิงเป็นเรื่องอันตราย ดังนั้นนางเอกจึงเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตัวเอง จนใคร ๆ มองว่าเป็นทอม แต่แท้จริงแล้ว เธอก็คือผู้หญิงคนหนึ่ง ที่มีรัก..และรักของเธอก็เป็นรักที่มีเวลามาเป็นตัวกำหนด....


Tags: โรแมนติก..

ตอน: 8.ยังไม่รัก แต่หึง..

ช่วงนี้ทำงานแล้วมีความสุขเลยขอผิดคำพูดสักหน่อย ตอนแรกว่าจะมาวันจันทร์ พอดีเหลือบไปเห็นปฏิทิน แล้วก็มองลึกลงไปในช่องสี่เหลี่ยม..((อิอิ))

โอเคครับ พรุ่งนี้วันหยุด วันจักรี ก็เลย โพสต์นิยายให้ได้อ่านกันขณะที่อยู่บ้านครับ..ขอบคุณสำหรับแรงใจนะครับ

8.

วิชาญแปลกใจที่เห็นสูรย์ช่วยกุสุมายกเก้าอี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ปรากฏตัวให้คนทั้งคู่เห็น และวิชาญก็ต้องแปลกใจยิ่ง ๆ ขึ้นเมื่อเห็นว่า สูรย์ช่วยกุสุมาถูพื้น แต่พอเขาขยับเข้าไปใกล้ๆ จึงได้ยินว่า สูรย์ไม่ได้ช่วย แต่ว่ากำลังสอน และเขาก็ดูออกว่ากุสุมาใช้ความกะล่อนทำให้สูรย์ถูพื้นแทน แต่อีกนั่นแหละคนอย่างคุณสูรย์ฉลาดเป็นกรด ที่ยอมโง่ ๆ ให้กุสุมาชี้นิ้วใช้แบบนี้ ก็คงมีจุดมุ่งหมาย

วิชาญนึกถึงสมัยที่สูรย์ยังคบหาอยู่กับวรรณพร ตอนนั้น ฝ่ายหญิงชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ คนแวดล้อมรู้สึกว่าสูรย์ตามใจวรรณพรเป็นอย่างมาก และทุกคนก็สรุปว่า สูรย์รักวรรณพรมากจึงได้ตามใจเสียจนน่าหมั่นไส้.. แต่ว่าก็ไม่มีใครคาดคิดว่า คนทั้งคู่จะเลิกกัน ตอนแรกก็ไม่มีใครรู้ว่าทั้งคู่เลิกกันทำไม จนกระทั่งได้เห็นการ์ดแต่งงานของคุณวรรณพร กับผู้ชายที่มาแจกการ์ดด้วยซึ่งหน้าตาออกตี๋ ๆ แตกต่างจากคุณสูรย์ วิชาญก็ยังงง ๆ ว่า คนเรามีสเป็คอยู่แล้ว แล้วจะฝืนทนคบกับอีกคนที่ไม่สเป็คไปทำไม

และเรื่องราวสั้น ๆ จากปากของสูรย์ก็สรุปว่า

‘เขาเคยรักกันมาก่อน เพียงแต่ว่า ผู้ชายไปเรียนต่างประเทศแล้วขาดการติดต่อ’




‘ตุ๊ดซี่’ มีชื่อเดิม ตอนสมัยเป็นผู้ชายว่า ‘ตู่’ แต่พอมีพฤติกรรมเบี่ยงเบียน อย่างเห็นได้ชัด เพื่อน ๆ ก็ตั้งฉายาให้ว่า ‘ตุ๊ดตู่’ และช่วงหลัง ๆ วงเกิร์ลลี่เบอร์รี่ ดังขึ้น ตุ๊ดตู่ที่แต่งหญิงก็เปลี่ยนตัวเองเป็น ‘ตุ๊ดซี่’ และก็เปลี่ยนชื่อของ ‘กิ๊บ’เพื่อนร่วมงานให้เป็น ‘กิ๊บซี่’ เพื่อจะได้คลองจองกันไปด้วย..

‘ตุ๊ดซี่’ กับ ‘กิ๊บซี่’ ทำงานร่วมกัน และถือเป็นสีสันของครัวอิ่มสุข เพราะเวลาที่ตุ๊ดซี่ออกไปเสิร์ฟเบเกอรี่ที่ร้านใหญ่ส่งมาวางขาย ตุ๊ดซี่ก็จะบรรยายกรรมวิธีการทำขนมเหมือนลูกค้ายืนอยู่หน้าเตาอบทีเดียว

‘กิ๊บซี่’ เป็นเด็กสาวที่มาจากต่างจังหวัด แรกทีเดียว ทำงานโรงงาน แต่งานหนัก เข้าทำงานเป็นกะ และไกลจากบ้านพักของพ่อแม่ที่ขายขนมกับวิ่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างอยู่ในย่านนั้น กิ๊บซี่จึงออกจากงาน แล้วมาสมัครเป็นพนักงานในร้าน Tanya Bekery หวังเอาวิชาทำขนมกับหวังใช้เวลาว่างเรียนต่อมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชไปด้วย

แต่ผ่านไปสองปี กิ๊บก็เก็บหน่วยกิตได้ไม่เท่าไหร่ ด้วยต้องทำงานเกือบทุกวัน และพอกลับไปถึงบ้านเช่าแคบ ๆ ก็รู้สึกขี้เกียจ และหนังสือของ มสธ. ก็เล่มโตเกินกว่าจะดึงตัวอักษรไปเก็บไว้ในสมองได้ แต่ว่าเมื่อรับรู้เรื่องราวของวิชาญ กิ๊บซี่ก็มีแรงใจมากขึ้น พยายามอ่านหนังสือ พยายามชวนวิชาญคุยเรื่องเรียน เรื่องอนาคต ทอดสะพานอยู่เนืองนิตย์ แข่งกับปลาคนมีนบุรีซึ่งทำงานในแผนกแคชเชียร์ แต่ว่าวิชาญก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ รวมถึงทำอย่างนั้นกับปลาด้วย

“อะไรนะตุ๊ดซี่ คุณสูรย์ช่วยม่าถูพื้นด้วยเหรอ”

“ใช่ กระหนุงกะหนิงเลยแหละ ดูนี่ซิ” ว่าแล้วตุ๊ดซี่ก็ดึงโทรศัพท์มือถือที่แอบถ่ายคลิปตอนที่สูรย์สอนกุสุมาถูพื้นไว้ให้กิ๊บซี่ได้ดู..และรูปนี้เธอก็จะต้องให้เจ้านายสาวที่กลับไปก่อนได้ดูเช่นกัน

“เรื่องจริงนี่หว่า ดูแปลก ๆ จริง ๆ ด้วย”

“เบี่ยงเบนทางเพศชัวร์ ๆ”

“คุณสูรย์นะเหรอ”

“ไอ้วิชาญแฟนแกแหละ”

ตุ๊ดซี่นั้นสันนิษฐานว่าวิชาญเป็นพวก ‘อีแอบ’ เพราะไม่สนใจผู้หญิง แต่ว่า กิ๊บซี่หาเชื่อฟัง แต่ตุ๊ดซี่ก็หาได้พยายามที่จะบอกอยู่เสมอ ๆ ว่า

‘โลกใบนี้ไม่มีอะไรแน่นอนหรอกย่ะ ฉันน่ะผ่านสนามรบมาไม่น้อยแล้ว’

ตุ๊ดซี่มีเรื่องตื่นเต้น ๆ มาเล่าให้กิ๊บซี่ฟังอยู่เสมอ และก็มักจะปิดท้ายที่เรื่องของวิชาญกับสูรย์ เพราะวิชาญนั้นถือเป็นเลขาฝ่ายซ้ายของคุณสูรย์ วิชาญสามารถขับรถออกไปเดินซื้อวัตถุดิบแทนสูรย์ยามเมื่อสูรย์ไม่อยู่ และวิชาญก็ออกไปธุระของร้านกับสูรย์อยู่บ่อย ๆ สูรย์อาจจะไม่เบี่ยงเบนทางเพศ แต่วิชาญนั้นไม่แน่ อาจจะแอบรักและคิดจะงาบสูรย์ก็ได้ หรือไม่ทั้งคู่อาจจะมีอะไรกันไปแล้วก็ได้ นั่นเป็นข้อสันนิษฐานของตุ๊ดซี่ ซึ่งกิ๊บซี่ก็ฟัง ๆ และจับตามองไว้ แต่อย่างไรวิชาญกับสูรย์ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ

จะผิดปกติก็เมื่อกุสุมาเข้ามาทำงาน วิชาญที่เคยเบิกบานแจ่มใส ดูสดใสขึ้น กิ๊บซี่เห็นวิชาญยืนคุยกับกุสุมาสองต่อสองบ่อย ๆ ทั้งหัวเราะทั้งเล่นหัว กิ๊บซี่คิดว่า วิชาญต้องชอบผู้หญิงอย่างกุสุมาแน่ ๆ ส่วนคุณสูรย์...

“หรือคุณสูรย์จะชอบกุสุมาเหมือนกัน”

“เหมือนใคร ไอ้วิชาญขี้แอ๊คนะเหรอ” เมื่อเล้าโลมเองไม่ได้ แถมวิชาญไม่ชายตาแลเพื่อนสาวสวยของตน ตุ๊ดซี่ก็ตั้งป้อมเป็นศัตรูกับวิชาญอยู่เหมือนกัน

“แต่ก็ไม่แน่นะ ผู้ชายสมัยนี้ ยากแท้หยั่งถึง อาจจะชอบของแปลก ๆ ก็ได้”

“แต่เขาก็น่ารักดีนะ..ฉันยังนึกชอบม่าเขาเหมือนกัน”

“อีทอมแบ”

“ไปว่าเขา”

“มันไม่ใช่ทอมแท้ ๆ หรอก เสแสร้ง นี่จะบอกอะไรให้นะ อีม่านี่มันก็มารยาไม่น้อยนะแก แล้วถ้าแกเป็นมัน ถามจริง มีโอกาสเลือกแกจะเลือกใคร”
กิ๊บซี่ไม่ตอบ ตุ๊ดซี่ก็เลย ต้องสาธยายต่อ “คุณสูรย์หล่อรวยสำเร็จรูป ไอ้วิชาญน่ะ ก็แค่ใฝ่ดี”

“ฉันก็มองคนที่ไม่ไกลจะเอื้อมถึงสมน้ำสมเนื้อกัน”

“นิยายน้ำเน่า” ตุ๊ดซี่ว่าให้

“ถ้าม่าชอบคุณสูรย์ ฉันก็ไม่มีคู่แข่ง”

“แล้วที่ทำ ๆ คะแนนอยู่เนี่ยเคยสอบผ่านบ้างไหม ตัดใจไปเสียเถอะย่ะ มอง ๆ คนอื่นไปเถอะ เสียเวลาเปล่า”

“เจ๊ไม่เคยมีความรักแท้ๆ เจ๊ไม่รู้หรอกว่ามันตัดได้ยากเพียงไหน”

“ทำไมจะไม่เคย..เคยแล้วเคยเล่าด้วย”

ทั้งสองคนลับฝีปากกันอย่างเคย โดยหารู้ไม่ว่าพนักงานคนอื่น ๆ ในร้าน ต่างก็ซุบซิบเรื่อง สูรย์ ช่วยกุสุมายกโต๊ะลงและสอนถูพื้นเช่นกัน




เมื่อเห็นกุสุมาเดินตัวปลิวคู่มากับวิชาญ สูรย์ที่กำลังจะก้าวขาออกจากสาขาของธนาคารที่ทำธุรกรรมด้วยซึ่งตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าต้องชะงักเท้า..ทั้งคู่ขึ้นบันไดเลื่อนไป..เขาสาวเท้าหลบคนที่เดินไปมาเพื่อสะกดรอยตาม ด้วยอยากจะรู้ว่าเวลาพักในคาบบ่าย ทั้งสองคนมาห้างกันทำไม?

แล้วเขาก็ถึงบางอ้อ เมื่อเห็นกุสุมาดึงแขนของวิชาญที่อยู่ในชุดพนักงานของร้านไปต่อแถวซื้อตั๋วหนัง เขายิ้ม ๆ กับทีท่าเด๋อด๋าของวิชาญ แต่ว่าก็นึกหมั่นไส้กุสุมาที่วันนี้ทำให้เขาเผลอใจพาตัวเองไปใกล้ชิด
พอออกจากร้านมาได้เจ้าหล่อนก็ดูสดชื่น ผิดกับตอนที่ทำงาน ตอนนั้นโอดครวญบ่นว่าหิวข้าว ระหว่างที่ทำงาน เขาดูจอมอนิเตอร์ก็เห็นว่าทำท่าปวดแข้งปวดขา แต่ตอนนี้ดูกระชุ่มกระชวยเหลือเกิน..



“ตื่นเต้นใช่ไหมล่ะ” กุสุมาเอ่ยถามวิชาที่นั่งลงเคียงข้างกันจ้องจอหนังเบื้องหน้าจนตาแทบไม่กระพริบ

“ไม่ใช่ครั้งแรกหรอก แต่ไม่ได้เข้ามานานแล้ว” วิชาญไม่ยอมรับว่าตื่นเต้น

“เหรอ..นึกว่าครั้งแรกของแก”

“ก็คงแรกในกรุงเทพฯแหละ..แล้วนี่แกมั่นใจนะว่าจะกลับไปทำงานทัน หนังมันฉายกี่โมง เลิกกี่โมง”

“ทัน ไม่ต้องกังวลหรอก”

แม้จะเป็นช่วงที่โรงหนังกำลังโฆษณาสินค้าและหนังตัวอย่างของโปรแกรมหน้าแต่คนที่นั่งอยู่เบาะหลังก็กระแอม และคนที่นั่งอยู่เบาะข้างหน้าก็หันหน้าปรายตาวาว ๆ มาให้ กุสุมาก็เลยต้องยกนิ้วชี้แตะริมฝีปากตัวเอง เพื่อให้วิชาญเงียบ

เมื่อเงียบแล้ว ใจของกุสุมาก็เพลิดเพลินไปกับจอสี่เหลียมตรงหน้า แต่ลึก ๆ หนังเรื่องนี้ก็ทำให้กุสุมานึกถึงเขา คนที่ทำให้จิตใจของตนเองปั่นป่วนรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยตอนที่เขาสอนถูพื้น เธอรู้สึกแปลก ๆ ตอนที่อยู่ใกล้ ๆ กับเธอ โดยเฉพาะดวงตากลมโตที่มองอยูที่หน้าเธอบ่อย ๆ พลางถามว่า

“ถูแบบนี้ ทำได้ไหม”

“ไหน ๆ ลองตรงนั้นสิ” เธอแสร้งชี้มือไปยังขวา และหันมาซ้าย เขาก็เลื่อนปลายไม้เล่นกับเธออย่างไม่ถือตัวไปด้วย ครั้นเขาส่งไม้ถูพื้นให้ เธอก็แกล้งยกมือกุมท้องบ่นว่าหิวจนไส้จะขาด แล้วพอเขายัดไม้ใส่มือให้เธอก็มืออ่อนกำไม้ไว้ได้

“หิวจะแย่แล้ว”

“เบเกอรี่สักชิ้นได้ป่ะ” ชิ้นละเกือบร้อย แค่คิดจะกินเธอก็รู้สึกว่าซิปกระเป๋าสตางค์มันฝืด

“ที่วางอยู่นั่นได้ไหม” เขาชี้ไปยังเบเกอรี่รสส้ม

“ไม่เอา ของแฟนตัวเองเอามาให้กินไม่ใช่เหรอ”

“ไม่ใช่แฟน” เขายืนยันหนักแน่น

“คนทำธุรกิจร่วมกันเฉย ๆ ปะ ไปกินซะก่อนค่อยมาถูพื้น..” พอเขาปะเหลาะอย่างนั้นกุสุมาก็เลยรีบไปยังโต๊ะตัวนั้น คว้าจานสีขาวขนาดพอเหมาะมือมาถือไว้แล้วใช้ช้อนคันเล็กค่อย ๆ บิชิ้นเค้กส้มออกทีละนิดก่อนจะละเลียดเข้าปากแล้วอดให้ปลายลิ้นสัมผัสกับรสชาติแท้ ๆ ของส้ม และเมื่อรับรสแล้วกุสุมาก็ทำตาลอย ๆ ทำนองว่ามันวิเศษมาก ๆ ตอนนั้นเขาถอนหายใจเบา ๆ ส่ายหน้า เพราะรู้ว่า เธอต้องการประวิง
เวลามากกว่าที่จะอยากละเลียดรสความหอมหวานนั้น

“กินเร็ว ๆ โอ้เอ้อยู่ได้”

“ก็ของมันอร่อย..แพงด้วย ต้องค่อย ๆ กิน..อะอะ อย่าเพิ่งวางไม้ ตรงนั้น ๆ ตรงนี้ ตรงโน้น” เข้าใช้ปลายไม้ไล่ถูไปยังมุมที่เธอชี้นิ้ว

นึกถึงเหตุการณ์เมื่อเช้าก็ทำให้หัวใจชุ่มฉ่ำเย็นจนกระทั่งเหน็บหนาว กุสุมาต้องยกมือมากอดอก..แต่พอหนังฉายไปสักพัก กุสุมาก็ได้กลิ่นกรุ่น ๆ ที่คุ้นจมูกมันเป็นกลิ่นกายของเขา เธอจำได้เพราะวันนั้นตอนเข้าไปรายงานตัวเธอก็ได้กลิ่นนี้ วันที่ไปงานวันเกิดแล้วเจอเขาเธอก็ได้กลิ่นนี้ แม้แต่ตอนที่เขาตามเธอไปโรงพยาบาล จนกระทั่งเมื่อเช้า ใจของกุสุมาเต้นตุบตับ เมื่อรับรู้ว่า เขาเข้ามาเกี่ยวข้องกับหัวใจของเธอมากมายได้อย่างไร ทั้งที่มันเพิ่งใช้เวลาไปได้ไม่กี่วันเอง

“คุณสูรย์” กุสุมายิ้มแหย ๆ แต่เขากลับแสร้งทำเป็นไม่เห็น กุสุมาใช้ศอกข้างขวากระทุ้งไปที่แขนวิชาญเบา ๆ วิชาญหันมาหา กุสุมาตวัดหน้าไปทางซ้าย ก่อนจะก้มตัวลงเพื่อให้วิชาญเห็นว่าสูรย์มานั่งอยู่ข้าง ๆ เธอ

“คุณสูรย์” วิชาญเอ่ยทัก สูรย์หันมาแสยะยิ้มให้ก่อนจะพิงพนักเก้าอี้ดูหนัง เหมือนว่าไม่รู้จักทั้งสองคน..



แม้กฎระเบียงของร้านจะเปิดโอกาสยกเวลาให้กับพนักงานพักในคาบบ่าย แต่สูรย์ก็ขุ่นใจไม่น้อยที่เห็นว่ากุสุมาพาวิชาญออกไปดูหนัง จนกระทั่งเขาเห็นกุสุมาขี่รถมอเตอร์โดยมีวิชาญนั่งซ้อนท้ายโดยไม่ได้สวมหมวกกันน็อคเข้ามายังลานจอด เขาก็ครุ่นคิดว่า ควรจะเรียกกุสุมามาตักเตือนหรือไม่..

เวลาผ่านไป เขานั่งมองจอมอนิเตอร์ เขาเห็นกุสุมายิ้มแย้มหัวร่อต่อกระซิกกับวิชาญ เขาก็เริ่มรู้สึกหงุดหงิดหนักขึ้น..

“พี่นก เรียกกุสุมาเข้ามาพบผมหน่อย” เขาตัดสินใจกดอินเตอร์คอมบอกความต้องการของตนผ่านพี่นกคนงานเก่าแก่ ที่น่าจะอยู่กับร้านไปอีกนาน เพราะแม่กับพ่อมีนโยบายดูแลคนที่ทำผลประโยชน์จนกระทั่งครอบครัวของเขามีวันนี้และพี่นกเองก็รักร้านเป็นอย่างมาก
อึดใจกุสุมาก็เคาะประตูก่อนจะเยี่ยมหน้าแหย ๆ เหมือนสำนึกผิดเข้ามาประจันหน้ากับเขา

“มีอะไรกับม่าหรือฮะ”

เมื่อเห็นเขายังหน้ามุ่ย กุสุมาค่อย ๆ ขยับจากประตูจะมานั่งเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของเขา

“ไม่ต้องนั่ง ยืนคุย”

“ค้ำหัวนะ” กุสุมายิ้ม ๆทำใจดีสู้เสือ

“ไม่ถือ” น้ำเสียงของเขาห้วน ๆ ใบหน้าก็เฉยเมย กุสุมาเริ่มใจแป้ว แต่ว่า ไหน ๆ ก็ไหน ยอมรับผิดไปเองเสียก็สิ้นเรื่อง ไม่ชอบเลยที่จะต้องมาลุ้นว่าเขาจะต่อว่าเรื่องอะไร

“จะเรียกมาต่อว่าเรื่องไปดูหนังใช่ไหม”

“เรื่องนั้นก็ด้วย..แต่มีเรื่องอื่นสำคัญกว่า”

“เรื่องอะไร” กุสุมาชักสีหน้าแปลกใจ

“ก่อนหน้านั้นวิชาญเป็นเด็กดีมาก แต่พอเราเข้ามา เขาก็อู้งานมาคุยกับเราอยู่บ่อย ๆ”

“ก็เราเพื่อนกัน”

“แต่นี่เป็นเวลางาน ห้าโมงกว่า ๆ ลูกค้าเริ่มเข้าร้าน เราต้องเตรียมพร้อม ไม่ใช่คุยกันสนุกสนาน”

“ก็..” กุสุมารู้สึกผิด แต่ว่าลูกค้าก็ยังบางตา แล้ววิชาญเองก็รู้หน้าที่ของตัวเองดี

“เรื่องหนัง ฉันเดาว่าเธอเป็นคนชวนเขา”

“คุณสูรย์ทำไมไม่ดูให้จบ รู้ไหมตอนจบหักมุมสุด ๆ”

“ไม่ตลก”

“อยากรู้ป่ะว่าใครเป็นมนุษย์หมาป่า อยากรู้ละเซ่ จะเล่าให้ฟัง แต่ขอนั่งก่อนได้ไหม”

“กุสุมา” เขาปรามพลางถอนหายใจออกมา

“โอเคค่ะ ต่อไป ม่าจะไม่คุยเล่นกับวิชาญอีกแล้ว พอใจไหม”

“อืม ..เรื่องหนังด้วย ขอให้เป็นครั้งนี้ครั้งแรกและครั้งสุดท้าย เวลาที่ฉันให้พนักงานผลัดกันพัก 2ถึง 3 ชั่วโมงต่อวันก็เพราะกฎหมายแรงงานเขาคุ้มครองแรงงานอยู่ ร้านเราเปิดยาวเกินสิบชั่วโมง ฉันไม่ได้จ่ายโอที เพราะฉะนั้น ก็มาพักยาว ๆ กันแบบนี้ แต่ก็อยากให้รู้ไว้ว่า ที่ให้พักไม่ใช่ให้ออกไปเอนเตอร์เทนกันขนาดนั้น อยากให้พักกายจริง ๆ อยากให้ไปทำธุระสำคัญ ๆ อยากให้ชาร์ตแบต แล้วมีความสุขกับงาน”

“แต่ร้านเราเลิกดึกนะ โรงหนังปิดพอดี”

“ก็เอาไว้ดูวันหยุด”

“วันนี้ตั๋วถูก ตั๋วนักศึกษา..ม่ากับวิชาญยังพกบัตรนักศึกษากันอยู่นะยังไม่หมดอายุ”

“ฉันเหนื่อยกับเราจริง ๆ สลดบ้างไหมเนี่ย”

“น่า อย่าซีเรียส ๆ ทำใจให้สบายให้สนุก แล้วก็อย่าคิดอะไรเยอะ เครียด ๆ จะเป็นหมันเอาได้นะ”

“ทะลึ่ง”

“พูดเรื่องจริงนะเครียดมาก ๆ เป็นหมัน หรือถ้าไม่เป็นหมัน ลูกที่เกิดมาในช่วงนั้นก็จะเป็นเด็กอารมณ์ฉุนเฉียว”

สูรย์จ้องหน้าคนอธิบายเรื่องเพศพลางถอนหายใจออกมา

“ออกไปทำงานได้แล้ว คนเริ่มมากันแล้ว” สูรย์เปลี่ยนเรื่อง กุสุมาหันหลังไปดูหน้าจอก็เลยเห็นว่าที่สูรย์ไล่เธออกจากห้องก็เพราะทรงฤทธิ์กำลังเดินเข้ามาในร้านอาหารแต่ว่า เขาเดินมากลับใคร




“กูว่าจะโทรมาบอกมึงก่อนแต่ว่าน้องพิมเขาอยากจะเซอร์ไพร์ส” ทรงฤทธิ์เอ่ยทักทายด้วยประโยคบอกเล่าตั้งแต่ผลักประตูห้องเข้ามา และคนที่ตามหลังมาด้วยก็ยิ้มกว้างเผยให้ใบหน้างดงาม ที่ไม่แตกต่างกันกับพี่สาว

“สวัสดีค่ะพี่สูรย์” อรพิมที่อยู่ในชุดกระโปรงสั้นสีน้ำตาลสีเดียวกับเสื้อสูทเข้ารูปโดยที่แขนของอรพิมก็มีกระเป๋าถือใบใหญ่บ่งบอกว่า ข้างในต้องมีของฝากจากเมืองนอก

หลังจากแขกที่ไม่ได้รับเชิญนั่งลงแล้ว ประตูห้องก็ถูกเคาะอย่างรู้หน้าที่ ปลาเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับถาดอลูมิเนียมลายใบไม้วางแก้วน้ำเย็นมารับแขกโดยที่สูรย์ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือสื่อสารไปบอก พอปลาออกไป อรพิมก็เริ่มทักทายสูรย์ทันที

“สบายดีนะคะ”

“มันไม่สบายแล้วใครจะสบาย” ทรงฤทธิ์แกล้งขัดขึ้น

“พี่ซ้งก็เรื่อย”

“พิมละสบายดีไหม” อันที่จริงสูรย์ควรจะถามว่า ไปสิงคโปร์และคนทางนั้นเป็นอย่างไรบ้าง แต่เขาก็มั่นใจว่า อย่างไรเสีย อรพิมก็ต้องเล่าอยู่แล้ว

“วันนี้กลับมาทำงานวันแรกเมื่อยชะมัดเลยค่ะ อยากจะลางานพักสักวันก็ แต่เกรงใจบอส”

“ดีแล้วที่ไม่ลา” ทรงฤทธิ์ขัดคอ ก่อนจะนึกได้ว่า ควรจะแกล้งสูรย์ให้อยู่กับอรพิมตามลำพัง พูดจบเขาก็ลุกขึ้น ขอตัวออกไปข้างนอก และสูรย์ก็เดาออกว่า ทรงฤทธิ์คงจะออกไปหากุสุมาหรือไม่ก็ไปป้วนเปี้ยนคุยอยู่หลังครัวกับน้าส้มลิ้ม แต่ดูจากจอมอนิเตอร์แล้ว ทรงฤทธิ์ออกจากประตูห้องก็กวาดตามองหาไอ้เด็กที่ชอบป่วนอารมณ์ของเขา และเขาเองก็รู้สึกหงุดหงิดไม่น้อยที่เห็นกุสุมายิ้มระรื่นเมื่อเจอหน้าเพื่อนของเขา



“ใครเหรอพี่ซ้ง แฟนพี่เหรอ”

“เปล่า แฟนไอ้สูรย์มัน” ทรงฤทธิ์ไม่ได้ดูสีหน้าคนฟัง เขากวาดตามองไปรอบ ๆ ร้านเหมือนที่เคยมอง และเขาก็เพ่งไปยังช็อปเบเกอร์รี่ของธัญรัตน์ นึกถึงเจ้าของร้านแต่ว่าก็ต้องรู้สึกเหนื่อยหน่ายเพราะเจ้าหล่อนให้ความสัมพันธ์กับเขาเพียงเพื่อน เขาถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเหลือบตามาเห็นสีหน้าผิดปกติของกุสุมาซึ่งบัดนี้ตาของมันมองไปยังห้องทำงานของสูรย์ที่มีแขกคนสำคัญอยู่ด้วย

“น้องสาวคุณวรรณพรน่ะ วรรณพรแฟนเก่าไอ้สูรย์ แต่งงานไปแล้ว น้องสาวก็เลยมาเสนอตัวแทนพี่สาว แต่ว่าไอ้สูรย์มันไม่ชอบ”

“ทำไมละ เขาก็สวยดีนี่” กุสุมารู้สึกว่าสวยกว่าคนเมื่อเช้าเสียอีก

“ไม่รู้มัน อยากรู้ก็ถามมันเอง”

“ไม่อยากรู้หรอก” กุสุมาทำเป็นเมินหน้าไปมองทางอื่น แต่ทรงฤทธิ์รู้สึกว่าสีหน้าของกุสุมานั้นดีขึ้น

“มีความหวังขึ้นมาหน่อยใช่ไหมละ” ทรงฤทธิ์ก้มลงกระซิบใกล้ ๆ หู กุสุมาที่เขินเพราะถูกรู้ทันก็เลยผลักอกอดีตพี่เลี้ยงตอนฝึกงานกระเด็นออกไปก่อนจะหลุดคำว่า ‘บ้า’ ตามไปด้วย



เมื่อเห็นว่าไม่ควรที่จะอยู่ในห้องกับอรพิมตามลำพัง สูรย์จึงอ้างกับอรพิมว่าจะไปดูไฟฟ้าที่ติด ๆ ดับ ๆ ในสวนหลังร้าน อรพิมพอมองออกว่าสูรย์ พยายามหนี อรพิมที่นำของฝากมามอบให้สูรย์แล้วก็เลยอ้างว่า จะออกไปหาน้าส้มลิ้ม ซึ่งอรพิมรู้ว่า มีความสำคัญกับสูรย์แค่ไหน
สูรย์นำออกจากห้องแล้วเดินเลี่ยงไปทางสวนหลังร้าน อรพิมเดินไปทางในครัว กุสุมาที่กำลังดูแลลูกค้ามองทั้งสองคน ก่อนจะหันไปฟังเสียงของลูกค้าซึ่งเป็นผู้หญิงวัยทำงานสี่คนซึ่งแต่ละคนก็งามสะพรั่งแต่กุสุมากลับไม่เคยนึกให้ความงามของตนเองเป็นไปแบบนั้น

“ทวนเมนูอีกรอบสิ”

กุสุมาทวนรายการอาหาร แต่ว่าไม่มีรายการสุดท้ายที่พวกเธอได้สั่งไว้

“ขอโทษ ๆ คือ..” จริง ๆ แล้วเธอใจลอย ลอยตามหลังสูรย์ไป อยากไปแหย่ให้เขามีใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม เป็นยิ้มบาง ๆ ที่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่น..

หลังจากได้รายการอาหารแล้วกุสุมาก็เดินไปยังเคาน์เตอร์แคชเชียร์วางบิลใบที่หนึ่ง ก่อนจะไปที่เคาน์เตอร์ครัวเพื่อวางเมนูอาหาร และสายตาของกุสุมาก็เห็นป้าส้มลิ้มกับคุณอรพิมนั้นกำลังคุยกันอย่างกันเอง ดูแล้วป้าส้มลิ้ม คงจะชอบแม่คนเป็นผู้หญิงทุกกระเบียดนิ้วมาก ๆ กุสุมาถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเดินใจลอย ๆ ไปบาร์น้ำเพื่อรอรับเครื่องดื่มออกไปเสิร์ฟก่อนรายการอาหารจะถูกลำเลียงออกมา


“เอามาแล้วเอากลับไปด้วยนะแก” สูรย์บอกทรงฤทธิ์ที่ยืนคุยกับลุงชมคนสวนอยู่ด้วยใบหน้าคาดโทษ เพราะทรงฤทธิ์นั้นรู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่ชอบอรพิม แต่เขาก็ยังไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้าว่าจะพาเจ้าหล่อนมาด้วย แต่อีกนั่นแหละ ถ้าทรงฤทธิ์บอกเขาก็จะต้องหาทางบ่ายเบี่ยงไม่ให้พบ เพราะส่วนหนึ่ง อรพิมมีใบหน้าละม้ายกับวรรณพร แต่อรพิมจะแต่งตัวเก่งกว่า แต่งหน้าจัดจ้านกว่า และเสื้อผ้าทรงผมนั้นก็เปรี้ยวกว่า และใบหน้าของอรพิมก็ทำให้เขาแสลงใจอยู่เนือง ๆ เพราะเขาก็ยังตัดใจจากคนที่แต่งงานจนมีลูกไปแล้วอย่างวรรณพรไม่หมดใจ กับอีกใจหนึ่ง เขารู้สึกกลัวผู้หญิงอย่างอรพิมกับธัญรัตน์เพราะเมื่อเขาไม่รัก เขาก็ไม่อยากให้ความสัมพันธ์ระดับพี่น้องหรือเพื่อนร่วมธุรกิจต้องคลอนแคลนไปด้วย

“หาทางเองแล้วกัน ข้าจะไปร้านธัญญ่า แล้ว” รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่รักตน แต่ทรงฤทธิ์ก็ถือคติว่า ‘รักต้องสู้’

“เอามาก็ต้องเอากลับด้วยสิวะ”

“เขาบอกกับข้าว่าขอแค่ติดรถมาเท่านั้น แกไปส่งเขาเหอะ ข้าไปละนะ” ตบบ่าสูรย์แล้ว ทรงฤทธิ์ก็ผละไปยังรถเก๋งของตนทิ้งให้สูรย์ยืนทำหน้าเมื่อยครุ่นคิดหาหนทางที่ไม่ต้องไปส่งอรพิมกลับบ้าน

เมื่อออกมาจากในครัว อรพิมก็เดินไปยังเคาน์เตอร์แคชเชียร์
ยืนอยู่ด้านหน้าแล้วมองคนในร้านกับพนักงานเสิร์ฟเหมือนตัวเองเป็นเจ้าของร้าน ดูกิจการที่เจริญก้าวหน้า แต่แท้จริงแล้วในวันนี้อรพิมนั้นอยากเห็นเด็กที่ทรงฤทธิ์พามาฝากงานแล้วสูรย์ก็ให้ความสำคัญจนออกนอกหน้าตามที่ ‘สาย’ รายงานไว้

“คนนี้เหรอปลา” อรพิมกระซิบกับสายสืบของตัวเองเบา ๆ

“คนนี้แหละค่ะ” ปลาทำงานพลางกระซิบเพื่อไม่ให้ พี่นกกับพี่ไก่รู้สึกผิดสังเกตไปด้วย

อรพิมก็ประเมินคู่ต่อสู้คนใหม่ทันที



จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 เม.ย. 2554, 14:11:09 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 เม.ย. 2554, 22:20:56 น.

จำนวนการเข้าชม : 3842





<< 7.พระเอกใจดี..    9. เหมือนจะรู้ใจตัวเองแล้ว.. >>
จุฬามณีเฟื่องนคร 5 เม.ย. 2554, 14:18:59 น.
สวัสดีครับเพื่อน ๆ นักอ่าน ตอนที่เริ่มเรื่องนี้ได้สองตอน พี่ นักอ่านแถว ๆ บ้านแต่เล่นเว็บสิรินดาด้วยบอกกับมะเฟื่องว่า เรื่องนี้ขอแบบจิกหมอนนะคะ ...การบ้านใหญ่เลยครับ เคยเขียนแต่จบจิก..ต้องเปลี่ยนมาจิกหมอน..


ครับ ...ผ่านไปได้สิบกว่าตอนแล้ว ก็ยอมรับว่า มีความสุขกับการทำงาน แต่อย่างไรก็ต้องขอบคุณกำลังใจเล้ก ๆ จากเพื่อน ๆ นะครับ มันทำให้ผมทำงานได้อย่างต่อเนื่องหลาย ๆ วัน อย่างไรก็ช่วย ๆ ยอกันหน่อยนะครับ..ค่อนข้างจะชอบทานลูกยอ เพราะมีสายกระตุ้นประสาทและหัวใจ

ขอบคุณปลากัด วันนี้วันอังคารคงเป็นวันสุดท้ายของการทำงานอีกวัน

คุณ innam คุณณิณ คุณหมูบิน เจ้ากิ๊ง เรียกว่าแฟนคลับได้เพราะให้กำลังใจกันมานาน

คุณ boonja คุณเจ้าชายน้อย ก้อนอิฐ เจ้าหญิงสุเอะ ฝากผลงานของมะเฟื่องไว้ในอ้อมกอดอ้อมใจด้วยครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ..

สำหรับไอ้ม่า มีอะไรให้ฮาและยังมีฤทธิ์เดชและมารยาทหญิงซ่อนไว้อยู่พอตัวแน่นอนครับ ตามติดติดตามด้วยแล้วกันครับ... เจอกันอีกทีวันจันทร์หน้าครับ..

จุ๊บ ๆ


Pat 5 เม.ย. 2554, 16:04:12 น.
ตั้งวันจันทร์ อีกตั้งหลายวันแน่ะ (แวะมาบอกว่าอ่านเรื่องนี้อยู่เหมือนกันค่ะ)


ก้อนอิฐ 5 เม.ย. 2554, 16:53:46 น.
มารอตอนต่อไปจ่ะ


สิริกมล 5 เม.ย. 2554, 16:57:03 น.
เข้ามาให้กำลังใจคนเขียน เรื่องนี้สนุกดีค่ะ


หมูบิน 6 เม.ย. 2554, 08:30:18 น.
XD มาให้กำลังใจค่ะ กำลังใจท่วมท้นเลยทางนี้ ฮ่าๆ เรื่องนี้ก็สนุกมากค่ะ


chat 6 เม.ย. 2554, 10:06:41 น.
(^-^)..natee


innam 6 เม.ย. 2554, 11:06:26 น.
ตามเป็นกำลังใจ เพราะเรื่องนี้สนุกนะคะ
คุณสูรย์แสดงออกอีกนิดว่ารักม่าหน่อยนะ


mottanoy 6 เม.ย. 2554, 13:01:28 น.
ตามทั้งสองเรื่องเลยค่ะ


เจ้ากิ๊ง 6 เม.ย. 2554, 14:59:45 น.
เสน่ห์แรงจริงๆ คุณสูรย์


Bigbee 6 เม.ย. 2554, 21:33:09 น.
สนุกดีค่ะ รอตอนต่อไปนะคะ


สปริง 7 เม.ย. 2554, 14:57:29 น.
จิกหมอนน่าสนใจดีนะคะ


เจ้าชายน้อย 7 เม.ย. 2554, 21:03:13 น.
ม่ามันแปลก ไม่เหมือนใคร
อย่างงี้สิ รสชาดของชีวิต...จริงป่ะคุณสูรย์ อิอิ

เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ้า


ณิณ 9 เม.ย. 2554, 18:55:39 น.
555 ม่าเริ่มเก็บอาการไม่ค่อยอยู่แล้วนะเนี้ยยย รอวันจันทร์ค่า^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account