ลองรัก
ศิญาดา...หญิงสาวโลกส่วนตัวสูง

กับ

เจค...หนุ่ม(ที่เคย)มาดขึม

เมื่อสวิตซ์หัวใจถูกเปิดเพียงแค่สบตา ชายหนุ่มพยายามทุกอย่างเพื่อให้ได้ครอบครองหัวใจเธอ ส่วนหญิงสาวกลับตั้งมั่นที่จะรักษากำแพงโลกส่วนตัวเอาไว้ให้ตลอด

...สุดท้าย ระหว่าง "เขา" กับ "เธอ" จะลงเลยกันได้อย่างไร ติดตามได้ใน...

~~~~ ลองรัก~~~~
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ห่างไกล..ใจโหยหา

เมื่อกลับมาถึงห้องชายหนุ่มก็เปิดโน้ตบุ๊กเพื่อเข้าไปตรวจดูข้อมูลที่ผู้ช่วยคนสนิทของเขาเตรียมไว้ให้ในดร๊อปบ๊อกซ์ที่เขาสร้างไว้สำหรับทำงานร่วมกันกับลูกน้องเพื่อความสะดวกในการใช้งานไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนก็สามารถที่จะทำงานได้ตลอดเวลาที่มีอินเทอร์เน็ต ชายหนุ่มกวาดสายตาตามตัวอักษรที่นิคได้ทำการอัพเดทไว้ก่อนหน้านี้ เพราะเรื่องนี้เองทำให้เขาต้องรีบเดินทางกลับอเมริกาทันทีทั้งที่เขาตั้งใจไว้ว่าจะอยู่ต่ออีกอย่างน้อย 2-3 วัน แต่เนื่องจากงานที่มีปัญหาและเกินกำลังที่นิคจะตัดสินใจเองได้เขาจึงต้องเดินทางกลับไปเคลียร์เอง ถึงแม้ว่าจะรู้สึกแปลกใจในตอนที่ได้รับรายงานจากลูกน้องคนสนิทว่างานมีปัญหาเกี่ยวการทุจริตภายในองค์กรของคู่ค้าของเขาเองซึ่งมันก็ไม่น่าจะต้องเกี่ยวข้องกับบริษัทของเขาตรงไหน แต่เมื่อนิคยืนยันว่ายังไงก็ต้องเป็นเขาที่ต้องกลับไปจัดการปัญหานี้เองจึงทำให้ชายหนุ่มไม่ตัดสินใจเดินทางกลับทันที
ณ ท่าอากาศยานนานาชาติฮาร์ตสฟีลด์-แจ็กสัน แอตแลนตา รัฐจอร์เจีย ร่างสูงที่ก้าวเดินปะปนออกมากับกลุ่มผู้โดยสารขาเข้านั้นช่างโดดเด่นนัก บางคนที่จำชายหนุ่มได้ถึงกับยกโทรศัพท์ขึ้นถ่ายรูปเก็บไว้ ถึงแม้จะไม่ค่อยชอบใจนักที่มีคนมาถ่ายรูปเขาในเวลาส่วนตัวแบบนี้แต่เจคก็เลือกที่จะไม่ใส่ใจเพราะตราบใดที่ไม่ก้าวล้ำเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของเขาเกินไปเขาก็ยอมรับได้
“นายเป็นไงบ้าง” ทันทีที่เจอหน้าลูกน้องคนสนิทชายหนุ่มก็ไถ่ถามอย่างใส่ใจซึ่งถือเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วเพราะเจคมักจะใส่ใจลูกน้องทุกคนของเขาเป็นอย่างดีเสมอมา
“สบายดีครับ” นิคตอบแล้วก็ถามกลับบ้าง “แล้วคุณเจคล่ะครับ” คำถามที่เหมือนกับทุกครั้งของนิคแต่ในครั้งนี้ชายหนุ่มกลับรู้สึกว่ามันต่างออกไปจากทุกครั้งเพราะสายตาแพรวที่ส่งมากับคำถามด้วยนั่นเอง
“ถ้านายทำหน้าอย่างนี้ฉันว่านายอย่าถามดีกว่า” ตอบคำถามลูกน้องอย่างคนอารมณ์ดีทั้งที่ช่วงขายาวยังก้าวเดินไม่หยุดจนกระทั่งมาถึงที่รถจอดรออยู่โดยมีเจมส์ลูกน้องอีกคนยืนรอเปิดประตูให้อยู่ ก่อนที่จะก้าวเข้าไปนั่งในรถเขาก็ทักทายเจมส์ด้วยประโยคเดียวกันกับนิคเมื่อสักครู่ ถึงแม้เจมส์จะไม่ถามเขากลับแต่การตอบรับคำทักทายด้วยสายตาลักษณะเดียวกันกับนิคก็ทำให้เขารู้ได้ทันทีว่าสาเหตุที่เขาอยู่เมืองไทยต่อทุกคนรอบตัวเขาคงรู้เรื่องกันหมดแล้ว
“งานที่ต้องเคลียร์อยู่ที่ออฟฟิศไม่ใช่หรอ” ชายหนุ่มถามทันทีที่เห็นว่ารถเบนซ์คันงามที่เขานั่งอยู่ไม่ได้มุ่งหน้าไปยังออฟฟิศของเขาแต่กลับวิ่งไปในทางที่เป็นบ้านของเขาแทน
“ตอนนี้นายท่านรอคุณเจคอยู่ที่บ้านแล้วครับ” นิคที่นั่งอยู่ข้างหน้าข้างเจมส์ซึ่งทำหน้าที่เป็นสารถีหันกลับมาตอบผู้เป็นนายที่นั่งอยู่ข้างหลัง
“นี่เป็นแผนของพ่อใช่มั๊ย” คำตอบที่ได้รับมาคือความนิ่งของลูกน้องทั้งสองทำให้ชายหนุ่มหายสงสัยทันทีว่าเรื่องแค่นี้ทำไมเขาถึงต้องมาเคลียร์ด้วยตนเอง
เจคเอนกายไปตามเบาะหนังแท้ของรถยนต์เพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากการเดินทางหลายชั่วโมง แค่เพียงหลับตาภาพของศิญาดาก็ฉายเข้ามาในความคิดของเขาทันที นี่ขนาดว่าพึ่งจะจากกันไม่ถึงวันเขายังคิดถึงเธอขนาดนี้แล้วกว่าจะได้กลับไปพอกับอีกครั้งเขาจะทนได้สักกี่วันกันหนอ ชายหนุ่มคิดแล้วก็กดริมฝีปากเบาๆ ยิ้มให้กับความคิดของตัวเอง ชายหนุ่มรู้ตัวเองดีว่าเขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนแค่ความคิดถึงทำไมถึงทำให้เขาวุ่นวายใจได้ขนาดนี้ เมื่อคิดหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เจคจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเข้าแอพพลิเคชั่นที่ใช้เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตทันที
‘แค่วันเดียวที่ไม่ได้เห็นหน้าคุณผมก็คิดถึงคุณจะแย่แล้ว’
ประโยคสั้นๆ ตามสไตล์ของเจคแต่กลับบ่งบอกอาการของผู้ส่งได้อย่างชัดเจนถูกส่งออกไปทันทีเมื่อพิมพ์เสร็จ ชายหนุ่มนั่งกุมโทรศัพท์รอการตอบอีเมล์กลับจากเธออย่างใจจดใจจ่อเพราะถ้าเทียบเวลาระหว่างซีกโลกที่เขาอยู่กับประเทศไทยตอนนี้ก็น่าจะประมาณเกือบๆ 4 ทุ่ม เขาหวังว่าเธอจะไม่เข้านอนเร็วเกินไป เสียงเตือนที่ดังขึ้นทำให้เขารู้ว่ามีอีเมล์ใหม่ถูกส่งเข้ามา
‘เดินทางเป็นยังไงบ้างคะ’ เจคกดดูข้อความในอีเมล์เข้าด้วยความตื่นเต้น แต่แล้วข้อความสั้นๆ ที่เธอส่งกลับมาก็ทำให้เขาถึงกับอึ้งไปนิด ทั้งที่เขาคิดถึงเธอเสียมากมายแต่เธอกลับถามเขามาแค่เรื่องการเดินทาง ไม่มีคำไหนที่บอกให้เขารู้เลยว่าเธอกำลังคิดถึงเขาอย่างที่เขาคิดถึงเธอเลย ชายหนุ่มกดพิมพ์ข้อความส่งกลับไปอีกครั้ง
‘เหมือนผมกำลังคิดถึงคุณอยู่ฝ่ายเดียว น่าน้อยใจจริงๆ’ เขาไม่อยากจะคิดเลยถ้ามีใครมาเห็นข้อความแบบนี้ของเขา ชายหนุ่มจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ภาพลักษณ์ที่ทุกคนส่วนใหญ่รู้จัก เจค เลาท์เนอร์ ชายหนุ่มผู้เคร่งขรึม พูดน้อยแต่เด็ดขาดเข้าขั้นโหดจนเป็นที่น่าเกรงขามกับคู่ต่อสู้ทางธุรกิจจะสามารถพิมพ์ที่ขี้อ้อนได้ขนาดนี้
ผ่านไปเกือบชั่วโมงหลังจากที่เขาส่งข้อความไปแต่หญิงสาวก็ยังไม่ตอบกลับมาหาเขาสักที หรือว่าเธอจะหลับไปแล้วก็ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะเขาตอบข้อความของเธอกลับไปทันทีที่เธอส่งมา เวลาแค่ไม่ถึงนาทีเธอจะหลับเร็วขนาดนั้นเลยหรือ เพราะมัวแต่ครุ่นคิดเรื่องของเธอทำพอมองออกไปนอกรถอีกครั้งก็พบว่าตอนนี้รถเบนซ์คันหรูได้เลี้ยวเข้าสู่บริเวณบ้านหลังใหญ่กันอาณาบริเวณเกือบ 10 ไร่พอดี เจคก้าวลงจากรถทั้งที่เรื่องนี้ยังค้างอยู่ในหัว
บ้านหลังใหญ่ที่ผสมผสานกันหลากหลายสไตล์ได้อย่างลงตัวทั้งยุโรป อิตาเลียนและอื่นๆ อีกเล็กๆ น้อยๆตามความต้องการของผู้ค่ำหวอดในวงการงานอสังหาริมทรัพย์และงานก่อสร้าง วิลล์ เลาท์เนอร์ ถือได้ว่าเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงทางด้านสถาปัตยกรรมการออกแบบซึ่งเป็นสาขาวิชาที่เขาร่ำเรียนมาเมื่อเป็นหนุ่มบวกธุรกิจเกี่ยวกับการก่อสร้างที่มีมาแต่รุ่นพ่อของเขาทำให้เขายิ่งมีฝีมือจนเป็นที่ยอมรับของหลายคนในตอนนั้น ความสามารถที่เป็นการบอกเล่าปากต่อปากทำให้เขาคิดเพิ่มขนาดของธุรกิจของครอบครัวที่มีอยู่ให้ใหญ่ขึ้น แต่กว่าที่ธุรกิจของเขาจะมั่นคงได้ขนาดนั้นก็ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย จนเมื่อลูกชายคนโตของเขามีความคิดที่จะขยายกิจการของครอบครัวต่อจากที่มีอยู่ด้วยการจับงานด้านอสังหาริมทรัพย์จนประสบผลสำเร็จมาจนทุกวันนี้ บ้านหลังนี้จึงแปลกตาไม่เหมือนใครสมกับเป็นบ้านของเจ้าพ่อด้านงานก่อสร้างตัวจริง
“คิดถึงแม่จังครับ” จูเลีย เลาท์เนอร์ผู้เป็นแม่ถึงกับร้องออกมาด้วยความตกใจที่อยู่ๆ ก็ถูกหอมแก้มโดยไม่ได้ตั้งตัวทำเอาผู้เป็นพ่อถึงกับหัวเราะชอบใจ ชายหนุ่มนั่งลงข้างหญิงที่เขายกให้เป็นที่หนึ่งในบ้าน
“คิดถึงแต่ไม่ยอมกลับบ้าน” ผู้เป็นแม่บ่นเบาๆ แต่ชายหนุ่มก็ยังได้ยิน
“กลับมาแล้วนี่ครับ” พูดแล้วก็หอมแก้มอีกข้าง “ผมยังฝากพ่อหอมแก้มแม่แทนด้วยเลย” ชายหนุ่มมองไปยังผู้เป็นพ่อที่นั่งตอนนี้วางหนังสือพิมพ์ในมือลงมองภรรยาและลูกชายด้วยรอยยิ้ม
“เอ...หรือว่าพ่อจะไม่ได้หอมแก้มแม่อยากที่ผมบอกแม่ถึงได้งอนผมแบบนี้ โอ๊ย!!” พูดจบก็ต้องร้อยอยากมาดังๆด้วยความเจ็บ
“นี่ล้อแม่หรอ บิดแค่นี้ทำเป็นร้องซะเสียงดัง ตัวก็ไม่ใช่เล็กๆ แล้วนะเราเนี้ย” ถึงแม้จะอยู่กันมานานแต่แม่ของเขาก็ยังอายเสมอเวลาที่พ่อแสดงความรักไม่ว่าจะทางร่างกายหรือสายตาก็ตาม
“เปล่านะครับ ก็ผมคิดถึงแม่จริงๆ นี่นาเลยฝากให้พ่อหอมแก้มแทน”
“คิดถึงแล้วทำไมไม่กลับบ้านล่ะ” จูเลียจ้องเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลของลูกชาย
“ผมติดธุระนิดหน่อยครับ” ชายหนุ่มปด
“ติดธุระหรือว่าติดสาวกันแน่” ผู้เป็นแม่สะกิดได้โดยใจเขามาก
“แล้วแม่อยากได้สาวมั๊ยล่ะครับ ถ้าอยากได้ผมจะหาทางพามาให้แม่ให้ได้” ชายหนุ่มพูดด้วยรอยยิ้มที่ปิดไม่มิด
“ถ้าจริงอย่างที่บอกก็ดีสิ อายุอานามก็ไม่ใช่น้อยแล้วนะเราน่ะ แม่อยากอุ้มหลานเต็มแก่แล้ว” จูเลียบอกความในใจ
“ผมน่ะจริงอยู่แล้วครับ กลัวก็แต่เธอเท่านั้น” น้ำเสียงที่หงอยลงทำเอาผู้เป็นพ่อที่นั่งฟังอยู่ตลอดถึงกับหัวเราะออกมาดังๆ
“เพราะทำเป็นเล่นกับสาวอื่นไว้เยอะก็แบบนี้แหละ พอโดนซะบ้างถึงกับซ่าไม่ออกเลยหรือไอ้เสือ”
“จริงหรอลูก แม่ชักอยากจะเจอเธอแล้วสิว่าจะเป็นยังไง” ผู้เป็นแม่พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเมื่อเห็นท่าทีเอาจริงกับการมีคนรักของลูกในครั้งนี้
“ถ้าเธอง่ายเหมือนคนอื่นก็ดีสิครับ นี่ก็ตื้อแทบแย่ยังได้มาแค่อีเมล์” คราวนี้ไม่ใช่แค่พ่อเท่านั้นที่หัวเราะแม่ของเขาก็เอาด้วย
“ไปกันเถอะคุณ ปล่อยให้หนุ่มสาวเขาอีเมล์จีบกันดีกว่า คงอีกนานกว่าจะได้ผล” พูดจบก็เดินมารั้งแขนของภรรยาให้เดินตามออกไปทิ้งให้ลูกชายนั่งทำหน้าเซ็งอยู่เพียงลำพัง แต่ผู้เป็นภรรยาก็ยังขืนตัวเองไว้เพราะยังอยากรู้เรื่องลูกชายกับสาวคนนั้นให้มากกว่านี้ “เอาน่า คุณดูหน้าลูกชายคุณตอนนี้สิ หน้ายังกับหมาหงอย” ฝ่ามือพิฆาตฟาดลงที่แขนของสามีเบาๆ
“เอ๊ะ! คุณนี่ยังไง มาว่าลูกเป็นหมา” จูเลียโวยวาย
“โธ่! ที่รัก ผมก็แค่เปรียบเทียบเท่านั้นเอง นั่นก็ลุกผมเหมือนกันนะ ผมว่าเราไปนั่งเล่นที่สวนดีกว่า ปล่อยให้ลูกพักผ่อนเถอะพึ่งจะเดินทางมาเหนื่อยๆ” ถึงแม้จะยังมีท่าทีงอนอยู่แต่ก็ยอมให้สามีเดินโอบไปที่สวนหน้าบ้านตามที่เขาบอกไว้
หลังจากที่พ่อแม่เดินออกไปชายหนุ่มก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คอีเมล์ทันที แต่สิ่งที่เห็นก็ทำให้เขาถึงกับถอนหายใจ เธอยังไม่ตอบอีเมล์กลับมา! ในเมื่อเขาฟังเสียงหัวใจแล้วมันบอกว่าใช่คนนี้เขาจะไม่ยอมหยุดแค่นี้หรอก วันนี้เธออาจต้องการพักผ่อนหลังจากที่เหนื่อยจากการทำงานมาทั้งวันเลยไม่ได้ตอบอีเมล์เขากลับมา คิดแล้วเจคก็พิมพ์ข้อความส่งอีเมล์กลับไปหาเธออีกครั้ง
‘ฝันดีนะครับ’ พอกดส่งไปแล้วชายหนุ่มก็เดินขึ้นไปยังห้องนอนของตนเองที่อยู่ชั้นบนเพื่อพักผ่อนบ้าง วันนี้ทั้งการเดินทางและคิดถึงเธอทั้งวันจนเขารู้สึกเหนื่อยจนอยากจะหลับสักงีบเพื่อเอาแรง

หญิงสาวผู้ที่อยู่อีกซีกโลกซึ่งตอนนี้กลับรู้สึกตื่นเต็มตาไร้ซึ่งความง่วงงุนใดๆ หลักจากที่ได้รับข้อความที่สองจากชายหนุ่มที่เข้ามาทำให้เธอรู้สึกหวั่นไหว ข้อความตัดพ้อที่เธอได้รับยิ่งเพิ่มพูนความหวั่นไวในตัวเธอให้มีมากขึ้นโดยที่ไม่เคยมีชายคนใดทำได้มาก่อน ถึงแม้ว่าชีวิตในด้านความรักของเธอจะราบเรียบเพราะกำแพงที่เธอสร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันตัวเองแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีชายใดเข้ามาในชีวิตของเธอเลย อย่างมากที่สุดที่จะสามารถเข้าถึงพื้นที่ข้างในของเธอได้ก็แค่คนรู้จักเท่านั้น แต่กับเขาคนนี้เธอรู้ดีว่าเขากำลังจะก้าวผ่านกำแพงที่เธอสร้างเข้ามาพื้นที่ข้างในของเธอซึ่งเหมือนว่าเขาจะเข้ามาได้ง่ายเหลือเกินเมื่อเทียบกับคนอื่น ง่ายจนเธอกลัวใจตัวเองว่าถ้าในวันหนึ่งเธอยอมรับเขาเข้ามาเต็มตัวแล้วเธออาจจะต้องเจ็บเหมือนอย่างที่เพื่อนๆ ของเธอได้พบเจอมาแล้ว ความกลัวที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจทำให้ศิญาดาตัดสินใจปิดหน้าต่างที่ใช้ในการส่งอีเมล์ลงทันทีแล้วตั้งใจทำงานที่ค้างอยู่ให้เสร็จ แต่สุดท้ายความรู้สึกแปลกๆ ที่มีอยู่ในใจบวกกับความอยากรู้ว่าเขาจะส่งอีเมล์กลับมาอีกหรือไม่ก็ทำให้ต้องเปิดหน้าต่างที่ใช้ในการส่งอีเมล์ขึ้นมาอีกครั้ง ข้อความสั้นๆ ที่ถูกส่งมาอีกเป็นครั้งที่ 3 ทำให้ศิญาดารู้สึกโหวงในใจอย่างบอกไม่ถูก เธอยอมรับว่าในใจลึกๆ แล้วก็ยังหวังว่าเขาจะพูดอะไรมากว่านี้ อาการผิดหวังลึกๆ ทำให้หญิงสาวส่งอีเมล์ตอบกลับไปหาเขาอีกครั้ง
‘ฝันดีเช่นกันนะคะ” ข้อความสั้นๆ แต่กลับใช้เวลานานนับสิบนาทีกว่าจะกดส่งไปหาเขาได้ พอกดส่งเสร็จก็นั่งจ้องหน้าจอโน้ตบุ๊กรอคอยการตอบกลับจากเขาอย่างตั้งใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนใกล้จะเข้าวันใหม่ศิญาดาก็กดปิดโน้ตบุ๊กเพื่อเข้านอนเพราะพรุ่งนี้เธอยังต้องทำงานอีก หญิงสาวเดาว่าเขาคงจะหลับไปแล้วเพราะเหนื่อยจากการเดินทางหลายชั่วโมง กว่าหญิงสาวจะข่มตาให้หลับลงได้ก็ล่วงเข้าวันใหม่ไปเกือบชั่วโมง

หลังจากพักผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางชายหนุ่มก็เดินลงมาจากชั้นบนเพื่อทานอาหารเย็นร่วมกับพ่อแม่หลังจากไม่ได้อยู่ทานอาหารเย็นร่วมกันเกือบ 2 สัปดาห์เพราะเขาเดินทางไปพักผ่อนที่ประเทศไทยนั่นเอง หลังจากรับประทานอาหาเย็นเสร็จสิ้นชายหนุ่มก็นั่งคุยกับผู้เป็นพ่อต่อ
“ผมรู้นะครับว่างานไม่ได้มีปัญหาจริงอย่างที่นิคบอก” เจคเอ่ยถามพ่ออย่างรู้ทัน ถึงแม้เขาจะอยู่ไกลแค่ไหนแต่เรื่องของเขาก็ไม่เคยรอดสายตาของผู้เป็นพ่อไปได้
“ก็แค่อยากเห็นหน้าคนกำลังมีความรัก” คำว่า ‘ความรัก’ ของพ่อทำให้ชายหนุ่มถึงกับนิ่ง
“ผมไม่รู้ว่ามันจะเรียกว่าความรักได้หรือเปล่า มันเร็วจนผมเองก็คิดไม่ถึง”
“ความรักมันไม่ใช่เรื่องของเวลา แต่มันเป็นเรื่องของหัวใจ” วิลล์บอกกับลูกชายอย่างผู้ผ่านเรื่องนี้มาก่อน
“ผมสัมผัสได้ถึงกำแพงที่เธอสร้างมันขึ้นมาเพื่อป้องกันตัวเอง เธอปฏิเสธผมเพียงเพราะความแตกต่างหลายๆอย่าง ยิ่งอยู่ไกลกันอย่างนี้ผมยิ่งกลัวว่ากำแพงที่เธอสร้างขึ้นมามันจะหนาขึ้นกว่าเดิม” ชายหนุ่มรำพึง
“แต่ละคนล้วนมีพื้นที่ส่วนตัวของตัวเองทั้งนั้น แต่เมื่อเราสามารถก้าวเข้าไปยังพื้นที่นั้นได้พ่อว่ามันคุ้มค่ากว่าอะไรที่สุด” วิลล์ให้กำลังใจลูกชาย
“ผมก็หวังเช่นนั้นครับ”
“แม่เราเขาอยากอุ้มหลายเต็มทีแล้ว” พูดจบก็ตบไหล่ลูกชายเบาๆ แล้วเดินจากไป
เจคยืนอยู่ตรงนั้นสักพักก็เดินกลับไปยังห้องนอนที่มีส่วนหนึ่งถูกแบ่งให้เป็นห้องทำงาน ถึงแม้ช่วงเวลาที่เขาไม่ได้อยู่ที่นี่จะมีลูกน้องคนสนิทที่ไว้ใจให้ทำงานแทนเขาได้ทำงานอยู่แต่เขาก็ยังต้องตรวจความเรียบร้อยอีกครั้งเพื่อความไม่ประมาท เพราะการผิดพลาดเพียงเล็กน้อยบางอย่างอาจจะเป็นการเปิดโอกาสให้คู่แข่งทางธุรกิจที่มีอยู่ในตอนนี้ใช้เป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขันได้ เพราะครั้งล่าสุดที่มีปัญหาเกิดขึ้นเพียงเพราะคู่ค้าธุรกิจสายงานก่อสร้างเกิดหักหลังกันเองจนทำให้กระทบมาถึงเขาและคู่แข่งคนสำคัญของเขาคือ โอลิเวอร์ สมิธ เข้ามาแทรกแซงจนเกิดการกระทบกระทั่งกัน ถึงแม้ว่าเขาจะแก้ไขปัญหาได้แต่โอลิเวอร์ก็ยังหาโอกาสที่จะทำลายความน่าเชื่อถือของธุรกิจของเขามาถึงทุกวันนี้ ชายหนุ่มทำงานจนลืมเวลา กว่า 6 ชั่วโมงที่เขาใช้เวลากับการตรวจและวางแผนงานจนตอนนี้ 5 ทุ่ม 50 นาทีแล้ว เจคลุกขึ้นบิดตัวเพื่อลดความเมื่อยล้าจากการนั่งทำงานเป็นเวลานาน อาจจะเป็นเพราะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่หลังจากกลับมาถึงบ้านจึงทำให้ตอนนี้แม้จะดึกแล้วแต่เขาก็ยังไม่ง่วง ชายหนุ่มเดินผ่านเข้าไปยังห้องนอนที่อยู่ติดกันแล้วเขาก็นึกขึ้นได้เมื่อเห็นโทรศัพท์มือถือยังคงวางอยู่ที่หัวเตียงนอนเช่นเดิม ขายาวก้าวไปยังตำแหน่งที่โทรศัพท์วางอยู่ทันทีเมื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก็จัดการปลดล็อกด้วยรหัสผ่านส่วนตัวอย่างรวดเร็ว อีเมล์คือสิ่งแรกที่ชายหนุ่มเปิดเข้าไปดูแล้วเขาก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจเมื่อเห็นข้อความที่เธอส่งมา อย่างน้อยการส่งข้อความตอบกลับมาของเธอก็ทำให้เขารู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้างเพราะเธอยังไม่ตัดขาดการติดต่อกับเขา ชายหนุ่มมองตัวเลขที่บอกเวลาบนหน้าจอโทรศัพท์เพื่อเทียบเวลา เวลา 12 ชั่วโมงที่ต่างกันบอกให้รู้ว่าตอนนี้คือเวลาเที่ยงตรงขอประเทศไทย
‘ทานมื้อเที่ยงรึยังครับ’ ส่งออกไปยังไม่ถึง 5 นาทีก็มีข้อความตอบกลับเข้ามา
‘กำลังรออาหารที่สั่งอยู่ค่ะ’
‘คุณสั่งอะไรหรอ’
‘ข้าวกระเพราะไก่ไข่ดาวค่ะ’ ศิญาดาบอกชื่ออาหารสิ้นคิดในความคิดของหลายๆคน
‘ผมเดาว่าคุณคงชอบอาหารรสจัด’ ชายหนุ่มพยายามศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเธอ
‘ค่ะ รสจัดช่วยให้ไม่เลี่ยน แล้วงานของคุณเป็นยังไงบ้าง’ ศิญาดาเปลี่ยนเรื่องคุยโดยถามถึงงานที่เขาบอกเธอว่าต้องกลับไปเคลียร์
‘ไม่มีอะไรมากครับ แล้วงานคุณล่ะครับ’ เจคถามกลับบ้าง
‘มีปัญหานิดหน่อยแต่ก็ยังโอเคค่ะ’ หญิงสาวบอกตามความจริง เพราะตอนนี้เธอต้องกำลังแก้งานให้ลูกค้าอยู่
‘พักผ่อนบ้างนะครับ ผมเป็นห่วง’ ข้อความเห็นห่วงใยของเขาทำให้ศิญาดารู้สึกอุ่นวาบไปทั้งตัว นอกจากพ่อแม่และเพื่อนสนิทแล้วก็ไม่มีใครที่พูดแบบนี้กับเธอเลย การมีคนคอยเห็นห่วงตัวเองเพิ่มขึ้นอีกแค่คนเดียวทำมันถึงได้รู้สึกดีขนาดนี้ รอยยิ้มบางผุดขึ้นแต้มบนใบหน้าทันที
‘ขอบคุณค่ะ คุณน่าจะพักผ่อนได้แล้วนะคะ เวลาที่นั่นน่าจะเที่ยงคืนกว่าแล้ว’ หญิงสาวบอกเมื่อเทียบเวลาดู
‘ผมนอนดึกเป็นปกติอยู่แล้ว อีกอย่างพึ่งหลับไปหลายชั่วโมงตอนมาถึงที่นี่’ ชายหนุ่มพยายามจะบอกเพื่อสื่ออะไรบางอย่าง
‘นอนดึกไม่ดีต่อสุขภาพนะคะ’ ข้อความแฝงความห่วงใยที่ส่งมาจากเธอทำให้เจคถึงกับยิ้มหน้าบาน
‘ผมแข็งแรงออก อีกอย่างยังอยากคุยกับคุณอยู่ ถ้าคุณต้องทำงานผมจะไม่รบกวนคุณไว้คุณเสร็จงานก่อน ผมรอได้’ คนตัวโตที่ตอนนี้ดูจะอยากกลายร่างเป็นเด็กต่อรอง
‘กว่าฉันจะทำงานเสร็จเวลาที่นั่นก็คงเช้าพอดี’
‘แค่คุณบอกให้ผมรอ ผมก็จะรอ”
‘คุณกำลังทำให้ฉันลำบากใจนะคะ’ หญิงสาวบอกความจริงเมื่อเห็นว่าเขายังยืนยันที่จะรอ ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากจะคุยกับเขา แต่เพราะเธอต้องเคลียร์งานด่วนที่ทำค้างอยู่ให้เสร็จแล้เธอไม่ใช่คนใจร้ายขนาดที่ปล่อยให้ใครรอทั้งๆ ที่รู้ตัวแบบนั้น
‘ผมขอโทษที่ทำให้คุณต้องลำบากใจ’ ชายหนุ่มยอมถอยเมื่อรู้ว่าเขากำลังรุกเธอเกินไป
‘ไว้คุยกันช่วงนี้ก็ได้ค่ะ ฉันพอจะมีเวลาว่างแล้วคุณก็จะได้ไม่ดึกจนเกินไป’ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเธอถึงยอมใจอ่อนให้กับเขาง่ายได้ขนาดนี้
‘ตกลงตามนั้นครับ ไว้คุยกันพรุ่งนี้นะครับ...ที่รัก!’ ประโยคสุดท้ายของเขามันคือความรู้สึกจากใจของเขาที่อยากบอกเธอ แค่เพียงเธอยอมใช้เวลาว่างช่วงพักกลางวันคุยกับเขาแค่นี้เขาก็ดีใจแล้วเพราะนั่นหมายความว่ากำแพงที่เธอสร้างไว้ป้องกันตัวเองไม่ได้หนาเพิ่มขึ้นจากครั้งสุดท้ายที่เจอกันก็เป็นสัญญาณที่ชัดเจนแล้วว่าเธอกำลังเปิดใจรับเขาเข้าไปพื้นที่ของเธอทีละนิด
ประโยคสุดท้ายของเขาทำให้ศิญาดาถึงขั้นต้องหลบสายตาเพื่อนร่วมงานเข้าไปในห้องน้ำเลยทีเดียว ‘ที่รัก’ แค่คำสั้นๆ แต่กลับทำให้สมองเธอตื้อไปหมดคิดอะไรไม่ออก รู้แต่ว่าตอนนี้โลกมันเหมือนจะสดใส มองอะไรเธอก็รู้สึกว่ามันดีไปหมด นี่หรือที่เขาเรียกว่าความรัก!

*******************************************************
ขอลงยาวๆ เลยละกันนะคะ เพราะเค้าจะไม่อยู่ 2-3 วัน ^_^



ศิริรตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 ก.ค. 2558, 21:54:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 ก.ค. 2558, 21:54:03 น.

จำนวนการเข้าชม : 922





<< ทำตามเสียงของหัวใจ 100%   ห่างกาย แต่ใกล้ใจ 25% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account