หัวใจค้นรัก
เป็นนิยายที่แต่งจบแล้วเก็บใส่ลิ้นชักมานาน นำมาแปะให้อ่านระหว่างเตรียมต้นฉบับส่ง สนพ. ค่ะ
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 3
................
ตอนที่ 3
ปัณณวิชญ์ขมวดคิ้วมุ่นเมื่อต้องยืนประจัญหน้ากับห้องวิจัยที่ประตูและแสงไฟภายในปิดสนิท
จากห้องทำงานส่วนตัวเขาเดินมานี่ใช้เวลาไม่ถึง ๓ นาทีเลย แต่แม่ผู้ช่วยวิจัยที่ทั่วประเทศไทยหาได้คนเดียวของเขานี่หายไปแล้ว!
ให้ตายเถอะ! ชายหนุ่มสบถในใจ ไอ้เรื่องหนีกลับนี่ ผู้หญิงคนนี้ไวอย่าบอกใคร!
ปัณณวิชญ์พ่นลมหายใจออกมาพรืดใหญ่ขณะเอื้อมมือไปหมุนลูกบิดจะเปิดประตู แต่ว่า...
แก็กๆ มันติดล็อก
ให้มันได้อย่างนี้สิ! ปัณณวิชญ์เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้งเลย ก็ทั้งๆที่บอกแล้วว่าจะเข้ามาดูงานที่สั่งไว้ แต่ผู้หญิงคนนั้นดันล็อกประตูเฉย
ชายหนุ่มล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงข้างขวา ตั้งใจว่าจะหยิบกุญแจขึ้นมาไข แต่ทว่า...วันนี้กลับไม่เจอ
“หืม?” ปัณณวิชญ์เลยเปลี่ยนใหม่ ล้วงลงไปในกระเป๋าข้างซ้าย แต่ก็ยังไม่เจอ คราวนี้เลยเอามือตบลงไปบนกระเป๋าสองข้าง แต่ก็ยังไม่มีแม้แต่วัตถุคล้ายกุญแจอยู่ในกระเป๋าเขาเลย
เฮ้ย! แล้วนี่เขาเอากุญแจตัวเองไปวางไว้ที่ไหนเนี่ย ชายหนุ่มพยายามนึก และด้วยสมองที่ฉลาดล้ำ ไม่ถึงนาทีเขาก็นึกได้ว่าตัวเองน่ะกระแทกมันไว้บนโต๊ะแล็บตอนที่เขากำลังฉุนศาสตราจารย์สาริศกับชลนิกานต์นั่นเอง
“โธ่เว้ย!” แล้วก็ได้แต่ร้องออกมาอย่างสุดแสนหงุดหงิด เขาเงื้อมือหมายจะทุบประตูเพื่อระบายอารมณ์ฉุนเฉียวไปสักปัง ทว่านาทีนั้น กำปั้นต้องมีอันชะงักเพราะโสตประสาทดันได้ยินเสียงฟู่ดังอยู่ในห้อง ชายหนุ่มถึงกับตัวชาวาบเพราะเสียงนั้นมันบ่งชัด
ก๊าซรั่ว!
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นมาทันทีที่ชลนิกานต์ก้าวขามาหยุดตรงป้ายรถเมล์ หญิงสาวล้วงมือลงไปในกระเป๋าหยิบ เจ้าเครื่องอิเล็กทรอนิกอันจิ๋วออกมา เห็นชื่อที่ปรากฏหราแล้วชลนิกานต์ก็เผลอตัวหันไปเบ้หน้า ทำท่าอย่างกับว่าอยากจะอาเจียนออกมาสักหนึ่งแหวะ
แต่บังเอิญไอ้ด้านข้างที่หันไปนั่น ดันมีเด็กหนุ่มนักศึกษายืนรอรถเมล์อยู่ตรงนั้นพอดี หญิงสาวเลยชะงักค้างขณะที่หนุ่มน้อยคนนั้นได้แต่กะพริบตา มองหน้าชลนิกานต์ก่อนจะตัดสินใจก้าวขา กระเถิบห่างออกไปหนึ่งก้าว
“แหะๆ” ชลนิกานต์ได้แต่ยิ้มแหยแก้เก้อให้หนุ่มน้อย ก่อนจะหันกลับมามองหน้าจอมือถืออีกครั้ง ใจร่ำๆอยากจะยัดมันกลับลงไปอยู่ก้นกระเป๋าตามเดิมชะมัด แต่แน่แหละ อย่างเธอทำได้เสียที่ไหน แต่...
เฮ้! เดี๋ยวสิ จู่ๆก็เหมือนกับจะพบทางสว่างใสขึ้นมายังไงยังงั้น เพราะทำไมเธอถึงจะทำไม่ได้เล่า ก็ในเมื่อคนโทร.มาไม่ได้กำลังยืนตีหน้ายักษ์อยู่ข้างๆเธอสักหน่อยนี่นา เพราะงั้นก็ทำไม่สนใจ แล้วหมกโทรศัพท์กลับไปไว้ก้นกระเป๋าเลย
นั่นละ เข้าที!
คิดแล้วหญิงสาวก็จัดการหย่อนโทรศัพท์กลับลงไปในกระเป๋าทั้งๆที่มันยังดังอยู่ แล้วแค่อึดใจเดียวมันก็...เงียบ
โอ๊ย! สมบูรณ์แบบสุดชีพ แหม! สมองน้อยๆของเธอนี่ ก็คิดอะไรเข้าท่าได้เหมือนกัน แล้วชลนิกานต์ก็ยืนหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว ก่อนจะหันมาเจอเข้ากะหนุ่มน้อยคนข้างๆอีก เด็กหนุ่มถึงกับสะดุ้งเฮือก หลบสายตาวูบ ก่อนกระเถิบออกห่างชลนิกานต์ไปอีกหนึ่งก้าวแล้วตั้งต้นชะเง้อคอมองหารถเมล์เอาเป็นตาย
ชลนิกานต์ถึงกับหน้าเหวอ ก็น้องผู้ชายคนนั้นต้องคิดว่าเธอเป็นคนไม่เต็มเต็งแน่ๆเลย ทั้งหมดนี่เพราะด็อกเตอร์วิชญ์คนเดียวเลย!
นึกโทษไปยังไม่ทันไร โทรศัพท์จากด็อกเตอร์วิชญ์ก็ดังขึ้นอีก ชลนิกานต์ตกลงใจเล่นลูกไม้เดิม ปล่อยให้มันดังไปเรื่อยจนสายถูกตัดไปเอง แต่ทว่าโทรศัพท์ก็ยังดังขึ้นเป็นมารอบที่สาม สี่ และห้า!
เหอ! โทร.จี้หนักขนาดนี้ แปลว่าจะลากเธอกลับไปให้ได้ใช่ไหม!
ชลนิกานต์ทำหน้าเหม็นเบื่อและตัดสินใจแน่วแน่ว่า ไม่ ทนไปไม่ถึงอึดใจ รถเมล์สายที่รอก็มาเสียที นาทีนี้หญิงสาวไม่รอช้าสักนิด ชลนิกานต์รีบตรงดิ่งไปขึ้นรถทันที แม้วันนี้ไม่ได้จัดว่าคนแน่นเท่าไหร่ แต่ก็เหลือแค่ที่ตรงเบาะยาวด้านท้ายให้นั่งได้เท่านั้น ปกติชลนิกานต์ก็ไม่นิยม แต่ถ้าเลือกไม่ได้ก็ดีกว่ายืนไปแล้วกัน
หญิงสาวหย่อนกายลงนั่ง กำลังควานหาสตางค์สำหรับจ่ายค่าโดยสารทีเดียวเสียงโทรศัพท์รอบที่หกก็ดังขึ้น
เห็นได้ชัดว่าด็อกเตอร์วิชญ์นั้นไม่ละความพยายามแม้แต่น้อย เขายังคงโทร. โทร. และโทร.!
มันชักผิดปรกติเหมือนกัน ชลนิกานต์เริ่มฉุกคิดขณะที่หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วชั่งใจ แน่ละว่าเธอรู้ ว่ามันต้องเกี่ยวกับเรื่องกุญแจของเขาอยู่แล้ว แต่ก่อนจะออกมาเธอก็ตรวจดูแล้วว่ากุญแจนั่นมันแค่กุญแจเปิดเข้าห้องวิจัย ไม่ได้มีกุญแจบ้านกุญแจรถอะไรเขารวมอยู่ด้วยแน่
แล้วทำไมพ่อเจ้าประคุณรุนช่องต้องกระหน่ำโทร.ขนาดนี้?
หรือจะมีเรื่องสำคัญจริง
ชลนิกานต์ชักไม่แน่ใจแล้ว แต่ถึงอย่างไรจากประสบการณ์ที่ผ่านมา เรื่องสำคัญของด็อกเตอร์วิชญ์ก็ไม่พ้นเรื่องงานเรื่องแล็บที่สั่งให้เธอทำสักที หนนี้มันก็คงเหมือนกันนั่นแหละ ชลนิกานต์บอกตัวเองอย่างนั้นและพยายามแข็งใจให้โทรศัพท์ตัดไปเองเช่นทุกที แต่หนนี้มันไม่ง่ายเลยจริงๆเพราะ
หกครั้งเชียวนะ! หกครั้ง!
เออ! เอาเถอะ ชลนิกานต์ตัดสินใจ รับก็รับ อย่างไรเสียเธอก็ขึ้นรถเมล์มาแล้วเพราะฉะนั้นต่อให้โลกแตกสลาย ด็อกเตอร์วิชญ์ก็ไม่มีทางสั่งให้เธอกลับไปเปิดห้องวิจัยให้ได้แน่ๆ
ชลนิกานต์กดปุ่มรับสาย
“ค่ะ หวัดดีค่ะ” แล้วก็กรอกเสียงลงไป พยายามมากมายที่จะบังคับเสียงมิให้ส่อพิรุธเมื่อถามต่อว่า “ด็อกเตอร์โทร.มามีอะ...”
“คุณทำอะไรไว้ชลนิกานต์!” ปลายสายโพล่งพรวด “กลับมาเปิดห้องแล็บให้ผมเดี๋ยวนี้!”
โธ่เอ๊ย! นั่นยังไง ว่าแล้วไม่มีผิด!
ชลนิกานต์จึงสวนกลับทันทีทันใด ชนิดมั่นใจเต็มเปี่ยมอีกต่างหาก
“โอ๊ะ! เสียใจค่ะด็อกเตอร์ ฉันกลับไปให้ไม่ได้หรอก เพราะฉันอยู่บนรถเมล์เรียบร้อยแล้ว”
ฮ่าๆ บอกไปแล้วก็อยากจะหัวเราะให้สะใจ เพราะป่านนี้ด็อกเตอร์วิชญ์คงโกรธจนแทบจะเต้นผางได้แล้วมั้ง ชลนิกานต์ละนึกภาพเขาออกเลย!
แต่ไม่ทันจะได้สะใจให้ฉ่ำปอด ด็อกเตอร์วิชญ์ก็ดูจะอารมณ์ขาดเสียงดังผึง
“ผมไม่สนเลยว่าคุณจะอยู่ที่ไหน” เขาระเบิดเสียงมา “แต่ต้องได้ชลนิกานต์! กลับมาเปิดห้องให้ผมเดี๋ยวนี้! ด่วนมาก! เข้าใจมั้ย!”
อ้าว! ไฉนถึงพูดแมวๆอย่างนี้ล่ะท่าน! ชลนิกานต์เองก็ชักจะฉุนเหมือนกัน เพราะก็คิดอยู่แต่ว่าเขาจะมาบ้าอำนาจสั่งเธอแบบนี้ได้อย่างไร รู้บ้างไหมว่าเธอก็สาวมั่น เพราะอย่างนั้น...
“ไปไม่ได้ค่ะ” ชลนิกานต์ยืนยันคำเดิม ก่อนขยายเพิ่มด้วยเสียงจริงจังว่า “รถเมล์มันวิ่งอยู่นะคะ แล้วจะให้ฉันลงไปได้ยังไง ด็อกเตอร์ต้องคิดถึงหลักความจริงสิคะว่า”
“ก๊าซอะไรบางอย่างในห้องกำลังรั่ว! และผมเข้าไปไม่ได้เพราะคุณล็อกห้องไปทั้งๆที่กุญแจผมอยู่ในนั้น เข้าใจมั้ย!”
“โธ่! กะอีแค่ก๊าซรั่ว ด็อกเตอร์ก็รอ...”
ชลนิกานต์กะพริบตาปริบๆ ๒ ทีเมื่อท้ายที่สุด ๒ คำในประโยคยาวๆก็ถูกแปรผลผ่านสมองได้ว่า
ก๊าซรั่ว...
“หา!” หญิงสาวลุกพรวดขึ้นมาจากเบาะนั่ง ก่อนตะโกนลั่นบอกคนขับรถเมล์ด้านหน้า “จอด! จอดรถด้วยค่ะ ฉันทำก๊าซรั่ว!”
ปัณณวิชญ์เดินไปมาหน้าห้องวิจัยไม่ผิดอะไรกับเสือติดจั่น ก็จะไม่ให้เป็นเช่นนั้นได้อย่างไรในเมื่อเสียงฟู่ที่ดังออกมาไม่ขาดสายทุกนาที
ไม่! ทุกๆวินาทีต่างหาก
เสียงนั่นมันทำให้เขานึกถึงอันตรายหลายล้านอย่างที่อาจเกิดได้เพราะในห้องวิจัยเขามีถังก๊าซอยู่ตั้งหลายชนิด คาร์บอนไดออกไซด์! ไนโตรเจน! ออกซิเจน! ไฮโดรเจน! ฮีเลียม! พวกนั้นมีทั้งที่ติดไฟได้ ช่วยให้ไฟติด รวมถึงก๊าซทำให้คนสูดดมหมดสติอีกต่างหาก แล้วไอ้ที่ฟู่ๆออกมาอยู่ตลอดเวลานี่คือก๊าซบ้าอะไรเขาก็ไม่รู้ รู้แต่ป่านนี้มันกระจายเต็มห้องไปแล้ว!
“เฮ้ย! ผมอยากจะบ้ากับคุณนัก ชลนิกานต์!” ชายหนุ่มได้แต่สบถออกมาอย่างขัดเคือง ทำไมตอนนี้ทั้งตึกถึงต้องเหลือเขาอยู่คนเดียวด้วย เขาละอยากให้ศาสตราจารย์สาริศมาอยู่ร่วมในสถานการณ์อันเกิดจากวีรกรรมที่ชลนิกานต์ทำหนนี้ชะมัด จะได้ถือโอกาสถามชัดๆ
นี่หรือครับ คนดีของอา?!
หลังจากโดดผลุงลงจากรถเมล์มาได้ ชลนิกานต์ก็นึกอะไรไม่ออกนอกจากจะวิ่งกระหืดกระหอบลืมตายมาเรื่อย ยังนับว่าโชคดีที่รถเมล์แล่นไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ ไม่อย่างนั้นสงสัยเธอได้ตายจริงแน่ ในที่สุดหญิงสาวก็วิ่งหอบแฮ่กมาจนถึงหน้าอาคารวิจัยความสูง ๑๐ ชั้นจนได้ ด้วยความร้อนใจก็ถลาพรวดเข้าไปกดลิฟต์
แต่แน่ละ! ในยุคที่ต้องตระหนักถึงภาวะโลกร้อนและช่วยกันประหยัดพลังงานแล้ว และในสถานที่ราชการตอนเวลาเกือบสามทุ่มเนี่ย ลิฟต์ที่ไหนมันจะเปิด!
ชลนิกานต์แทบอยากร่ำไห้ให้โลกแตกสลายกันไปข้าง ก็ห้องวิจัยด็อกเตอร์วิชญ์นั้นอยู่บนชั้น ๖
แต่เอาเถอะ! เธอเข้าใจว่านี่ไม่ใช่เวลามาหาเรื่องตัดพ้อต่อว่าโชคชะตาหรือนโยบายประหยัดพลังงานใดๆทั้งสิ้น ชลนิกานต์ตัดสินใจวิ่งไปขึ้นบันไดทันที
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาอีกครั้งขณะที่ชลนิกานต์กำลังเกาะราวก้าวขึ้นบันไดขั้นที่ ๗๕ และก็เพราะว่าเหนื่อยจนลิ้นห้อย หญิงสาวจึงได้แต่บ่นออกมาเป็นห้วงๆ
“เหอ...จะ...โทร...มา...ทำ...มาย” แต่ถึงอย่างไร คิดในอีกแง่ก็พอจะเข้าใจหัวอกคนที่ต้องฟังเสียงก๊าซรั่ว เขาคงร้อนใจหนักหนาชลนิกานต์จึงแข็งใจ ล้วงมือลงไปในกระเป๋าควานหาโทรศัพท์มากดรับ
“ค่ะ...”
“ถึงไหนแล้ว?!” แล้วด็อกเตอร์วิชญ์ก็ถามพรวดมา ไม่มีอารัมภบทสักนิด
“ชั้น...สี่...นิดๆค่ะ ฉัน...กำลัง...ขึ้นบันได...ไป...”
“ดีมาก รีบวิ่งขึ้นมาเลยนะ เร็วเข้า ผมรออยู่หน้าประตูนี่ ก๊าซมันรั่วใหญ่แล้ว” สั่งจบก็วางสายไป แต่ชลนิกานต์นี่แทบอยากจะขาดใจตายไปตรงนั้น ให้รีบวิ่งขึ้นไปเนี่ยนะ! เขาคิดว่าการต้านแรงดึงดูดของโลกพรวดๆขึ้นบันไดมาเจ็ดสิบขั้นกว่าๆแล้วจะไม่ทำให้ผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเธอเหนื่อยเลยใช่ไหม เขาถึงสั่งให้รีบวิ่งขึ้นไปอีก ๔๕ ขั้น!
อีตาด็อกเตอร์ใจร้าย!
แต่แน่ละ ไอ้ตัวต้นเหตุอย่างเธอจะไปมีปัญญาหือหาฟูมฟายอะไร ชลนิกานต์ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากแข็งใจวิ่งขึ้นไปตามคำสั่งเท่านั้น
กว่าชลนิกานต์จะตะกายขึ้นมาถึงได้ก็เล่นเอาแทบตาย แต่นั่นคงไม่ใช่สิ่งเลวร้ายที่สุดสำหรับเธอ เพราะนอกจากข้อเท็จจริงที่ว่าเธอต้องวิ่งขึ้นบันได ๑๒๐ ขั้นมาชนิดไม่ได้หยุดแล้ว ห้องวิจัยด็อกเตอร์วิชญ์ยังอยู่ห่างออกไปเป็นห้องสุดท้ายของระเบียงทางเดินอีกต่างหาก
ชลนิกานต์ตาลายๆและรู้สึกได้ว่าตัวเองเอาออกซิเจนลงปอดไม่ทันเลย หญิงสาวต้องยืนเกาะราวบันไดหอบแฮ่กอยู่ตรงหัวระเบียงทางเดิน แต่แสงไฟที่เปิดไว้สว่างจ้าก็ส่องให้เห็นร่างสูงสง่าที่เดินกลับไปกลับมาหน้าห้องไม่ยอมหยุด
รู้สึกได้เลยว่าด็อกเตอร์วิชญ์ร้อนใจและวิตกจริตเพียงไหน เพราะนอกจากเดินไปเดินมาเขายังไปสรรหาเก้าอี้ตัวใหญ่มาวางขัดประตูห้องวิจัยไว้อีก สันนิษฐานได้ว่าเขาคงเอามากันและลดแรงกระแทกหากก๊าซมันเกิดระเบิดตูมตามมั้ง
แต่ไอ้ก๊าซนั่นมันไม่ระเบิดนี่ โธ่! แต่ว่าไม่ได้ ก็เขาไม่รู้นี่ว่าก๊าซที่รั่วอยู่คือก๊าซอะไร เพราะฉะนั้นชลนิกานต์ก็ตระหนักว่าถึงเวลาที่เธอต้องเข้าไปช่วยเขาแล้ว!
ชลนิกานต์รู้สึกแน่แก่ใจ ว่าตัวเองมีความสำคัญและจำเป็นสุดๆในการแก้ไขสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานครั้งนี้ เพราะอย่างนั้น...
“ด็อกเตอร์คะ!” หญิงสาวแข็งใจเรียกเขาเสียงดังก้อง “ฉันมาแล้วค่ะ!”
“ชลนิกานต์!”
แม้แต่เสียงที่เปล่งมายังฟังออกเลยว่าด็อกเตอร์วิชญ์โล่งใจขนาดไหนที่เธอมาถึงได้ในที่สุด ชลนิกานต์สาวเท้าวิ่งเข้ามาเร็วจี๋ แต่นั่นก็ยังไม่ไวเท่าร่างสูงที่ก้าวพรวดๆเข้ามาหาเธอด้วยเหมือนกัน
“เร็วเข้า เอากุญแจมาให้ผม” ชายหนุ่มบอก พร้อมมือใหญ่หนาที่ยื่นมารอรับกุญแจจากเธอ แต่ทว่า...
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันจะรับผิดชอบเข้าไปปิดมันเอง”
“หา?!”
ไวเท่าคำพูดเมื่อชลนิกานต์วิ่งฉิวผ่านหน้าเขาไป แล้วก็ต้องใช้เวลาถึง ๕ วินาทีกว่าที่ชายหนุ่มจะสะบัดหน้ามาและเห็นว่าหญิงสาวดันเก้าอี้ที่เขาเอามาขวางไว้ออกไป ใส่กุญแจเข้าลูกบิดแล้วไขเสียงดังกริ๊ก
“เฮ้ย! เดี๋ยว ชลนิกานต์” ปัณณวิชญ์ร้องลั่น “ก๊าซนั่น!”
แต่ชลนิกานต์ไม่ฟัง สถานการณ์วิกฤตแบบนี้เวลาแค่วินาทีก็ปล่อยไม่ได้ หญิงสาวดึงประตูผลัวะแล้วดิ่งเข้าไป ปากยังร้องบอกให้เขาสบายใจได้ว่า
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มันไม่ระ...” แต่พูดได้แค่นั้นชลนิกานต์ก็ชะงัก เพราะจู่ๆดันรู้สึกวืด โลกทั้งใบเกิดอาการหมุนติ้วกะทันหัน
“ใช่!” เสียงเขาตอบรับ ซ้ำยกมือตบหน้าผากตัวเองดังฉาด “มันไม่ระเบิด แต่ความเข้มข้นขนาดนั้น มันก็แค่ทำให้คุณหมดสติได้เท่านั้นเอง!”
ชายหนุ่มถอนใจดังเสียงเฮือก ก่อนต้องพุ่งไปรับร่างผู้ช่วยวิจัยสาวซึ่งร่วงผล็อยลงมาไม่ต่างอะไรกับแมลงที่ถูกน็อกเลย
ตอนที่ 3
ปัณณวิชญ์ขมวดคิ้วมุ่นเมื่อต้องยืนประจัญหน้ากับห้องวิจัยที่ประตูและแสงไฟภายในปิดสนิท
จากห้องทำงานส่วนตัวเขาเดินมานี่ใช้เวลาไม่ถึง ๓ นาทีเลย แต่แม่ผู้ช่วยวิจัยที่ทั่วประเทศไทยหาได้คนเดียวของเขานี่หายไปแล้ว!
ให้ตายเถอะ! ชายหนุ่มสบถในใจ ไอ้เรื่องหนีกลับนี่ ผู้หญิงคนนี้ไวอย่าบอกใคร!
ปัณณวิชญ์พ่นลมหายใจออกมาพรืดใหญ่ขณะเอื้อมมือไปหมุนลูกบิดจะเปิดประตู แต่ว่า...
แก็กๆ มันติดล็อก
ให้มันได้อย่างนี้สิ! ปัณณวิชญ์เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้งเลย ก็ทั้งๆที่บอกแล้วว่าจะเข้ามาดูงานที่สั่งไว้ แต่ผู้หญิงคนนั้นดันล็อกประตูเฉย
ชายหนุ่มล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงข้างขวา ตั้งใจว่าจะหยิบกุญแจขึ้นมาไข แต่ทว่า...วันนี้กลับไม่เจอ
“หืม?” ปัณณวิชญ์เลยเปลี่ยนใหม่ ล้วงลงไปในกระเป๋าข้างซ้าย แต่ก็ยังไม่เจอ คราวนี้เลยเอามือตบลงไปบนกระเป๋าสองข้าง แต่ก็ยังไม่มีแม้แต่วัตถุคล้ายกุญแจอยู่ในกระเป๋าเขาเลย
เฮ้ย! แล้วนี่เขาเอากุญแจตัวเองไปวางไว้ที่ไหนเนี่ย ชายหนุ่มพยายามนึก และด้วยสมองที่ฉลาดล้ำ ไม่ถึงนาทีเขาก็นึกได้ว่าตัวเองน่ะกระแทกมันไว้บนโต๊ะแล็บตอนที่เขากำลังฉุนศาสตราจารย์สาริศกับชลนิกานต์นั่นเอง
“โธ่เว้ย!” แล้วก็ได้แต่ร้องออกมาอย่างสุดแสนหงุดหงิด เขาเงื้อมือหมายจะทุบประตูเพื่อระบายอารมณ์ฉุนเฉียวไปสักปัง ทว่านาทีนั้น กำปั้นต้องมีอันชะงักเพราะโสตประสาทดันได้ยินเสียงฟู่ดังอยู่ในห้อง ชายหนุ่มถึงกับตัวชาวาบเพราะเสียงนั้นมันบ่งชัด
ก๊าซรั่ว!
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นมาทันทีที่ชลนิกานต์ก้าวขามาหยุดตรงป้ายรถเมล์ หญิงสาวล้วงมือลงไปในกระเป๋าหยิบ เจ้าเครื่องอิเล็กทรอนิกอันจิ๋วออกมา เห็นชื่อที่ปรากฏหราแล้วชลนิกานต์ก็เผลอตัวหันไปเบ้หน้า ทำท่าอย่างกับว่าอยากจะอาเจียนออกมาสักหนึ่งแหวะ
แต่บังเอิญไอ้ด้านข้างที่หันไปนั่น ดันมีเด็กหนุ่มนักศึกษายืนรอรถเมล์อยู่ตรงนั้นพอดี หญิงสาวเลยชะงักค้างขณะที่หนุ่มน้อยคนนั้นได้แต่กะพริบตา มองหน้าชลนิกานต์ก่อนจะตัดสินใจก้าวขา กระเถิบห่างออกไปหนึ่งก้าว
“แหะๆ” ชลนิกานต์ได้แต่ยิ้มแหยแก้เก้อให้หนุ่มน้อย ก่อนจะหันกลับมามองหน้าจอมือถืออีกครั้ง ใจร่ำๆอยากจะยัดมันกลับลงไปอยู่ก้นกระเป๋าตามเดิมชะมัด แต่แน่แหละ อย่างเธอทำได้เสียที่ไหน แต่...
เฮ้! เดี๋ยวสิ จู่ๆก็เหมือนกับจะพบทางสว่างใสขึ้นมายังไงยังงั้น เพราะทำไมเธอถึงจะทำไม่ได้เล่า ก็ในเมื่อคนโทร.มาไม่ได้กำลังยืนตีหน้ายักษ์อยู่ข้างๆเธอสักหน่อยนี่นา เพราะงั้นก็ทำไม่สนใจ แล้วหมกโทรศัพท์กลับไปไว้ก้นกระเป๋าเลย
นั่นละ เข้าที!
คิดแล้วหญิงสาวก็จัดการหย่อนโทรศัพท์กลับลงไปในกระเป๋าทั้งๆที่มันยังดังอยู่ แล้วแค่อึดใจเดียวมันก็...เงียบ
โอ๊ย! สมบูรณ์แบบสุดชีพ แหม! สมองน้อยๆของเธอนี่ ก็คิดอะไรเข้าท่าได้เหมือนกัน แล้วชลนิกานต์ก็ยืนหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว ก่อนจะหันมาเจอเข้ากะหนุ่มน้อยคนข้างๆอีก เด็กหนุ่มถึงกับสะดุ้งเฮือก หลบสายตาวูบ ก่อนกระเถิบออกห่างชลนิกานต์ไปอีกหนึ่งก้าวแล้วตั้งต้นชะเง้อคอมองหารถเมล์เอาเป็นตาย
ชลนิกานต์ถึงกับหน้าเหวอ ก็น้องผู้ชายคนนั้นต้องคิดว่าเธอเป็นคนไม่เต็มเต็งแน่ๆเลย ทั้งหมดนี่เพราะด็อกเตอร์วิชญ์คนเดียวเลย!
นึกโทษไปยังไม่ทันไร โทรศัพท์จากด็อกเตอร์วิชญ์ก็ดังขึ้นอีก ชลนิกานต์ตกลงใจเล่นลูกไม้เดิม ปล่อยให้มันดังไปเรื่อยจนสายถูกตัดไปเอง แต่ทว่าโทรศัพท์ก็ยังดังขึ้นเป็นมารอบที่สาม สี่ และห้า!
เหอ! โทร.จี้หนักขนาดนี้ แปลว่าจะลากเธอกลับไปให้ได้ใช่ไหม!
ชลนิกานต์ทำหน้าเหม็นเบื่อและตัดสินใจแน่วแน่ว่า ไม่ ทนไปไม่ถึงอึดใจ รถเมล์สายที่รอก็มาเสียที นาทีนี้หญิงสาวไม่รอช้าสักนิด ชลนิกานต์รีบตรงดิ่งไปขึ้นรถทันที แม้วันนี้ไม่ได้จัดว่าคนแน่นเท่าไหร่ แต่ก็เหลือแค่ที่ตรงเบาะยาวด้านท้ายให้นั่งได้เท่านั้น ปกติชลนิกานต์ก็ไม่นิยม แต่ถ้าเลือกไม่ได้ก็ดีกว่ายืนไปแล้วกัน
หญิงสาวหย่อนกายลงนั่ง กำลังควานหาสตางค์สำหรับจ่ายค่าโดยสารทีเดียวเสียงโทรศัพท์รอบที่หกก็ดังขึ้น
เห็นได้ชัดว่าด็อกเตอร์วิชญ์นั้นไม่ละความพยายามแม้แต่น้อย เขายังคงโทร. โทร. และโทร.!
มันชักผิดปรกติเหมือนกัน ชลนิกานต์เริ่มฉุกคิดขณะที่หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วชั่งใจ แน่ละว่าเธอรู้ ว่ามันต้องเกี่ยวกับเรื่องกุญแจของเขาอยู่แล้ว แต่ก่อนจะออกมาเธอก็ตรวจดูแล้วว่ากุญแจนั่นมันแค่กุญแจเปิดเข้าห้องวิจัย ไม่ได้มีกุญแจบ้านกุญแจรถอะไรเขารวมอยู่ด้วยแน่
แล้วทำไมพ่อเจ้าประคุณรุนช่องต้องกระหน่ำโทร.ขนาดนี้?
หรือจะมีเรื่องสำคัญจริง
ชลนิกานต์ชักไม่แน่ใจแล้ว แต่ถึงอย่างไรจากประสบการณ์ที่ผ่านมา เรื่องสำคัญของด็อกเตอร์วิชญ์ก็ไม่พ้นเรื่องงานเรื่องแล็บที่สั่งให้เธอทำสักที หนนี้มันก็คงเหมือนกันนั่นแหละ ชลนิกานต์บอกตัวเองอย่างนั้นและพยายามแข็งใจให้โทรศัพท์ตัดไปเองเช่นทุกที แต่หนนี้มันไม่ง่ายเลยจริงๆเพราะ
หกครั้งเชียวนะ! หกครั้ง!
เออ! เอาเถอะ ชลนิกานต์ตัดสินใจ รับก็รับ อย่างไรเสียเธอก็ขึ้นรถเมล์มาแล้วเพราะฉะนั้นต่อให้โลกแตกสลาย ด็อกเตอร์วิชญ์ก็ไม่มีทางสั่งให้เธอกลับไปเปิดห้องวิจัยให้ได้แน่ๆ
ชลนิกานต์กดปุ่มรับสาย
“ค่ะ หวัดดีค่ะ” แล้วก็กรอกเสียงลงไป พยายามมากมายที่จะบังคับเสียงมิให้ส่อพิรุธเมื่อถามต่อว่า “ด็อกเตอร์โทร.มามีอะ...”
“คุณทำอะไรไว้ชลนิกานต์!” ปลายสายโพล่งพรวด “กลับมาเปิดห้องแล็บให้ผมเดี๋ยวนี้!”
โธ่เอ๊ย! นั่นยังไง ว่าแล้วไม่มีผิด!
ชลนิกานต์จึงสวนกลับทันทีทันใด ชนิดมั่นใจเต็มเปี่ยมอีกต่างหาก
“โอ๊ะ! เสียใจค่ะด็อกเตอร์ ฉันกลับไปให้ไม่ได้หรอก เพราะฉันอยู่บนรถเมล์เรียบร้อยแล้ว”
ฮ่าๆ บอกไปแล้วก็อยากจะหัวเราะให้สะใจ เพราะป่านนี้ด็อกเตอร์วิชญ์คงโกรธจนแทบจะเต้นผางได้แล้วมั้ง ชลนิกานต์ละนึกภาพเขาออกเลย!
แต่ไม่ทันจะได้สะใจให้ฉ่ำปอด ด็อกเตอร์วิชญ์ก็ดูจะอารมณ์ขาดเสียงดังผึง
“ผมไม่สนเลยว่าคุณจะอยู่ที่ไหน” เขาระเบิดเสียงมา “แต่ต้องได้ชลนิกานต์! กลับมาเปิดห้องให้ผมเดี๋ยวนี้! ด่วนมาก! เข้าใจมั้ย!”
อ้าว! ไฉนถึงพูดแมวๆอย่างนี้ล่ะท่าน! ชลนิกานต์เองก็ชักจะฉุนเหมือนกัน เพราะก็คิดอยู่แต่ว่าเขาจะมาบ้าอำนาจสั่งเธอแบบนี้ได้อย่างไร รู้บ้างไหมว่าเธอก็สาวมั่น เพราะอย่างนั้น...
“ไปไม่ได้ค่ะ” ชลนิกานต์ยืนยันคำเดิม ก่อนขยายเพิ่มด้วยเสียงจริงจังว่า “รถเมล์มันวิ่งอยู่นะคะ แล้วจะให้ฉันลงไปได้ยังไง ด็อกเตอร์ต้องคิดถึงหลักความจริงสิคะว่า”
“ก๊าซอะไรบางอย่างในห้องกำลังรั่ว! และผมเข้าไปไม่ได้เพราะคุณล็อกห้องไปทั้งๆที่กุญแจผมอยู่ในนั้น เข้าใจมั้ย!”
“โธ่! กะอีแค่ก๊าซรั่ว ด็อกเตอร์ก็รอ...”
ชลนิกานต์กะพริบตาปริบๆ ๒ ทีเมื่อท้ายที่สุด ๒ คำในประโยคยาวๆก็ถูกแปรผลผ่านสมองได้ว่า
ก๊าซรั่ว...
“หา!” หญิงสาวลุกพรวดขึ้นมาจากเบาะนั่ง ก่อนตะโกนลั่นบอกคนขับรถเมล์ด้านหน้า “จอด! จอดรถด้วยค่ะ ฉันทำก๊าซรั่ว!”
ปัณณวิชญ์เดินไปมาหน้าห้องวิจัยไม่ผิดอะไรกับเสือติดจั่น ก็จะไม่ให้เป็นเช่นนั้นได้อย่างไรในเมื่อเสียงฟู่ที่ดังออกมาไม่ขาดสายทุกนาที
ไม่! ทุกๆวินาทีต่างหาก
เสียงนั่นมันทำให้เขานึกถึงอันตรายหลายล้านอย่างที่อาจเกิดได้เพราะในห้องวิจัยเขามีถังก๊าซอยู่ตั้งหลายชนิด คาร์บอนไดออกไซด์! ไนโตรเจน! ออกซิเจน! ไฮโดรเจน! ฮีเลียม! พวกนั้นมีทั้งที่ติดไฟได้ ช่วยให้ไฟติด รวมถึงก๊าซทำให้คนสูดดมหมดสติอีกต่างหาก แล้วไอ้ที่ฟู่ๆออกมาอยู่ตลอดเวลานี่คือก๊าซบ้าอะไรเขาก็ไม่รู้ รู้แต่ป่านนี้มันกระจายเต็มห้องไปแล้ว!
“เฮ้ย! ผมอยากจะบ้ากับคุณนัก ชลนิกานต์!” ชายหนุ่มได้แต่สบถออกมาอย่างขัดเคือง ทำไมตอนนี้ทั้งตึกถึงต้องเหลือเขาอยู่คนเดียวด้วย เขาละอยากให้ศาสตราจารย์สาริศมาอยู่ร่วมในสถานการณ์อันเกิดจากวีรกรรมที่ชลนิกานต์ทำหนนี้ชะมัด จะได้ถือโอกาสถามชัดๆ
นี่หรือครับ คนดีของอา?!
หลังจากโดดผลุงลงจากรถเมล์มาได้ ชลนิกานต์ก็นึกอะไรไม่ออกนอกจากจะวิ่งกระหืดกระหอบลืมตายมาเรื่อย ยังนับว่าโชคดีที่รถเมล์แล่นไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ ไม่อย่างนั้นสงสัยเธอได้ตายจริงแน่ ในที่สุดหญิงสาวก็วิ่งหอบแฮ่กมาจนถึงหน้าอาคารวิจัยความสูง ๑๐ ชั้นจนได้ ด้วยความร้อนใจก็ถลาพรวดเข้าไปกดลิฟต์
แต่แน่ละ! ในยุคที่ต้องตระหนักถึงภาวะโลกร้อนและช่วยกันประหยัดพลังงานแล้ว และในสถานที่ราชการตอนเวลาเกือบสามทุ่มเนี่ย ลิฟต์ที่ไหนมันจะเปิด!
ชลนิกานต์แทบอยากร่ำไห้ให้โลกแตกสลายกันไปข้าง ก็ห้องวิจัยด็อกเตอร์วิชญ์นั้นอยู่บนชั้น ๖
แต่เอาเถอะ! เธอเข้าใจว่านี่ไม่ใช่เวลามาหาเรื่องตัดพ้อต่อว่าโชคชะตาหรือนโยบายประหยัดพลังงานใดๆทั้งสิ้น ชลนิกานต์ตัดสินใจวิ่งไปขึ้นบันไดทันที
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาอีกครั้งขณะที่ชลนิกานต์กำลังเกาะราวก้าวขึ้นบันไดขั้นที่ ๗๕ และก็เพราะว่าเหนื่อยจนลิ้นห้อย หญิงสาวจึงได้แต่บ่นออกมาเป็นห้วงๆ
“เหอ...จะ...โทร...มา...ทำ...มาย” แต่ถึงอย่างไร คิดในอีกแง่ก็พอจะเข้าใจหัวอกคนที่ต้องฟังเสียงก๊าซรั่ว เขาคงร้อนใจหนักหนาชลนิกานต์จึงแข็งใจ ล้วงมือลงไปในกระเป๋าควานหาโทรศัพท์มากดรับ
“ค่ะ...”
“ถึงไหนแล้ว?!” แล้วด็อกเตอร์วิชญ์ก็ถามพรวดมา ไม่มีอารัมภบทสักนิด
“ชั้น...สี่...นิดๆค่ะ ฉัน...กำลัง...ขึ้นบันได...ไป...”
“ดีมาก รีบวิ่งขึ้นมาเลยนะ เร็วเข้า ผมรออยู่หน้าประตูนี่ ก๊าซมันรั่วใหญ่แล้ว” สั่งจบก็วางสายไป แต่ชลนิกานต์นี่แทบอยากจะขาดใจตายไปตรงนั้น ให้รีบวิ่งขึ้นไปเนี่ยนะ! เขาคิดว่าการต้านแรงดึงดูดของโลกพรวดๆขึ้นบันไดมาเจ็ดสิบขั้นกว่าๆแล้วจะไม่ทำให้ผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเธอเหนื่อยเลยใช่ไหม เขาถึงสั่งให้รีบวิ่งขึ้นไปอีก ๔๕ ขั้น!
อีตาด็อกเตอร์ใจร้าย!
แต่แน่ละ ไอ้ตัวต้นเหตุอย่างเธอจะไปมีปัญญาหือหาฟูมฟายอะไร ชลนิกานต์ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากแข็งใจวิ่งขึ้นไปตามคำสั่งเท่านั้น
กว่าชลนิกานต์จะตะกายขึ้นมาถึงได้ก็เล่นเอาแทบตาย แต่นั่นคงไม่ใช่สิ่งเลวร้ายที่สุดสำหรับเธอ เพราะนอกจากข้อเท็จจริงที่ว่าเธอต้องวิ่งขึ้นบันได ๑๒๐ ขั้นมาชนิดไม่ได้หยุดแล้ว ห้องวิจัยด็อกเตอร์วิชญ์ยังอยู่ห่างออกไปเป็นห้องสุดท้ายของระเบียงทางเดินอีกต่างหาก
ชลนิกานต์ตาลายๆและรู้สึกได้ว่าตัวเองเอาออกซิเจนลงปอดไม่ทันเลย หญิงสาวต้องยืนเกาะราวบันไดหอบแฮ่กอยู่ตรงหัวระเบียงทางเดิน แต่แสงไฟที่เปิดไว้สว่างจ้าก็ส่องให้เห็นร่างสูงสง่าที่เดินกลับไปกลับมาหน้าห้องไม่ยอมหยุด
รู้สึกได้เลยว่าด็อกเตอร์วิชญ์ร้อนใจและวิตกจริตเพียงไหน เพราะนอกจากเดินไปเดินมาเขายังไปสรรหาเก้าอี้ตัวใหญ่มาวางขัดประตูห้องวิจัยไว้อีก สันนิษฐานได้ว่าเขาคงเอามากันและลดแรงกระแทกหากก๊าซมันเกิดระเบิดตูมตามมั้ง
แต่ไอ้ก๊าซนั่นมันไม่ระเบิดนี่ โธ่! แต่ว่าไม่ได้ ก็เขาไม่รู้นี่ว่าก๊าซที่รั่วอยู่คือก๊าซอะไร เพราะฉะนั้นชลนิกานต์ก็ตระหนักว่าถึงเวลาที่เธอต้องเข้าไปช่วยเขาแล้ว!
ชลนิกานต์รู้สึกแน่แก่ใจ ว่าตัวเองมีความสำคัญและจำเป็นสุดๆในการแก้ไขสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานครั้งนี้ เพราะอย่างนั้น...
“ด็อกเตอร์คะ!” หญิงสาวแข็งใจเรียกเขาเสียงดังก้อง “ฉันมาแล้วค่ะ!”
“ชลนิกานต์!”
แม้แต่เสียงที่เปล่งมายังฟังออกเลยว่าด็อกเตอร์วิชญ์โล่งใจขนาดไหนที่เธอมาถึงได้ในที่สุด ชลนิกานต์สาวเท้าวิ่งเข้ามาเร็วจี๋ แต่นั่นก็ยังไม่ไวเท่าร่างสูงที่ก้าวพรวดๆเข้ามาหาเธอด้วยเหมือนกัน
“เร็วเข้า เอากุญแจมาให้ผม” ชายหนุ่มบอก พร้อมมือใหญ่หนาที่ยื่นมารอรับกุญแจจากเธอ แต่ทว่า...
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันจะรับผิดชอบเข้าไปปิดมันเอง”
“หา?!”
ไวเท่าคำพูดเมื่อชลนิกานต์วิ่งฉิวผ่านหน้าเขาไป แล้วก็ต้องใช้เวลาถึง ๕ วินาทีกว่าที่ชายหนุ่มจะสะบัดหน้ามาและเห็นว่าหญิงสาวดันเก้าอี้ที่เขาเอามาขวางไว้ออกไป ใส่กุญแจเข้าลูกบิดแล้วไขเสียงดังกริ๊ก
“เฮ้ย! เดี๋ยว ชลนิกานต์” ปัณณวิชญ์ร้องลั่น “ก๊าซนั่น!”
แต่ชลนิกานต์ไม่ฟัง สถานการณ์วิกฤตแบบนี้เวลาแค่วินาทีก็ปล่อยไม่ได้ หญิงสาวดึงประตูผลัวะแล้วดิ่งเข้าไป ปากยังร้องบอกให้เขาสบายใจได้ว่า
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มันไม่ระ...” แต่พูดได้แค่นั้นชลนิกานต์ก็ชะงัก เพราะจู่ๆดันรู้สึกวืด โลกทั้งใบเกิดอาการหมุนติ้วกะทันหัน
“ใช่!” เสียงเขาตอบรับ ซ้ำยกมือตบหน้าผากตัวเองดังฉาด “มันไม่ระเบิด แต่ความเข้มข้นขนาดนั้น มันก็แค่ทำให้คุณหมดสติได้เท่านั้นเอง!”
ชายหนุ่มถอนใจดังเสียงเฮือก ก่อนต้องพุ่งไปรับร่างผู้ช่วยวิจัยสาวซึ่งร่วงผล็อยลงมาไม่ต่างอะไรกับแมลงที่ถูกน็อกเลย
ปาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 ก.ค. 2554, 19:26:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 ก.พ. 2555, 11:09:50 น.
จำนวนการเข้าชม : 2502
<< ตอนที่ 2 | ตอนที่ 4 >> |
แพม 19 ก.ค. 2554, 20:19:35 น.
ไม่ไหวนะคะ แบบนี้ไม่น่ารักและไม่ตลกด้วย อะไรที่เกี่ยวข้องกับอันตรายที่ถึงชีวิตมันไม่ใช่เรื่องที่จะมาล้อเล่นกันได้ วันนี้อาจไม่เป็นอะไรแต่วันหน้าจะเอาอะไรมารับประกันว่าจะไม่มีความเสียหายเกิดขึ้น พออ่านแล้วถึงรู้ว่าทำไมพระเอกถึงหงุดหงิด นางเอกก็สมควรสำนึกและระมัดระวังให้มากขึ้นนะคะ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเกิดบังเอิญมีคนยังติดอยู่ในห้อง โดยที่นางเอกไม่รู้ ถึงตายนะคะ สมองผู้ใหญ่ขาดออกซิเจนเกิน 5 นาทีไม่ตายสมองก็ไม่เหมือนเดิมแล้วนะคะ...
อาจดูซีเรียสเกินไปแต่อยากให้นำเสนอแง่นี้ด้วยค่ะ ไม่ใช่แค่แบบว่านางเอกโก๊ะๆ ดูน่ารัก กลัวคนอื่นจะเอาเป็นเยี่ยงอย่างค่ะ (เอ...ส่วนใหญ่คนอ่านในเวปนี้อายุซักเท่าไหร่กันนะ) แต่กก็...เห็นบอกว่าเรื่องแต่งจบแล้วใช่ไหมคะ ปรับนิดๆคงได้กระมังคะ อาจจะเฉพาะแค่ตอนนี้ก็ได้กระมังคะ ให้เห็นว่านางเอกสำนึกเรื่องที่ตัวเองทำผิดน่ะค่ะ อืม...แต่สงสัยนะคะ ตอนที่เตรียมสารผิดพลาดแล้วเกิดระเบิดขึ้นเนี่ย เขามีการสอบสวนทำบันทึกหรือแนวทางแก้ไขบ้างหรือเปล่าคะ เพราะดิฉันที่ทำงานโรงงานมันต้องทำรายงานกันทุกเคสเพื่อแจ้งข่าวให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบและแชร์แนวทางป้องกันเลยค่ะ....
เครียดเกินไปละ แค่ความเห็นนะคะ ไม่ได้กดดัน ไม่เห็นด้วยก็ไม่ว่ากัน ยังไงก็จะตามอ่านต่อไป (จบแน่นะคะ) ^ ^ แหะๆ รู้สึกตัวเองเครียดเกินไปละ
ไม่ไหวนะคะ แบบนี้ไม่น่ารักและไม่ตลกด้วย อะไรที่เกี่ยวข้องกับอันตรายที่ถึงชีวิตมันไม่ใช่เรื่องที่จะมาล้อเล่นกันได้ วันนี้อาจไม่เป็นอะไรแต่วันหน้าจะเอาอะไรมารับประกันว่าจะไม่มีความเสียหายเกิดขึ้น พออ่านแล้วถึงรู้ว่าทำไมพระเอกถึงหงุดหงิด นางเอกก็สมควรสำนึกและระมัดระวังให้มากขึ้นนะคะ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเกิดบังเอิญมีคนยังติดอยู่ในห้อง โดยที่นางเอกไม่รู้ ถึงตายนะคะ สมองผู้ใหญ่ขาดออกซิเจนเกิน 5 นาทีไม่ตายสมองก็ไม่เหมือนเดิมแล้วนะคะ...
อาจดูซีเรียสเกินไปแต่อยากให้นำเสนอแง่นี้ด้วยค่ะ ไม่ใช่แค่แบบว่านางเอกโก๊ะๆ ดูน่ารัก กลัวคนอื่นจะเอาเป็นเยี่ยงอย่างค่ะ (เอ...ส่วนใหญ่คนอ่านในเวปนี้อายุซักเท่าไหร่กันนะ) แต่กก็...เห็นบอกว่าเรื่องแต่งจบแล้วใช่ไหมคะ ปรับนิดๆคงได้กระมังคะ อาจจะเฉพาะแค่ตอนนี้ก็ได้กระมังคะ ให้เห็นว่านางเอกสำนึกเรื่องที่ตัวเองทำผิดน่ะค่ะ อืม...แต่สงสัยนะคะ ตอนที่เตรียมสารผิดพลาดแล้วเกิดระเบิดขึ้นเนี่ย เขามีการสอบสวนทำบันทึกหรือแนวทางแก้ไขบ้างหรือเปล่าคะ เพราะดิฉันที่ทำงานโรงงานมันต้องทำรายงานกันทุกเคสเพื่อแจ้งข่าวให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบและแชร์แนวทางป้องกันเลยค่ะ....
เครียดเกินไปละ แค่ความเห็นนะคะ ไม่ได้กดดัน ไม่เห็นด้วยก็ไม่ว่ากัน ยังไงก็จะตามอ่านต่อไป (จบแน่นะคะ) ^ ^ แหะๆ รู้สึกตัวเองเครียดเกินไปละ
lovemuay 19 ก.ค. 2554, 20:23:30 น.
นางเอกตลกจริงๆค่ะ สรรหาเรื่องได้ตลอดเลย อ่านไปก็ขำไป ^^
นางเอกตลกจริงๆค่ะ สรรหาเรื่องได้ตลอดเลย อ่านไปก็ขำไป ^^
เจ้าชายน้อย 19 ก.ค. 2554, 20:35:22 น.
โก๊ะได้อีก ติดตามและเปนกำลังใจให้จ้า
ถ้าอย่างคุณแพมบอก ปารินลองทำเปนหมายเหตุอธิบายข้างล่างดีไหมคะ
ว่าทำแบบนี้เกิดอันตรายอะไรบ้าง
แง่ะ ไม่รู้ดีมั้ยแหะๆ
โก๊ะได้อีก ติดตามและเปนกำลังใจให้จ้า
ถ้าอย่างคุณแพมบอก ปารินลองทำเปนหมายเหตุอธิบายข้างล่างดีไหมคะ
ว่าทำแบบนี้เกิดอันตรายอะไรบ้าง
แง่ะ ไม่รู้ดีมั้ยแหะๆ
หมู้หมู 19 ก.ค. 2554, 20:45:48 น.
เฮ้ออ สมแล้ว ที่ ดอกเตอร์ เค้าไม่ชอบ
เฮ้ออ สมแล้ว ที่ ดอกเตอร์ เค้าไม่ชอบ
Pat 20 ก.ค. 2554, 07:00:20 น.
ตั้งใจหรือสะเพร่าล่ะนี่น้องหนู แต่ไม่ว่าเพราะอะไร มันอันตรายๆน้า ดีนะที่ดร. กลับมาตรวจดู เฮ้อ!
ตั้งใจหรือสะเพร่าล่ะนี่น้องหนู แต่ไม่ว่าเพราะอะไร มันอันตรายๆน้า ดีนะที่ดร. กลับมาตรวจดู เฮ้อ!
ling 20 ก.ค. 2554, 10:45:50 น.
ร่วมลุ้นตอนต่อไปค่ะ
ร่วมลุ้นตอนต่อไปค่ะ
anOO 20 ก.ค. 2554, 16:07:33 น.
ไอ้ที่ยิ้มๆ ก่อนจะกลับบ้านเพราะเห็นด็อกเตอร์ลืมกุญแจนี่เอง
ไอ้เราก็นึกว่าจะเปิดก๊าซวางยาพระเอกซะอีก
ไอ้ที่ยิ้มๆ ก่อนจะกลับบ้านเพราะเห็นด็อกเตอร์ลืมกุญแจนี่เอง
ไอ้เราก็นึกว่าจะเปิดก๊าซวางยาพระเอกซะอีก
ปูสีน้ำเงิน 22 ก.ค. 2554, 14:48:27 น.
ปวดหัวแทนพระเอก
ปวดหัวแทนพระเอก
MAYA 24 ก.ค. 2554, 21:04:56 น.
มีอาชีพเป็นผู้ช่วยวิจัยเหมือนกันค่ะ. แม้ว่าจะโก๊ะ. แต่ห่างไกลจากนางเอกมาก ดร.เก็บไว้ได้งัยเนี๊ย อิอิ
มีอาชีพเป็นผู้ช่วยวิจัยเหมือนกันค่ะ. แม้ว่าจะโก๊ะ. แต่ห่างไกลจากนางเอกมาก ดร.เก็บไว้ได้งัยเนี๊ย อิอิ
ปาริน 26 ก.ค. 2554, 20:45:56 น.
คุณแพม : ไม่หรอกค่ะคุณแพม ไม่เครียดๆ
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์ยาวๆนะคะ จริงๆดีใจค่ะ อย่างน้อยคุณแพมก็เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าทำไมอีตาพระเอกนี่ถึงต้องโมโหนัก โมโหหนัก และโมโหจริง ๕๕๕ (เค้ามีเหตุผลเนอะ ไม่ใช่ก๊อกแก๊ก หลับหูหลับตาโกรธซะหน่อย)
รับไว้พิจารณาเพิ่มเติมแน่นอนค่ะ
อืม...อย่างไรคุณแพมลองอ่านไปเรื่อยๆก่อนเนอะ ขำออกบ้างขำไม่ออกบ้าง ลองดู ถือว่าคนแต่งขอให้ช่วยอ่านหน่อยนะจ๊ะ
คุณแพม : ไม่หรอกค่ะคุณแพม ไม่เครียดๆ
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์ยาวๆนะคะ จริงๆดีใจค่ะ อย่างน้อยคุณแพมก็เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าทำไมอีตาพระเอกนี่ถึงต้องโมโหนัก โมโหหนัก และโมโหจริง ๕๕๕ (เค้ามีเหตุผลเนอะ ไม่ใช่ก๊อกแก๊ก หลับหูหลับตาโกรธซะหน่อย)
รับไว้พิจารณาเพิ่มเติมแน่นอนค่ะ
อืม...อย่างไรคุณแพมลองอ่านไปเรื่อยๆก่อนเนอะ ขำออกบ้างขำไม่ออกบ้าง ลองดู ถือว่าคนแต่งขอให้ช่วยอ่านหน่อยนะจ๊ะ