ลองรัก
ศิญาดา...หญิงสาวโลกส่วนตัวสูง
กับ
เจค...หนุ่ม(ที่เคย)มาดขึม
เมื่อสวิตซ์หัวใจถูกเปิดเพียงแค่สบตา ชายหนุ่มพยายามทุกอย่างเพื่อให้ได้ครอบครองหัวใจเธอ ส่วนหญิงสาวกลับตั้งมั่นที่จะรักษากำแพงโลกส่วนตัวเอาไว้ให้ตลอด
...สุดท้าย ระหว่าง "เขา" กับ "เธอ" จะลงเลยกันได้อย่างไร ติดตามได้ใน...
~~~~ ลองรัก~~~~
กับ
เจค...หนุ่ม(ที่เคย)มาดขึม
เมื่อสวิตซ์หัวใจถูกเปิดเพียงแค่สบตา ชายหนุ่มพยายามทุกอย่างเพื่อให้ได้ครอบครองหัวใจเธอ ส่วนหญิงสาวกลับตั้งมั่นที่จะรักษากำแพงโลกส่วนตัวเอาไว้ให้ตลอด
...สุดท้าย ระหว่าง "เขา" กับ "เธอ" จะลงเลยกันได้อย่างไร ติดตามได้ใน...
~~~~ ลองรัก~~~~
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ห่างกาย แต่ใกล้ใจ 70%
ทางด้านของศิญาดาตอนนี้ถ้าทุกคนไม่มัวแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานของตนเองอยู่ต้องเห็นใบหน้าอันแดงกร่ำด้วยความเขินอายของเธอแน่ คำว่าที่รัก ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เคยเรียกเธอแบบนี้ ถึงแม้มันจะเป็นเพียงตัวหนังสือที่ส่งมาเธอก็ยังไม่ชินกับคำนี้สักที ได้รับเมื่อไหร่สองแก้มต้องร้อนเห่อซับสีระเรื่อขึ้นมาทุกครั้งไป แค่เพียงเขาบอกว่าจะโทรหาใจเธอก็ลิงโลดแล้ว ใช่ว่างานของเธอจะเข้มงวดจนรับโทรศัพท์ไม่ได้แต่ที่ต้องบอกให้เขาโทรมาทีหลังก็เพียงแค่อยากขอเวลาเท่านั้น มันกะทันหันจนเธอตั้งตัวไม่ทัน การคุยกันผ่านตัวอักษรบางครั้งเธอก็อายจนเก็บอาการไม่อยู่แล้ว แล้วต้องมาคุยกันโดยได้ยินเสียงแบบนี้เธอกลัวเขาจะจับน้ำเสียงของเธอได้ ถึงอย่างนั้นลึกๆ ในใจของเธอก็ยังรอเวลาที่จะให้ถึงตอนเลิกงานเร็วๆเหมือนกัน โดยที่ไม่รู้เลยว่าคนที่จะโทรหาเธอนั้นตื่นเต้นยิ่งกว่าเธอเสียอีก
17.00 น. ขณะที่ทุกคนกำลังเก็บของเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน ศิญาดาเก็บของไปพรางมองโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ใกล้ๆ ด้วยความตื่นเต้น เพราะมีใครบางคนบอกเธอว่าจะโทรหาเธอเวลาเลิกงาน
“ดา วันนี้ไปไหนรึเปล่า” รมิตาเอ่ยถามทำลายความเงียบ
“ฉันมีธุระน่ะ ทำไมหรอ”
“ว่าจะชวนไปหาอะไรกินสักหน่อย ถ้าแกมีธุระก็ไม่เป็นไร ไว้วันหลังละกัน” รมิตาบอก
“ได้ แกจะกลับเลยรึเปล่า”
“ใช่ ออกไปพร้อมกันมั๊ย” รมิตาชวน
“โอเค” ศิญาดาคว้ากระเป๋าสะพายขึ้นคล้องไหล่แล้วเดินออกไปพร้อมเพื่อนสาว
หลักแยกกับรมิตาได้สักพักโทรศัพท์ในมือของเธอก็ดังขึ้น หญิงสาวมองเบอร์ที่ไม่คุ้นบนหน้าจอด้วยใจเต้นแรง เธอยังไม่กดรับสายเพราะไม่รู้จะเริ่มพูดกับเขายังไง ถึงแม้จะเคยพูดกันมาแล้วในตอนแรกที่เจอกันแต่ก็ยังอดตื่นเต้นไม่ได้จนกระทั่งเสียงเพลงเรียกเข้านั้นเงียบไป แล้วก็ดังขึ้นใหม่เป็นครั้งที่สอง คราวนี้หญิงสาวตัดสินใจกดรับสายด้วยใจเต้นโครมคราม มือกำโทรศัพท์ที่แนบอยู่ข้างหูแน่นโดยไม่พูดอะไรออกไปจนกระทั่งเสียงทุ้มของเขาดังขึ้น
“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มถามอย่างไม่แนบใจว่าตัวเองโทรผิดหรือเปล่าเพราะมีคนรับสายแต่กลับไม่มีคนพูด
“สวัสดีค่ะ” ศิญาดาพยายามปรับเสียงให้เป็นปกติ
“ผมลุ้นแทบแย่ กลัวคุณจะไม่รับโทรศัพท์ผม”
“รับสิคะ” พูดแล้วก็เงียบไปจนเจคต้องเป็นฝ่ายชวนคุย
“เย็นนี้คุณมีนัดรึเปล่าครับ” เจคเริ่มเข้าแผน
“เปล่าค่ะ ทำไมหรอคะ” หญิงสาวถามอย่างสงสัย
“ผมหิวจัง” ฟังเขาพูดแล้วเธอก็ยกข้อมือข้างสวมนาฬิกาขึ้นดูเมื่อเทียบเวลาแล้วก็เห็นว่าที่อเมริกาน่าจะประมาณตี 5 ได้
“คุณยังไม่ได้ทานอะไรหรอคะ นี่มันตี 5 แล้วไม่ใช่หรอคะ” หญิงสาวถามอย่างสงสัย
“ยังครับ ผมอยากทานฝีมือคุณมากว่า” ชายหนุ่มอ้อน
“ทานฝีมือฉัน” ศิญาดาทวนคำที่เขาบอกแล้วหัวเราะเบาๆ “ฉันทำกับข้าวไม่ค่อยเป็นหรอกค่ะ อีกอย่างคุณอยู่ที่โน้นแล้วจะทานฝีมือฉันได้ยังไง”
“ขอแค่เป็นฝีมือของคุณผมทานได้ทั้งนั้น” คนตัวโตปลายสายยังคงอ้อนต่อ
“ถ้าเป็นฝีมือฉันคุณคงได้ทานแค่ไข่เจียวกับผัดผักเท่านั้นล่ะค่ะ” พูดแล้วก็หัวเราะเบาๆ กับความไม่มีเสน่ห์ปลายจวักของตัวเอง
“สัญญาได้มั๊ยว่าคุณจะทำไข่เจียวกับผัดผักให้ผมทาน” เมื่อเหยื่อติดเบ็ดมีหรือที่เขาจะไม่รีบคว้าไว้
“ฉันว่าให้คุณมาถึงไทยก่อนละกันนะคะ” หญิงสาวบอกอย่างอารมณ์ดีแต่หารู้ไม่ว่ามีคนที่กำลังอารมณ์ดีกว่าเธออีก
“คุณพูดแล้วนะว่าถ้าผมมาถึงไทยแล้วคุณจะทำให้ผมทาน” ชายหนุ่มทวนคำสัญญาอีกครั้งเพื่อความมั่นใจว่าเธอจะไม่บิดพลิ้ว
“แน่นอนค่ะ” ศิญาดายังคงยืนยันคำตอบหนักแน่น
“งั้นคุณเตรียมตัวทำกับข้าวให้ผมทานได้เลยเพราะตอนนี้ผมอยู่ที่กรุงเทพฯ” คำตอบของเขาทำให้เธอใบ้กินไปชั่วขณะ และเหมือนชายหนุ่มจะจับได้ว่าเธอคงตกใจและคิดไม่ถึงว่าตอนนี้เขาจะอยู่ที่ไทยแล้วหลังจากที่เธอเงียบไป
“ที่รัก/คุณว่าอะไรนะ” สองเสียงที่ดังขึ้นพร้อมกัน
“ตอนนี้ผมอยู่กรุงเทพฯ ที่โรงแรม...” ชายหนุ่มบอกชื่อโรงแรมที่เขาพักอยู่ซึ่งมันอยู่ไม่ไกลจากที่พักของเธอเท่าไหร่
“คุณล้อเล่นใช่มั๊ยคะ” น้ำเสียงที่ถามอย่างไม่แน่ใจแม้จะได้ยินเขาบอกถึงสองครั้งแล้ว
“ที่รัก!” น้ำเสียงจริงจังของเขาทำให้ศิญาดาเงียบรอฟังสิ่งที่เขาจะพูด “ตอนนี้ผมอยู่ที่ประเทศไทย อยู่ที่กรุงเทพฯแล้วก็พักโรงแรมที่อยู่ไม่ไกลจากที่พักคุณเท่าไหร่และที่สำคัญคือผมกำลังหิว หวังว่าคุณคงจะไม่ใจร้ายปล่อยให้ผมหิวอยู่แบบนี้นะครับ” เขาอธิบายอีกครั้งตบท้ายด้วยการอ้อนจะทานอาหารฝีมือเธอ
“เอ่อ..” หลังจากฟังเขายืนยันว่าเขาอยู่กรุงเทพฯไป 3 รอบเธอก็ต้องเชื่อแล้วว่าเขาไม่มีทางล้อเธอเล่นแน่ แต่ว่าเรื่องจะให้เธอทำอาหารให้ทานนี่สิ “ฉันว่าเราไปทานอาหารที่ร้านดีกว่านะคะ”
“ผมอยากทานฝีมือคุณมากกว่า”
“ฉันบอกคุณไปแล้วนี่คะว่าฉันทำอาหารไม่ค่อยเก่ง เกิดทำแล้วไม่อร่อยจะเสียเวลาเปล่า” เธอให้เหตุผล
“ผมก็บอกคุณไปแล้วว่าถ้าเป็นฝีมือคุณ ผมทานได้ทั้งนั้น”
“แล้วคุณจะให้ฉันทำยังไงล่ะคะ” หญิงสาวถามอย่างสงสัย เขาจะให้เธอไปทำให้เขาทานที่ไหน
“ที่โรงแรมก็คงไม่สะดวก ถ้าคุณไม่ว่าอะไรไปทำที่คอนโดของผมก็ได้” ชายหนุ่มหมายถึงคอนโดมิเนียมของเขาที่อยู่ใกล้ๆกับที่เธอไปตรวจงานลูกค้าตอนเจอกันครั้งแรก
“ฉันไม่สะดวก เอาไว้คราวหลังละกันนะคะ”
“แต่ผมหิวนี่ครับ” คนตัวโตยังคงอ้อนเป็นเด็กน้อยต่อ
“เราไปทานที่ร้านก็ได้นี่คะ”
“งั้นเราไปทำห้องคุณได้มั๊ย” ในเมื่อเธอไม่ยอมเสนอห้องตัวเองเขาก็จะเป็นคนเสนอเอง
“ห้องฉันหรอคะ!”
“ใช่ครับ” บอกแล้วก็รอฟังคำตอบของเธอ แต่สุดท้ายคำตอบก็ยังคงเป็นความเงียบเช่นเดิม “ถ้าคุณไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรครับ เราไปทานกันที่ร้านก็ได้” เสียงของชายหนุ่มอ่อนลง เขาหวังว่าจะได้มีเวลาอยู่กับเธอสองต่อสองโดยไม่มีคนอื่นแต่แล้วก็ต้องผิดหวังเพราะเธอไม่ยอมให้เขาไปในพื้นที่ส่วนตัวของเธอนั่นแสดงว่าเขายังคงไม่สามารถเข้าถึงใจเธอได้เต็มร้อย
คำขอของเขาทำให้ศิญาดาถึงกับครุ่นคิดจนตอนนี้คิ้วเรียวแทบจะเกยกัน เธอดีใจที่จะได้เจอเขาอีกครั้งหลังจากได้แค่คุยกันผ่านตัวหนังสือ แต่การมาของเขาทำให้เธอตั้งตัวไม่ติดแถมเขายังจะไปถึงห้องของเธออีกด้วย จะบอกว่าเธอกลัวเขาก็ไม่เชิงเพราะจากที่ได้รู้จักเขามาแม้เวลาจะไม่นานแต่ในความรู้สึกของเธอบอกว่าเขาไม่ใช่คนร้ายอย่างแน่นอน แต่การจะให้เขาเข้าถึงพื้นที่ส่วนตัวแบบนี้มันรู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก ใจหนึ่งอยากให้เขาไปแต่อีกใจก็ยังคงค้าน ตอนนี้เธอรู้สึกสับสน
“ที่รัก!” ชายหนุ่มเรียกเมื่อเห็นว่าเธอเงียบนานเกินไปจนเขาก็เริ่มใจไม่ดี
“ค่ะ” เธอไม่ได้ขานรับประโยคที่เขาเรียกแต่เธอพูดกับตัวเอง “ไปทำอาหารทานที่ห้องของฉันก็ได้ค่ะ” พูดออกไปแล้วก็รู้สึกโล่งไปเปราะหนึ่งอย่างบอกไม่ถูก
“ที่รัก! คุณพูดว่าอะไรนะครับ” น้ำเสียงดีใจที่แทบจะปิดไม่มิด แม้จะได้ยินชัดแต่เขาก็ยังถามอีกครั้งเพื่อความมั่นใจว่าเธอจะไม่เปลี่ยนใจ
“ฉันบอกว่าเราไปทำอาหารทานที่ห้องฉันก็ได้ค่ะ”พูดแล้วก็เงียบไปทั้งสองคู่ โดยที่เธอไม่รู้เลยว่าที่เขาเงียบไปนั้นเพราะเขากำลังดีใจสุดๆ ที่ในที่สุดแผนของเขาก็สำเร็จไปขั้นอีกขั้นแล้ว “แต่ฉันคงทำให้คุณทานได้เท่าที่บอกคุณไปนะคะ” หญิงสาวหมายถึงไข่เจียวกับผัดผัก ก็เธอทำอาหารไม่ค่อยเก่ง ลำพังเฉพาะเธอคนเดียวไม่มีปัญหาอยู่แล้วแต่การที่จะทำให้คนอื่นกินเธอขอปฏิเสธดีกว่า อีกอย่างที่พูดกับเขาไปแบบนั้นก็เพราะไม่คิดว่าเขาจะอยู่ที่ประเทศไทยจึงทำให้กล้าพูดออกไปแบบนั้น
“คุณแน่ใจนะครับ” ชายหนุ่มถามย้ำอีกครั้ง
“ถ้าคุณเปลี่ยนใจไม่ไปแล้วก็ได้นะคะ”
“ไม่มีทางที่รัก” ชายหนุ่มยืนยันหนักแน่น
“ขออะไรอย่างได้มั๊ยคะ”
“ครับ” ชายหนุ่มเงียบเพื่อรอฟังเธอ พลางคิดว่าเธอจะขออะไรเขา
“อย่าเรียกฉันว่าที่รักได้มั๊ยคะ เรียกฉันว่าดาดีกว่า” เมื่อฟังเหตุผลของเธอก็ทำให้เขากลั้นหัวเราะไม่อยู่จนต้องหัวเราะออกมา
“ไม่ตลกนะคะ ฉันซีเรียส” น้ำเสียงที่เข้มขึ้นของเธอทำให้เขาหยุดหัวเราะทันที
“ทำไมล่ะครับ ผมไม่เห็นว่ามันจะแปลกตรงไหน” ชายหนุ่มบอก
“ก็เราไม่ใช่แฟนกันซะหน่อยจะเรียกแบบนั้นได้ยังไง” พูดออกไปแล้วศิญาดาก็อยากจะเขกหัวตัวเองแรงๆ กับคำพูดโง่ๆ แบบนั้น ถ้าให้เธอตอบว่าตอนนี้รักเขารึเปล่าเธอจะขอตอบเป็นชอบดีกว่า เพราะช่วงเวลาที่รู้จักกันยังน้อยเกินไปสำหรับเธอที่จะบอกว่ารัก
“แล้วที่เราคุยกันทุกวันแบบนี้ไม่ได้เรียกว่าแฟนหรอครับ” ชายหนุ่มถามเสียงเรียบติดจะน้อยใจด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่แบบนี้ไม่ใช่นิสัยของเขาเลย ให้ตายสิ ชายหนุ่มสบถกับตัวเอง
“เอาเป็นว่าฉันขอคุณแค่นี้จะได้มั๊ยคะ”
“ก็ได้ครับ” เจครับปาก “แต่ถ้าอยู่กันสองคนผมจะเรียกคุณที่รักเหมือนเดิม” ข้อเสนอของเขาทำเอาเธอกลอกตาอย่างเซ็งๆ
“แล้วผมจะเจอดาได้ยังไง” ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่องโดยเรียกเธออย่างที่เธอต้องการ
“เดี๋ยวฉันไปรับคุณที่โรงแรมก็ได้ค่ะ คุณรออยู่ที่นั่นถ้าไปถึงแล้วฉันจะโทรหาคุณเอง”
“ตกลงตามนั้นครับ ที่รัก” พูดจบชายหนุ่มก็วางสายไป
นั่นไงล่ะ ถึงแม้จะขอให้เขาเรียกชื่อเล่นของเธอแต่สุดท้ายแล้วเขาก็ยังเรียกเธอที่รักเหมือนเดิม ยังดีที่เป็นการคุยกันทางโทรศัพท์เพราะไม่ใช่นั้นเธอคงอายแน่ๆ หลังจากวางสายจากเขาแล้วศิญาดาก็เดินทางไปหาเขาที่โรงแรมตามที่นัดกันไว้ เพราะเป็นเย็นของวันศุกร์จึงทำให้รถค่อนข้างติดหนักกว่าทุกวัน กว่าที่เธอจะเดินทางไปถึงโรงแรมที่เขาพักก็ใช้เวลาชั่วโมงกว่า พอก้าวขาเข้าเขตของโรงแรมมือเรียวก็ควานหาโทรศัพท์เครื่องเล่นที่อยู่ในกระเป๋าเพื่อโทรบอกเขาว่าเธอมาถึงแล้ว พอหยิบขึ้นมายังไม่ทันจะได้กดหมายเลขหางตาของเธอก็รู้สึกเหมือนมีใครบางคนยื่นอยู่ เมื่อหันไปมองตรงๆ ก็พบว่าเป็นเขานั่นเองที่ยืนยิ้มรอเธออยู่ก่อนแล้ว ความรู้สึกของเธอตอนนี้ราวกับว่าหัวใจของเธอมันกำลังเต้นคล้ายคนวิ่งมาหลายกิโล มันดังจนเธอรู้สึกได้ถ้าใครอยู่ให้ตอนนี้เธอคิดว่าต้องได้ยินเสียงหัวใจของเธอเต้นเป็นแน่ นานแค่ไหนแล้วนะที่เธอไม่ได้เจอเขา ใช่! 12 วันแล้วที่เธอไม่ได้เจอเขา โอ้..นี่เธอจำวันได้แม่นขนาดนี้เลยหรือนี่ หญิงสาวได้แต่อุทานในใจ ความรู้สึกยินดีที่ได้พบเขาอีกครั้งทำให้เธอเผลอยิ้มออกไปอย่างไม่รู้ตัว เป็นผลให้คนที่ยิ้มอยู่ก่อนแล้วยิ่งยิ้มกว้างเข้าไปอีกเท่าตัวราวกับดีใจมากมายกับการพบกันครั้งนี้
เมื่อเห็นเธอยืนยิ้มนิ่งเขาจึงเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาเธอเสียเอง ข้างหน้าของเขาตอนนี้คือคนที่เขาอยากเห็นหน้าที่สุด มือที่ไพล่หลังอยู่ค่อยๆ ยื่นออกมาข้างหน้า ดอกกุหลาบสีขาวช่อเล็กถูกยื่นมาตรงหน้าของหญิงสาวที่ตอนนี้กำลังยืนนิ่งไม่แน่ใจว่าตกใจหรือดีใจกันแน่
“สำหรับคุณ ที่รัก”
“เอ่อ...” คล้ายกับหาลิ้นตัวเองไม่เจอ ไม่รู้จะพูดกับเขายังไง บอกได้แค่ว่าตอนนี้เธอตื่นเต้นดีใจจนทำตัวไม่ถูก
“รับไว้สิครับ ผมตั้งใจมอบให้คุณเนื่องในโอกาสที่เราได้กันอีกครั้ง” ดอกไม้ช่อแรกในชีวิตที่เจคมอบให้กับผู้หญิง “คุณนิ่งแบบนี้ผมชักใจเสียแล้วสิ” เมื่อเห็นเธอยังคงนิ่งเขาเลยต้องเอ่ยแซวเพื่อเรียกกำลังใจให้กับตัวเอง
“ขอบคุณค่ะ แต่ความหน้าไม่ต้องนะคะ” ศิญาดาเอ่ยขอบคุณเบาๆ แล้วยื่นมือออกไปรับดอกไม้จากเขา
“ดาไม่ชอบดอกไม้” เจคถามอย่างสงสัย
“เปล่าค่ะ แค่รู้สึกว่ามันมากไป” เธอไม่ใช่สาวอ่อนหวานช่างฝัน เพียงแต่การให้ช่อดอกไม้ สำหรับเธอแล้วมันดูเลี่ยนเกินไป
“ผมให้เพราะผมเห็นว่ามันเหมาะกับดา” ชายหนุ่มยังไม่เข้าใจเธออยู่ดี
“ฉันว่ามันเลี่ยนไปน่ะค่ะ อีกอย่าง รู้สึกแปลกๆ ยังไงไม่รู้ที่ต้องเดินถือดอกไม้แบบนี้” เหตุผลหลุดโลกของเธอที่เขาได้ยินทำเอาเขาอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ ถ้าไม่กลัวเธอจะโกรธ
“ผมไม่อยากจะเชื่อว่ายังมีผู้หญิงที่ไม่ชอบการได้รับช่อดอกไม้บนโลกใบนี้อยู่ แต่เพื่อความสบายใจของดา ผมจะพยายามไม่ทำแบบนี้อีก” ชายหนุ่มบอกด้วยรอยยิ้ม ผิดกับศิญาดาที่ไม่เข้าใจว่าเรื่องแค่นี้ทำไมเขาต้องพยายามด้วย
“ทีนี้เราไปกันได้รึยังครับ ถ้ายังยืนคุยกันอยู่แบบนี้คงมืดก่อนที่จะไปถึงห้องของคุณเป็นแน่” ชายหนุ่มบอกเมื่อมองไปรอบตัวความมืดเริ่มปกคลุมไปทั่วแล้ว
“ออ..ค่ะ ฉันว่าเราไปแท็กซี่กันดีกว่านะคะ” หญิงสาวออกความเห็นเพราะถ้าจะให้เธอพาเขาขึ้นรถเมย์คงไม่ไหวแน่ยิ่งตอนนี้เป็นเย็นวันศุกร์ที่รถติดโหดสุด
สองหนุ่มสาวเดินออกมาเรียกรถแท็กซี่ตรงถนนหน้าโรงแรม เมื่อเข้าไปนั่งในรถแท็กซี่เป็นที่เรียบร้อยแล้วเธอก็บอกจุดหมายที่ต้องการไปแก่คนขับ โดยเธอจะพาเขาแวะที่ตลาดเล็กๆ หน้าปากซอยที่เธอพักอยู่เพื่อซื้อของที่จะนำไปทำอาหารเย็น อยู่ๆ มือข้างที่ว่างอยู่ก็ถูกกุมด้วยมือใหญ่ของเขาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวทำให้เธอตกใจเล็กน้อยด้วยไม่คิดว่าเขาจะทำแบบนี้ หญิงสาวขืนมือออกแต่ไม่สำเร็จ พอเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของมือที่กำลังกุมมือบางของเธออยู่ตอนนี้ก็พบกับดวงตาที่ทำให้เธอแทบละลายลงตรงนั้น ตาสีฟ้าใสที่ทำให้เธอหลงใหลตั้งแต่แรกเห็นตอนนี้เหมือนมันมีใครอยู่ในนั้นซึ่งเธอมั่นใจเหลือเกินว่าคนที่อยู่ในนั้นคือเธอ แววตาที่คล้ายกับกำลังร้องขออะไรบางอย่างจากเธอที่ตอนนี้เธอไม่รู้ว่ามันคืออะไรจ้องเธอนิ่งจนเธอต้องหลบสายตาของเขาเพื่อลดความเขินอาย เธอนั่งจ้องช่อดอกกุหลาบขาวที่อยู่ในมือนิ่งในหัวคิดอะไรสารพัดเกี่ยวกับเขาและเธอในตอนนี้ ยิ่งเขากระชับมือที่กำลังกุมมือของเธออยู่ก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นอย่างประหลาดจนไม่อยากจะให้เขาปล่อยมัน นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่เธอนั่งก้มหน้าหลบสายตาของเขาจนกระทั่งคนขับแท็กซี่เอ่ยถามถึงตำแหน่งที่จะให้จอด
“จอดข้างหน้านี่ก็ได้ค่ะ” ศิญาดาเงยหน้าขึ้นมาบอกคนขับ นึกละอายใจที่เธอมัวแต่นั่งปล่อยให้เขากุมมืออยู่ตลอดทาง พอรถจอดสนิทชายหญิงสาวก็หยิบธนบัตรกำลังจะส่งให้คนขับแต่ก็มีอีกมือยื่นมาตัดหน้าของเธอ
“ผมจ่ายเอง” เจคบอกโดยเธอได้แต่มองการกระทำของเขาอยู่เงียบๆ พอจ่ายค่ารถเสร็จทั้งคู่ก็เดินเข้าไปในตลาดเพื่อซื้อของสดสำหรับทำอาหาร
เธอไม่ได้คิดไปเองแน่นอนว่าสายตาเกือบทุกคู่มองมาที่เขาและเธอ ความหล่อเหลาของเขามันโดดเด่นจนเธอรู้สึกหมั่นไส้ หญิงสาวมาเดินซื้อของในตลาดนี้เป็นประจำแต่ก็ไม่เคยมีใครสนใจจะมองเธอสักครั้ง ก็ใช่ว่าเธออยากให้ใครๆ หันมามองเธอหรอก แต่การมากับเขาในครั้งนี้มันช่างต่างกันกับเธอมาคนเดียวลิบลับจนอดหมั่นไส้ไม่ได้ ต่างกับเขาที่เคยชินกับการมีสายตาหลายคู่จ้องมองเขาจึงไม่ได้สนใจคนเหล่านั้นโดยในสายตาของเขาตอนนี้มีแต่หญิงสาวที่ตอนนี่กำลังเลือกซื้อผักอย่างคล่องแคล่ว มันเป็นภาพที่สวยงามมากในความรู้สึกของเขาตอนนี้ เขาเดินตามเธอซื้อของอย่างเงียบๆ พอเธอจ่ายเงินเสร็จก็หันมาถามเขา
“คุณต้องการอะไรอีกหรือเปล่าคะ”
“ผมอยากได้เครื่องดื่มสักหน่อย แล้วดาซื้อของครบแล้วหรอครับ” เจคบอก เมื่อเขามองไปข้างหน้าเห็นร้านสะดวกซื้อที่มีอยู่แทบทุกที่ของกรุงเทพฯ
“ครบแล้วค่ะ” หญิงสาวชูของในมือให้เขาดูพร้อมรอยยิ้มใส
“ผมถือให้เองครับ” ชายหนุ่มยื่นมือมารับบรรดาถุงพลาสติกใสที่บรรจุทั้งผักและเนื้อไก่ไปรวมกับถึงผลไม้ที่ถืออยู่ในมือก่อนหน้านี้
“แบ่งมาให้ฉันช่วยถือดีกว่านะคะ คุณจะได้ไม่หนักมาก” เมื่อเห็นข้าวของที่อยู่ในมือเขามีมากเกินเธอจึงอาสาช่วยอีกแรง
“แค่นี้เองสบายมาก” เจคยิ้มกับความมีน้ำใจของเธอ “เราไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อกันต่อดีกว่านะครับ” เมื่อสรุปได้ก็เอ่ยชวนเธอไปซื้อเครื่องดื่มที่เขาอยากได้ต่อ
ในร้านสะดวกซื้อที่ตอนนี้ผู้คนค่อนข้างเยอะ หลายคนเลือกที่จะซื้อของที่นี่แทนที่จะไปซื้อที่ห้างใหญ่เพราะความสะดวกสบายนั่นเอง ช่วงเย็นจึงเป็นเวลาที่ลูกค้าแน่นร้านเพิ่มยอดขายให้กับร้านมากขึ้นตามไปด้วย เจคยืนมองบรรดาเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสมอยู่สักพัก มันเทียบไม่ได้เลยกับเครื่องดื่มชั้นดีราคาแพงที่เขาดื่มเป็นประจำ แต่เขาไม่ใช่คนที่ถือตัวยึดติดกับของมียี่ห้อขนาดที่จะไม่ดื่มของที่คนทั่วไปดื่มกัน ชายหนุ่มหยิบเครื่องดื่มกลิ่นผลไม้ที่มีส่วนประกอบของแอลกอฮอล์เพียงเล็กน้อยออกมาจากตู้ 6 ขวดหย่อนลงในตะกร้าในมือแล้วเดินไปยังที่ศิญาดากำลังหยิบนมรสที่ดื่มเป็นประจำ เมื่อได้ของครบแล้วก็เดินไปต่อแถวเพื่อชำระเงิน
ระยะทางจากร้านสะดวกซื้อไปยังห้องของศิญาดาเพียง 500 เมตร ซึ่งสามารถเดินได้ไม่ถึงกับเหนื่อยแถมยังเป็นการออกกำลังกายไปในตัวได้ด้วย หญิงสาวมองสองมือของเขาที่ตอนนี้ปริมาณถุงที่บรรจุของที่ซื้อมาเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิน ครั้นจะแบ่งมาช่วยถือเขาก็ไม่ยอม เดินไม่นานก็มาถึงหน้าตึกที่เธอเช่าห้องพักอยู่ ตลอดระยะทางที่เดินมาหญิงสาวคิดมาตลอดทางว่าเธอทำถูกแล้วรึเปล่าที่ปล่อยให้ผู้ชายเข้าห้องแบบนี้ ถึงแม้จะเคยคุยกันมากว่าครึ่งเดือนแต่เธอก็รู้เรื่องราวของเขาแค่ว่าเขาเป็นเจ้าของบริษัทก่อสร้างที่อเมริกา มีพ่อแม่และน้องชายอีกหนึ่งคนอาศัยอยู่ด้วยกันอย่างอบอุ่น เขาตอบคำถามทุกอย่างที่เธออยากรู้ ถึงแม้ในบางครั้งเธอคิดว่าเขาอาจจะหลอกเธออย่างที่ชาวต่างชาติหลอกหญิงสาวชาวไทยก็เป็นได้ แต่ถ้าเธอซื่อสัตย์และยอมรับความรู้สึกจริงๆ ของตัวเองก็จะเห็นว่าเธอรู้สึกเชื่อมั่นในตัวเขาในระดับที่เกินกว่าเวลาเพียงไม่นานจะมาตัดเขาออกจากชีวิตเธอไปได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอจึงยอมเชื่อสัญชาตญาณของตัวเองสักครั้ง ให้หัวใจที่ตอนนี้เธอยอมรับแล้วว่าเปิดรับเขาเข้ามาแล้วนำทางไป
“ห้องของฉันอาจจะแคบไปสำหรับคุณ บางทีอาจจะทำให้คุณไม่สบายเท่าไร่” มือที่กำลังจะไขประตูห้องหยุดชะงักแล้วหันมาบอกเขาคล้ายๆ กับเปิดโอกาสให้เขาตัดสินใจอีกครั้ง
“ผมไม่ใช่คนที่ติดความสะดวกสบายขนาดนั้นหรอที่รัก” เจคยิ้มให้เธอคล้ายกับให้กำลังใจเพื่อให้เธอคลายกังวนกับเรื่องนี้ แค่ที่เธอยอมให้เขามาที่ห้อง เข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของเธอขนาดนี้เขาก็ดีใจจะแย่แล้ว เมื่อเห็นรอยยิ้มจริงใจของเขาเธอก็ยิ้มตอบกลับไปบ้างแล้วจัดการไขลูกบิดประตูเพื่อเข้าไปในห้องทันที
ห้องขนาดที่ไม่ได้ใหญ่มากนักแต่ถ้าเทียบกับห้องของเขาก็ต้องบอกว่าเล็กไปถนัดตาเลยล่ะ ภายในห้องถึงแม้จะไม่ได้แบ่งเป็นห้องชัดเจนแต่เธอก็สามารถจัดวางตู้และโต๊ะได้เป็นสัดส่วนเหมาะกับขนาดห้องและการใช้งานได้อย่างลงตัว เฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำเป็นก็มีครบ ผ้าปูที่นอนสีขาวนวลสะอาดตาบวกกับสีของห้องยิ่งทำให้ห้องดูกว้างและน่าอยู่มากขึ้น หญิงสาวจัดแจงวางของบนโต๊ะที่ตั้งอยู่มุมห้องแล้วเลือกหยิบขวดเครื่องดื่มและนมเตรียมเก็บเข้าแช่ในตู้เย็น
“ให้ผมช่วยดีกว่า ดาจะได้ทำกับข้าว บอกตามตรงว่าตอนนี้ผมหิวจนจะกิน” ชายหนุ่มเว้นจังหวะการพูดพลางมองหน้าเธอตรงๆ เพื่อบอกให้รู้ว่าเขาสื่อถึงอะไรทำให้ศิญาดาอมยิ้มด้วยความเขินอาย
“ถ้าอย่างนั้นก็คุยก็ช่วยเอาของเข้าแช่ในตู้เย็นให้หน่อยละกันนะคะ” พูดแล้วก็เบี่ยงตัวไปหยิบถุงผักและผลไม้เพื่อจะนำไปล้าง แต่คนมือไวก็คว้าเอวเธอเข้ามาแนบชิดอย่างรวดเร็ว “อุ๊ย!” หญิงสาวอุทานออกมาอย่างตกใจ มือทั้งสองข้างเกาะแขนเขาไว้แน่นเพื่อกันไม่ให้ตัวเองล้มไปโดนของโต๊ะ แต่หารู้ไม่ว่านั่นคือความจงใจของเขาให้เธออยู่ในท่านี้เพื่อที่จะหนีเขาไปไม่ได้
“ขนาดอยู่ด้วยแล้วผมยังไม่หายคิดถึงคุยเลย” คำพูดหวานหูที่ออกมาจากปากของเขาเล่นเอาหญิงสาวหน้าแดงด้วยความเขินอายแต่ก็ไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้ราวกับกำลังถูกมนต์สะกด ยิ่งเห็นเธอนิ่งอึ้งชายหนุ่มก็ยิ่งก้มหน้าลงมาใกล้ใบหน้าของเธอมากยิ่งขึ้น จากที่ห่างกันแค่คืบแต่ตอนนี้ใกล้จนจมูกโด่งชิดกับปลายจมูกของเธอ สัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดมาที่ใบหน้าของเธอ อาการตะลึงของเธอทำให้ริมฝีปากบางเปิดอย่างไม่รู้ตัว โอกาสงามๆ แบบนี้มีหรือที่เจคจะปล่อยให้หลุดลอยไป ริมฝีปากหนากดปิดลงบนริมฝีปากบางของเธออย่างแผ่วเบาในตอนแรก ละเลียดตามริมฝีปากบาง ลิ้นหนาของเขาที่ส่งเข้ามาเพื่อควานหาความหวานในโพรงปากของเธอ เกาะเกี่ยวลิ้นเล็กราวกับฝีเสื้อที่กำลังหยอกล้อกับดอกไม้ที่เต็มไปด้วยน้ำหวานแสนอร่อย เมื่อมีบางอย่างเข้ามาโดนลิ้นสัญชาตญาณอัตโนมัติก็บอกให้เธอหลบแต่นั่นเท่ากับเป็นการกระตุ้นเจ้าลองลิ้นหนาให้พยายามเกาะเกี่ยวเอาไว้ให้ได้ จูบที่เงอะงะราวกับไม่เคยจูบมาก่อนสร้างความสงสัยให้กับชายหนุ่มนักแต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องหาคำตอบในตอนนี้เพราะตอนนี้สิ่งที่เขาสนใจที่สุดคือโพรงปากอันหอมวานของคนตรงหน้าที่ทำให้เขาไม่อยากหยุดจูบอันแสนหวานนี้เลยถ้าเพียงแต่ไม่ได้รู้สึกถึงลมหายใจที่เริ่มหนักคล้ายกับคนกำลังจะขาดอากาศหายใจของเธอ ชายหนุ่มค่อยๆ ถอนริมฝีปากหนาออกจากริมฝีปากบางของเธออย่างอ้อยอิ่ง เสียดายความหวานที่พึ่งได้รับ ต่างกับอีกคนที่ทันทีที่ริมฝีปากบางเป็นอิสระเธอก็สูดเอาอากาศเข้าปลอดอย่างหนักราวกับคนที่กำลังจะขาดอากาศหายใจ จังหวะหายใจค่อนข้างหนักของเธอในช่วงแรกค่อยๆ เบาลงเมื่อได้รับออกซิเจนเต็มที ชายหนุ่มมองอาการของเธอด้วยรอยยิ้มยิ่งเมื่อเธอเห็นเขายิ้มหญิงสาวก็ยิ่งอายหนักจนก้มหน้างุดจนชายหนุ่มอดใจไม่ไหวเชิดคางของเธอขึ้นมาแตะปากหนักๆ ในทางทีน่ารักของเธอแล้วรวบเธอเข้ามากอดแน่น แต่คนในก้อมแขนกลับหาได้กอดตอบเขาไม่เพราะตอนนี้เธอกำลังอยู่ในสภาวะที่คล้ายกับคนที่ใจไม่อยู่กับตัว เป็นนานกว่าที่หญิงสาวจะรู้สึกว่ากำลังถูกเขากอดอยู่ ร่างเล็กในอ้อมแขนขยับตัวเพื่อให้หลุดจากอ้อมกอดของเขาทำให้ชายหนุ่มรู้ว่าตอนนี้เธอคงสติกลับมาเต็มที่แล้ว เจคคลายอ้อมกอดออกเพื่อมองหน้าเธอที่ตอนนี้ไม่ยอมสบสายตาเขาแม้แต่น้อย ความสูงของเธอที่อยู่ระดับปลายคางของเขาทำให้ตอนนี้เธอไม่กล้าที่จะมองหน้าของเขาตรงๆ โดยทิ้งสายตาไว้ที่หน้าอกของเขาเท่านั้น เจคเลื่อนมือมาจับที่ไหล่มนของเธอเพื่อดันให้ตัวเองออกห่างพอที่เขาจะสามารถมองหน้าเธอได้ชัด
“ขอโทษที่ผมรุกดาแบบไม่ให้ดาตั้งตัว แต่ผมอยากจะบอกดาว่าที่ทำไปทั้งหมดมันมาจากใจจริงของผม” เจอคอบบอกอย่างหนักแน่น ทั้งแววตาและคำพูดของเขาตอนนี้บอกได้คำเดียวเลยว่า เธอเชื่อเขา แต่ตอนนี้เธออายจนทำอะไรไม่ถูกไปหมดแล้วจึงได้แต่ยืนนิ่งให้เขากอดอยู่อย่างนั้นสักพัก
*********************************
ขออภัยอย่างมากค่ะที่หายไปนาน
ตอนนี้เค้ากลับมาแล้วน้าาาา ^_^
17.00 น. ขณะที่ทุกคนกำลังเก็บของเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน ศิญาดาเก็บของไปพรางมองโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ใกล้ๆ ด้วยความตื่นเต้น เพราะมีใครบางคนบอกเธอว่าจะโทรหาเธอเวลาเลิกงาน
“ดา วันนี้ไปไหนรึเปล่า” รมิตาเอ่ยถามทำลายความเงียบ
“ฉันมีธุระน่ะ ทำไมหรอ”
“ว่าจะชวนไปหาอะไรกินสักหน่อย ถ้าแกมีธุระก็ไม่เป็นไร ไว้วันหลังละกัน” รมิตาบอก
“ได้ แกจะกลับเลยรึเปล่า”
“ใช่ ออกไปพร้อมกันมั๊ย” รมิตาชวน
“โอเค” ศิญาดาคว้ากระเป๋าสะพายขึ้นคล้องไหล่แล้วเดินออกไปพร้อมเพื่อนสาว
หลักแยกกับรมิตาได้สักพักโทรศัพท์ในมือของเธอก็ดังขึ้น หญิงสาวมองเบอร์ที่ไม่คุ้นบนหน้าจอด้วยใจเต้นแรง เธอยังไม่กดรับสายเพราะไม่รู้จะเริ่มพูดกับเขายังไง ถึงแม้จะเคยพูดกันมาแล้วในตอนแรกที่เจอกันแต่ก็ยังอดตื่นเต้นไม่ได้จนกระทั่งเสียงเพลงเรียกเข้านั้นเงียบไป แล้วก็ดังขึ้นใหม่เป็นครั้งที่สอง คราวนี้หญิงสาวตัดสินใจกดรับสายด้วยใจเต้นโครมคราม มือกำโทรศัพท์ที่แนบอยู่ข้างหูแน่นโดยไม่พูดอะไรออกไปจนกระทั่งเสียงทุ้มของเขาดังขึ้น
“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มถามอย่างไม่แนบใจว่าตัวเองโทรผิดหรือเปล่าเพราะมีคนรับสายแต่กลับไม่มีคนพูด
“สวัสดีค่ะ” ศิญาดาพยายามปรับเสียงให้เป็นปกติ
“ผมลุ้นแทบแย่ กลัวคุณจะไม่รับโทรศัพท์ผม”
“รับสิคะ” พูดแล้วก็เงียบไปจนเจคต้องเป็นฝ่ายชวนคุย
“เย็นนี้คุณมีนัดรึเปล่าครับ” เจคเริ่มเข้าแผน
“เปล่าค่ะ ทำไมหรอคะ” หญิงสาวถามอย่างสงสัย
“ผมหิวจัง” ฟังเขาพูดแล้วเธอก็ยกข้อมือข้างสวมนาฬิกาขึ้นดูเมื่อเทียบเวลาแล้วก็เห็นว่าที่อเมริกาน่าจะประมาณตี 5 ได้
“คุณยังไม่ได้ทานอะไรหรอคะ นี่มันตี 5 แล้วไม่ใช่หรอคะ” หญิงสาวถามอย่างสงสัย
“ยังครับ ผมอยากทานฝีมือคุณมากว่า” ชายหนุ่มอ้อน
“ทานฝีมือฉัน” ศิญาดาทวนคำที่เขาบอกแล้วหัวเราะเบาๆ “ฉันทำกับข้าวไม่ค่อยเป็นหรอกค่ะ อีกอย่างคุณอยู่ที่โน้นแล้วจะทานฝีมือฉันได้ยังไง”
“ขอแค่เป็นฝีมือของคุณผมทานได้ทั้งนั้น” คนตัวโตปลายสายยังคงอ้อนต่อ
“ถ้าเป็นฝีมือฉันคุณคงได้ทานแค่ไข่เจียวกับผัดผักเท่านั้นล่ะค่ะ” พูดแล้วก็หัวเราะเบาๆ กับความไม่มีเสน่ห์ปลายจวักของตัวเอง
“สัญญาได้มั๊ยว่าคุณจะทำไข่เจียวกับผัดผักให้ผมทาน” เมื่อเหยื่อติดเบ็ดมีหรือที่เขาจะไม่รีบคว้าไว้
“ฉันว่าให้คุณมาถึงไทยก่อนละกันนะคะ” หญิงสาวบอกอย่างอารมณ์ดีแต่หารู้ไม่ว่ามีคนที่กำลังอารมณ์ดีกว่าเธออีก
“คุณพูดแล้วนะว่าถ้าผมมาถึงไทยแล้วคุณจะทำให้ผมทาน” ชายหนุ่มทวนคำสัญญาอีกครั้งเพื่อความมั่นใจว่าเธอจะไม่บิดพลิ้ว
“แน่นอนค่ะ” ศิญาดายังคงยืนยันคำตอบหนักแน่น
“งั้นคุณเตรียมตัวทำกับข้าวให้ผมทานได้เลยเพราะตอนนี้ผมอยู่ที่กรุงเทพฯ” คำตอบของเขาทำให้เธอใบ้กินไปชั่วขณะ และเหมือนชายหนุ่มจะจับได้ว่าเธอคงตกใจและคิดไม่ถึงว่าตอนนี้เขาจะอยู่ที่ไทยแล้วหลังจากที่เธอเงียบไป
“ที่รัก/คุณว่าอะไรนะ” สองเสียงที่ดังขึ้นพร้อมกัน
“ตอนนี้ผมอยู่กรุงเทพฯ ที่โรงแรม...” ชายหนุ่มบอกชื่อโรงแรมที่เขาพักอยู่ซึ่งมันอยู่ไม่ไกลจากที่พักของเธอเท่าไหร่
“คุณล้อเล่นใช่มั๊ยคะ” น้ำเสียงที่ถามอย่างไม่แน่ใจแม้จะได้ยินเขาบอกถึงสองครั้งแล้ว
“ที่รัก!” น้ำเสียงจริงจังของเขาทำให้ศิญาดาเงียบรอฟังสิ่งที่เขาจะพูด “ตอนนี้ผมอยู่ที่ประเทศไทย อยู่ที่กรุงเทพฯแล้วก็พักโรงแรมที่อยู่ไม่ไกลจากที่พักคุณเท่าไหร่และที่สำคัญคือผมกำลังหิว หวังว่าคุณคงจะไม่ใจร้ายปล่อยให้ผมหิวอยู่แบบนี้นะครับ” เขาอธิบายอีกครั้งตบท้ายด้วยการอ้อนจะทานอาหารฝีมือเธอ
“เอ่อ..” หลังจากฟังเขายืนยันว่าเขาอยู่กรุงเทพฯไป 3 รอบเธอก็ต้องเชื่อแล้วว่าเขาไม่มีทางล้อเธอเล่นแน่ แต่ว่าเรื่องจะให้เธอทำอาหารให้ทานนี่สิ “ฉันว่าเราไปทานอาหารที่ร้านดีกว่านะคะ”
“ผมอยากทานฝีมือคุณมากกว่า”
“ฉันบอกคุณไปแล้วนี่คะว่าฉันทำอาหารไม่ค่อยเก่ง เกิดทำแล้วไม่อร่อยจะเสียเวลาเปล่า” เธอให้เหตุผล
“ผมก็บอกคุณไปแล้วว่าถ้าเป็นฝีมือคุณ ผมทานได้ทั้งนั้น”
“แล้วคุณจะให้ฉันทำยังไงล่ะคะ” หญิงสาวถามอย่างสงสัย เขาจะให้เธอไปทำให้เขาทานที่ไหน
“ที่โรงแรมก็คงไม่สะดวก ถ้าคุณไม่ว่าอะไรไปทำที่คอนโดของผมก็ได้” ชายหนุ่มหมายถึงคอนโดมิเนียมของเขาที่อยู่ใกล้ๆกับที่เธอไปตรวจงานลูกค้าตอนเจอกันครั้งแรก
“ฉันไม่สะดวก เอาไว้คราวหลังละกันนะคะ”
“แต่ผมหิวนี่ครับ” คนตัวโตยังคงอ้อนเป็นเด็กน้อยต่อ
“เราไปทานที่ร้านก็ได้นี่คะ”
“งั้นเราไปทำห้องคุณได้มั๊ย” ในเมื่อเธอไม่ยอมเสนอห้องตัวเองเขาก็จะเป็นคนเสนอเอง
“ห้องฉันหรอคะ!”
“ใช่ครับ” บอกแล้วก็รอฟังคำตอบของเธอ แต่สุดท้ายคำตอบก็ยังคงเป็นความเงียบเช่นเดิม “ถ้าคุณไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรครับ เราไปทานกันที่ร้านก็ได้” เสียงของชายหนุ่มอ่อนลง เขาหวังว่าจะได้มีเวลาอยู่กับเธอสองต่อสองโดยไม่มีคนอื่นแต่แล้วก็ต้องผิดหวังเพราะเธอไม่ยอมให้เขาไปในพื้นที่ส่วนตัวของเธอนั่นแสดงว่าเขายังคงไม่สามารถเข้าถึงใจเธอได้เต็มร้อย
คำขอของเขาทำให้ศิญาดาถึงกับครุ่นคิดจนตอนนี้คิ้วเรียวแทบจะเกยกัน เธอดีใจที่จะได้เจอเขาอีกครั้งหลังจากได้แค่คุยกันผ่านตัวหนังสือ แต่การมาของเขาทำให้เธอตั้งตัวไม่ติดแถมเขายังจะไปถึงห้องของเธออีกด้วย จะบอกว่าเธอกลัวเขาก็ไม่เชิงเพราะจากที่ได้รู้จักเขามาแม้เวลาจะไม่นานแต่ในความรู้สึกของเธอบอกว่าเขาไม่ใช่คนร้ายอย่างแน่นอน แต่การจะให้เขาเข้าถึงพื้นที่ส่วนตัวแบบนี้มันรู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก ใจหนึ่งอยากให้เขาไปแต่อีกใจก็ยังคงค้าน ตอนนี้เธอรู้สึกสับสน
“ที่รัก!” ชายหนุ่มเรียกเมื่อเห็นว่าเธอเงียบนานเกินไปจนเขาก็เริ่มใจไม่ดี
“ค่ะ” เธอไม่ได้ขานรับประโยคที่เขาเรียกแต่เธอพูดกับตัวเอง “ไปทำอาหารทานที่ห้องของฉันก็ได้ค่ะ” พูดออกไปแล้วก็รู้สึกโล่งไปเปราะหนึ่งอย่างบอกไม่ถูก
“ที่รัก! คุณพูดว่าอะไรนะครับ” น้ำเสียงดีใจที่แทบจะปิดไม่มิด แม้จะได้ยินชัดแต่เขาก็ยังถามอีกครั้งเพื่อความมั่นใจว่าเธอจะไม่เปลี่ยนใจ
“ฉันบอกว่าเราไปทำอาหารทานที่ห้องฉันก็ได้ค่ะ”พูดแล้วก็เงียบไปทั้งสองคู่ โดยที่เธอไม่รู้เลยว่าที่เขาเงียบไปนั้นเพราะเขากำลังดีใจสุดๆ ที่ในที่สุดแผนของเขาก็สำเร็จไปขั้นอีกขั้นแล้ว “แต่ฉันคงทำให้คุณทานได้เท่าที่บอกคุณไปนะคะ” หญิงสาวหมายถึงไข่เจียวกับผัดผัก ก็เธอทำอาหารไม่ค่อยเก่ง ลำพังเฉพาะเธอคนเดียวไม่มีปัญหาอยู่แล้วแต่การที่จะทำให้คนอื่นกินเธอขอปฏิเสธดีกว่า อีกอย่างที่พูดกับเขาไปแบบนั้นก็เพราะไม่คิดว่าเขาจะอยู่ที่ประเทศไทยจึงทำให้กล้าพูดออกไปแบบนั้น
“คุณแน่ใจนะครับ” ชายหนุ่มถามย้ำอีกครั้ง
“ถ้าคุณเปลี่ยนใจไม่ไปแล้วก็ได้นะคะ”
“ไม่มีทางที่รัก” ชายหนุ่มยืนยันหนักแน่น
“ขออะไรอย่างได้มั๊ยคะ”
“ครับ” ชายหนุ่มเงียบเพื่อรอฟังเธอ พลางคิดว่าเธอจะขออะไรเขา
“อย่าเรียกฉันว่าที่รักได้มั๊ยคะ เรียกฉันว่าดาดีกว่า” เมื่อฟังเหตุผลของเธอก็ทำให้เขากลั้นหัวเราะไม่อยู่จนต้องหัวเราะออกมา
“ไม่ตลกนะคะ ฉันซีเรียส” น้ำเสียงที่เข้มขึ้นของเธอทำให้เขาหยุดหัวเราะทันที
“ทำไมล่ะครับ ผมไม่เห็นว่ามันจะแปลกตรงไหน” ชายหนุ่มบอก
“ก็เราไม่ใช่แฟนกันซะหน่อยจะเรียกแบบนั้นได้ยังไง” พูดออกไปแล้วศิญาดาก็อยากจะเขกหัวตัวเองแรงๆ กับคำพูดโง่ๆ แบบนั้น ถ้าให้เธอตอบว่าตอนนี้รักเขารึเปล่าเธอจะขอตอบเป็นชอบดีกว่า เพราะช่วงเวลาที่รู้จักกันยังน้อยเกินไปสำหรับเธอที่จะบอกว่ารัก
“แล้วที่เราคุยกันทุกวันแบบนี้ไม่ได้เรียกว่าแฟนหรอครับ” ชายหนุ่มถามเสียงเรียบติดจะน้อยใจด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่แบบนี้ไม่ใช่นิสัยของเขาเลย ให้ตายสิ ชายหนุ่มสบถกับตัวเอง
“เอาเป็นว่าฉันขอคุณแค่นี้จะได้มั๊ยคะ”
“ก็ได้ครับ” เจครับปาก “แต่ถ้าอยู่กันสองคนผมจะเรียกคุณที่รักเหมือนเดิม” ข้อเสนอของเขาทำเอาเธอกลอกตาอย่างเซ็งๆ
“แล้วผมจะเจอดาได้ยังไง” ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่องโดยเรียกเธออย่างที่เธอต้องการ
“เดี๋ยวฉันไปรับคุณที่โรงแรมก็ได้ค่ะ คุณรออยู่ที่นั่นถ้าไปถึงแล้วฉันจะโทรหาคุณเอง”
“ตกลงตามนั้นครับ ที่รัก” พูดจบชายหนุ่มก็วางสายไป
นั่นไงล่ะ ถึงแม้จะขอให้เขาเรียกชื่อเล่นของเธอแต่สุดท้ายแล้วเขาก็ยังเรียกเธอที่รักเหมือนเดิม ยังดีที่เป็นการคุยกันทางโทรศัพท์เพราะไม่ใช่นั้นเธอคงอายแน่ๆ หลังจากวางสายจากเขาแล้วศิญาดาก็เดินทางไปหาเขาที่โรงแรมตามที่นัดกันไว้ เพราะเป็นเย็นของวันศุกร์จึงทำให้รถค่อนข้างติดหนักกว่าทุกวัน กว่าที่เธอจะเดินทางไปถึงโรงแรมที่เขาพักก็ใช้เวลาชั่วโมงกว่า พอก้าวขาเข้าเขตของโรงแรมมือเรียวก็ควานหาโทรศัพท์เครื่องเล่นที่อยู่ในกระเป๋าเพื่อโทรบอกเขาว่าเธอมาถึงแล้ว พอหยิบขึ้นมายังไม่ทันจะได้กดหมายเลขหางตาของเธอก็รู้สึกเหมือนมีใครบางคนยื่นอยู่ เมื่อหันไปมองตรงๆ ก็พบว่าเป็นเขานั่นเองที่ยืนยิ้มรอเธออยู่ก่อนแล้ว ความรู้สึกของเธอตอนนี้ราวกับว่าหัวใจของเธอมันกำลังเต้นคล้ายคนวิ่งมาหลายกิโล มันดังจนเธอรู้สึกได้ถ้าใครอยู่ให้ตอนนี้เธอคิดว่าต้องได้ยินเสียงหัวใจของเธอเต้นเป็นแน่ นานแค่ไหนแล้วนะที่เธอไม่ได้เจอเขา ใช่! 12 วันแล้วที่เธอไม่ได้เจอเขา โอ้..นี่เธอจำวันได้แม่นขนาดนี้เลยหรือนี่ หญิงสาวได้แต่อุทานในใจ ความรู้สึกยินดีที่ได้พบเขาอีกครั้งทำให้เธอเผลอยิ้มออกไปอย่างไม่รู้ตัว เป็นผลให้คนที่ยิ้มอยู่ก่อนแล้วยิ่งยิ้มกว้างเข้าไปอีกเท่าตัวราวกับดีใจมากมายกับการพบกันครั้งนี้
เมื่อเห็นเธอยืนยิ้มนิ่งเขาจึงเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาเธอเสียเอง ข้างหน้าของเขาตอนนี้คือคนที่เขาอยากเห็นหน้าที่สุด มือที่ไพล่หลังอยู่ค่อยๆ ยื่นออกมาข้างหน้า ดอกกุหลาบสีขาวช่อเล็กถูกยื่นมาตรงหน้าของหญิงสาวที่ตอนนี้กำลังยืนนิ่งไม่แน่ใจว่าตกใจหรือดีใจกันแน่
“สำหรับคุณ ที่รัก”
“เอ่อ...” คล้ายกับหาลิ้นตัวเองไม่เจอ ไม่รู้จะพูดกับเขายังไง บอกได้แค่ว่าตอนนี้เธอตื่นเต้นดีใจจนทำตัวไม่ถูก
“รับไว้สิครับ ผมตั้งใจมอบให้คุณเนื่องในโอกาสที่เราได้กันอีกครั้ง” ดอกไม้ช่อแรกในชีวิตที่เจคมอบให้กับผู้หญิง “คุณนิ่งแบบนี้ผมชักใจเสียแล้วสิ” เมื่อเห็นเธอยังคงนิ่งเขาเลยต้องเอ่ยแซวเพื่อเรียกกำลังใจให้กับตัวเอง
“ขอบคุณค่ะ แต่ความหน้าไม่ต้องนะคะ” ศิญาดาเอ่ยขอบคุณเบาๆ แล้วยื่นมือออกไปรับดอกไม้จากเขา
“ดาไม่ชอบดอกไม้” เจคถามอย่างสงสัย
“เปล่าค่ะ แค่รู้สึกว่ามันมากไป” เธอไม่ใช่สาวอ่อนหวานช่างฝัน เพียงแต่การให้ช่อดอกไม้ สำหรับเธอแล้วมันดูเลี่ยนเกินไป
“ผมให้เพราะผมเห็นว่ามันเหมาะกับดา” ชายหนุ่มยังไม่เข้าใจเธออยู่ดี
“ฉันว่ามันเลี่ยนไปน่ะค่ะ อีกอย่าง รู้สึกแปลกๆ ยังไงไม่รู้ที่ต้องเดินถือดอกไม้แบบนี้” เหตุผลหลุดโลกของเธอที่เขาได้ยินทำเอาเขาอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ ถ้าไม่กลัวเธอจะโกรธ
“ผมไม่อยากจะเชื่อว่ายังมีผู้หญิงที่ไม่ชอบการได้รับช่อดอกไม้บนโลกใบนี้อยู่ แต่เพื่อความสบายใจของดา ผมจะพยายามไม่ทำแบบนี้อีก” ชายหนุ่มบอกด้วยรอยยิ้ม ผิดกับศิญาดาที่ไม่เข้าใจว่าเรื่องแค่นี้ทำไมเขาต้องพยายามด้วย
“ทีนี้เราไปกันได้รึยังครับ ถ้ายังยืนคุยกันอยู่แบบนี้คงมืดก่อนที่จะไปถึงห้องของคุณเป็นแน่” ชายหนุ่มบอกเมื่อมองไปรอบตัวความมืดเริ่มปกคลุมไปทั่วแล้ว
“ออ..ค่ะ ฉันว่าเราไปแท็กซี่กันดีกว่านะคะ” หญิงสาวออกความเห็นเพราะถ้าจะให้เธอพาเขาขึ้นรถเมย์คงไม่ไหวแน่ยิ่งตอนนี้เป็นเย็นวันศุกร์ที่รถติดโหดสุด
สองหนุ่มสาวเดินออกมาเรียกรถแท็กซี่ตรงถนนหน้าโรงแรม เมื่อเข้าไปนั่งในรถแท็กซี่เป็นที่เรียบร้อยแล้วเธอก็บอกจุดหมายที่ต้องการไปแก่คนขับ โดยเธอจะพาเขาแวะที่ตลาดเล็กๆ หน้าปากซอยที่เธอพักอยู่เพื่อซื้อของที่จะนำไปทำอาหารเย็น อยู่ๆ มือข้างที่ว่างอยู่ก็ถูกกุมด้วยมือใหญ่ของเขาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวทำให้เธอตกใจเล็กน้อยด้วยไม่คิดว่าเขาจะทำแบบนี้ หญิงสาวขืนมือออกแต่ไม่สำเร็จ พอเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของมือที่กำลังกุมมือบางของเธออยู่ตอนนี้ก็พบกับดวงตาที่ทำให้เธอแทบละลายลงตรงนั้น ตาสีฟ้าใสที่ทำให้เธอหลงใหลตั้งแต่แรกเห็นตอนนี้เหมือนมันมีใครอยู่ในนั้นซึ่งเธอมั่นใจเหลือเกินว่าคนที่อยู่ในนั้นคือเธอ แววตาที่คล้ายกับกำลังร้องขออะไรบางอย่างจากเธอที่ตอนนี้เธอไม่รู้ว่ามันคืออะไรจ้องเธอนิ่งจนเธอต้องหลบสายตาของเขาเพื่อลดความเขินอาย เธอนั่งจ้องช่อดอกกุหลาบขาวที่อยู่ในมือนิ่งในหัวคิดอะไรสารพัดเกี่ยวกับเขาและเธอในตอนนี้ ยิ่งเขากระชับมือที่กำลังกุมมือของเธออยู่ก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นอย่างประหลาดจนไม่อยากจะให้เขาปล่อยมัน นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่เธอนั่งก้มหน้าหลบสายตาของเขาจนกระทั่งคนขับแท็กซี่เอ่ยถามถึงตำแหน่งที่จะให้จอด
“จอดข้างหน้านี่ก็ได้ค่ะ” ศิญาดาเงยหน้าขึ้นมาบอกคนขับ นึกละอายใจที่เธอมัวแต่นั่งปล่อยให้เขากุมมืออยู่ตลอดทาง พอรถจอดสนิทชายหญิงสาวก็หยิบธนบัตรกำลังจะส่งให้คนขับแต่ก็มีอีกมือยื่นมาตัดหน้าของเธอ
“ผมจ่ายเอง” เจคบอกโดยเธอได้แต่มองการกระทำของเขาอยู่เงียบๆ พอจ่ายค่ารถเสร็จทั้งคู่ก็เดินเข้าไปในตลาดเพื่อซื้อของสดสำหรับทำอาหาร
เธอไม่ได้คิดไปเองแน่นอนว่าสายตาเกือบทุกคู่มองมาที่เขาและเธอ ความหล่อเหลาของเขามันโดดเด่นจนเธอรู้สึกหมั่นไส้ หญิงสาวมาเดินซื้อของในตลาดนี้เป็นประจำแต่ก็ไม่เคยมีใครสนใจจะมองเธอสักครั้ง ก็ใช่ว่าเธออยากให้ใครๆ หันมามองเธอหรอก แต่การมากับเขาในครั้งนี้มันช่างต่างกันกับเธอมาคนเดียวลิบลับจนอดหมั่นไส้ไม่ได้ ต่างกับเขาที่เคยชินกับการมีสายตาหลายคู่จ้องมองเขาจึงไม่ได้สนใจคนเหล่านั้นโดยในสายตาของเขาตอนนี้มีแต่หญิงสาวที่ตอนนี่กำลังเลือกซื้อผักอย่างคล่องแคล่ว มันเป็นภาพที่สวยงามมากในความรู้สึกของเขาตอนนี้ เขาเดินตามเธอซื้อของอย่างเงียบๆ พอเธอจ่ายเงินเสร็จก็หันมาถามเขา
“คุณต้องการอะไรอีกหรือเปล่าคะ”
“ผมอยากได้เครื่องดื่มสักหน่อย แล้วดาซื้อของครบแล้วหรอครับ” เจคบอก เมื่อเขามองไปข้างหน้าเห็นร้านสะดวกซื้อที่มีอยู่แทบทุกที่ของกรุงเทพฯ
“ครบแล้วค่ะ” หญิงสาวชูของในมือให้เขาดูพร้อมรอยยิ้มใส
“ผมถือให้เองครับ” ชายหนุ่มยื่นมือมารับบรรดาถุงพลาสติกใสที่บรรจุทั้งผักและเนื้อไก่ไปรวมกับถึงผลไม้ที่ถืออยู่ในมือก่อนหน้านี้
“แบ่งมาให้ฉันช่วยถือดีกว่านะคะ คุณจะได้ไม่หนักมาก” เมื่อเห็นข้าวของที่อยู่ในมือเขามีมากเกินเธอจึงอาสาช่วยอีกแรง
“แค่นี้เองสบายมาก” เจคยิ้มกับความมีน้ำใจของเธอ “เราไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อกันต่อดีกว่านะครับ” เมื่อสรุปได้ก็เอ่ยชวนเธอไปซื้อเครื่องดื่มที่เขาอยากได้ต่อ
ในร้านสะดวกซื้อที่ตอนนี้ผู้คนค่อนข้างเยอะ หลายคนเลือกที่จะซื้อของที่นี่แทนที่จะไปซื้อที่ห้างใหญ่เพราะความสะดวกสบายนั่นเอง ช่วงเย็นจึงเป็นเวลาที่ลูกค้าแน่นร้านเพิ่มยอดขายให้กับร้านมากขึ้นตามไปด้วย เจคยืนมองบรรดาเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสมอยู่สักพัก มันเทียบไม่ได้เลยกับเครื่องดื่มชั้นดีราคาแพงที่เขาดื่มเป็นประจำ แต่เขาไม่ใช่คนที่ถือตัวยึดติดกับของมียี่ห้อขนาดที่จะไม่ดื่มของที่คนทั่วไปดื่มกัน ชายหนุ่มหยิบเครื่องดื่มกลิ่นผลไม้ที่มีส่วนประกอบของแอลกอฮอล์เพียงเล็กน้อยออกมาจากตู้ 6 ขวดหย่อนลงในตะกร้าในมือแล้วเดินไปยังที่ศิญาดากำลังหยิบนมรสที่ดื่มเป็นประจำ เมื่อได้ของครบแล้วก็เดินไปต่อแถวเพื่อชำระเงิน
ระยะทางจากร้านสะดวกซื้อไปยังห้องของศิญาดาเพียง 500 เมตร ซึ่งสามารถเดินได้ไม่ถึงกับเหนื่อยแถมยังเป็นการออกกำลังกายไปในตัวได้ด้วย หญิงสาวมองสองมือของเขาที่ตอนนี้ปริมาณถุงที่บรรจุของที่ซื้อมาเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิน ครั้นจะแบ่งมาช่วยถือเขาก็ไม่ยอม เดินไม่นานก็มาถึงหน้าตึกที่เธอเช่าห้องพักอยู่ ตลอดระยะทางที่เดินมาหญิงสาวคิดมาตลอดทางว่าเธอทำถูกแล้วรึเปล่าที่ปล่อยให้ผู้ชายเข้าห้องแบบนี้ ถึงแม้จะเคยคุยกันมากว่าครึ่งเดือนแต่เธอก็รู้เรื่องราวของเขาแค่ว่าเขาเป็นเจ้าของบริษัทก่อสร้างที่อเมริกา มีพ่อแม่และน้องชายอีกหนึ่งคนอาศัยอยู่ด้วยกันอย่างอบอุ่น เขาตอบคำถามทุกอย่างที่เธออยากรู้ ถึงแม้ในบางครั้งเธอคิดว่าเขาอาจจะหลอกเธออย่างที่ชาวต่างชาติหลอกหญิงสาวชาวไทยก็เป็นได้ แต่ถ้าเธอซื่อสัตย์และยอมรับความรู้สึกจริงๆ ของตัวเองก็จะเห็นว่าเธอรู้สึกเชื่อมั่นในตัวเขาในระดับที่เกินกว่าเวลาเพียงไม่นานจะมาตัดเขาออกจากชีวิตเธอไปได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอจึงยอมเชื่อสัญชาตญาณของตัวเองสักครั้ง ให้หัวใจที่ตอนนี้เธอยอมรับแล้วว่าเปิดรับเขาเข้ามาแล้วนำทางไป
“ห้องของฉันอาจจะแคบไปสำหรับคุณ บางทีอาจจะทำให้คุณไม่สบายเท่าไร่” มือที่กำลังจะไขประตูห้องหยุดชะงักแล้วหันมาบอกเขาคล้ายๆ กับเปิดโอกาสให้เขาตัดสินใจอีกครั้ง
“ผมไม่ใช่คนที่ติดความสะดวกสบายขนาดนั้นหรอที่รัก” เจคยิ้มให้เธอคล้ายกับให้กำลังใจเพื่อให้เธอคลายกังวนกับเรื่องนี้ แค่ที่เธอยอมให้เขามาที่ห้อง เข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของเธอขนาดนี้เขาก็ดีใจจะแย่แล้ว เมื่อเห็นรอยยิ้มจริงใจของเขาเธอก็ยิ้มตอบกลับไปบ้างแล้วจัดการไขลูกบิดประตูเพื่อเข้าไปในห้องทันที
ห้องขนาดที่ไม่ได้ใหญ่มากนักแต่ถ้าเทียบกับห้องของเขาก็ต้องบอกว่าเล็กไปถนัดตาเลยล่ะ ภายในห้องถึงแม้จะไม่ได้แบ่งเป็นห้องชัดเจนแต่เธอก็สามารถจัดวางตู้และโต๊ะได้เป็นสัดส่วนเหมาะกับขนาดห้องและการใช้งานได้อย่างลงตัว เฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำเป็นก็มีครบ ผ้าปูที่นอนสีขาวนวลสะอาดตาบวกกับสีของห้องยิ่งทำให้ห้องดูกว้างและน่าอยู่มากขึ้น หญิงสาวจัดแจงวางของบนโต๊ะที่ตั้งอยู่มุมห้องแล้วเลือกหยิบขวดเครื่องดื่มและนมเตรียมเก็บเข้าแช่ในตู้เย็น
“ให้ผมช่วยดีกว่า ดาจะได้ทำกับข้าว บอกตามตรงว่าตอนนี้ผมหิวจนจะกิน” ชายหนุ่มเว้นจังหวะการพูดพลางมองหน้าเธอตรงๆ เพื่อบอกให้รู้ว่าเขาสื่อถึงอะไรทำให้ศิญาดาอมยิ้มด้วยความเขินอาย
“ถ้าอย่างนั้นก็คุยก็ช่วยเอาของเข้าแช่ในตู้เย็นให้หน่อยละกันนะคะ” พูดแล้วก็เบี่ยงตัวไปหยิบถุงผักและผลไม้เพื่อจะนำไปล้าง แต่คนมือไวก็คว้าเอวเธอเข้ามาแนบชิดอย่างรวดเร็ว “อุ๊ย!” หญิงสาวอุทานออกมาอย่างตกใจ มือทั้งสองข้างเกาะแขนเขาไว้แน่นเพื่อกันไม่ให้ตัวเองล้มไปโดนของโต๊ะ แต่หารู้ไม่ว่านั่นคือความจงใจของเขาให้เธออยู่ในท่านี้เพื่อที่จะหนีเขาไปไม่ได้
“ขนาดอยู่ด้วยแล้วผมยังไม่หายคิดถึงคุยเลย” คำพูดหวานหูที่ออกมาจากปากของเขาเล่นเอาหญิงสาวหน้าแดงด้วยความเขินอายแต่ก็ไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้ราวกับกำลังถูกมนต์สะกด ยิ่งเห็นเธอนิ่งอึ้งชายหนุ่มก็ยิ่งก้มหน้าลงมาใกล้ใบหน้าของเธอมากยิ่งขึ้น จากที่ห่างกันแค่คืบแต่ตอนนี้ใกล้จนจมูกโด่งชิดกับปลายจมูกของเธอ สัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดมาที่ใบหน้าของเธอ อาการตะลึงของเธอทำให้ริมฝีปากบางเปิดอย่างไม่รู้ตัว โอกาสงามๆ แบบนี้มีหรือที่เจคจะปล่อยให้หลุดลอยไป ริมฝีปากหนากดปิดลงบนริมฝีปากบางของเธออย่างแผ่วเบาในตอนแรก ละเลียดตามริมฝีปากบาง ลิ้นหนาของเขาที่ส่งเข้ามาเพื่อควานหาความหวานในโพรงปากของเธอ เกาะเกี่ยวลิ้นเล็กราวกับฝีเสื้อที่กำลังหยอกล้อกับดอกไม้ที่เต็มไปด้วยน้ำหวานแสนอร่อย เมื่อมีบางอย่างเข้ามาโดนลิ้นสัญชาตญาณอัตโนมัติก็บอกให้เธอหลบแต่นั่นเท่ากับเป็นการกระตุ้นเจ้าลองลิ้นหนาให้พยายามเกาะเกี่ยวเอาไว้ให้ได้ จูบที่เงอะงะราวกับไม่เคยจูบมาก่อนสร้างความสงสัยให้กับชายหนุ่มนักแต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องหาคำตอบในตอนนี้เพราะตอนนี้สิ่งที่เขาสนใจที่สุดคือโพรงปากอันหอมวานของคนตรงหน้าที่ทำให้เขาไม่อยากหยุดจูบอันแสนหวานนี้เลยถ้าเพียงแต่ไม่ได้รู้สึกถึงลมหายใจที่เริ่มหนักคล้ายกับคนกำลังจะขาดอากาศหายใจของเธอ ชายหนุ่มค่อยๆ ถอนริมฝีปากหนาออกจากริมฝีปากบางของเธออย่างอ้อยอิ่ง เสียดายความหวานที่พึ่งได้รับ ต่างกับอีกคนที่ทันทีที่ริมฝีปากบางเป็นอิสระเธอก็สูดเอาอากาศเข้าปลอดอย่างหนักราวกับคนที่กำลังจะขาดอากาศหายใจ จังหวะหายใจค่อนข้างหนักของเธอในช่วงแรกค่อยๆ เบาลงเมื่อได้รับออกซิเจนเต็มที ชายหนุ่มมองอาการของเธอด้วยรอยยิ้มยิ่งเมื่อเธอเห็นเขายิ้มหญิงสาวก็ยิ่งอายหนักจนก้มหน้างุดจนชายหนุ่มอดใจไม่ไหวเชิดคางของเธอขึ้นมาแตะปากหนักๆ ในทางทีน่ารักของเธอแล้วรวบเธอเข้ามากอดแน่น แต่คนในก้อมแขนกลับหาได้กอดตอบเขาไม่เพราะตอนนี้เธอกำลังอยู่ในสภาวะที่คล้ายกับคนที่ใจไม่อยู่กับตัว เป็นนานกว่าที่หญิงสาวจะรู้สึกว่ากำลังถูกเขากอดอยู่ ร่างเล็กในอ้อมแขนขยับตัวเพื่อให้หลุดจากอ้อมกอดของเขาทำให้ชายหนุ่มรู้ว่าตอนนี้เธอคงสติกลับมาเต็มที่แล้ว เจคคลายอ้อมกอดออกเพื่อมองหน้าเธอที่ตอนนี้ไม่ยอมสบสายตาเขาแม้แต่น้อย ความสูงของเธอที่อยู่ระดับปลายคางของเขาทำให้ตอนนี้เธอไม่กล้าที่จะมองหน้าของเขาตรงๆ โดยทิ้งสายตาไว้ที่หน้าอกของเขาเท่านั้น เจคเลื่อนมือมาจับที่ไหล่มนของเธอเพื่อดันให้ตัวเองออกห่างพอที่เขาจะสามารถมองหน้าเธอได้ชัด
“ขอโทษที่ผมรุกดาแบบไม่ให้ดาตั้งตัว แต่ผมอยากจะบอกดาว่าที่ทำไปทั้งหมดมันมาจากใจจริงของผม” เจอคอบบอกอย่างหนักแน่น ทั้งแววตาและคำพูดของเขาตอนนี้บอกได้คำเดียวเลยว่า เธอเชื่อเขา แต่ตอนนี้เธออายจนทำอะไรไม่ถูกไปหมดแล้วจึงได้แต่ยืนนิ่งให้เขากอดอยู่อย่างนั้นสักพัก
*********************************
ขออภัยอย่างมากค่ะที่หายไปนาน
ตอนนี้เค้ากลับมาแล้วน้าาาา ^_^
ศิริรตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ส.ค. 2558, 21:02:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ส.ค. 2558, 21:02:37 น.
จำนวนการเข้าชม : 884
<< ห่างกาย แต่ใกล้ใจ 25% | ห่างกาย แต่ใกล้ใจ 100% >> |