ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: หยกตะวัน : บทที่ ๓ จดหมายเบญจมาศ

หยกตะวัน : บทที่ ๓ จดหมายเบญจมาศ

ณ เวลาเดียวกันกับที่แว่นและองค์ชายหกกำลังสนทนา คนที่เพิ่งกระโดดหนีออกมาทางหน้าต่างกำลังหลบมุมอยู่ด้านหลังต้นไม้ใหญ่ ยามเหมันต์ท้อยักษ์ต้นนี้ผลัดใบเหลือไว้แต่กิ่งก้าน ดูแห้งแล้งห่อเหี่ยวราวกับไม่ใช่ต้นงามที่เคยออกดอกสะพรั่ง องค์ชายแปดทอดสายตามองแล้วก็นึกถึงตัวเอง

‘ต้นท้อไร้ใบ ส่วนข้าไร้รองเท้า เหมาะกันดีจริง’

เด็กหนุ่มดึงชายชุดให้มาคุมเท้าเย็นเฉียบ วันนี้อากาศอุ่นขึ้นมาบ้างแล้ว แต่พื้นดินก็ยังเย็นเยือกจนนึกเสียใจที่ไม่ได้หยิบรองเท้าติดมือมา

หรู่เผยโขกศีรษะตัวเองกับต้นไม้ด้วยความโมโห เรื่องลืมรองเท้าก็น่าหงุดหงิดใจระดับหนึ่ง แต่ที่ไม่น่าให้อภัยคือกิริยาโง่ๆ ที่เผลอแสดงต่อหน้ากุ้ยฮวา เขามัวแต่ตกใจจนลืมคิดว่าต่อให้นางจับได้ ก็ไม่จำเป็นต้องเดือดร้อน ตนไม่ได้เป็นคนขวนขวายไปเอาผ้าผืนนี้มาสักหน่อย เหยี่ยวดำต่างหากที่คาบมาให้ ตีมึนทำเป็นไม่รู้ว่าเป็นนางก็จบเรื่องแล้ว

“ความผิดของแกคนเดียว” องค์ชายแปดบ่นกับสัตว์เลี้ยงผู้ซื่อสัตย์

เหยี่ยวดำซึ่งเกาะอยู่บนกิ่งท้อก้มหน้าลงมามอง มันเข้าใจคำตำหนิแต่ก็ฉลาดพอจะแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง เจ้านกตัวดีบินลงมาเกาะที่บ่า แล้วเอียงตัวมาซบประจบ เพียงเท่านี้เจ้านายก็โกรธมันไม่ลงแล้ว

จริงดังที่คาด องค์ชายแปดเลิกพาล เขาไล้นิ้วไปบนขนสีดำสนิทของอีกาตัวโต สักพักก็หยิบเนื้อตากแห้งในอกเสื้อออกมาให้มันกิน

“ค่อยๆ กินล่ะ” เด็กหนุ่มโยนขนาดครึ่งฝ่ามือให้ทั้งชิ้นเพราะขี้เกียจฉีก

เหยี่ยวดำคาบไปกินอย่างยินดี มันใช้จะงอยปากและเล็บจิกชิ้นเนื้อจนขาดเป็นสองท่อน แต่แทนที่จะกิน มันกลับแบ่งอีกครึ่งหนึ่งมาให้องค์ชายแปด ดังจะบอกว่าให้กินด้วยกัน

“ของมันตกพื้นแล้ว ข้าไม่เอาหรอก กินซะให้หมดเถอะ”

เหยี่ยวดำทำท่าว่าเข้าใจ มันคาบเนื้อชิ้นที่พยายามส่งให้องค์ชายแล้วบินหายไป ทีแรกองค์ชายแปดคิดว่ามันเอาไปกักตุนตามนิสัย แต่เปล่าเลย อึดใจมันก็คาบเนื้อชิ้นเดิมกลับมาในสภาพชุ่มน้ำ พอเอามายัดใส่มือเขาได้มันก็ทำเสียงร้องเป็นเชิงว่า ‘ล้างให้แล้ว กินซะอย่าเรื่องมาก’

“นี่ข้าต้องกินจริงๆ ใช่ไหม” องค์ชายแปดหัวเราะออกมาในที่สุด เหยี่ยวดำเห็นอย่างนั้นก็พลอยแสดงท่าทียินดีตามไปด้วย

เหยี่ยวดำเป็นนกที่ฉลาดมาก สมองของมันเทียบเท่ากับเด็กที่รู้ความแล้ว ดังนั้นจึงเข้าใจความเศร้าและรู้จักคิดแก้ปัญหา มันมีความสุขเมื่อได้กินเนื้อตากแห้ง มันจึงแบ่งความสุขของตัวเองให้องค์ชายแปดด้วย

องค์ชายหรู่เผยเข้าใจความคิดและการกระทำของสัตว์เลี้ยง จึงมองมันด้วยความรักใคร่ เขาไม่คิดมาก่อนเลยจริงๆ ว่าอีกาตัวนี้จะช่วยเหลือตนได้มากมายเพียงนี้ ถ้าไม่มีเหยี่ยวดำป่านนี้เขาอาจจะเบื่อที่จะหายใจไปแล้วก็ได้

การเกิดมามีสายเลือดจักรพรรดิมาพร้อมกับภาระมากมายบนบ่า แต่สิ่งที่ ‘เกินทน’ และ ‘ไม่อยากจะทน’ คือการเกิดในสกุลเหอ เขาเคยคิดว่ามารดาเป็นเพียงคนเดียวที่ขาดความยั้งคิดและฟั่นเฟือน แต่พอออกจากวังมังกรน้ำและพบเจอกับเรื่องราวหลายอย่าง เด็กหนุ่มก็ได้ตระหนักว่าคนรอบกายมีจิตใจที่บิดเบี้ยวพอๆ กัน ไม่ว่าใครหน้าไหนก็เห็นอำนาจและผลประโยชน์เป็นสำคัญ

หรู่เผยระอาสภาพแวดล้อมเต็มทน พอถูกต่อว่าว่าไม่สมควรเกิดมาเขาก็หมดความอดทน อยากตายให้พ้นๆ ไป ความคิดชั่วแล่นทำให้เขาหยิบมีดออกมา คลำหาจุดตายเพื่อปลิดชีพตัวเอง ตอนนั้นเองที่มีผ้าผืนหนึ่งร่วงลงมาจากฟ้า เมื่อเงยหน้าขึ้นมองจึงเห็นว่าเป็นฝีมือของเหยี่ยวดำ

แวบแรกหรู่เผยคิดอย่างโง่งมว่าเหยี่ยวดำเสนอวิธีฆ่าตัวตายด้วยการแขวนคอ แต่พอได้ดูลายปักจึงเข้าใจว่านี่เป็นของขวัญ ผ้าปักผืนนี้เป็นฝีมือของกุ้ยฮวาไม่ผิดแน่ หรู่เผยไม่ชอบใจนักเมื่อคิดได้ว่าหลังงานเทศกาลหนุ่มสาวมันต้องตกเป็นของคนอื่น จึงตั้งใจไปรอแกล้งนางตอนผูกผ้า ทว่าก็เกิดเรื่องก่อนจนลืมไปสนิท

หรู่เผยคิดอย่างสนุกว่าจะเอาผ้าผืนนี้ไปทำอะไรดี เอาไปเร่ขายต่อให้คนอื่นยั่วนางเล่นก็น่าสนใจ หรือจะเอาไปขอค่าไถ่แพงๆ จากเจ้าตัวก็ไม่เลว เด็กหนุ่มมัวแต่คิดเรื่องนี้จนหลุดออกมาจากสภาวะหม่นหมองโดยไม่รู้ตัว เมื่อจิตแจ่มใสขึ้นอารมณ์ไม่อยากหายใจก็พลอยสลายไปด้วย หรู่เผยสาบานกับตัวเองว่าจะไม่ทำตัวตกต่ำดังเช่นวันนี้อีก หลังจากสาบานแล้วเขาก็พกผ้าปักของกุ้ยฮวาติดตัวเพื่อย้ำเตือนตัวเอง

“รู้เอาไว้ด้วยว่าข้าไม่ได้พิศวาสเจ้าเลยสักนิด” เด็กหนุ่มเอ่ยกับผืนผ้า

คนปากแข็งก็คือคนปากแข็งวันยังค่ำ องค์ชายหรู่เผยไม่มีวันยอมรับหรอกว่าเจ้าของผ้าปักผืนนี้มีอิทธิพลต่อตนเพียงใด


เมื่อคุยเรื่ององค์ชายแปดเรียบร้อยแล้ว องค์ชายหกได้เชิญกุ้ยฮวากับไป๋หลินมารับประทานน้ำชายามบ่ายด้วยกัน โดยนำขนมที่กุ้ยฮวานำมาขึ้นโต๊ะด้วย บังเอิญว่าวันนี้เจ้ตั้งใจทดสอบเตาย่างอันใหม่ที่สั่งทำจากแผ่นเหล็ก เลยมีลาภปากได้กินขนมบ้าบิ่นกัน วัตถุดิบสำคัญของขนมคือมะพร้าวซึ่งต้องสั่งมาจากทางใต้ แต่เจ้ก็ยังอุตส่าห์ไปหามาจนได้

“ขนมฝีมืออาซ้อนี่น่ากินเสมอเลย” องค์ชายหกว่า

มาบัดนี้ชายหนุ่มติดปากเรียกฟางเซียนว่า ‘อาซ้อ’ ไปเสียแล้ว สาเหตุหลักก็เพราะเดี๋ยวนางก็ชื่อฟางเซียน สักพักก็กลายเป็นชิงชิง เขาสับสนไม่รู้จะเรียกอย่างไรให้ถูกสถานการณ์ เวลาอยู่กับคนกันเองเลยเลือกว่าอาซ้อแทน

“ไม่ใช่แค่น่ากินนะเจ้าคะ อร่อยมากด้วย” แว่นโฆษณา

เขาอยากให้องค์ชายหกได้กินสักชิ้น ก่อนที่หลุมดำข้างตัวอย่างโบ้จะสูบขนมไปจนหมด

องค์ชายลี่หยางหยิบมากินจนหมดชิ้นแล้วค่อยชม สังเกตจากที่หยิบชิ้นที่สองทันทีแสดงว่าคงถูกปาก แว่นยิ้มอย่างพอใจที่ชายหนุ่มรับสินบนไปแบบไม่รู้ตัว พอสบโอกาสจึงชวนคุยเรื่องที่ตัวเองอยากรู้

“ท่านพี่หกจะร่วมโต๊ะเสวยวันนี้ไหมเจ้าคะ”

“อยู่สิ ข้าหายไปอีกคนโต๊ะคงโล่งน่าดู”

องค์ชายหกไม่เคยห่วงเรื่องถูกกริ้ว เขาชอบที่จะได้อยู่กันพร้อมหน้ามากกว่า แม้ว่าบางคนจะไม่ถูกกันแต่นั่นก็เพราะเป็นลูกคนละแม่ ได้พูดคุยเห็นหน้ากันบ้างอคติในใจจะได้เบาบ้าง เสด็จพ่อจะได้ไม่ทรงวิตกมากด้วย

“นั่นสิเจ้าคะ ท่านพี่สามคงไม่โผล่หน้ามาแล้ว องค์ชายห้าก็ด้วย อืม...แล้วองค์ชายรองละเจ้าคะ” แว่นหลอกถามอย่างแนบเนียน

“เรื่องพี่รองข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เป็นห่วงอยู่ไม่รู้ไปทำอะไรไว้ เสด็จพ่อไม่ยอมตรัสถึงเลย ท่านแม่ก็สั่งมาว่าห้ามถามอะไร คนที่รู้เรื่องเห็นจะมีแต่พี่ใหญ่กระมัง อ้อ! พี่สามน่าจะรู้นะ แต่ข้าไม่เจอเขาสักที”

องค์ชายลี่หยางแสดงออกอย่างเปิดเผยแว่นเลยเชื่อว่าเขาไม่ได้โกหก แม้จะไม่ได้เรื่องที่ต้องการแต่ก็พอทราบแล้วว่าจะไปสอบถามความจริงได้จากใคร องค์รัชทายาทตัดทิ้งไปได้เลยเพราะแค่แง้มปากบอกเมื่อคราวก่อนก็มากพอแล้ว เหลือก็แต่ญาติจอมขี้แกล้งอย่างองค์ชายสาม เขาไม่มีทางตอบดีๆ หรอก แต่แว่นก็พอรู้อยู่ว่าจะไปตามหาตัวได้ที่ไหน

แว่นตั้งใจว่าจะอยู่คุยอีกพักหนึ่ง สมควรแก่เวลาแล้วจึงค่อยขอตัวกลับ กำลังคิดเรื่องคุยอยู่มหาดเล็กขององค์ชายก็เข้ามารายงานว่าแม่นางมู่กลับมาแล้ว องค์ชายลี่หยางได้ฟังก็ยิ้มกว้าง หากไม่มีพวกกุ้ยฮวาอยู่เขาคงลุกออกจากโต๊ะไปหาแม่นางคนนั้นแล้ว

แว่นมองด้วยความสนใจ ส่วนโบ้หูผึ่งเพราะมีคนแซ่เดียวกันในวัง สกุลมู่ไม่ได้มีเครือญาติมากมายนัก ส่วนใหญ่กระจุกตัวกันอยู่ทางเหนือ ถ้าซักประวัติดีๆ อาจรู้จักกัน

“วันนี้ข้าตั้งใจมาชวนคุยเฉยๆ ถ้าพี่หกมีธุระจะไปทำเลยก็ได้นะเจ้าคะ”

“ตอนนี้พี่ว่าง เพียงแต่...” องค์ชายหกชะงักเพราะนึกอะไรดีๆ ขึ้นมากได้ จึงหันไปสั่งมหาดเล็ก “ไปบอกอวี้เอ๋อร์ให้ช่วยเอาชามาเพิ่มที”

แว่นรู้สึกได้ว่าองค์ชายหกจงใจเรียกตัวแม่นางที่ชื่ออวี้เอ๋อร์มาอวด ขนาดโบ้ที่ว่าซื่อบื้อๆ ยังขมวดคิ้วเพราะสัมผัสได้ถึงความกระตือรือร้นจากสีหน้าท่าทาง เห็นทีงานนี้มีแม่นางมู่ทั้งสองคงได้เขม่นกันบ้างละ

รอสักอึดใจหนึ่งแม่นางมู่ขององค์ชายหกก็มาปรากฏตัว นางสวมชุดนางกำนัลระดับต่ำกว่าที่โบ้สวม แต่กลับดูมีสง่าราศีต่างกันมาก กิริยาก็นุ่มนวลชวนมอง คล้ายองค์หญิงลี่จูอยู่ไม่น้อย ส่วนที่ทำให้ตกใจสุดขีดคือใบหน้าของนางคล้ายไป๋หลินเป็นอย่างมาก

“หยกน้อย!” โบ้อุทานเมื่อเห็นน้องชายฝาแฝด

“อาเจ๊!” อีกฝ่ายร้องเสียงห้าว ทำเอาภาพลักษณ์ความงามเมื่อครู่พังป่นปี้ พอเห็นว่าในห้องมีกุ้ยฮวาอีกคน ไป๋อวี้ก็แทบจะมุดดินหนี

หลังจากอุทานทุกคนก็เงียบไป มีเพียงเสียงหัวเราะขององค์ชายหกที่ยังดังกังวาน

“ข้าหลงคิดว่าท่านเป็นสหาย แต่กลับทำกันได้ลง” ไป๋อวี้ตัดพ้อ

เขากระแทกก้นลงนั่ง แล้วรินน้ำชาใส่ถ้วยดื่มดับโมโห


“อย่าเคืองเลยน่า ข้าทำเพื่อเจ้านะ จะอย่างไรก็ต้องบอกพวกนางอยู่ดี รู้เร็วหน่อยจะได้ช่วยกันไง” องค์ชายหกอธิบายไปหัวเราะไป มองอย่างไรก็หาเรื่องแกล้งมากกว่าหวังดี

แม้จะไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดไป๋อวี้จึงแต่งตัวเป็นผู้หญิง แต่ภาพที่เห็นก็ทำให้พี่สาวที่มั่นใจว่าน้องชายแมนเกินร้อยมาตลอดถึงกับมือไม้สั่น

“นะ...นี่เจ้า เป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร”

“เรื่องมันยาว อาเจ๊กับท่านหญิงอย่าเพิ่งคิดไปไกลนะ” ไป๋อวี้แก้ต่าง ก่อนหันไปมองคนที่ทำให้ต้องขายหน้าอย่างเคืองๆ เป็นเชิงว่าให้ช่วยอธิบาย

ในใจไป๋อวี้เห็นองค์ชายหกเป็นดังเช่นสหาย แต่พี่สาวคนดีกลับมองเป็นอีกอย่าง

‘หยกน้อยค้อนแล้วองค์ชายหกก็เหมือนจะชอบด้วย’ นี่มันอะไรยังไง ไปปิ๊งกันตอนไหน

ไป๋อวี้กุมขมับเมื่อเห็นสีหน้าของพี่สาว อุตส่าห์ห้ามว่าไม่ให้คิดก็ยังอุตส่าห์คิดไปไกล เลยรีบอธิบายว่าไป๋หลินเข้าวังมานาน เขาเป็นห่วงก็เลยขอร้องให้องค์ชายหกช่วยพาเข้ามาด้วย เนื่องจากไป๋หลินอยู่ในเขตของสตรี บุรุษผ่านเข้าออกไม่ได้ เพื่อความสะดวกเขาก็เลยปลอมเป็นนางกำนัลขององค์ชายหก ใช้ชื่อว่าอวี้เอ๋อร์

“ชื่ออวี้เอ๋อร์นี่ฟังดูดีนะ เก็บความหมายเดิมของชื่อเอาไว้ด้วย เข้าใจตั้ง” กุ้ยฮวาชม

เอ๋อร์คำนี้แปลว่าเด็ก ส่วนอวี้คือหยก รวมกันแปลว่า ‘หยกน้อย’ อย่างที่ไป๋หลินชอบเรียกพอดี

“พี่ช่วยคิดเอง เพราะใช่ไหม” องค์ชายหกแสดงตัวอย่างภูมิอกภูมิใจ

ที่นำเสนออย่างออกนอกหน้าขนาดนี้ เพราะเป็นคนช่วยฝึกไป๋อวี้ให้สมหญิงกับมือ เสื้อผ้าหน้าผมและอะไรต่อมิอะไรก็เป็นคนจัดหามาให้ ช่วงก่อนก็ให้ทดสอบด้วยการไปช่วยงานจัดเลี้ยง ผลคือไม่มีใครจับได้สักคนว่าไป๋อวี้เป็นผู้ชาย

“เพราะเจ้าค่ะ เหมาะกับรูปลักษณ์ดี นี่ถ้าข้าเป็นผู้ชายต้องหลงเสน่ห์แม่นางอวี้เอ๋อร์เป็นแน่” แว่นหยอก

“ถูกทีเดียว ตอนเห็นครั้งแรกพี่นี่ใจเต้นแรงเลย”

“พวกท่านอย่าล้อข้าอีกเลย ขอร้องละ” ไป๋อวี้ยกมือไหว้ท่วมหัว

“ล้ออะไรกัน ข้าชมเจ้าจากใจเชียวนะ”

องค์ชายหกยังคงคุยแบบไม่คิดอะไร ตรงข้ามกับคนที่ไม่คุยซึ่งเอาแต่คิด ในหัวโบ้ตอนนี้เหมือนมีเสียงสะท้อนรัวๆ

‘พี่นี่ใจเต้นแรงเลย พี่นี่ใจเต้นแรงเลย พี่นี่ใจเต้นแรงเลย’

‘ไม่จริงใช่ไหมเพคะ หยกน้อยมันมีดีอะไรมากกว่าคนสวย’

โบ้เป็นใบ้ไปชั่วขณะเพราะกำลังช็อก แว่นรู้ว่าเพื่อนกำลังคิดอะไรแต่ก็ไม่อธิบาย การซ้ำเติมเพื่อนคืองานของเรา ว่าแล้วก็จัดการตบบ่ากระซิบเบาๆ

“แกแพ้แล้วละอิโบ้”


บ่ายวันนั้นแว่นกลับออกมาจากตำหนักขององค์ชายหกกับซีอิ๋งเพียงสองคน ส่วนโบ้ยังอยู่คุยกับน้องชายต่อ ทั้งที่ถูกแกล้งให้เข้าใจผิดจนช้ำ โบ้ก็ยังคิดบวกว่าการได้องค์ชายหกมาเป็นน้องเขยถือเป็นโชค แถมมโนเข้าข้างตัวเองเสร็จสรรพว่าที่เขาไม่แลเพราะไม่ชอบผู้หญิง

องค์ชายหกไม่ทราบว่าแม่นางมู่เข้าใจผิดอย่างมหาศาลจึงไม่ได้อธิบาย บังเอิญว่ามีคนมาขอพบจึงขอตัวไปต้อนรับแขก แว่นเลยขอกลับบ้าง ทิ้งโบ้เอาไว้กับไป๋อวี้ วิบากกรรมก็เลยตกมาเป็นของหยกน้อย ต้องคอยอธิบายให้พี่สาวที่ไม่ยอมเข้าใจอะไรเลยจนปากเปื่อยปากแฉะ

“ข้ากับองค์ชายหกไม่มีอะไรกัน ที่แต่งหญิงนี่ก็ไม่ได้ชอบ แค่ห่วงอาเจ๊เท่านั้น เข้าใจไหม” คนที่ไม่เคยขึ้นเสียงพูดเสียงเข้ม

อึดใจไป๋หลินก็พยักหน้ารับ ไป๋อวี้ถอนใจอย่างโล่งอก แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาก็มีอันต้องหน้าทิ่มเมื่อพี่สาวคนดีถามกลับมาด้วยสีหน้าจริงจังว่า

“สรุปใครรุกใครรับ”

“ข้าไม่อยู่ให้ท่านแกล้งแล้ว” ไป๋อวี้พุ่งตัวหนีไปทางหน้าต่าง ยอมอายออกไปข้างนอกทั้งสภาพนี้ ดีกว่าทนอยู่กับอาเจ๊เป็นไหนๆ

“งกจริงถามนิดถามหน่อยก็ไม่ได้” คนถูกทิ้งบ่นอุบอิบ

เขาอารมณ์เสียนิดหน่อยที่น้องชายมีความลับ เลยกลับมานั่งกินขนมที่เหลือแก้เบื่อ ไม่นานก็อารมณ์ดี ไม่มีใครอยู่ก็ไม่เลวนัก ไม่มีคนแย่ง ไม่ต้องระวังตัวและไม่ถูกหาว่าตะกละด้วย

เมื่อกินของฟรีหมดเกลี้ยง โบ้ก็กลับไปที่ตำหนักผลึก แม้จะหมดช่วงเคราะห์ไปแล้ว แต่ไทเฮาก็ยังไม่วางพระทัย อยากให้องค์หญิงลี่จูอยู่ที่นี่จนกว่าจะขึ้นปีใหม่ พระสหายขององค์หญิงอย่างไป๋หลินจึงต้องพักอยู่ที่นี่ด้วย สบโอกาสให้กุ้ยฮวาอยู่ต่อเช่นกัน

ทันทีที่โบ้กลับมาถึงตำหนัก พวกนางกำนัลก็เข้ามาถามหากุ้ยฮวากันใหญ่

“ท่านหญิงล่วงหน้ามาก่อนข้า ยังไม่ถึงอีกหรือ” โบ้ว่า

“สงสัยจะแวะไปที่หอตำรา ลองแบบนี้กว่าจะกลับก็คงหลังร่วมโต๊ะเสวย” เพ่ยอิงให้ความเห็น

หอตำรากับตำหนักผลึกอยู่ห่างกันพอสมควร หากเสียเวลากลับมาที่นี่อีกรอบจะไปร่วมโต๊ะเสวยสาย

“โธ่! อีกนานเลย” นางกำนัลที่มารวมตัวกันบ่นอย่างเสียดาย

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ” โบ้ถาม

“เรื่องใหญ่เลยละเจ้าค่ะ ท่านหญิงรุ่ยฟางได้รับจดหมายเบญจมาศ”

แทนที่จะกระจ่าง โบ้กลับไม่เข้าใจมากขึ้น จดหมายเบญจมาศคืออะไร แล้วทำไมพวกนางกำนัลจึงตื่นเต้นกันนัก ไม่ทันได้ถามพวกนางกำนัลทั้งหลายก็สลายตัว เพราะเสียงดุของชุนหลัน

“มัวทำอะไรกับอยู่ ใกล้เวลาที่องค์หญิงต้องไปท้องพระโรงแล้ว ยังไม่รีบไปช่วยแต่งตัวอีก”

ท้องพระโรงของเจียงเฉียงไม่ได้เป็นแค่สถานที่ว่าราชการและจัดเลี้ยง ยังมีส่วนต่อขยายอีกมากมาย ทั้งส่วนที่เป็นสำนักงานย่อยของกรมกองต่างๆ ตลอดจนห้องทรงพระอักษรและพื้นที่ส่วนพระองค์

พวกนางกำนัลต่างกุลีกุจอกลับไปทำหน้าที่ เพราะกลัวโดนลงโทษ ชุนหลันเองก็ยุ่งกับการสั่งการ ส่วนหน่อมนั้นไม่ต้องพูดถึง นั่งสวยเป็นตุ๊กตาให้ทุกคนมะรุมมะตุ้มแต่งตัว โบ้เลยไม่มีโอกาสแทรกตัวเข้าไปถาม

ถ้าเป็นคนทั่วไปคงนึกอยากให้โลกนี้มีกูเกิ้ล แต่สำหรับโบ้เขาไม่โหยหาเทคโนโลยีสักเท่าไร โบ้หาข้อมูลไม่ค่อยเก่ง บางครั้งถึงได้มาก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ต้องไปขอให้คนอื่นอธิบายเป็นประจำ ดังนั้นวิธีการที่สะดวกที่สุดจึงเป็นการถามสารานุกรมเคลื่อนที่อย่างแว่น โบ้เร่งออกจากตำหนักผลึกในทันที ไม่นานนักก็มาถึงหอตำรา



แว่นอยู่ที่หอตำราจริงดังที่เพ่ยอิงเดา ช่วงนี้นอกจากพวกตำราสมุนไพร แว่นยังสนใจความรู้ด้านภูมิศาสตร์กับประวัติศาสตร์ด้วย จึงมาหยิบยืมหนังสือไปอ่านเป็นประจำ อันไหนไม่สามารถเอาออกไปได้ก็นั่งอ่านในหอตำราเหมือนดังเช่นวันนี้

หนังสือเล่มใหญ่ที่มีขนาดกว้างยาวเกือบสองฟุตที่กำลังเปิดดูอยู่ตอนนี้เป็นแผนผังบ้านเมือง ตำแหน่งคูคลอง เรื่อยไปจนถึงป้อมปราการต่างๆ ในอาณาจักรเจียงเฉียงนับจากอดีตจนถึงปัจจุบัน หน้าแรกๆ เหลืองกรอบบ่งบอกสภาพว่าวาดมาเกินกว่าร้อยปีแล้ว แต่หน้ากระดาษหลังๆ เป็นของใหม่ แสดงว่ามีการเก็บข้อมูลเป็นประจำ สังเกตจากวันที่จึงทราบว่ามีการทำแผนผังใหม่ทุกสิบปี แต่จะไม่ทำลายของเดิมทิ้ง แสดงว่าชาวเจียงเฉียงเป็นชนชาติที่รักประวัติศาสตร์และรู้คุณค่าของบันทึกโบราณเป็นอย่างดี

ในขณะที่กำลังศึกษาข้อมูลเพลินๆ น้ำชาแก้วหนึ่งก็ถูกวางลงข้างตัว แว่นเหลียวไปมองก็เห็นว่ามันมาจากท่านปู่ผู้ดูแลหอสมุดแห่งนี้

“ขอบคุณเจ้าค่ะ ไม่น่าต้องลำบากเลย”

“ไม่เลยขอรับ ข้าตั้งใจจะชงดื่มเองอยู่แล้ว กลัวก็แต่ใบชาพื้นๆ จะไม่ถูกปากท่านหญิง” ซ่งกางโหย่งเอ่ยอย่างนอบน้อม

“ชาที่ท่านปู่ชงมีหรือจะไม่ถูกปาก” แว่นยกขึ้นมาสูดกลิ่นหอมแล้วดื่มอย่างชื่นใจเพื่อประจบคนแก่

น้ำชาของกางโหย่งคือเครื่องแสดงมิตรภาพและความนับถือ ต่อให้สูงศักดิ์ปานใด ถ้าไม่ต้องใจชายชราก็อย่าหวังเลยว่าจะมีวาสนาได้ดื่มชาที่เขาชง

แว่นสังเกตว่าในมือชายชรายังมีถ้วยชาอยู่อีกหนึ่ง เขาไม่ยกขึ้นดื่มแสดงว่าตั้งใจนำไปให้คนอื่น แว่นจึงไม่รั้งชายชราเอาไว้ ผู้โชคดีอีกหนึ่งคนจะได้ดื่มชาร้อนๆ

เขามองตามกางโหย่งไปจนเห็นว่าขึ้นไปชั้นบน ขณะนี้แว่นอยู่ชั้นสาม แสดงว่าคนที่จะได้ดื่มชาของท่านปู่จะต้องเป็นขุนนางระดับสูงหน่อย ไม่ก็เชื้อพระวงศ์ จังหวะที่แว่นกำลังละสายตาจากบันไดก็มีใครคนหนึ่งเดินตรงดิ่งมาหา ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ค้อมตัวให้แว่นทันทีที่ประสานสายตา

“ขอเวลาสักครู่ได้ไหมขอรับ” จางไห่เอ่ย

“ได้สิมีอะไรก็ว่ามาเลย”

ช่วงที่กำลังวุ่นวายเรื่องเลือกคู่ของหน่อม จางไห่ช่วยสืบเรื่องขององค์ชายเทียนฉีให้หลายอย่าง แม้สุดท้ายจะไม่ทราบว่าองค์ชายเทียนฉีกับองค์ชายรองติดต่อกันด้วยเรื่องอะไร แว่นก็ยังได้ใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่เขาหามา

จางไห่ยังไม่ทันขยับปากพูด โบ้ก็โผล่มาแทรกระหว่างสองหนุ่มสาว แล้วโพล่งคำถามของตัวเองออกก่อน

“จดหมายเบญจมาศคืออะไรคะ”

“เจ้ากำลังเสียมารยาทนะไป๋หลิน” แว่นติง

“ข้าขอโทษ” โบ้เอ่ยกับจางไห่ เสร็จแล้วก็ย่อตัวให้เขาตามธรรมเนียมที่พวกเพื่อนๆ พร่ำสอนกึ่งบังคับให้ทำจนเป็นนิสัย “เชิญคุยธุระกันตามสบาย เสร็จแล้วข้าค่อยมาถามใหม่ก็ได้”

โบ้ทำท่าว่าจะผละออกไป องครักษ์ผู้เป็นสุภาพบุรุษจึงเรียกเอาไว้ เขาบอกว่าธุระของเขาไม่มีอะไรมาก เชิญนางก่อนได้เลย เมื่อได้ยินแบบนั้นแล้ว โบ้เลยไม่เกรงใจถามเรื่องที่อยากรู้ไปทันที แว่นทำหน้างงเมื่อได้ยินจดหมายชื่อแปลกๆ เขาเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร

“อ้าว! ไม่รู้จักแล้วทำไมถึงมีคนส่งมาให้เล่า หรือจะเป็นพวกจดหมายลูกโซ่” โบ้เดา

“ไม่รู้สิ ถ้าได้แกะอ่านคงเข้าใจขึ้นมาบ้าง เจ้าเอามาด้วยไหม”

“ไม่ได้เอามา” โบ้เอ่ยอย่างผิดหวัง เมื่อรู้ว่าต้องรออีกนานกว่าข้อสงสัยจะกระจ่าง

จางไห่ได้ยินสองสาวสนทนากัน จึงขออนุญาตแทรก

“ไม่ทราบว่าจดหมายเบญจมาศ คือจดหมายที่ประทับตราเบญจมาศสีเหลืองใช่หรือไม่”

“น่าจะอย่างนั้น” โบ้ไม่เห็นจดหมายแต่ก็เออออเอาไว้ก่อน

“ขอแสดงความยินดีด้วย” จางไห่ประสานมือแล้วหันมาทางกุ้ยฮวา

“ท่านดูตื่นเต้นเหมือนพวกนางกำนัลไม่มีผิด” โบ้แสดงความเห็น

“ข้าย่อมตื่นเต้นแน่นอน เมื่อได้อยู่ตรงหน้าสตรีผู้เป็นที่ยอมรับของปราชญ์” สายตาของจางไห่ดูชื่นชมกุ้ยฮวามากขึ้นเป็นเท่าตัว

แว่นที่ยังงงๆ จึงขอให้เขาช่วยอธิบาย ฟังแล้วสรุปได้สั้นๆ ว่าจดหมายเบญจมาศเป็นจดหมายที่ปราชญ์ในราชสำนักส่งให้บัณฑิตหรือผู้รู้ที่อยู่ในวัยหนุ่มสาว เพื่อเชิญมาร่วมงานประชุมปราชญ์ ความถี่ในการจัดงานไม่แน่นอน แต่อย่างน้อยไม่เกินสองปีก็จะจัดกันสักหนหนึ่ง งานนี้นอกจากจะเป็นเวทีให้แสดงความรู้ความสามารถแล้ว ยังเป็นงานที่คนใหญ่คนโตทั้งหลายมักเข้าร่วมเพื่อเฟ้นหาผู้มีวิชาความสามารถมาทำงานรับใช้ข้างกาย

“ส่วนใหญ่มีแต่บัณฑิตผู้ทรงเกียรติเท่านั้นขอรับที่จะได้รับเชิญ ปีนี้เห็นว่ามีไม่ถึงห้าสิบคน” จางไห่กล่าวเสริม

“ถ้าเป็นจริงดังที่ท่านกล่าว คงเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่” แว่นเอ่ยอย่างมั่นใจ

นอกจากสู้รบตบตีด้วยฝีปากกับชนชั้นสูงในวังแล้ว กุ้ยฮวาก็มิได้แสดงความสามารถทางวิชาการให้ประจักษ์เลย ถ้าได้รับเชิญจริงๆ เห็นทีเรื่องนี้จะไม่ชอบมาพากล
-โปรดติดตามตอนต่อไป-

ลืมไปว่าวันนี้วันศุกร์ค่ะ
ปิดคอมแล้วเพราะง่วง นึกตอนกำลังเคลิ้ม
เวรกรรมวันเสาร์แล้วนี่
วิ่งเอามาลงให้อย่างเร็วรี่ ถ้ามีคำผิดหลุดมาไม่ว่ากันนะจ๊ะคนดี
ฝันดีราตรีสวัสดิ์ค่ะ



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 ส.ค. 2558, 00:21:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ส.ค. 2558, 01:08:13 น.

จำนวนการเข้าชม : 1093





<< หยกตะวัน : บทที่ ๒ คนที่ไม่อยู่   หยกตะวัน : บทที่ ๔ สะกดรอย >>
นักอ่านเหนียวหนึบ 29 ส.ค. 2558, 22:22:03 น.
ไรต์นอนเร็วจังงงง
ว่าแต่น้องแว่นนี่โดนยัยโบ้แย่งซีนเรื่อยเลยย


Zephyr 30 ส.ค. 2558, 00:25:22 น.
อันนี้แน่ใจว่าภาคของนางแว่นนะ
กุ้ยฮวาโดนไป่หลินแย่งความเด่นตลอด
ไม่ว่าจะแย่งสวย แย่งฮา
อย่าแย่งปู้จายกันละ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account