เพียงใจปรารถนา
อดีตอันแสนโหดร้ายในวัยเด็กทำให้ เวหา เติบโตมาเป็นผู้ชายแข็งกร้าวและเย็นชา ผู้หญิงคนไหนก็ไม่สามารถผ่านด่านหัวใจเขาไปได้ แต่ใช่ว่าเขาจะไร้ความรู้สึก เมื่อผู้หญิงที่เขาแอบรัก แต่ไม่สามารถครอบครอง ถูกคนรักของตนเองขอเลิกและไปแต่งงานกับ ปริญดา หญิงสาวผู้ซึ่งเพียงต้องการหนีปัญหา เธอจึงต้องตกเป็นจำเลยแห่งความโกรธแค้นของชายหนุ่ม ที่สำคัญ...เขาทำให้เธอตกหลุมรัก ยอมจำนน และทิ้งขว้างอย่างไม่ใยดีเพื่อแก้แค้นให้สมน้ำสมเนื้อที่เธอทำให้ผู้หญิงที่เขารักต้องเสียใจ!
แต่เมื่อความเข้าใจผิด การโกหกปิดบัง ได้ถูกเปิดเผย จะช่วยให้เธอและเขาเปลี่ยนความแค้น และความชิงชัง ให้เป็นความรักได้หรือไม่......ขอเพียงแค่ใจปรารถนา...รักของทั้งคู่คงไม่เกินความจริง
แต่เมื่อความเข้าใจผิด การโกหกปิดบัง ได้ถูกเปิดเผย จะช่วยให้เธอและเขาเปลี่ยนความแค้น และความชิงชัง ให้เป็นความรักได้หรือไม่......ขอเพียงแค่ใจปรารถนา...รักของทั้งคู่คงไม่เกินความจริง
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 37
สวัสดีค่ะนักอ่านเว็บเลิฟทุกท่าน วันนี้มาลงดึกหน่อย ฝากติดตามและติชมด้วยนะคะ
ขอบคุณนักอ่านทุกท่าน แล้วเจอกันอีกครั้งวันศุกร์ค่ะ ฝันดีค่าา ^^
ตอน 37
หลังจากวันที่ภาคภูมิต้องเข้ารับการรักษาแผลที่ข้อมือ สามวันถัดมาอาการเขาก็ค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับจนสามารถย้ายออกมาอยู่ห้องพิเศษตามเดิม และมีปวราที่คอยเฝ้าดูแลเขาไม่ห่าง
เมื่อวานนี้หล่อนโทรไปที่บ้านของภารตรีเพื่อแจ้งข่าวของภาคภูมิให้ทราบโดยบอกผ่านทางแม่บ้านเพราะหล่อนไม่อยากคุยกับภารตรีให้อารมณ์ขุ่นมัวอีกและหวังว่าภารตรีจะมาเยี่ยมดูอาการของภาคภูมิหลังจากที่ไม่เคยสนใจจะมาเยี่ยมเยือนเขานานแรมปี เพราะหลังจากเหตุการณ์สิบกว่าปีก่อน ภาคภูมิจากที่เคยเป็นลูกรักก็กลายเป็นลูกชังไปในทันที และหันไปเอาอกเอาใจลูกชายคนเล็กอย่างสมภพจนได้ดิบได้ดีทางด้านการเมือง
พอปวราคิดถึงสมภพแล้วก็ถอนหายใจยาว เพราะรายนั้นยิ่งหนักกว่าภารตรีที่อย่างน้อยก็ยังออกค่ารักษาพยาบาลให้ภาคภูมิมาโดยตลอด
ตั้งแต่สมภพแยกไปซื้อบ้านอยู่เองและขอร้องให้ภารตรีช่วยเรื่องเส้นสายให้เขาได้เดินเข้าสู่เส้นทางการเมืองได้สะดวก เขาก็ไม่เคยแม้แต่จะย่างกรายกลับมาเยี่ยมบ้านเยี่ยมมารดา ส่วนภาคภูมิไม่ต้องพูดถึง ราวกับสมภพไม่เคยมีพี่ชายมาก่อน หลายปีที่ภาคภูมิต้องเข้ามารักษาตัวโรคซึมเศร้า เขาไม่เคยมาเยี่ยมเลยสักครั้ง พอหล่อนขอร้อง ก็บ่ายเบี่ยงและชอบหาเรื่องว่าพี่ชายตนเองว่าเป็นบ้าและไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยว อีกทั้งยังกล่าวโทษว่าหล่อนกับลูกเป็นตัวต้นเหตุให้ภาคภูมิป่วยโรคจิตแบบนี้
หล่อนส่ายศีรษะพยายามไม่คิดเรื่องแย่ ๆ ที่จะทำให้ตัวเองเศร้าใจ ตอนนี้หล่อนควรจะต้องมีความสุขเพราะภาคภูมิมีอาการดีขึ้น ที่สำคัญ ข่าวดีที่เพิ่งได้รับจากลูกสาวเมื่อเช้าก็ทำให้หล่อนเผลอยิ้มออกมาอย่างสุขใจ และตอนนี้เวหาก็พาปริญดาย้ายไปอยู่ที่คอนโดของเขาเรียบร้อยแล้ว
หล่อนสามารถแก้ไขปัญหาระหว่างปริญดาและเวหาไปได้เปราะหนึ่งแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแต่เพียงทำอย่างไรให้เวหายอมรับและเปิดใจกับภาคภูมิเหมือนกับที่เขาเปิดใจให้หล่อนและลูกสาวอีกครั้ง
เสียงอืออาแหบพร่าที่ร้องขอน้ำดื่มปลุกปวราจากความคิดแล้วหันไปดูที่เตียงนอนภาคภูมิ แล้วหล่อนก็เบิกตาโต คลี่ยิ้มกว้างด้วยความดีใจที่เห็นเขาลืมตาฟื้นขึ้นมาแล้ว หล่อนรีบปราดไปที่เตียงทันที จากนั้นก็เทน้ำเปล่าที่อยู่บนหัวเตียงใส่หลอด แล้วยื่นไปที่ปากอันแห้งเกรอะของเขา
ภาคภูมิไอติด ๆ กันหลังจากดื่มน้ำไปได้เพียงเล็กน้อย ปวราจึงพยายามพยุงเขาให้ลุกขึ้นนั่ง เอามือสอดใต้คอเขาแล้วดันหลังจนเขานั่งตัวตรงและให้เขาดื่มน้ำอีกครั้ง ระหว่างนั้นเธอก็หันไปกดเนิร์สคอลเรียกให้พยายาบาลเข้ามาดูอาการภาคภูมิ
“คุณภาค นี่ฉันปิ่นนะคะ คุณจำฉันได้ไหม” ปวราถามอย่างตื้นเต้น เขาหันมามองหล่อนด้วยสายตาเหม่อลอย ก่อนจะยิ้มบาง ๆ
“อร...อรใช่ไหม...ในที่สุดผมก็ได้เจอคุณแล้วใช่ไหม” ดวงตาฉายแสงแห่งความดีใจคว้ามือปวรามาจับไว้แน่น
รอยยิ้มเลือนหายไปจากใบหน้าปวรา น้ำตาตกในที่ได้ยินเขาเรียกชื่อภรรยาเก่า แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเข้าใจผิดคิดว่าหล่อนเป็นกชอร หล่อนจึงได้แต่กล้ำกลืนความปวดร้าวแล้วฝืนยิ้มตอบเขาพลางส่ายหน้า “ไม่ใช่ค่ะ นี่ปิ่นเอง ปิ่นภรรยาคุณไงคะ”
ภาคภูมิกระพริบตาถี่ ๆ แล้วเพ่งมองหน้าปวราอีกครั้ง “ปิ่น?”
ปวราน้ำตาซึม “ค่ะ ปิ่นเอง”
ภาคภูมิมองหน้าหล่อนนิ่งนาน แล้วมองไปรอบ ๆ ห้องด้วยสายตาสงสัย เมื่อวกกลับมามองที่ใบหน้าปวราอีกครั้ง ดวงตาที่สดใสเมื่อสักครู่หม่นลงทันที มือที่จับแขนปวราไว้ก็ปล่อยตกลงข้างกาย ภาคภูมิรู้สึกอะไรบางอย่างที่ใส่อยู่ในจมูกเขา เมื่อจับดูก็รู้ทันทีว่ามันคืออะไร “นี่ผม...ยังไม่...ตายเหรอ”
ปวรายังไม่ทันได้ตอบเขา พยาบาลสองคนก็เปิดประตูเข้ามาเสียก่อน หล่อนจึงต้องถอยห่างออกมา
“เดี๋ยวคุณหมอจะเข้ามาดูอาการนะคะ ตอนนี้ฉันขอตรวจความดันคนไข้ก่อน” พยาบาลสาวคนหนึ่งเอ่ย
ปวราพยักหน้ารับแล้วเดินหลบไปที่โซฟา หล่อนนั่งมองภาคภูมิที่มีสีหน้าเศร้าสลด ดวงตาเหนื่อยล้าของเขาเอ่อคลอด้วยน้ำตา หัวใจของปวราบีบเค้นด้วยความร้าวรานใจกับอาการหมดอะไรตายอยากของภาคภูมิ หล่อนรู้ว่าถ้ามีโอกาส เขาต้องหาทางฆ่าตัวตายอีกครั้งแน่นอน แต่หล่อนจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นเด็ดขาด!
ปวราหาโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพาย แล้วเดินออกไปนอกห้อง จากนั้นก็กดโทรศัพท์หาปริญดา บอกข่าวว่าภาคภูมิฟื้นแล้วและขอร้องให้เธอช่วยพูดกับเวหาให้เขายอมมาพบบิดา เพราะตอนนี้กำลังใจที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้ภาคภูมิกลับมาเป็นปกติได้มีแต่เวหาคนเดียวเท่านั้น เมื่อปริญดารับปากว่าพยายามพาเวหามาที่โรงพยาบาลให้ได้ หล่อนก็โล่งใจและหวังว่าเวหาจะเข้าใจถึงสภาวะจิตใจตอนนี้ของภาคภูมิและยอมมาพบแต่โดยดี
ปวราแทบนั่งไม่ติดหลังจากหมอและพยายบาลเข้ามาตรวจร่างกายภาคภูมิและแจ้งว่าอาการทางร่างกายของเขาดีขึ้นและสามารถถอดสายออกซิเจนออกได้แล้ว แต่สภาพจิตใจจากการพูดคุยยังไม่ค่อยคงที่เท่าไรและมีโอกาสมากที่จะฆ่าตัวตายซ้ำสองเพราะภาคภูมิเอาแต่ร้องไห้ พูดถึงแต่เรื่องเดิม ๆ ในอดีต จนหมอต้องขอร้องหล่อนว่าช่วงนี้ให้หาคนมาคอยอยู่กับเขาตลอดเวลาหรือหาอะไรที่พอจะบ่ายเบี่ยงให้เขาพยายามไม่คิดถึงสิ่งปลุกเร้าให้ฆ่าตัวตาย
“ปิ่น คุณมีอะไรก็ไปทำเถอะ อยู่แต่ในห้องกับคนป่วยซังกะตายแบบผมคุณคงเบื่อน่าดู” ภาคภูมิบอกเสียงเนิบ เขาเห็นหล่อนทำท่าลุก ๆ นั่ง ๆ มองไปที่ประตูอยู่หลายรอบ
ปวราเดินไปหาเขาที่เตียง ส่งยิ้มให้เขา “ปิ่นไม่เบื่อหรอกค่ะ ต่อให้ต้องอยู่แต่ในนี้ทั้งวันทั้งคืนกับคุณปิ่นก็จะไม่ไปไหน”
“ผมเห็นคุณดูกระวนกระวายใจ เลยคิดว่าคงอยากจะไปทำธุระอะไรของคุณบ้าง”
หล่อนส่ายหน้า “เปล่าหรอกค่ะ พอดีปิ่นกำลังรอปริมอยู่ แกจะมาเยี่ยมคุณน่ะ”
“อ้อ...ดีเลย หลังจากวันที่ปริมพาผมไปทะเลก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย ลูกสบายดีนะ บอกแกว่าอย่าทำงานหักโหมนัก หาเวลาไปพักผ่อนบ้าง” ภาคภูมิบอกด้วยเสียงหอบเหนื่อยเมื่อต้องพูดเป็นประโยคยาว ๆ
ปวรายิ้มแล้วพยักหน้ารับ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร ความเอาใจใส่ของเขาก็มีให้ทุกคนเสมอ แม้ปริญดาจะไม่ใช่ลูกในไส้ แต่ภาคภูมิก็รักและเอ็นดูราวกับเป็นลูกแท้ ๆ ของเขาเอง
“ตอนที่ผมยังไม่ฟื้น...ผมฝันว่าลูกชายมาหาผมด้วยล่ะ” จู่ ๆ ภาคภูมิก็พูดขึ้นมา ริมฝีปากแห้งผากของเขาปรากฎรอยยิ้ม “แล้วไม่ได้ฝันเห็นเขาตอนที่เขายังเล็กเหมือนทุกครั้งนะ เขามาหาผมตอนโตเป็นหนุ่มหล่อเชียว”
ปวราหัวใจพองโต หล่อนเอามือปิดปากด้วยความประหลาดใจ หล่อนคิดไม่ผิดว่าสายเลือดย่อมตัดกันไม่ขาด สายใยแห่งความผูกพันธ์ทำให้เขาสามารถสื่อถึงเวหาได้
“ดีจังเลยนะคะ ฉันว่าเขาคงหล่อเหมือนคุณตอนเป็นหนุ่มแน่ ๆ” ปวราพูดเอาใจเขา หน้าตาเขาดูสดชื่นขึ้นเมื่อพูดถึงเวหา
“แต่ผมว่าเขาได้แม่มามากกว่า ก็แม่เขาเป็นดาราหนิ ถึงแม้ในฝันผมจะเห็นหน้าเขาไม่ชัดนัก แต่ก็รู้ว่าเคล้าโครงหน้าของเขานั้นได้จากความสวยของแม่มาเต็ม ๆ” ภาคภูมิพูดไปก็ยิ้มไป
ปวราอดยิ้มตามไม่ได้เมื่อได้เห็นสีหน้ามีความสุขของภาคภูมิ แม้หัวใจจะเจ็บปวดราวกับมีเข็มทิ่มแทงทุกครั้งที่เขาพูดถึงภรรยาเก่า แต่ครั้งนี้หล่อนกลับเป็นสุขใจที่ได้เห็นรอยยิ้มสดใสของเขาอีกครั้งหลังจากเขาฟื้นจากการพยายามฆ่าตัวตายของตัวเอง
เสียงเคาะประตูทำเอาปวราสะดุ้ง หัวใจหล่อนเต้นตึกตักกระทบอกเมื่อคิดว่าปริญดาอาจจะมาถึงแล้ว หล่อนหันไปมองด้วยความตื่นเต้นหวังว่าจะเห็นเวหาเดินเข้ามาพร้อมกับปริญดา
“สะ สงสัยปริมจะมาแล้วมั้งคะ” น้ำเสียงตื่นเต้น มือของเธอเย็นเฉียบ จ้องประตูตาไม่กระพริบ
แต่แล้วคนที่เดินเข้ามาก็ทำให้ปวราพ่นลมหายใจด้วยความเสียดาย พยาบาลสาวถืออุปกรณ์เครื่องมือแพทย์เข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เอ่ยทักทายหล่อนและภาคภูมิ หล่อนจึงได้แต่เดินไหล่ตกไปนั่งที่โซฟา ปล่อยให้พยาบาลทำหน้าที่ของเธอได้สะดวก เพียงไม่นาน พยาบาลสาวก็จัดการฉีดยาให้ภาคภูมิเสร็จเรียบร้อย พร้อมกับเอ่ยชมว่าหน้าตาเขาดูสดชื่นขึ้นกว่าตอนเพิ่งฟื้นขึ้นมาและอวยพรให้เขาหายเร็ว ๆ ก่อนจะออกจากห้องไป
จังหวะเดียวกันนั้นเอง เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ปวราผลุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วแล้วมองไปที่ประตูด้วยอาการลุ้น พอมองผ่านไปที่ช่องกระจกเห็นปริญดามองเข้ามา หล่อนก็คลี่ยิ้มดีใจ เอามือประสานกันไว้ด้วยความตื่นเต้น
ปริญดาผลักประตูเข้ามา ในมือมีถุงใส่ของเต็มสองมือ ปวราชะเง้อมองไปด้านหลัง หวังว่าจะเห็นใครอีกคนเดินตามเข้ามา
“อ้าวปริม มาแล้วเหรอลูก” ภาคภูมิยิ้มกว้างทักทายปริญดาด้วยน้ำเสียงร่าเริง
ปริญดามีสีหน้าประหลาดใจ ไม่คิดว่าจะได้เห็นอาการที่แทบดูไม่เหมือนคนเพิ่งพ้นขีดอันตรายจากกาฆ่าตัวตายของภาคภูมิเลยสักนิด ถึงแม้ใบหน้าของเขาจะดูเหนื่อยล้าอิดโรย แต่ดวงตาสดใสไร้แววเศร้าหมอง
“ค่ะ...เอ้อ...พ่อ...” เธอรู้สึกเคอะเขินและกระดากปากที่จะเรียก เพราะมารดาขอร้องไว้ว่าให้ทำตัวปกติเหมือนเดิมไปก่อน อีกอย่าง เมื่อคืนนี้เวหาก็ขอให้เธอรับปากว่าจะยอมรับภาคภูมิในฐานะบิดาต่อไป โดยที่ความรู้สึกระหว่างเขากับเธอจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
หญิงสาวหันไปสบตามารดาที่เลิกคิ้วถามถึงเวหา เธอส่ายศีรษะเบา ๆ พร้อมกับมีสีหน้าหนักใจ ปวราเห็นท่าทางของลูกสาวก็รู้ว่าการต่อรองกับเวหาไม่เป็นผล หล่อนจึงต้องผิดหวัง คอตกอีกครั้ง และได้แต่ถอนหายใจแล้วพยักหน้าให้ปริญดาส่งของในมือให้หล่อน
ปริญดาเดินไปยืนที่ข้างเตียง “เป็นยังไงบ้างคะ ปริมว่าพ่อมีสีหน้าดีกว่าที่ปริมคิดไว้อีกนะคะ” เธอยิ้มบอก พยายามพูดแต่ในแง่ดี และเลี่ยงที่จะไม่พูดถึงการฆ่าตัวตายของท่าน
ภาคภูมิยิ้มเหนื่อย ๆ “ก็พ่อดีใจที่ลูกมาเยี่ยมไง พอเห็นหน้าลูกพ่อก็ดีขึ้นเลย”
เธอยิ้มตอบท่าน น้ำตาพาลจะไหลเพราะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าไม่ใช่ลูกของท่าน แต่ความรักความห่วงใยที่ท่านมีให้เสมอมาทำให้เธอตื้นต้นใจล้นอกจนพูดอะไรไม่ออก
“อ้าว...แล้วทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะลูก...” ภาคภูมิขมวดคิ้วยุ่งเมื่อเห็นหน้าปริ่มจะร้องไห้ของปริญดา
น้ำเสียงห่วงใยของภาคภูมิทำเธอน้ำตาไหล แต่ก็ยังฝืนยิ้มแล้วพูดออกมาเสียงสั่น “ก็ปริมดีใจที่พ่อไม่เป็นอะไร วันหลังพ่ออย่าทำอะไรแบบนี้อีกนะคะ ทุกคนเขาเป็นห่วงพ่อรู้ไหม”
ภาคภูมิสีหน้าสลดลง รู้ว่าตนเองทำให้ทุกคนเป็นห่วงและเสียใจ แต่ทุกครั้งที่เขาคิดถึงเรื่องในอดีต ก็เผลอมีอารมณ์อยากทำร้ายตัวเองไปเสียทุกที
“พ่อขอโทษ ปริมก็รู้ว่าพ่อพยายามแล้ว...” น้ำตาเขาเอ่อคลอ ยิ่งเห็นลูกสาวร้องไห้เขาก็ยิ่งปวดใจ เพราะเขาไม่อยากให้ใครต้องมาเสียใจกับการกระทำโง่เขลาของเขา
ภาคภูมิอ้าแขนออกแล้วเรียกปริญดาให้เข้ามาใกล้ เขากอดเธอไว้หลวม ๆ แล้วลูบผมนุ่มนั้นด้วยความเอ็นดู “ไม่ต้องร้องไห้นะ พ่อรู้ว่าพ่อให้สัญญากับลูกไม่ได้ แต่พ่อจะพยายามนะลูกนะ...”
ปริญดากระชับอ้อมกอดไว้แน่น รับรู้ถึงความอบอุ่นอ่อนโยนที่ส่งผ่านเข้ามา เธอรู้ที่ภาคภูมิพูดไปนั้นมันก็แค่เพียงคำพูดลอย ๆ ที่สุดท้ายแล้วท่านก็ยังคงกลับไปมีความคิดเดิม ๆ กระทำการเดิม ๆ ที่ไม่มีใครสามารถเอาชนะอดีตที่คอยหลอกหลอนท่านได้
ปวรามองภาพตรงหน้าแล้วก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอได้เห็นภาพแบบนี้ คำพูดที่ออกมาจากปากเขาก็ฟังบ่อยจนจำได้ขึ้นใจ จากการพยายามฆ่าตัวตายหลายครั้งของเขาแต่ไม่สำเร็จ ครั้งนี้รุนแรงที่สุด และหล่อนเกือบจะเสียเขาไป แต่ก็ยังโชคดีที่โชคชะตายังกำหนดให้เขาได้มีลมหายใจต่อไป และหล่อนจะทำทุกวีถีทางเพื่อต่อลมหายใจนี้ให้อยู่กับหล่อนและลูกไปนาน ๆ
“พ่อจะให้สัญญากับปริมสักเรื่องหนึ่งได้ไหมคะ” จู่ ๆ ปริญดาก็โพล่งถามออกมา ภาคภูมิยิ้มฝืด ๆ รู้ว่าเธอจะขออะไรแต่ก็พยักหน้ารับ
“ปริมมีของสำคัญอะไรบางอย่างจะให้พ่อ เป็นของสำคัญที่ปริมคิดว่าพ่อต้องอยากได้ แต่พ่อจะต้องสัญญาว่าถ้าปริมให้ของชิ้นนี้ไปแล้ว พ่อจะต้องรักและทะนุถนอมของสิ่งนี้ให้ดี อย่าให้หายหรือทิ้งขว้างอีก”
ภาคภูมิมีสีหน้าแปลกใจกับคำพูดของปริญดาเมื่อคำขอร้องของเธอไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคาดไว้ “ถ้าเป็นของที่ปริมให้พ่อ ทำไมพ่อจะต้องทิ้งมันด้วยล่ะ” เขายิ้มและลูบผมลูกสาว “พ่อสัญญว่าจะเก็บรักษามันไว้อย่างดี ตกลงไหม”
ปริญดาจับมือที่ลูบผมเธออยู่นั้นขึ้นมากุมไว้ “พ่อให้สัญญาแล้วนะคะ”
ภาคภูมิพยักหน้า “จ้ะ”
ปริญดาหันไปสบตากับมารดาที่มองเธอด้วยความสงสัยแต่มีแววประกายตื่นเต้น เธอคิดว่ามารดาคงจะเดาความหมายที่เธอบอกได้ว่าหมายถึงอะไร เธอยิ้มให้มารดาเล็กน้อยเป็นเชิงว่าให้หล่อนสบายใจและปล่อยให้เธอจัดการเรื่องนี้เสียเอง
หญิงสาวเปิดกระเป๋าสะพายแล้วหยิบเลโก้ขึ้นมายื่นให้ภาคภูมิ “ปริมคืนอันนี้ให้พ่อก่อนนะคะ ตอนที่พ่อเข้าห้องไอซียู หมอบอกว่าพ่อกำมันไว้ในมือตลอด หมอก็เลยเก็บไว้ให้น่ะค่ะ”
ภาคภูมิยื่นมือสั่นเทาไปรับเลโก้รถนั้นมา ริมฝีปากคลี่ยิ้มน้อย ๆ เมื่อนึกถึงเจ้าของเลโก้นี้ที่เขาเพิ่งจะได้เจอในฝัน “ขอบใจมากลูก”
“ไม่เป็นไรค่ะ” เธอสังเกตุอาการดีใจเงียบ ๆ ของท่านจากแววตาและคิดว่าของชิ้นต่อไปที่เธอจะให้คงทำให้ท่านประหลาดใจไม่น้อย คำถามมากมายจากท่านคงรอเธออยู่ และเธอก็หวังว่าของสิ่งนี้จะเป็นตัวช่วยให้ทุกอย่างลงเอยตามที่มันควรจะเป็น
ปริญดาล้วงหยิบของอีกชิ้นที่เป็นกล่องของขวัญเล็ก ๆ ในกระเป๋าสะพายออกมาแล้วยื่นให้ภาคภูมิ “อันนี้จากปริมค่ะ ของสำคัญที่ปริมอยากให้พ่อรักษาเอาไว้ให้ดี ลองเปิดดูสิคะ”
คนให้เองก็ตื่นเต้นไม่แพ้คนได้รับ มือเธอเย็นเฉียบประสานกันที่หน้าท้อง รอดูทีท่าตอนที่ภาคภูมิเปิดกล่องขวัญนั้นแล้วเห็นของข้างในกล่อง
ภาคภูมิยิ้มดีใจ เพราะนาน ๆ ทีลูกสาวจะทำเซอร์ไพรส์ให้ของขวัญแก่เขา อยากรู้ว่าของอะไรที่เธอบอกว่าสำคัญมากถึงขนาดต้องให้เขาสัญญาว่าจะเก็บรักษามันไว้อย่างดี
กระดาษห่อของขวัญถูกแกะออกหมดแล้ว ภาคภูมิมองกล่องที่คล้ายกล่องนาฬิกาใหม่ในมือ แล้วเงยหน้ามองปริญดา “ลูกไม่จำเป็นต้องซื้อของแพง ๆ แบบนี้ให้พ่อเลย ลูกก็รู้ว่าพ่ออยู่แต่ในโรงพยาบาลคงไม่ได้ใช้ของดี ๆ อย่างนี้”
ปริญดายิ้ม เสียงของเธอสั่นพร่าเมื่อตอบท่าน “แต่ปริมแน่ใจว่าพ่ออยากจะใช้มันค่ะ”
“เปิดดูเลยสิคะคุณภาค” ปวราอดไม่ได้ที่จะกระตุ้นภาคภูมิ หล่อนเข้ามายืนข้าง ๆ ปริญดาคว้ามือลูกสาวเธอมากุมไว้ ส่งยิ้มให้ภาคภูมิแล้วพยักหน้าให้เขาเปิดกล่องนั่น
ภาคภูมิจึงค่อย ๆ เปิดกล่องออก พอเห็นนาฬิกาข้อมือยี่ห้อดังเรือนใหญ่สีทองเขาก็หันไปมองปริญดาแล้วส่ายหน้า “นี่คงจะแพงน่าดูเลยลูก”
“หยิบออกมาลองสวมดูสิคะ ปริมอยากจะรู้ว่าพ่อชอบหรือเปล่า”
“อะไรที่หนูให้พ่อก็ชอบทั้งนั้นแหล่ะ” เขาบอกก่อนจะหยิบนาฬิกาออกมาจากกล่อง เขาดูดีไซน์ของมันแล้วรู้สึกคุ้นตายังไงบอกไม่ถูก พอสังเกตุที่หน้าปัดก็เห็นว่านาฬิกาไม่เดินแล้ว “อ้าว ถ่านหมดนี่ลูก”
ปริญดายิ้มบอก “ค่ะ พอดีปริมยังไมได้เอาไปเปลี่ยน อยากเอามาให้พ่อก่อน”
“ได้ยังไงกัน ยี่ห้อแพงขนาดนี้ที่ร้านเขาไม่เปลี่ยนให้วันที่ซื้อหรอกเหรอ”
“ปริมไม่ได้บอกนี่คะว่าปริมซื้อมา”
ภาคภูมิเลิกคิ้วสงสัย “ไม่ได้ซื้อมา งั้นก็ของหนูน่ะสิ”
เธอส่ายหน้าช้า ๆ “พ่อจำนาฬิกาเรือนนี้ไม่ได้เหรอคะ พ่อลองดูดี ๆ อีกทีสิคะ ว่าของใคร”
ภาคภูมิมองนาฬิกาในมือ เขามั่นใจว่าเคยเห็นมันที่ไหนมาก่อน คุ้นตาว่าเหมือนนาฬิกาคล้าย ๆ กันอีกเรือนของเขาที่เคยซื้อเก็บไว้หลังจากที่เอาเรือนเก่าให้ลูกชายไป แต่เรือนที่เขาซื้อเก็บไว้เป็นสีเงินส่วนอีกเรือนเก่าที่ให้ลูกชายไปเป็นสีทอง...
หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ มือที่ถือนาฬิกาอยู่สั่นระริก และถือค้างไว้อยู่อย่างนั้น มองจ้องนาฬิกานิ่งราวกับมันเป็นสิ่งของประหลาด และพอเงยหน้าไปมองปริญดาสลับกับปวรา ท่าทางของทั้งคู่ดูจะใจจดใจจ่อเหมือนกำลังรอให้เขาพูดอะไรออกมา
เขาก้มมองดูนาฬิกาอีกครั้ง ตอนนี้เขารู้แล้วว่าทำไมรู้สึกคุ้นตากับดีไซน์ของนาฬิกาเรือนนี้นัก เพราะว่ามันเหมือนกับนาฬิกาเรือนเก่าสีทองของเขาที่ให้เวหาไปเมื่อหลายสิบปีก่อนเพื่อแลกกับเลโก้รถของลูกชาย
ในสมองของเขาตอนนี้คิดวกไปวนมาว่าจะเป็นไปได้อย่างไรที่นาฬิกาเรือนนั้นจะมาอยู่ที่นี่ และมันจะมาตกอยู่ในมือของปริญดาได้ยังไงกัน...ที่แน่ ๆ ถ้าเป็นนาฬิกาเรือนนั้นอย่างที่เขากลัวจริง ตัวเรือนด้านหลังจะต้องมีชื่อเขากับกชอรสลักอยู่ด้วย เพราะเขาจำได้ว่าเรือนที่เขาให้เวหาไปคือเรือนที่กชอรเลือกให้และเขาสลักชื่อทั้งคู่ลงไปเพื่อเป็นที่ระลึก
หัวใจภาคภูมิเต้นระส่ำระส่าย มือไม้สั่นเมื่อค่อย ๆ พลิกนาฬิกาเพื่อดูที่ด้านหลัง เขาสูดลมหายใจหนัก ๆ ลงปอด เมื่อเห็นรอยสลักเล็ก ๆ ตรงกลางเรือน
เขากำนาฬิกาไว้แน่นจนเกร็ง น้ำตาเอ่อคลอหน่วย ก่อนจะไหลมาเป็นทางอาบแก้ม “ได้นาฬิกานี่มาได้ยังไง” เสียงของภาคภูมิแทบจะไม่ได้ยิน
ปริญดาน้ำตาไหลตามไปด้วย เธอทำใจไว้แล้วว่าอาจจะทำให้ท่านสะเทือนใจเมื่อได้เห็นของชิ้นนี้ แต่นี่เป็นทางเดียวที่จะช่วยดึงให้ทั้งเวหาและภาคภูมิได้มาเจอกันได้
ปวราบีบมือลูกสาวที่กุมไว้เบา ๆ ให้กำลังใจ ปริญดาหันมายิ้มให้ทั้งน้ำตา ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเครือ “มีคนให้ปริมมาค่ะ”
ดวงตาแดงก่ำของภาคภูมิมองปริญดานิ่ง “ใคร...”
ปริญดาปาดน้ำตา เดินเข้าไปใกล้ภาคภูมิแล้วจับมืออีกข้างของท่านเอาไว้ เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะพูดว่า “ก็คนที่พ่อให้นาฬิกานี้ไปยังไงล่ะคะ...”
หัวใจของภาคภูมิกระตุกวูบ “เป็นไปไม่ได้...ไม่จริง” สีเลือดหายไปจากใบหน้า พร้อมกับพูดซ้ำไปซ้ำมา
“พ่อคะ...” ปริญดาเรียกสติของภาคภูมิ จับมืออันสั่นเทาของท่านไว้แน่น “คนที่พ่อให้นาฬิกาเรือนนี้ไป พ่อรู้ใช่ไหมว่าเขาเป็นใคร พ่อจำเขาได้ใช่ไหมคะ”
ภาคภูมิร้องไห้ หยิบนาฬิกานั้นขึ้นมาแนบอก “เวย์...เวย์...” เขาร้องไห้หนักขึ้นจนปริญดาและปวรามองหน้ากันด้วยความกังวลใจ แต่เมื่อเธอเริ่มแล้ว เธอก็ไม่อยากเลิกกลางคัน และภาวนาว่าขอให้ภาคภูมิสามารถควบคุมสติจนเธอทำตามความตั้งใจของเธอให้สำเร็จ
ปริญดาเห็นภาคภูมิร้องไห้พลางพร่ำเรียกชื่อเวหาไม่หยุด เธอจึงค่อย ๆ กระซิบถามเขาเบา ๆ “พ่อ...อยากเจอเขาไหมคะ”
ภาคภูมิเงยหน้ามองปริญดาทันที “เวย์...เวย์มาเหรอ” เขาถามอย่างตื่นเต้น
“ตอนนี้เขารออยู่ที่หน้าตึกน่ะค่ะ เขาไม่กล้าเข้ามา เพราะกลัวว่าพ่อจะจำเขาไม่ได้ ปริมก็เลยขอนาฬิกาที่พ่อให้เขาไว้ เอามาเป็นของขวัญให้พ่อ เขาอยากรู้ว่าถ้าพ่อเห็นของชิ้นนี้แล้วจะจำเขาได้หรือเปล่า”
“โธ่ เวย์...” ภาคภูมิรำพัน “พ่อจำได้ จำเขาได้ตลอดเวลา” พูดไปก็ร้องไห้ไป
ปริญดาเห็นแล้วก็อดสงสารท่านไม่ได้ รู้สึกผิดที่โกหกว่าเวหากำลังรอท่านไปพบ แม้ตอนนี้เวหาจะรออยู่ข้างนอกก็จริง แต่เป็นเพราะเขามาส่งเธอแล้วรอรับเธอกลับ ส่วนนาฬิกากับเลโก้เธอเห็นเขาวางไว้ในลิ้นชักหัวเตียงเมื่อวันก่อนหลังจากเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตทั้งหมดให้เธอฟัง รวมถึงความเป็นมาเกี่ยวกับของทั้งสองสิ่ง และคิดว่าถ้าเธอขอนาฬิกาเรือนนี้จากเวหาเอาไปให้ภาคภูมิ ท่านอาจจะจำได้และช่วยกระตุ้นให้ท่านอยากเจอลูกชาย
เมื่อเวหาไม่ยอมมาพบท่าน เธอก็ต้องทำให้ท่านไปพบเขาแทน เธอรู้ว่าถ้าบอกตรง ๆ กับเวหาว่าอยากขอนาฬิกาเอาไปให้ภาคภูมิ เขาก็คงรีบปฎิเสธทันควัน เธอเลยเสียมารยาทถือวิสาสะหยิบเอานาฬิกานั้นมาห่อของขวัญแล้วเอามาให้ภาคภูมิวันนี้ เธอรู้ว่าเขาต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแน่ แต่เธอก็มั่นใจหากว่าเขาได้พบบิดาที่แสดงออกว่ารักเขามากมายขนาดไหนแล้ว สายเลือดและสายใยความผูกพันจะเชื่อมโยงกันและทำให้เวหาลดทิฐิจนยอมรับภาคภูมิได้ในที่สุด
ปริญดาหันไปมองมารดาเพื่อขอความเห็นอีกครั้งว่าเธอควรจะพาภาคภูมิที่กำลังอยู่ในอาการสะเทือนใจไปพบเวหาดีไหม
ปวรามองภาคภูมิที่กอดนาฬิกาข้อมือไว้แน่นแนบอก ร้องไห้ไม่หยุดและพร่ำเรียกแต่ชื่อเวหา แม้อีกใจหล่อนจะกังวลใจอยู่ว่าถ้าพาไปพบเวหาแล้วฝ่ายนั้นไม่ยินดียินร้ายด้วย สภาพจิตใจของเขาคงย่ำแย่ลงไปอีก แต่ในเมื่อเปิดเผยความจริงมาขนาดนี้แล้ว ถ้าไม่ทำให้ถึงที่สุด ความรู้สึกของทั้งสองฝ่ายก็จะครึ่ง ๆ กลาง ๆ กันอยู่แบบนี้ ก็จะไม่มีใครมีความสุขเสียที เมื่อคิดได้แบบนี้ หล่อนจึงพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตไปที่ปริญดา
เมื่อมารดาเห็นชอบ แสดงว่าท่านก็ต้องแน่ใจแล้ว ซึ่งก็ทำให้เธอมีความมั่นใจมากขึ้นว่าการกระทำในครั้งนี้จะเกิดผลลัพธ์ในทางที่ดีกับทั้งสองฝ่ายอย่างแน่นอน
หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อเรียกความกล้า ก่อนจะเขยิบเข้าไปใกล้ภาคภูมิที่ยังคงก้มหน้าร้องไห้ แล้วกระซิบพูดกับท่านเบา ๆ “พ่อคะ...ถ้าพ่ออยากเจอเขา ปริมจะพาพ่อไปหาเขาดีไหมคะ”
ภาคภูมิหยุดร้องไห้ เงยหน้าขึ้นมองปริญดาที่กำลังยิ้มให้เขา “พ่อ...พ่ออยากเจอเวย์ อยากบอกเขาว่าพ่อขอโทษ ปริมพาพ่อไปหาเวย์นะ” สีหน้าของภาคภูมิวิงวอนขอร้อง
“ได้สิคะ เวย์เขาอยู่ที่นี่แล้ว เขารอพ่ออยู่ข้างนอก ถ้าพ่ออยากเจอ ปริมจะขอพยายาลพาพ่อไปนั่งเล่นที่หน้าตึก โอเคไหมคะ”
รอยยิ้มดีใจปรากฎที่ริมฝีปากของภาคภูมิ “จริง ๆ นะ ปริมจะพาพ่อไปหาเวย์จริง ๆ นะ” น้ำเสียงตื่นเต้นราวกับเด็กได้ของขวัญวันเกิด
ปริญดาพยักหน้า “จริงสิคะ เราไปกันหมดนี่เลย นะคะแม่” เขาหันไปถามปวรา
“เอาสิจ๊ะ ไปกันหลาย ๆ คน คุณภาคจะได้ไม่ตื่นเต้น”
ภาคภูมิยิ้มกว้าง คราบน้ำตายังเปื้อนแก้ม เขากำนาฬิกาในมือไว้แน่น หัวใจเต้นรัวราวกับกลองที่จะได้พบหน้าลูกชายที่พรากจากกันไปนานหลายสิบปี เขามีอะไรหลายอย่างอยากจะพูดกับเวหา อยากจะกอดเขาแน่น ๆ ให้หายคิดถึง แต่แล้วรอยยิ้มเลือนหายไปจากใบหน้า หันไปถามปริญดาด้วยท่าทางกังวลใจ
“พ่อกลัวว่าเวย์จะไม่ยอมพูดกับพ่อ เขาคงจะโกรธพ่ออยู่...”
“อย่ากลัวไปเลยค่ะ” เธอปลอบใจ “วันที่พ่อยังนอนไม่ได้สติ เขาก็เข้าไปเยี่ยมพ่อที่ห้องไอซียูด้วยนะคะ”
ภาคภูมิตาโต น้ำตาคลอหน่วย “มิน่าล่ะ พ่อถึงได้ฝันเห็นเขา” รอยยิ้มกลับมาบนริมฝีปากเขาอีกครั้ง
“และที่สำคัญ...” ปริญดายิ้มพราว “เขาเป็นคนให้เลือดพ่อด้วยค่ะ เขาช่วยต่อชีวิตให้พ่อได้มาเจอเขาไงคะ แล้วอย่างนี้เขาจะไม่ยอมพูดกับพ่อได้ยังไงกัน”
อีกครั้งที่น้ำตาภาคภูมิไหลริน เขาแทบหมดหวังที่จะได้เจอกับเวหาตั้งแต่เขากลับมากรุงเทพตามคำสั่งมารดาในวันนั้น หลายครั้งที่เขาพยายามติดต่อผ่านญาติของกชอรที่รับเวหาไปเลี้ยง แต่ก็ได้รับการปฎิเสธตลอดมา และเขาก็ไม่มีความกล้าพอที่จะบุกไปถึงที่เพื่อพาเวหามาอยู่กับเขา เขาไม่เคยทำหน้าที่พ่อที่ดีเลย แต่เวหากลับยอมช่วยชีวิตเขา ยอมมาพบเขา เขาละอายใจตัวเองเหลือเกิน
“ตอนนี้ปริมว่าพ่อไปล้างหน้าล้างตาหน่อยดีกว่าค่ะ ดูสิ หน้าตาเลอะเทอะหมดแล้ว มัวแต่ร้องไห้แบบนี้เดี๋ยวเวหาจะรอนานนะคะ” เธอเห็นหน้าตาภาคภูมิดูหมองลงจึงพยายามพูดให้เขาอารมณ์ดีขึ้น
ถึงอย่างนั้นภาคภูมิก็ยังไม่สดชื่นนัก เพราะในใจยังรู้สึกผิดหวังกับการกระทำของตนเอง แต่ก็ยอมทำตามที่ลูกสาวสั่ง ค่อย ๆ ขยับขาทีละข้างลงมายืน มีปวราช่วยลากเสาสายน้ำเกลือ พยุงพาเขาไปเข้าห้องน้ำ เมื่อภาคภูมิมีมารดาคอยช่วยเหลือ เธอจึงเดินออกจากห้องไปที่เคาเตอร์พยาบาล แจ้งว่าต้องการพาคนไข้ออกไปสูดอากาศด้านหน้าตึกและขอให้เตรียมรถเข็นไว้ให้ ไม่นานเธอก็เข็นรถเข็นกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง เป็นจังหวะเดียวกับที่ภาคภูมิออกมาจากห้องน้ำพอดี
“พ่อยังไม่แข็งแรงดี มานั่งรถเข็นให้ปริมเข็นไปให้นะคะ” พูดพลางเข้าไปช่วยจับแขนอีกข้างของภาคภูมิ พยุงเขามานั่งที่รถเข็น เมื่อจัดแจงให้ภาคภูมิได้นั่งสบายแล้ว โดยมีปวราคอยเตรียมข็นเสาสายน้ำเกลือให้ และทั้งหมดกำลังจะออกจากห้อง แต่ภาคภูมิพูดขัดขึ้นเสียก่อน
“ปริม...ปิ่น...” เขาเรียกทั้งสองคน ปวราและปริญดามองหน้ากัน ก่อนที่ปริญดาจะเป็นคนเอ่ยถาม “คะพ่อ มีอะไรหรือเปล่าคะ”
หัวคิ้วภาคภูมิขมวดเครียด เขานิ่งไปพักใหญ่ จากนั้นจึงถามเสียงจริงจัง “ปริมรู้จักเวย์ได้ยังไงลูก...แล้วปิ่นล่ะ รู้จักเวย์ด้วยหรือเปล่า” เขาหันไปถามปวราด้วยอีกคน
เมื่อเห็นทั้งสองคนมองหน้ากันและมีท่าทางอึกอัก ภาคภูมิจึงพูดขึ้น “ผมเพิ่งมานึกแปลกใจเมื่อกี๊นี้เอง ว่าจู่ ๆ ทำไมเวย์ถึงมาหาผมตอนนี้ แล้วปริมได้นาฬิกาจากเวย์มาได้ยังไงถ้าไม่รู้จักกัน” เขามองสบตาทั้งสองคนอีกครั้ง “มีอะไรที่ผมยังไม่รู้อีกหรือเปล่า”
ปริญดานั่งยอง ๆ ลงข้าง ๆ ภาคภูมิ ยิ้มเยือนให้เขาอย่างใจเย็น “ใช่ค่ะ ปริมกับแม่รู้จักเวย์ และปริมกับแม่มีอีกหลายเรื่องที่ยังต้องบอกให้พ่อฟัง แต่เรื่องมันยาวและซับซ้อนมากเลยค่ะ และตอนนี้ปริมก็อยากให้พ่อกับเวย์ได้เจอกันก่อน หลังจากนั้นแล้วปริมสัญญาว่าจะเล่าทุกอย่างให้พ่อฟังเองค่ะ”
ภาคภูมิสังหรณ์ใจว่าเรื่องที่ปริญดาจะเล่าให้เขาฟังนั้นคงเกี่ยวข้องกับตัวเธอเองด้วยเหมือนกัน เป็นเรื่องเดียวที่เขาไม่อยากให้เธอได้รับรู้ และเขาเคยกำชับกับปวรารวมถึงคนอื่น ๆ ในครอบครัวที่รู้เรื่องนี้ไม่ให้หลุดปากบอกเธอไป
“ก็ได้จ้ะ แต่ปริมต้องเล่าให้พ่อฟังทั้งหมดนะ” เขาพูดพลางหันไปมองปวราที่หลบสายตาแทบจะทันที
“ปริมสัญญาค่ะ” เธอชูนิ้วก้อยต่อหน้าเขา “ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเลยดีไหมคะ เดี๋ยวปริมเข็นให้นะคะ”
ปริญดาค่อย ๆ เข็นรถออกไปจากห้อง หัวใจของเธอเต้นรัวไปตลอดทาง มือที่จับหูรถเข็นเย็นเฉียบและเกร็งแน่นเมื่อความเครียดก่อตัวเป็นมวลในท้องเธอ และเธอรู้ว่าภาคภูมิและปวราก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน
เพียงไม่นานเธอก็เข็นรถมาที่หน้าตึกโรงพยาบาลซึ่งเป็นลานสนามหญ้าเล็ก ๆ เธอกวาดสายตามองไปรอบ ๆ และก็เห็นแผ่นหลังกว้างของเวหากำลังนั่งอยู่ที่ม้าหินหันหลังมาให้พวกเธอ ถึงแม้เธอจะไม่เห็นสีหน้า แต่ซีกหน้าด้านข้างของเขาบ่งบอกว่ากำลังคิดอะไรเคร่งเครียดจนไม่สังเกตุถึงผู้คนที่เดินผ่านไปมา
“พ่อพร้อมไหมคะ” ปริญดาถามพร้อมกับเอื้อมไปจับมือท่านข้างเดียวกับที่กำนาฬิกาเอาไว้ ภาคภูมิไม่ได้ตอบ เพียงแต่ใช้มืออีกข้างมากุมมือเธอ แล้วบีบเบา ๆ
“พ่อทำตัวตามสบายนะคะ ปริมกับแม่จะคอยอยู่ข้าง ๆ พ่อเอง” เธอพูดให้ท่านหายเครียด จากนั้น เธอก็ค่อยเข็นรถช้า ๆ ตรงไปยังม้านั่งที่เวหานั่งอยู่
<><><><><><><><><><><><><><><><><>><><><>>>
คุณ lamyong ลุ้นแทนสองคนนี้เลยใช่ไหมคะ ^^'' ส่วนเวย์กับพ่อจะลงเอยยังไง อย่าลืมติดตามจนจบด้วยนะคะ ;)
ขอบคุณนักอ่านทุกท่าน แล้วเจอกันอีกครั้งวันศุกร์ค่ะ ฝันดีค่าา ^^
ตอน 37
หลังจากวันที่ภาคภูมิต้องเข้ารับการรักษาแผลที่ข้อมือ สามวันถัดมาอาการเขาก็ค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับจนสามารถย้ายออกมาอยู่ห้องพิเศษตามเดิม และมีปวราที่คอยเฝ้าดูแลเขาไม่ห่าง
เมื่อวานนี้หล่อนโทรไปที่บ้านของภารตรีเพื่อแจ้งข่าวของภาคภูมิให้ทราบโดยบอกผ่านทางแม่บ้านเพราะหล่อนไม่อยากคุยกับภารตรีให้อารมณ์ขุ่นมัวอีกและหวังว่าภารตรีจะมาเยี่ยมดูอาการของภาคภูมิหลังจากที่ไม่เคยสนใจจะมาเยี่ยมเยือนเขานานแรมปี เพราะหลังจากเหตุการณ์สิบกว่าปีก่อน ภาคภูมิจากที่เคยเป็นลูกรักก็กลายเป็นลูกชังไปในทันที และหันไปเอาอกเอาใจลูกชายคนเล็กอย่างสมภพจนได้ดิบได้ดีทางด้านการเมือง
พอปวราคิดถึงสมภพแล้วก็ถอนหายใจยาว เพราะรายนั้นยิ่งหนักกว่าภารตรีที่อย่างน้อยก็ยังออกค่ารักษาพยาบาลให้ภาคภูมิมาโดยตลอด
ตั้งแต่สมภพแยกไปซื้อบ้านอยู่เองและขอร้องให้ภารตรีช่วยเรื่องเส้นสายให้เขาได้เดินเข้าสู่เส้นทางการเมืองได้สะดวก เขาก็ไม่เคยแม้แต่จะย่างกรายกลับมาเยี่ยมบ้านเยี่ยมมารดา ส่วนภาคภูมิไม่ต้องพูดถึง ราวกับสมภพไม่เคยมีพี่ชายมาก่อน หลายปีที่ภาคภูมิต้องเข้ามารักษาตัวโรคซึมเศร้า เขาไม่เคยมาเยี่ยมเลยสักครั้ง พอหล่อนขอร้อง ก็บ่ายเบี่ยงและชอบหาเรื่องว่าพี่ชายตนเองว่าเป็นบ้าและไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยว อีกทั้งยังกล่าวโทษว่าหล่อนกับลูกเป็นตัวต้นเหตุให้ภาคภูมิป่วยโรคจิตแบบนี้
หล่อนส่ายศีรษะพยายามไม่คิดเรื่องแย่ ๆ ที่จะทำให้ตัวเองเศร้าใจ ตอนนี้หล่อนควรจะต้องมีความสุขเพราะภาคภูมิมีอาการดีขึ้น ที่สำคัญ ข่าวดีที่เพิ่งได้รับจากลูกสาวเมื่อเช้าก็ทำให้หล่อนเผลอยิ้มออกมาอย่างสุขใจ และตอนนี้เวหาก็พาปริญดาย้ายไปอยู่ที่คอนโดของเขาเรียบร้อยแล้ว
หล่อนสามารถแก้ไขปัญหาระหว่างปริญดาและเวหาไปได้เปราะหนึ่งแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแต่เพียงทำอย่างไรให้เวหายอมรับและเปิดใจกับภาคภูมิเหมือนกับที่เขาเปิดใจให้หล่อนและลูกสาวอีกครั้ง
เสียงอืออาแหบพร่าที่ร้องขอน้ำดื่มปลุกปวราจากความคิดแล้วหันไปดูที่เตียงนอนภาคภูมิ แล้วหล่อนก็เบิกตาโต คลี่ยิ้มกว้างด้วยความดีใจที่เห็นเขาลืมตาฟื้นขึ้นมาแล้ว หล่อนรีบปราดไปที่เตียงทันที จากนั้นก็เทน้ำเปล่าที่อยู่บนหัวเตียงใส่หลอด แล้วยื่นไปที่ปากอันแห้งเกรอะของเขา
ภาคภูมิไอติด ๆ กันหลังจากดื่มน้ำไปได้เพียงเล็กน้อย ปวราจึงพยายามพยุงเขาให้ลุกขึ้นนั่ง เอามือสอดใต้คอเขาแล้วดันหลังจนเขานั่งตัวตรงและให้เขาดื่มน้ำอีกครั้ง ระหว่างนั้นเธอก็หันไปกดเนิร์สคอลเรียกให้พยายาบาลเข้ามาดูอาการภาคภูมิ
“คุณภาค นี่ฉันปิ่นนะคะ คุณจำฉันได้ไหม” ปวราถามอย่างตื้นเต้น เขาหันมามองหล่อนด้วยสายตาเหม่อลอย ก่อนจะยิ้มบาง ๆ
“อร...อรใช่ไหม...ในที่สุดผมก็ได้เจอคุณแล้วใช่ไหม” ดวงตาฉายแสงแห่งความดีใจคว้ามือปวรามาจับไว้แน่น
รอยยิ้มเลือนหายไปจากใบหน้าปวรา น้ำตาตกในที่ได้ยินเขาเรียกชื่อภรรยาเก่า แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเข้าใจผิดคิดว่าหล่อนเป็นกชอร หล่อนจึงได้แต่กล้ำกลืนความปวดร้าวแล้วฝืนยิ้มตอบเขาพลางส่ายหน้า “ไม่ใช่ค่ะ นี่ปิ่นเอง ปิ่นภรรยาคุณไงคะ”
ภาคภูมิกระพริบตาถี่ ๆ แล้วเพ่งมองหน้าปวราอีกครั้ง “ปิ่น?”
ปวราน้ำตาซึม “ค่ะ ปิ่นเอง”
ภาคภูมิมองหน้าหล่อนนิ่งนาน แล้วมองไปรอบ ๆ ห้องด้วยสายตาสงสัย เมื่อวกกลับมามองที่ใบหน้าปวราอีกครั้ง ดวงตาที่สดใสเมื่อสักครู่หม่นลงทันที มือที่จับแขนปวราไว้ก็ปล่อยตกลงข้างกาย ภาคภูมิรู้สึกอะไรบางอย่างที่ใส่อยู่ในจมูกเขา เมื่อจับดูก็รู้ทันทีว่ามันคืออะไร “นี่ผม...ยังไม่...ตายเหรอ”
ปวรายังไม่ทันได้ตอบเขา พยาบาลสองคนก็เปิดประตูเข้ามาเสียก่อน หล่อนจึงต้องถอยห่างออกมา
“เดี๋ยวคุณหมอจะเข้ามาดูอาการนะคะ ตอนนี้ฉันขอตรวจความดันคนไข้ก่อน” พยาบาลสาวคนหนึ่งเอ่ย
ปวราพยักหน้ารับแล้วเดินหลบไปที่โซฟา หล่อนนั่งมองภาคภูมิที่มีสีหน้าเศร้าสลด ดวงตาเหนื่อยล้าของเขาเอ่อคลอด้วยน้ำตา หัวใจของปวราบีบเค้นด้วยความร้าวรานใจกับอาการหมดอะไรตายอยากของภาคภูมิ หล่อนรู้ว่าถ้ามีโอกาส เขาต้องหาทางฆ่าตัวตายอีกครั้งแน่นอน แต่หล่อนจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นเด็ดขาด!
ปวราหาโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพาย แล้วเดินออกไปนอกห้อง จากนั้นก็กดโทรศัพท์หาปริญดา บอกข่าวว่าภาคภูมิฟื้นแล้วและขอร้องให้เธอช่วยพูดกับเวหาให้เขายอมมาพบบิดา เพราะตอนนี้กำลังใจที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้ภาคภูมิกลับมาเป็นปกติได้มีแต่เวหาคนเดียวเท่านั้น เมื่อปริญดารับปากว่าพยายามพาเวหามาที่โรงพยาบาลให้ได้ หล่อนก็โล่งใจและหวังว่าเวหาจะเข้าใจถึงสภาวะจิตใจตอนนี้ของภาคภูมิและยอมมาพบแต่โดยดี
ปวราแทบนั่งไม่ติดหลังจากหมอและพยายบาลเข้ามาตรวจร่างกายภาคภูมิและแจ้งว่าอาการทางร่างกายของเขาดีขึ้นและสามารถถอดสายออกซิเจนออกได้แล้ว แต่สภาพจิตใจจากการพูดคุยยังไม่ค่อยคงที่เท่าไรและมีโอกาสมากที่จะฆ่าตัวตายซ้ำสองเพราะภาคภูมิเอาแต่ร้องไห้ พูดถึงแต่เรื่องเดิม ๆ ในอดีต จนหมอต้องขอร้องหล่อนว่าช่วงนี้ให้หาคนมาคอยอยู่กับเขาตลอดเวลาหรือหาอะไรที่พอจะบ่ายเบี่ยงให้เขาพยายามไม่คิดถึงสิ่งปลุกเร้าให้ฆ่าตัวตาย
“ปิ่น คุณมีอะไรก็ไปทำเถอะ อยู่แต่ในห้องกับคนป่วยซังกะตายแบบผมคุณคงเบื่อน่าดู” ภาคภูมิบอกเสียงเนิบ เขาเห็นหล่อนทำท่าลุก ๆ นั่ง ๆ มองไปที่ประตูอยู่หลายรอบ
ปวราเดินไปหาเขาที่เตียง ส่งยิ้มให้เขา “ปิ่นไม่เบื่อหรอกค่ะ ต่อให้ต้องอยู่แต่ในนี้ทั้งวันทั้งคืนกับคุณปิ่นก็จะไม่ไปไหน”
“ผมเห็นคุณดูกระวนกระวายใจ เลยคิดว่าคงอยากจะไปทำธุระอะไรของคุณบ้าง”
หล่อนส่ายหน้า “เปล่าหรอกค่ะ พอดีปิ่นกำลังรอปริมอยู่ แกจะมาเยี่ยมคุณน่ะ”
“อ้อ...ดีเลย หลังจากวันที่ปริมพาผมไปทะเลก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย ลูกสบายดีนะ บอกแกว่าอย่าทำงานหักโหมนัก หาเวลาไปพักผ่อนบ้าง” ภาคภูมิบอกด้วยเสียงหอบเหนื่อยเมื่อต้องพูดเป็นประโยคยาว ๆ
ปวรายิ้มแล้วพยักหน้ารับ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร ความเอาใจใส่ของเขาก็มีให้ทุกคนเสมอ แม้ปริญดาจะไม่ใช่ลูกในไส้ แต่ภาคภูมิก็รักและเอ็นดูราวกับเป็นลูกแท้ ๆ ของเขาเอง
“ตอนที่ผมยังไม่ฟื้น...ผมฝันว่าลูกชายมาหาผมด้วยล่ะ” จู่ ๆ ภาคภูมิก็พูดขึ้นมา ริมฝีปากแห้งผากของเขาปรากฎรอยยิ้ม “แล้วไม่ได้ฝันเห็นเขาตอนที่เขายังเล็กเหมือนทุกครั้งนะ เขามาหาผมตอนโตเป็นหนุ่มหล่อเชียว”
ปวราหัวใจพองโต หล่อนเอามือปิดปากด้วยความประหลาดใจ หล่อนคิดไม่ผิดว่าสายเลือดย่อมตัดกันไม่ขาด สายใยแห่งความผูกพันธ์ทำให้เขาสามารถสื่อถึงเวหาได้
“ดีจังเลยนะคะ ฉันว่าเขาคงหล่อเหมือนคุณตอนเป็นหนุ่มแน่ ๆ” ปวราพูดเอาใจเขา หน้าตาเขาดูสดชื่นขึ้นเมื่อพูดถึงเวหา
“แต่ผมว่าเขาได้แม่มามากกว่า ก็แม่เขาเป็นดาราหนิ ถึงแม้ในฝันผมจะเห็นหน้าเขาไม่ชัดนัก แต่ก็รู้ว่าเคล้าโครงหน้าของเขานั้นได้จากความสวยของแม่มาเต็ม ๆ” ภาคภูมิพูดไปก็ยิ้มไป
ปวราอดยิ้มตามไม่ได้เมื่อได้เห็นสีหน้ามีความสุขของภาคภูมิ แม้หัวใจจะเจ็บปวดราวกับมีเข็มทิ่มแทงทุกครั้งที่เขาพูดถึงภรรยาเก่า แต่ครั้งนี้หล่อนกลับเป็นสุขใจที่ได้เห็นรอยยิ้มสดใสของเขาอีกครั้งหลังจากเขาฟื้นจากการพยายามฆ่าตัวตายของตัวเอง
เสียงเคาะประตูทำเอาปวราสะดุ้ง หัวใจหล่อนเต้นตึกตักกระทบอกเมื่อคิดว่าปริญดาอาจจะมาถึงแล้ว หล่อนหันไปมองด้วยความตื่นเต้นหวังว่าจะเห็นเวหาเดินเข้ามาพร้อมกับปริญดา
“สะ สงสัยปริมจะมาแล้วมั้งคะ” น้ำเสียงตื่นเต้น มือของเธอเย็นเฉียบ จ้องประตูตาไม่กระพริบ
แต่แล้วคนที่เดินเข้ามาก็ทำให้ปวราพ่นลมหายใจด้วยความเสียดาย พยาบาลสาวถืออุปกรณ์เครื่องมือแพทย์เข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เอ่ยทักทายหล่อนและภาคภูมิ หล่อนจึงได้แต่เดินไหล่ตกไปนั่งที่โซฟา ปล่อยให้พยาบาลทำหน้าที่ของเธอได้สะดวก เพียงไม่นาน พยาบาลสาวก็จัดการฉีดยาให้ภาคภูมิเสร็จเรียบร้อย พร้อมกับเอ่ยชมว่าหน้าตาเขาดูสดชื่นขึ้นกว่าตอนเพิ่งฟื้นขึ้นมาและอวยพรให้เขาหายเร็ว ๆ ก่อนจะออกจากห้องไป
จังหวะเดียวกันนั้นเอง เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ปวราผลุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วแล้วมองไปที่ประตูด้วยอาการลุ้น พอมองผ่านไปที่ช่องกระจกเห็นปริญดามองเข้ามา หล่อนก็คลี่ยิ้มดีใจ เอามือประสานกันไว้ด้วยความตื่นเต้น
ปริญดาผลักประตูเข้ามา ในมือมีถุงใส่ของเต็มสองมือ ปวราชะเง้อมองไปด้านหลัง หวังว่าจะเห็นใครอีกคนเดินตามเข้ามา
“อ้าวปริม มาแล้วเหรอลูก” ภาคภูมิยิ้มกว้างทักทายปริญดาด้วยน้ำเสียงร่าเริง
ปริญดามีสีหน้าประหลาดใจ ไม่คิดว่าจะได้เห็นอาการที่แทบดูไม่เหมือนคนเพิ่งพ้นขีดอันตรายจากกาฆ่าตัวตายของภาคภูมิเลยสักนิด ถึงแม้ใบหน้าของเขาจะดูเหนื่อยล้าอิดโรย แต่ดวงตาสดใสไร้แววเศร้าหมอง
“ค่ะ...เอ้อ...พ่อ...” เธอรู้สึกเคอะเขินและกระดากปากที่จะเรียก เพราะมารดาขอร้องไว้ว่าให้ทำตัวปกติเหมือนเดิมไปก่อน อีกอย่าง เมื่อคืนนี้เวหาก็ขอให้เธอรับปากว่าจะยอมรับภาคภูมิในฐานะบิดาต่อไป โดยที่ความรู้สึกระหว่างเขากับเธอจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
หญิงสาวหันไปสบตามารดาที่เลิกคิ้วถามถึงเวหา เธอส่ายศีรษะเบา ๆ พร้อมกับมีสีหน้าหนักใจ ปวราเห็นท่าทางของลูกสาวก็รู้ว่าการต่อรองกับเวหาไม่เป็นผล หล่อนจึงต้องผิดหวัง คอตกอีกครั้ง และได้แต่ถอนหายใจแล้วพยักหน้าให้ปริญดาส่งของในมือให้หล่อน
ปริญดาเดินไปยืนที่ข้างเตียง “เป็นยังไงบ้างคะ ปริมว่าพ่อมีสีหน้าดีกว่าที่ปริมคิดไว้อีกนะคะ” เธอยิ้มบอก พยายามพูดแต่ในแง่ดี และเลี่ยงที่จะไม่พูดถึงการฆ่าตัวตายของท่าน
ภาคภูมิยิ้มเหนื่อย ๆ “ก็พ่อดีใจที่ลูกมาเยี่ยมไง พอเห็นหน้าลูกพ่อก็ดีขึ้นเลย”
เธอยิ้มตอบท่าน น้ำตาพาลจะไหลเพราะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าไม่ใช่ลูกของท่าน แต่ความรักความห่วงใยที่ท่านมีให้เสมอมาทำให้เธอตื้นต้นใจล้นอกจนพูดอะไรไม่ออก
“อ้าว...แล้วทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะลูก...” ภาคภูมิขมวดคิ้วยุ่งเมื่อเห็นหน้าปริ่มจะร้องไห้ของปริญดา
น้ำเสียงห่วงใยของภาคภูมิทำเธอน้ำตาไหล แต่ก็ยังฝืนยิ้มแล้วพูดออกมาเสียงสั่น “ก็ปริมดีใจที่พ่อไม่เป็นอะไร วันหลังพ่ออย่าทำอะไรแบบนี้อีกนะคะ ทุกคนเขาเป็นห่วงพ่อรู้ไหม”
ภาคภูมิสีหน้าสลดลง รู้ว่าตนเองทำให้ทุกคนเป็นห่วงและเสียใจ แต่ทุกครั้งที่เขาคิดถึงเรื่องในอดีต ก็เผลอมีอารมณ์อยากทำร้ายตัวเองไปเสียทุกที
“พ่อขอโทษ ปริมก็รู้ว่าพ่อพยายามแล้ว...” น้ำตาเขาเอ่อคลอ ยิ่งเห็นลูกสาวร้องไห้เขาก็ยิ่งปวดใจ เพราะเขาไม่อยากให้ใครต้องมาเสียใจกับการกระทำโง่เขลาของเขา
ภาคภูมิอ้าแขนออกแล้วเรียกปริญดาให้เข้ามาใกล้ เขากอดเธอไว้หลวม ๆ แล้วลูบผมนุ่มนั้นด้วยความเอ็นดู “ไม่ต้องร้องไห้นะ พ่อรู้ว่าพ่อให้สัญญากับลูกไม่ได้ แต่พ่อจะพยายามนะลูกนะ...”
ปริญดากระชับอ้อมกอดไว้แน่น รับรู้ถึงความอบอุ่นอ่อนโยนที่ส่งผ่านเข้ามา เธอรู้ที่ภาคภูมิพูดไปนั้นมันก็แค่เพียงคำพูดลอย ๆ ที่สุดท้ายแล้วท่านก็ยังคงกลับไปมีความคิดเดิม ๆ กระทำการเดิม ๆ ที่ไม่มีใครสามารถเอาชนะอดีตที่คอยหลอกหลอนท่านได้
ปวรามองภาพตรงหน้าแล้วก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอได้เห็นภาพแบบนี้ คำพูดที่ออกมาจากปากเขาก็ฟังบ่อยจนจำได้ขึ้นใจ จากการพยายามฆ่าตัวตายหลายครั้งของเขาแต่ไม่สำเร็จ ครั้งนี้รุนแรงที่สุด และหล่อนเกือบจะเสียเขาไป แต่ก็ยังโชคดีที่โชคชะตายังกำหนดให้เขาได้มีลมหายใจต่อไป และหล่อนจะทำทุกวีถีทางเพื่อต่อลมหายใจนี้ให้อยู่กับหล่อนและลูกไปนาน ๆ
“พ่อจะให้สัญญากับปริมสักเรื่องหนึ่งได้ไหมคะ” จู่ ๆ ปริญดาก็โพล่งถามออกมา ภาคภูมิยิ้มฝืด ๆ รู้ว่าเธอจะขออะไรแต่ก็พยักหน้ารับ
“ปริมมีของสำคัญอะไรบางอย่างจะให้พ่อ เป็นของสำคัญที่ปริมคิดว่าพ่อต้องอยากได้ แต่พ่อจะต้องสัญญาว่าถ้าปริมให้ของชิ้นนี้ไปแล้ว พ่อจะต้องรักและทะนุถนอมของสิ่งนี้ให้ดี อย่าให้หายหรือทิ้งขว้างอีก”
ภาคภูมิมีสีหน้าแปลกใจกับคำพูดของปริญดาเมื่อคำขอร้องของเธอไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคาดไว้ “ถ้าเป็นของที่ปริมให้พ่อ ทำไมพ่อจะต้องทิ้งมันด้วยล่ะ” เขายิ้มและลูบผมลูกสาว “พ่อสัญญว่าจะเก็บรักษามันไว้อย่างดี ตกลงไหม”
ปริญดาจับมือที่ลูบผมเธออยู่นั้นขึ้นมากุมไว้ “พ่อให้สัญญาแล้วนะคะ”
ภาคภูมิพยักหน้า “จ้ะ”
ปริญดาหันไปสบตากับมารดาที่มองเธอด้วยความสงสัยแต่มีแววประกายตื่นเต้น เธอคิดว่ามารดาคงจะเดาความหมายที่เธอบอกได้ว่าหมายถึงอะไร เธอยิ้มให้มารดาเล็กน้อยเป็นเชิงว่าให้หล่อนสบายใจและปล่อยให้เธอจัดการเรื่องนี้เสียเอง
หญิงสาวเปิดกระเป๋าสะพายแล้วหยิบเลโก้ขึ้นมายื่นให้ภาคภูมิ “ปริมคืนอันนี้ให้พ่อก่อนนะคะ ตอนที่พ่อเข้าห้องไอซียู หมอบอกว่าพ่อกำมันไว้ในมือตลอด หมอก็เลยเก็บไว้ให้น่ะค่ะ”
ภาคภูมิยื่นมือสั่นเทาไปรับเลโก้รถนั้นมา ริมฝีปากคลี่ยิ้มน้อย ๆ เมื่อนึกถึงเจ้าของเลโก้นี้ที่เขาเพิ่งจะได้เจอในฝัน “ขอบใจมากลูก”
“ไม่เป็นไรค่ะ” เธอสังเกตุอาการดีใจเงียบ ๆ ของท่านจากแววตาและคิดว่าของชิ้นต่อไปที่เธอจะให้คงทำให้ท่านประหลาดใจไม่น้อย คำถามมากมายจากท่านคงรอเธออยู่ และเธอก็หวังว่าของสิ่งนี้จะเป็นตัวช่วยให้ทุกอย่างลงเอยตามที่มันควรจะเป็น
ปริญดาล้วงหยิบของอีกชิ้นที่เป็นกล่องของขวัญเล็ก ๆ ในกระเป๋าสะพายออกมาแล้วยื่นให้ภาคภูมิ “อันนี้จากปริมค่ะ ของสำคัญที่ปริมอยากให้พ่อรักษาเอาไว้ให้ดี ลองเปิดดูสิคะ”
คนให้เองก็ตื่นเต้นไม่แพ้คนได้รับ มือเธอเย็นเฉียบประสานกันที่หน้าท้อง รอดูทีท่าตอนที่ภาคภูมิเปิดกล่องขวัญนั้นแล้วเห็นของข้างในกล่อง
ภาคภูมิยิ้มดีใจ เพราะนาน ๆ ทีลูกสาวจะทำเซอร์ไพรส์ให้ของขวัญแก่เขา อยากรู้ว่าของอะไรที่เธอบอกว่าสำคัญมากถึงขนาดต้องให้เขาสัญญาว่าจะเก็บรักษามันไว้อย่างดี
กระดาษห่อของขวัญถูกแกะออกหมดแล้ว ภาคภูมิมองกล่องที่คล้ายกล่องนาฬิกาใหม่ในมือ แล้วเงยหน้ามองปริญดา “ลูกไม่จำเป็นต้องซื้อของแพง ๆ แบบนี้ให้พ่อเลย ลูกก็รู้ว่าพ่ออยู่แต่ในโรงพยาบาลคงไม่ได้ใช้ของดี ๆ อย่างนี้”
ปริญดายิ้ม เสียงของเธอสั่นพร่าเมื่อตอบท่าน “แต่ปริมแน่ใจว่าพ่ออยากจะใช้มันค่ะ”
“เปิดดูเลยสิคะคุณภาค” ปวราอดไม่ได้ที่จะกระตุ้นภาคภูมิ หล่อนเข้ามายืนข้าง ๆ ปริญดาคว้ามือลูกสาวเธอมากุมไว้ ส่งยิ้มให้ภาคภูมิแล้วพยักหน้าให้เขาเปิดกล่องนั่น
ภาคภูมิจึงค่อย ๆ เปิดกล่องออก พอเห็นนาฬิกาข้อมือยี่ห้อดังเรือนใหญ่สีทองเขาก็หันไปมองปริญดาแล้วส่ายหน้า “นี่คงจะแพงน่าดูเลยลูก”
“หยิบออกมาลองสวมดูสิคะ ปริมอยากจะรู้ว่าพ่อชอบหรือเปล่า”
“อะไรที่หนูให้พ่อก็ชอบทั้งนั้นแหล่ะ” เขาบอกก่อนจะหยิบนาฬิกาออกมาจากกล่อง เขาดูดีไซน์ของมันแล้วรู้สึกคุ้นตายังไงบอกไม่ถูก พอสังเกตุที่หน้าปัดก็เห็นว่านาฬิกาไม่เดินแล้ว “อ้าว ถ่านหมดนี่ลูก”
ปริญดายิ้มบอก “ค่ะ พอดีปริมยังไมได้เอาไปเปลี่ยน อยากเอามาให้พ่อก่อน”
“ได้ยังไงกัน ยี่ห้อแพงขนาดนี้ที่ร้านเขาไม่เปลี่ยนให้วันที่ซื้อหรอกเหรอ”
“ปริมไม่ได้บอกนี่คะว่าปริมซื้อมา”
ภาคภูมิเลิกคิ้วสงสัย “ไม่ได้ซื้อมา งั้นก็ของหนูน่ะสิ”
เธอส่ายหน้าช้า ๆ “พ่อจำนาฬิกาเรือนนี้ไม่ได้เหรอคะ พ่อลองดูดี ๆ อีกทีสิคะ ว่าของใคร”
ภาคภูมิมองนาฬิกาในมือ เขามั่นใจว่าเคยเห็นมันที่ไหนมาก่อน คุ้นตาว่าเหมือนนาฬิกาคล้าย ๆ กันอีกเรือนของเขาที่เคยซื้อเก็บไว้หลังจากที่เอาเรือนเก่าให้ลูกชายไป แต่เรือนที่เขาซื้อเก็บไว้เป็นสีเงินส่วนอีกเรือนเก่าที่ให้ลูกชายไปเป็นสีทอง...
หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ มือที่ถือนาฬิกาอยู่สั่นระริก และถือค้างไว้อยู่อย่างนั้น มองจ้องนาฬิกานิ่งราวกับมันเป็นสิ่งของประหลาด และพอเงยหน้าไปมองปริญดาสลับกับปวรา ท่าทางของทั้งคู่ดูจะใจจดใจจ่อเหมือนกำลังรอให้เขาพูดอะไรออกมา
เขาก้มมองดูนาฬิกาอีกครั้ง ตอนนี้เขารู้แล้วว่าทำไมรู้สึกคุ้นตากับดีไซน์ของนาฬิกาเรือนนี้นัก เพราะว่ามันเหมือนกับนาฬิกาเรือนเก่าสีทองของเขาที่ให้เวหาไปเมื่อหลายสิบปีก่อนเพื่อแลกกับเลโก้รถของลูกชาย
ในสมองของเขาตอนนี้คิดวกไปวนมาว่าจะเป็นไปได้อย่างไรที่นาฬิกาเรือนนั้นจะมาอยู่ที่นี่ และมันจะมาตกอยู่ในมือของปริญดาได้ยังไงกัน...ที่แน่ ๆ ถ้าเป็นนาฬิกาเรือนนั้นอย่างที่เขากลัวจริง ตัวเรือนด้านหลังจะต้องมีชื่อเขากับกชอรสลักอยู่ด้วย เพราะเขาจำได้ว่าเรือนที่เขาให้เวหาไปคือเรือนที่กชอรเลือกให้และเขาสลักชื่อทั้งคู่ลงไปเพื่อเป็นที่ระลึก
หัวใจภาคภูมิเต้นระส่ำระส่าย มือไม้สั่นเมื่อค่อย ๆ พลิกนาฬิกาเพื่อดูที่ด้านหลัง เขาสูดลมหายใจหนัก ๆ ลงปอด เมื่อเห็นรอยสลักเล็ก ๆ ตรงกลางเรือน
เขากำนาฬิกาไว้แน่นจนเกร็ง น้ำตาเอ่อคลอหน่วย ก่อนจะไหลมาเป็นทางอาบแก้ม “ได้นาฬิกานี่มาได้ยังไง” เสียงของภาคภูมิแทบจะไม่ได้ยิน
ปริญดาน้ำตาไหลตามไปด้วย เธอทำใจไว้แล้วว่าอาจจะทำให้ท่านสะเทือนใจเมื่อได้เห็นของชิ้นนี้ แต่นี่เป็นทางเดียวที่จะช่วยดึงให้ทั้งเวหาและภาคภูมิได้มาเจอกันได้
ปวราบีบมือลูกสาวที่กุมไว้เบา ๆ ให้กำลังใจ ปริญดาหันมายิ้มให้ทั้งน้ำตา ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเครือ “มีคนให้ปริมมาค่ะ”
ดวงตาแดงก่ำของภาคภูมิมองปริญดานิ่ง “ใคร...”
ปริญดาปาดน้ำตา เดินเข้าไปใกล้ภาคภูมิแล้วจับมืออีกข้างของท่านเอาไว้ เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะพูดว่า “ก็คนที่พ่อให้นาฬิกานี้ไปยังไงล่ะคะ...”
หัวใจของภาคภูมิกระตุกวูบ “เป็นไปไม่ได้...ไม่จริง” สีเลือดหายไปจากใบหน้า พร้อมกับพูดซ้ำไปซ้ำมา
“พ่อคะ...” ปริญดาเรียกสติของภาคภูมิ จับมืออันสั่นเทาของท่านไว้แน่น “คนที่พ่อให้นาฬิกาเรือนนี้ไป พ่อรู้ใช่ไหมว่าเขาเป็นใคร พ่อจำเขาได้ใช่ไหมคะ”
ภาคภูมิร้องไห้ หยิบนาฬิกานั้นขึ้นมาแนบอก “เวย์...เวย์...” เขาร้องไห้หนักขึ้นจนปริญดาและปวรามองหน้ากันด้วยความกังวลใจ แต่เมื่อเธอเริ่มแล้ว เธอก็ไม่อยากเลิกกลางคัน และภาวนาว่าขอให้ภาคภูมิสามารถควบคุมสติจนเธอทำตามความตั้งใจของเธอให้สำเร็จ
ปริญดาเห็นภาคภูมิร้องไห้พลางพร่ำเรียกชื่อเวหาไม่หยุด เธอจึงค่อย ๆ กระซิบถามเขาเบา ๆ “พ่อ...อยากเจอเขาไหมคะ”
ภาคภูมิเงยหน้ามองปริญดาทันที “เวย์...เวย์มาเหรอ” เขาถามอย่างตื่นเต้น
“ตอนนี้เขารออยู่ที่หน้าตึกน่ะค่ะ เขาไม่กล้าเข้ามา เพราะกลัวว่าพ่อจะจำเขาไม่ได้ ปริมก็เลยขอนาฬิกาที่พ่อให้เขาไว้ เอามาเป็นของขวัญให้พ่อ เขาอยากรู้ว่าถ้าพ่อเห็นของชิ้นนี้แล้วจะจำเขาได้หรือเปล่า”
“โธ่ เวย์...” ภาคภูมิรำพัน “พ่อจำได้ จำเขาได้ตลอดเวลา” พูดไปก็ร้องไห้ไป
ปริญดาเห็นแล้วก็อดสงสารท่านไม่ได้ รู้สึกผิดที่โกหกว่าเวหากำลังรอท่านไปพบ แม้ตอนนี้เวหาจะรออยู่ข้างนอกก็จริง แต่เป็นเพราะเขามาส่งเธอแล้วรอรับเธอกลับ ส่วนนาฬิกากับเลโก้เธอเห็นเขาวางไว้ในลิ้นชักหัวเตียงเมื่อวันก่อนหลังจากเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตทั้งหมดให้เธอฟัง รวมถึงความเป็นมาเกี่ยวกับของทั้งสองสิ่ง และคิดว่าถ้าเธอขอนาฬิกาเรือนนี้จากเวหาเอาไปให้ภาคภูมิ ท่านอาจจะจำได้และช่วยกระตุ้นให้ท่านอยากเจอลูกชาย
เมื่อเวหาไม่ยอมมาพบท่าน เธอก็ต้องทำให้ท่านไปพบเขาแทน เธอรู้ว่าถ้าบอกตรง ๆ กับเวหาว่าอยากขอนาฬิกาเอาไปให้ภาคภูมิ เขาก็คงรีบปฎิเสธทันควัน เธอเลยเสียมารยาทถือวิสาสะหยิบเอานาฬิกานั้นมาห่อของขวัญแล้วเอามาให้ภาคภูมิวันนี้ เธอรู้ว่าเขาต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแน่ แต่เธอก็มั่นใจหากว่าเขาได้พบบิดาที่แสดงออกว่ารักเขามากมายขนาดไหนแล้ว สายเลือดและสายใยความผูกพันจะเชื่อมโยงกันและทำให้เวหาลดทิฐิจนยอมรับภาคภูมิได้ในที่สุด
ปริญดาหันไปมองมารดาเพื่อขอความเห็นอีกครั้งว่าเธอควรจะพาภาคภูมิที่กำลังอยู่ในอาการสะเทือนใจไปพบเวหาดีไหม
ปวรามองภาคภูมิที่กอดนาฬิกาข้อมือไว้แน่นแนบอก ร้องไห้ไม่หยุดและพร่ำเรียกแต่ชื่อเวหา แม้อีกใจหล่อนจะกังวลใจอยู่ว่าถ้าพาไปพบเวหาแล้วฝ่ายนั้นไม่ยินดียินร้ายด้วย สภาพจิตใจของเขาคงย่ำแย่ลงไปอีก แต่ในเมื่อเปิดเผยความจริงมาขนาดนี้แล้ว ถ้าไม่ทำให้ถึงที่สุด ความรู้สึกของทั้งสองฝ่ายก็จะครึ่ง ๆ กลาง ๆ กันอยู่แบบนี้ ก็จะไม่มีใครมีความสุขเสียที เมื่อคิดได้แบบนี้ หล่อนจึงพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตไปที่ปริญดา
เมื่อมารดาเห็นชอบ แสดงว่าท่านก็ต้องแน่ใจแล้ว ซึ่งก็ทำให้เธอมีความมั่นใจมากขึ้นว่าการกระทำในครั้งนี้จะเกิดผลลัพธ์ในทางที่ดีกับทั้งสองฝ่ายอย่างแน่นอน
หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อเรียกความกล้า ก่อนจะเขยิบเข้าไปใกล้ภาคภูมิที่ยังคงก้มหน้าร้องไห้ แล้วกระซิบพูดกับท่านเบา ๆ “พ่อคะ...ถ้าพ่ออยากเจอเขา ปริมจะพาพ่อไปหาเขาดีไหมคะ”
ภาคภูมิหยุดร้องไห้ เงยหน้าขึ้นมองปริญดาที่กำลังยิ้มให้เขา “พ่อ...พ่ออยากเจอเวย์ อยากบอกเขาว่าพ่อขอโทษ ปริมพาพ่อไปหาเวย์นะ” สีหน้าของภาคภูมิวิงวอนขอร้อง
“ได้สิคะ เวย์เขาอยู่ที่นี่แล้ว เขารอพ่ออยู่ข้างนอก ถ้าพ่ออยากเจอ ปริมจะขอพยายาลพาพ่อไปนั่งเล่นที่หน้าตึก โอเคไหมคะ”
รอยยิ้มดีใจปรากฎที่ริมฝีปากของภาคภูมิ “จริง ๆ นะ ปริมจะพาพ่อไปหาเวย์จริง ๆ นะ” น้ำเสียงตื่นเต้นราวกับเด็กได้ของขวัญวันเกิด
ปริญดาพยักหน้า “จริงสิคะ เราไปกันหมดนี่เลย นะคะแม่” เขาหันไปถามปวรา
“เอาสิจ๊ะ ไปกันหลาย ๆ คน คุณภาคจะได้ไม่ตื่นเต้น”
ภาคภูมิยิ้มกว้าง คราบน้ำตายังเปื้อนแก้ม เขากำนาฬิกาในมือไว้แน่น หัวใจเต้นรัวราวกับกลองที่จะได้พบหน้าลูกชายที่พรากจากกันไปนานหลายสิบปี เขามีอะไรหลายอย่างอยากจะพูดกับเวหา อยากจะกอดเขาแน่น ๆ ให้หายคิดถึง แต่แล้วรอยยิ้มเลือนหายไปจากใบหน้า หันไปถามปริญดาด้วยท่าทางกังวลใจ
“พ่อกลัวว่าเวย์จะไม่ยอมพูดกับพ่อ เขาคงจะโกรธพ่ออยู่...”
“อย่ากลัวไปเลยค่ะ” เธอปลอบใจ “วันที่พ่อยังนอนไม่ได้สติ เขาก็เข้าไปเยี่ยมพ่อที่ห้องไอซียูด้วยนะคะ”
ภาคภูมิตาโต น้ำตาคลอหน่วย “มิน่าล่ะ พ่อถึงได้ฝันเห็นเขา” รอยยิ้มกลับมาบนริมฝีปากเขาอีกครั้ง
“และที่สำคัญ...” ปริญดายิ้มพราว “เขาเป็นคนให้เลือดพ่อด้วยค่ะ เขาช่วยต่อชีวิตให้พ่อได้มาเจอเขาไงคะ แล้วอย่างนี้เขาจะไม่ยอมพูดกับพ่อได้ยังไงกัน”
อีกครั้งที่น้ำตาภาคภูมิไหลริน เขาแทบหมดหวังที่จะได้เจอกับเวหาตั้งแต่เขากลับมากรุงเทพตามคำสั่งมารดาในวันนั้น หลายครั้งที่เขาพยายามติดต่อผ่านญาติของกชอรที่รับเวหาไปเลี้ยง แต่ก็ได้รับการปฎิเสธตลอดมา และเขาก็ไม่มีความกล้าพอที่จะบุกไปถึงที่เพื่อพาเวหามาอยู่กับเขา เขาไม่เคยทำหน้าที่พ่อที่ดีเลย แต่เวหากลับยอมช่วยชีวิตเขา ยอมมาพบเขา เขาละอายใจตัวเองเหลือเกิน
“ตอนนี้ปริมว่าพ่อไปล้างหน้าล้างตาหน่อยดีกว่าค่ะ ดูสิ หน้าตาเลอะเทอะหมดแล้ว มัวแต่ร้องไห้แบบนี้เดี๋ยวเวหาจะรอนานนะคะ” เธอเห็นหน้าตาภาคภูมิดูหมองลงจึงพยายามพูดให้เขาอารมณ์ดีขึ้น
ถึงอย่างนั้นภาคภูมิก็ยังไม่สดชื่นนัก เพราะในใจยังรู้สึกผิดหวังกับการกระทำของตนเอง แต่ก็ยอมทำตามที่ลูกสาวสั่ง ค่อย ๆ ขยับขาทีละข้างลงมายืน มีปวราช่วยลากเสาสายน้ำเกลือ พยุงพาเขาไปเข้าห้องน้ำ เมื่อภาคภูมิมีมารดาคอยช่วยเหลือ เธอจึงเดินออกจากห้องไปที่เคาเตอร์พยาบาล แจ้งว่าต้องการพาคนไข้ออกไปสูดอากาศด้านหน้าตึกและขอให้เตรียมรถเข็นไว้ให้ ไม่นานเธอก็เข็นรถเข็นกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง เป็นจังหวะเดียวกับที่ภาคภูมิออกมาจากห้องน้ำพอดี
“พ่อยังไม่แข็งแรงดี มานั่งรถเข็นให้ปริมเข็นไปให้นะคะ” พูดพลางเข้าไปช่วยจับแขนอีกข้างของภาคภูมิ พยุงเขามานั่งที่รถเข็น เมื่อจัดแจงให้ภาคภูมิได้นั่งสบายแล้ว โดยมีปวราคอยเตรียมข็นเสาสายน้ำเกลือให้ และทั้งหมดกำลังจะออกจากห้อง แต่ภาคภูมิพูดขัดขึ้นเสียก่อน
“ปริม...ปิ่น...” เขาเรียกทั้งสองคน ปวราและปริญดามองหน้ากัน ก่อนที่ปริญดาจะเป็นคนเอ่ยถาม “คะพ่อ มีอะไรหรือเปล่าคะ”
หัวคิ้วภาคภูมิขมวดเครียด เขานิ่งไปพักใหญ่ จากนั้นจึงถามเสียงจริงจัง “ปริมรู้จักเวย์ได้ยังไงลูก...แล้วปิ่นล่ะ รู้จักเวย์ด้วยหรือเปล่า” เขาหันไปถามปวราด้วยอีกคน
เมื่อเห็นทั้งสองคนมองหน้ากันและมีท่าทางอึกอัก ภาคภูมิจึงพูดขึ้น “ผมเพิ่งมานึกแปลกใจเมื่อกี๊นี้เอง ว่าจู่ ๆ ทำไมเวย์ถึงมาหาผมตอนนี้ แล้วปริมได้นาฬิกาจากเวย์มาได้ยังไงถ้าไม่รู้จักกัน” เขามองสบตาทั้งสองคนอีกครั้ง “มีอะไรที่ผมยังไม่รู้อีกหรือเปล่า”
ปริญดานั่งยอง ๆ ลงข้าง ๆ ภาคภูมิ ยิ้มเยือนให้เขาอย่างใจเย็น “ใช่ค่ะ ปริมกับแม่รู้จักเวย์ และปริมกับแม่มีอีกหลายเรื่องที่ยังต้องบอกให้พ่อฟัง แต่เรื่องมันยาวและซับซ้อนมากเลยค่ะ และตอนนี้ปริมก็อยากให้พ่อกับเวย์ได้เจอกันก่อน หลังจากนั้นแล้วปริมสัญญาว่าจะเล่าทุกอย่างให้พ่อฟังเองค่ะ”
ภาคภูมิสังหรณ์ใจว่าเรื่องที่ปริญดาจะเล่าให้เขาฟังนั้นคงเกี่ยวข้องกับตัวเธอเองด้วยเหมือนกัน เป็นเรื่องเดียวที่เขาไม่อยากให้เธอได้รับรู้ และเขาเคยกำชับกับปวรารวมถึงคนอื่น ๆ ในครอบครัวที่รู้เรื่องนี้ไม่ให้หลุดปากบอกเธอไป
“ก็ได้จ้ะ แต่ปริมต้องเล่าให้พ่อฟังทั้งหมดนะ” เขาพูดพลางหันไปมองปวราที่หลบสายตาแทบจะทันที
“ปริมสัญญาค่ะ” เธอชูนิ้วก้อยต่อหน้าเขา “ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเลยดีไหมคะ เดี๋ยวปริมเข็นให้นะคะ”
ปริญดาค่อย ๆ เข็นรถออกไปจากห้อง หัวใจของเธอเต้นรัวไปตลอดทาง มือที่จับหูรถเข็นเย็นเฉียบและเกร็งแน่นเมื่อความเครียดก่อตัวเป็นมวลในท้องเธอ และเธอรู้ว่าภาคภูมิและปวราก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน
เพียงไม่นานเธอก็เข็นรถมาที่หน้าตึกโรงพยาบาลซึ่งเป็นลานสนามหญ้าเล็ก ๆ เธอกวาดสายตามองไปรอบ ๆ และก็เห็นแผ่นหลังกว้างของเวหากำลังนั่งอยู่ที่ม้าหินหันหลังมาให้พวกเธอ ถึงแม้เธอจะไม่เห็นสีหน้า แต่ซีกหน้าด้านข้างของเขาบ่งบอกว่ากำลังคิดอะไรเคร่งเครียดจนไม่สังเกตุถึงผู้คนที่เดินผ่านไปมา
“พ่อพร้อมไหมคะ” ปริญดาถามพร้อมกับเอื้อมไปจับมือท่านข้างเดียวกับที่กำนาฬิกาเอาไว้ ภาคภูมิไม่ได้ตอบ เพียงแต่ใช้มืออีกข้างมากุมมือเธอ แล้วบีบเบา ๆ
“พ่อทำตัวตามสบายนะคะ ปริมกับแม่จะคอยอยู่ข้าง ๆ พ่อเอง” เธอพูดให้ท่านหายเครียด จากนั้น เธอก็ค่อยเข็นรถช้า ๆ ตรงไปยังม้านั่งที่เวหานั่งอยู่
<><><><><><><><><><><><><><><><><>><><><>>>
คุณ lamyong ลุ้นแทนสองคนนี้เลยใช่ไหมคะ ^^'' ส่วนเวย์กับพ่อจะลงเอยยังไง อย่าลืมติดตามจนจบด้วยนะคะ ;)
เปลวหอม
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 ก.ย. 2558, 00:02:51 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ก.ย. 2558, 10:31:27 น.
จำนวนการเข้าชม : 1368
<< ตอนที่ 36 | ตอนที่ 38 >> |
Zephyr 30 ก.ย. 2558, 11:25:26 น.
ลุ้นมาก เครียดที่สุด
เอายังไงเนี่ย
พ่อลูกจะคุยกันรู้เรื่องไหม
แฮปปี้เถอะนะ
กว่าจะอ่านจบ เสียน้ำตาหลายลิตรแล้ว
นี่ถ้าอ่านติดๆๆๆกันทุกตอน เราคงตาบวม
ลุ้นมาก เครียดที่สุด
เอายังไงเนี่ย
พ่อลูกจะคุยกันรู้เรื่องไหม
แฮปปี้เถอะนะ
กว่าจะอ่านจบ เสียน้ำตาหลายลิตรแล้ว
นี่ถ้าอ่านติดๆๆๆกันทุกตอน เราคงตาบวม
lamyong 30 ก.ย. 2558, 15:19:03 น.
ตอนนี้สงสารทุกคนกันหมด มีแต่คนเสียใจ อยากให้เข้าใจและกลับมาเป็นครอบครัวกันเหมือนเดิม แต่พ่อเวย์ของเดี๊ยนจะยอมหรือเปล่าหนอ...
ตอนนี้สงสารทุกคนกันหมด มีแต่คนเสียใจ อยากให้เข้าใจและกลับมาเป็นครอบครัวกันเหมือนเดิม แต่พ่อเวย์ของเดี๊ยนจะยอมหรือเปล่าหนอ...