เพียงใจปรารถนา
อดีตอันแสนโหดร้ายในวัยเด็กทำให้ เวหา เติบโตมาเป็นผู้ชายแข็งกร้าวและเย็นชา ผู้หญิงคนไหนก็ไม่สามารถผ่านด่านหัวใจเขาไปได้ แต่ใช่ว่าเขาจะไร้ความรู้สึก เมื่อผู้หญิงที่เขาแอบรัก แต่ไม่สามารถครอบครอง ถูกคนรักของตนเองขอเลิกและไปแต่งงานกับ ปริญดา หญิงสาวผู้ซึ่งเพียงต้องการหนีปัญหา เธอจึงต้องตกเป็นจำเลยแห่งความโกรธแค้นของชายหนุ่ม ที่สำคัญ...เขาทำให้เธอตกหลุมรัก ยอมจำนน และทิ้งขว้างอย่างไม่ใยดีเพื่อแก้แค้นให้สมน้ำสมเนื้อที่เธอทำให้ผู้หญิงที่เขารักต้องเสียใจ!
แต่เมื่อความเข้าใจผิด การโกหกปิดบัง ได้ถูกเปิดเผย จะช่วยให้เธอและเขาเปลี่ยนความแค้น และความชิงชัง ให้เป็นความรักได้หรือไม่......ขอเพียงแค่ใจปรารถนา...รักของทั้งคู่คงไม่เกินความจริง
แต่เมื่อความเข้าใจผิด การโกหกปิดบัง ได้ถูกเปิดเผย จะช่วยให้เธอและเขาเปลี่ยนความแค้น และความชิงชัง ให้เป็นความรักได้หรือไม่......ขอเพียงแค่ใจปรารถนา...รักของทั้งคู่คงไม่เกินความจริง
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 38
สวัสดีนักอ่านเว็บเลิฟทุกท่านค่ะ เผลอแป๊บเดียวหมดอีกอาทิตย์หนึ่งแล้ว เวลาผ่านไปไวมากกก >< อาทิตย์หน้าเหลืออีกสามบทจะลง จ-อ-พ รวดเดียวจบเลยนะคะ หลังจากนั้นวันศุกร์หน้าจะเอานิยายเรื่องใหม่มาให้ติดตามกันค่ะ
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามผลงานและกดไลค์ให้นะคะ แล้วเจอกันค่า ^o^
เพียงใจปรารถนา ตอนที่ 38
เวหาถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีก คำพูดหว่านล้อมต่าง ๆ นานาที่ปริญดาคอยกรอกหูว่าบิดาเขานั้นต้องทนทุกข์ทรมานกับโรคซึมเศร้าเพราะยึดติดกับอดีตมาหลายปีวนเวียนอยู่ในหัวเขามาตลอดทางที่ออกมาจากคอนโด เธออยากให้เขาเลิกถือทิฐิและลืมเรื่องราวในอดีต คอยพยายามรบเร้าเขาให้เข้าไปเยี่ยบบิดากับเธอด้วยกัน แต่เขาก็เถียงคอเป็นเอ็นว่ายังไม่พร้อมที่จะพบท่านตอนนี้ และเขาเกือบเผลอจะมีอารมณ์รุนแรงขึ้นเสียงดังใส่เธอ พอเธอเห็นเขาหัวเสียจึงยอมแพ้แต่ขอให้เขามาส่งและรอรับกลับเพราะรู้สึกอาการคลื่นไส้เวียนหัวจึงไม่อยากขับรถมาเอง เขาจึงต้องมารอแก่วด้วยอารมณ์หงุดหงิดอยู่อย่างนี้
“เวย์คะ”
เวหาผ่อนลมหายใจยาวโล่งอกเมื่อได้ยินเสียงทักของปริญดาจากทางด้านหลัง เขาลุกขึ้นยืนแล้วหันไปยิ้มกว้างให้เธอ
“ทำไมคุณไปนาน...” แต่แล้วคำพูดเขาต้องสะดุด หัวใจหล่นวูบ เมื่อเห็นว่าเธอพาใครมาด้วย ดวงตาเบิกกว้างด้วยความคาดไม่ถึงและได้แต่ยืนตะลึงมองบิดาที่นั่งอยู่บนรถเข็นและกำลังจ้องเขาไม่วางตา
ทั้งสองคนต่างชะงักงันมองกันและกันนิ่ง ความเงียบอันน่าอึดอัดปกคลุมไปทั่ว ปริญดากับปวราก็กลั้นใจรอดูว่าปฎิกิริยาของเวหาจะเป็นอย่างไร แต่ผ่านไปเกือบนาทีทั้งภาคภูมิและเวหาต่างยังคงเงียบงัน ปริญดาจึงต้องเดินไปยืนข้าง ๆ เวหาแล้วกระซิบเรียกสติเขาเบา ๆ
“เวย์คะ...นี่พ่อของคุณไงคะ จำท่านได้ไหม” น้ำเสียงราบเรียบ แต่หัวใจเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ กลัวใจเขาจะไม่ยอมพูดกับภาคภูมิแล้วจะเตลิดไป เธอจึงต้องระมัดระวังคำพูดให้มากที่สุดเพื่อดึงให้เขาอยู่ตรงนี้กับเธอ
“ท่านอยากพบคุณมาก ท่านดีใจมากรู้ไหมคะที่รู้ว่าคุณเป็นคนให้เลือดท่าน” เธอคว้าแขนเขาไว้ และรับรู้ร่างกายเกร็งสั่นขณะที่สายตาเขายังไม่ละไปจากภาคภูมิ
“ผมบอกหรือเปล่าว่าผมยังไม่อยากเจอพ่อ” น้ำเสียงเย็นเยียบ พยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองอย่างเต็มที่
“แต่เวย์คะ...” ปริญดายังไม่ทันพูดจบ ภาคภูมิก็เรียกเวหาเสียก่อน
“เวย์...นี่เวย์จริง ๆ ใช่ไหม พ่อไม่ได้ฝันไปใช่ไหม” น้ำตาแห่งความดีใจไหลริน ทันทีที่เวหาหันมาทางเขา เพียงแว่บเดียวที่เห็นใบหน้าแทบจะถอดพิมพ์เดียวกันมากับกชอร หัวใจเขาก็เบิกบานเริงร่าและมั่นใจว่าชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นลูกชายที่พลัดพรากกันไปนานจริง ๆ
ภาคภูมิยื่นมือออกไป “เวย์...พ่อดีใจจริง ๆ ที่ได้เจอลูกอีก รู้ไหมพ่อคิดถึงเวย์ทุกวัน หลายปีที่ผ่านมาไม่มีวันไหนที่พ่อจะไม่คิดถึงเวย์เลยนะลูก”
แทนที่จะทำให้เวหารู้สึกดีขึ้นแต่คำพูดเหล่านั้นกลับทำให้ความโกรธเขาแล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ มือกำหมัดแน่นข้างกาย สันกรามขบกันจนนูน กระบอกตาของเขาร้อนผ่าวเมื่อพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา
“คิดถึงเหรอ ถ้าคิดถึงจริงก็คงไม่ทิ้งผมไว้ให้อยู่คนเดียวมาจนปานนี้หรอก” พูดรอดไรฟัน
ภาคภูมิน้ำตาไหลพราก ส่ายหน้าปฎิเสธ “ไม่จริง พ่อคิดถึงลูก คิดถึงแม่ พ่อขอโทษที่ทิ้งลูกไป พ่อพยายามจะไปหาลูกแล้ว แต่...”
“ผมไม่ต้องการคำอธิบายอะไรทั้งนั้น” เวหาตัดบทไม่ทนฟังอีกต่อไป และตอนนั้นที่สายตาของเขาสะดุดกับนาฬิกาเรือนสีทองที่อยู่ในกำมือของบิดา เขาสูดหายใจเข้าลึก หลับตาแน่นเมื่อพยายามเก็บกลั้นความโกรธที่ปริญดาหยิบของของเขาไปโดยพลการ
ภาคภูมิพยายามหมุนล้อรถเข็นเข้าไปใกล้ ไม่ยอมเลิกราง่าย ๆ “ไม่มีวันไหนที่พ่อไม่คิดถึงแม่กับเวย์ วันนั้นที่พ่อจากไปใช่ว่าเป็นความต้องการของพ่อ แต่มันเป็นความจำเป็น พ่อคิดอยู่เสมอว่าถ้ามีโอกาสพ่อจะพาเวย์มาอยู่ด้วยกัน แต่โอกาสนั้นก็ไม่เคยมาถึงเพราะพ่อคอยถูกกีดกันจากคนรอบข้างตลอดเวลา...” เขาพูดไปก็หอบไป แต่ก็ยังพยายามพูดต่อ
“เวย์ไม่รู้หรอกว่าพ่อแทบเป็นบ้าที่รู้ว่าแม่ฆ่าตัวตาย และแค่งานศพพ่อก็ยังไปไม่ได้มันทำให้พ่อคลั่งและอยากตายตามแม่ไปให้รู้แล้วรู้รอด...”
“พอได้แล้ว!” เวหาตวาดลั่นอย่างหมดความอดทน “ต่อให้พ่อตายซ้ำตายซากก็ไม่มีวันที่จะทำให้แม่ฟื้นขึ้นมา และไม่มีวันที่จะทำให้ความรู้สึกของผมกลับไปเป็นเหมือนเดิม!”
“เวย์!” ปริญดาร้องเสียงหลงตกใจ ไม่คิดว่าเขาจะพูดประโยคเฉือดเฉือนหัวใจคนเป็นบิดาแบบนั้น
ปวราไม่อาจทนฟังอยู่เฉย ๆ ได้อีกต่อไป หล่อนจึงแทรกขึ้นมาบ้าง “ทุกอย่างที่คุณภาคพูดมาเป็นความจริง แม่เป็นพยานได้ คนที่เวย์ควรจะโกรธต้องเป็นคุณย่าที่คอยบงการชีวิตคุณภาคจนเสียศูนย์ และโกรธที่แม่เข้ามาในครอบครัวของคุณภาคจนทำให้เรื่องราวบานปลาย สิ่งที่เกิดขึ้นล้วนแต่เป็นเพราะคนอื่นผลักดันให้คุณภาคต้องทำแบบนั้น”
เวหาหัวเราะหึ ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นกับสิ่งที่ปวราพูดมาเลยสักนิด “ถ้าคนคนหนึ่งยอมที่จะให้คนอื่นมาบงการชีวิตมากกว่าจะต่อสู้เพื่อรักษาครอบครัวตัวเองไว้...ผมก็ไม่มีอะไรต้องพูดอีก”
“โธ่...ทำไมถึงคิดแบบนั้นะ” ปวราพึมพำหนักใจ
เวหาเบื่อที่จะฟังคำแก้ตัวและอยากไปให้พ้น ๆ เสียที
“ปริม ผมจะกลับ แล้วทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ ผมไม่ชอบให้ใครมายุ่งเรื่องส่วนตัวของผม” เขาตวัดเสียงแข็งสั่งหญิงสาวจนเธอสะดุ้งร่างสะท้านด้วยความกลัว แล้วหันไปยกมือไหว้ปวราที่รับไหว้แทบจะไม่ทัน ก่อนจะคว้ามือหญิงสาวตั้งท่าจะลากเธอกลับด้วยกัน
“เดี๋ยวสิเวย์! อย่าเพิ่งไป!” ภาคภูมิร้องเรียก พยุงตัวลุกขึ้นด้วยความรีบร้อนกลัวเวหาจะเดินหนีไปเสียก่อน ทำให้ขาสะดุดกับที่วางเท้าล้มลงไปนอนกับพื้นและดึงเอาเสาน้ำเกลือล้มไปด้วย
ปวราและปริญดาร้องตกใจพร้อมกัน และเป็นปวราที่ถึงตัวภาคภูมิก่อนจึงรีบช่วยพยุงเข้าขึ้นนั่ง ปริญดาเองก็รีบเข้าไปช่วยพยุงอีกข้าง ส่วนเวหาทำท่าก้าวขาจะเข้าไปช่วยอีกแรงแต่ก็ต้องชะงักค้างเมื่อคำพูดที่เสียดแทงใจของบิดาเมื่อสักครู่หยุดเขาเอาไว้
“คุณภาค ลุกไว้ไหมคะ” ปวรากอดเอวเขาให้ยืนขึ้น แต่แล้วก็ต้องร้องอุทานอีกครั้งเมื่อเห็นข้อมือของภาคภูมิที่ถูกพันแผลเอาไว้มีเลือดไหลซึมออกมา
“ปริม ช่วยแม่พยุงพ่อที” ปวราร้องบอกเสียงเครือ ปริญดาจึงพยายามข่วยมารดาฉุดใต้แขนของภาคภูมิให้ลุกขึ้นยืน ถึงแม้ท่านจะผอมแห้งแรงน้อย แต่เรี่ยวแรงที่จะช่วยตัวเองแทบไม่มีเลย ทำให้เธอกับมารดาช่วยกันพยุงอย่างทุลักทุเลเหลือเกิน เธอจึงหันไปหาชายหนุ่ม มองเขาด้วยสายตาผิดหวังพร้อมกับพูดว่า
“เวย์ นี่คุณจะใจดำยืนดูอยู่เฉย ๆ อย่างนี้เหรอคะ นี่พ่อคุณนะ”
เวหาหน้าชาราวกับโดนตบ สมองสั่งการว่าเวลานี้ไม่ควรจะเอาความโกรธเป็นที่ตั้ง แต่อารมณ์ที่ยังคุกรุ่นสั่งให้ร่างกายของเขายืนนิ่งและได้แต่จ้องมองผู้เป็นบิดาด้วยแววตาว่างเปล่าโดยไม่เข้าไปช่วยเหลืออะไร
“มาช่วยกันหน่อยสิคะ เห็นไหมว่าแผลท่านเลือดออกใหญ่แล้ว” เธอขอร้อง พยายามประคองร่างภาคภูมิให้ยืนขึ้น แต่ขาของท่านอ่อนแรงมากจนยืนเองแทบไม่ไหวทำให้เธอกับมารดาต้องรับน้ำหนักตัวท่านไว้เต็ม ๆ
เวหาขยับเท้าทำท่าจะเข้าไปช่วย แต่เมื่อสบตาบิดาที่มองมาด้วยแววตาตัดพ้อ เท้าเขาก็หยุดกึก เปลี่ยนใจกะทันหัน “ผม...จะไปตามพยาบาลมาช่วย”
ปริญดาอ้าปากค้าง ดวงตาวาววาบด้วยความอึ้ง ไม่คิดว่าเขาจะใจจืดใจดำขนาดนี้ แต่ก่อนที่เธอจะทันได้พูดอะไร เวหาก็วิ่งหายเข้าไปข้างในตึก ก่อนจะกลับมาพร้อมกับบุรุษพยาบาลอีกคนเพียงเวลาไม่กี่นาที
บุรุษพยาบาลรีบเข้าช่วยประคองแขนภาคภูมิแทนปวราแล้วดันตัวท่านให้ลุกขึ้นยืนโดยมีปริญดาคอยช่วยอีกข้าง เมื่อภาคภูมินั่งที่รถเข็นแล้ว บุรุษพยาบาลก็ตรวจแผลที่ข้อมือให้เบื้องต้น
“ดูจากเลือดที่ซึมออกมาแล้วน่าจะแค่แผลปริเล็กน้อย แต่ยังไงแล้วไปให้หมอตรวจสภาพแผลอีกทีหนึ่งดีกว่านะครับ”
“งั้นเราไปกันเลยเถอะค่ะ” ปวราบอกอย่างรีบร้อน
“เดี๋ยวก่อน...” ภาคภูมิบอกเสียงเหนื่อยหอบ หันไปมองที่เวหา มือจับที่วางแขนแน่น “พ่อ...พ่อรู้ว่าพ่อผิด และพ่อไม่ต้องการ...ให้ลูกยกโทษให้” น้ำตาเขารื้นขอบตา เมื่อเวหาเบือนหน้าไปทางอื่น
“แต่พ่ออยากขอร้อง...” เสียงเครือสั่น สูดลมหายใจที่ขาดเป็นห้วง ๆ “ขอโอกาสให้พ่อ...ได้แก้ตัวอีกครั้ง...”
เสียงฟ้าร้องดังก้องคำรามพร้อมกับแสงสายฟ้าพาดผ่าน สองแม่ลูกผวาร้องตกใจ แม้แต่บุรุษพยาบาลที่ยืนคอยท่าอยู่ก็ยังต้องสะดุ้งกับเสียงกระหึ่มดังทั่วฟ้า แต่เวหากลับยืนสงบนิ่ง ไม่สะดุ้งสะเทือนใด ๆ
ภาคภูมิน้ำตาไหลอาบแก้ม มองใบหน้าที่พร่าเลือนเพราะม่านน้ำตาด้วยความปวดร้าวใจ เมื่อไม่มีปฎิกิริยาตอบโต้อะไรจากลูกชายกลับมา เขาเช็ดน้ำตาเพื่อมองสีหน้าเวหาให้ชัดอีกครั้ง แต่แล้วแววตาอันว่างเปล่าที่มองผ่านเลยเขาไปก็ตอกย้ำชัดเจนว่าตอนนี้เขาไม่มีสิทธิ์อ้อนวอนขอร้องใด ๆ ทั้งสิ้น
ปริญดาน้ำตาคลอหน่วยเมื่อเห็นภาคภูมิเสียใจแทนที่จะดีใจมีความสุขที่ได้พบหน้าลูกชายอีกครั้ง ทุกอย่างเป็นความผิดของเธอเอง เพราะคิดว่าเวหาจะใจอ่อนยอมลดทิฐิเมื่อเห็นการแสดงออกของภาคภูมิว่ารักและคิดถึงเขามากแค่ไหน แต่นี่ขนาดเห็นบิดาตนเองล้มลงไปนอนต่อหน้าต่อตาเขายังสามารถยืนนิ่งเฉยอยู่ได้ เขาคงไม่คิดที่จะยอมให้อภัยบิดาได้ง่าย ๆ อย่างที่เธอคาดหวังไว้
“ผมว่าเรารีบไปกันเถอะครับ จะได้ให้คุณหมอรีบตรวจดูบาดแผล” บุรุษพยาบาลพูดแทรกขึ้น พลางแหงนมองท้องฟ้าที่เริ่มจะปกคลุมด้วยเมฆดำ
“คุณภาคคะ ไปให้หมอดูอาการก่อนดีกว่านะคะ” ปวราเตือนด้วยความเป็นห่วง “อีกอย่าง ตอนนี้เวย์เขากำลังสับสน เพิ่งเจอกับคุณครั้งแรกหลังจากไม่เจอกันหลายปี เขาคงยังไม่พร้อมเท่าไร ยังไงรอให้เวย์เขาอารมณ์เย็นกว่านี้ ค่อยมาคุยกันอีกทีดีกว่าไหมคะ”
ภาคภูมิลอบมองไปที่เวหาอีกครั้งแล้วก็เห็นว่าแววตาสีหน้าของลูกชายยังคงว่างเปล่า ไม่แม้แต่จะมองมาที่ตนเอง เขาจึงได้แต่ถอนหายใจยาว คอตก พยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้
“แม่พาพ่อเข้าไปก่อนนะคะ เดี๋ยวปริมตามเข้าไป” เพราะเธอยังต้องมีเรื่องคุยกับเวหาตามลำพัง
เมื่อทั้งหมดพากันเข้าไปด้านในแล้ว หญิงสาวก็หันไปทางเวหา มองเขาด้วยความผิดหวัง
“ทำไมคุณถึงใจจืดใจดำแบบนี้คะ ถึงแม้ว่าตอนนี้คุณยังยอมรับพ่อไม่ได้ แต่ช่วยแสดงน้ำใจออกมาบ้างก็ยังดี แต่นี่คุณนิ่งเฉยมองพ่อทุลักทุเลพยายามจะลุกขึ้นยืนเองแบบนั้นได้ยังไงกัน”
“แต่ผมก็ไปเรียกคนให้มาช่วยหนิ จะหาว่าผมไร้น้ำใจได้ยังไง แล้วผมก็ไม่เห็นว่าเขาจะเป็นอะไรมาก” เวหาตอบหน้าตาย
ปริญดาอ้าปากค้างกับคำตอบของเขา ไม่คิดว่าเขาจะพูดออกมาได้อย่างเย็นชาไร้ความรู้สึกแบบนี้
“ผมจะกลับแล้ว เย็นนี้ผมมีนัดกับบริษัทจัดงานอีเว้นท์อีก คุณจะกลับพร้อมผมไหม” เขาตัดบทถามเสียงเรียบ เริ่มมีเม็ดฝนปรอย ๆ ตกลงมา บริเวณโดยรอบมืดมิดส่งสัญญาณว่าฝนลูกใหญ่กำลังจะตามมาในไม่ช้า
เธอส่ายหน้า “คุณกลับไปก่อนเถอะค่ะ ฉันยังเป็นห่วงพ่อ ตอนนี้พ่อต้องการกำลังใจจากคนในครอบครัวมากที่สุดฉันไม่อยากเห็นพ่อคิดสั้นอีก”
ใบหน้าเขาเฉยชาราวกับไม่รู้สึกรู้สากับคำพูดประชดประชันของหญิงสาว อารมณ์กรุ่นโกรธที่ยังคุโชนไม่อาจทำใจให้รู้สึกสงสารหรือเห็นใจบิดาได้ ถึงแม้ว่าวูบหนึ่งหัวใจของเขาจะรู้สึกตีบตัน เพราะรู้ว่าบิดาคงจะผ่านความเจ็บปวดมาไม่น้อยจนทำให้ร่างกายที่เคยแข็งแรงอย่างที่เขาจำได้เปลี่ยนไปเป็นคนผอมแห้งไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะลุกขึ้นยืน
เสียงฟ้าร้องดังสนั่นพร้อมกับคลื่นสายฝนที่เริ่มตกหนักขึ้นเปียกปอนทั้งคู่จนเวหาปัดความคิดนั้นไป แล้วสั่งปริญดาให้เข้าไปหลบฝนข้างในโดยมีเขาประคองเธอระวังไม่ให้ล้ม
“คุณเปียกแบบนี้กลับบ้านกับผมดีกว่า เดี๋ยวจะไม่สบายเอา” เวหาใช้มือเช็ดใบหน้าที่เปียกชุ่มของเธอ และปัดผมที่เปียกลู่ไปด้านข้าง
“ไม่เป็นไรค่ะ เปียกแค่นี้เดี๋ยวก็แห้ง”
เวหาทำหน้าไม่พอใจ “กว่าจะแห้งได้เป็นหวัดก่อนพอดี ตอนนี้คุณกำลังท้อง ควรจะทำตัวเองไม่ให้ป่วยรู้ไหม ถ้าร่างกายคุณอ่อนแอก็จะมีผลต่อลูกของเราด้วย เพราะฉะนั้นสุขภาพของคุณต้องมาก่อน เข้าใจไหม”
ปริญดารับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่เขามีต่อตัวเธอและลูก หัวใจเธอพองโตทุกครั้งที่ได้รับการเอาใจใส่ดูแลจากเขา และตั้งแต่เริ่มคบกับเขาจริงจัง เธอก็รู้ว่าพื้นฐานนิสัยใจคอเวหานั้นเป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และมีจิตใจดี ตั้งแต่รู้ว่าเธอตั้งท้อง เขาก็คอยเอาอกเอาใจเธอไม่ขาด แม้จะรู้ว่าเธอคือลูกสาวของคนที่ทำให้ครอบครัวเขาต้องแตกแยก เวหาก็เข้าใจและยอมรับ ให้อภัยทั้งเธอและมารดาได้อย่างง่ายดาย แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมกับบิดาแท้ ๆ เขาถึงได้ตั้งแง่ไม่ยอมผ่อนปรนบ้าง
“คุณกำลังคิดอะไรอยู่เหรอปริม” เวหาโพล่งถาม เมื่อเห็นสายตาเธอเหม่อลอยคล้ายกับกำลังหมกหมุ่นกับความคิดตนเอง
เธอเงยหน้าสบตาเขา ร่างกายเขาเองเปียกปอนไม่ต่างจากเธอ ใบหน้าวางขรึมที่ดูเคร่งเครียดทำให้เธอเดาไม่ออกว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไรในใจ
“คุณเป็นคนดีค่ะเวย์” เธอยิ้มจริงใจ “ความห่วงใยที่คุณมีให้ฉันหรือแม้แต่ก่อนหน้านี้ที่มีให้พี่น้ำแสดงให้เห็นว่าแท้จริงแล้วคุณเป็นคนดีมาก ๆ คนหนึ่ง”
เวหาย่นคิ้ว “คุณต้องการจะพูดอะไร”
เธอคว้ามือเขามากุมไว้ บีบเบา ๆ เพื่อให้กำลังใจ “ฉันขอโทษที่วันนี้ทำอะไรไปโดยที่ไม่บอกคุณก่อน แถมยังแอบเอานาฬิกาของคุณมาอีก เป็นเพราะฉันคิดน้อยหวังอยากให้พ่อได้เจอคุณเร็ว ๆ โดยที่ไม่ได้คิดถึงจิตใจคุณก่อนเลยว่าพร้อมที่จะเจอท่านไหม แถมยังว่าคุณใจจืดใจดำทั้ง ๆ ที่ตัวฉันเองไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินคุณด้วยซ้ำเพราะฉันไม่ใช่คนที่เจอสถานการณ์....”
“ช่างมันเถอะ” เวหายกมือปรามตัดบท “ผมรู้ว่าคุณหวังดี แต่ตอนนี้ผมบอกเลยว่ายังไม่พร้อมจะคุยอะไรกับพ่อทั้งนั้น”
ปริญดาพนักหน้ารับจ๋อย ๆ “ค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว แต่ฉันอยากให้คุณ...”
“ปริม..” เวหาหยุดคำพูดเธอไว้ “เรื่องนี้ขอให้เป็นเรื่องระหว่างผมกับพ่อ ตอนนี้พ่อก็ได้เจอผมแล้ว หลังจากนี้จะเป็นยังไงก็ขอให้ผมเป็นคนตัดสินใจเอง...”
เมื่อเขาพูดถึงขนาดนี้ เธอก็ไม่อยากจะรบเร้าเขาอีก จึงได้แต่ยิ้มบาง ๆ แล้วตอบเขาไป “ก็ได้ค่ะ หลังจากนี้ฉันจะไม่เข้าไปยุ่งเรื่องนี้อีกและปล่อยให้คุณทำในสิ่งที่ใจต้องการ”
“ขอบคุณที่คุณเข้าใจผม...” เขายิ้มตอบ “ทีนี้คุณจะกลับกับผมได้หรือยัง ถ้าคุณอยากกลับมาที่โรงพยาบาลอีกเดี๋ยวผมจะมาส่งอีกรอบแล้วค่ำ ๆ ถ้าผมยังคุยงานไม่เสร็จจะได้ฝากให้ไอ้ก้องมารับคุณ”
“โอ๊ยยย ฝนบ้าฝนบออะไรจะตกมากันตอนนี้ ดูซิเปียกเลอะไปหมดทั้งตัว ยี๊ แล้วนี่ทำไมขาฉันเลอะขี้โคลนเต็มไปหมเลยเนี่ย” เสียงแหลมของหญิงสูงวัยดังลั่นห้องโถงโรงพยาบาลจนเวหากับปริญดาต้องหันไปมอง
“คุณย่า!” ปริญดาอุทานตกใจ ไม่คิดว่าจะได้เจอภารตรีที่นี่
เวหาตัวแข็งทื่อ สมองของเขาอื้ออึงเมื่อได้ยินคำเรียกหลุดจากปากหญิงสาวข้างกาย สายตาเขาจับจ้องมองหญิงชราแต่งหน้าจัดที่กำลังใช้นิ้วชี้สั่งคนรับใช้มาด้วยกันให้เช็ดคราบสกปรกที่ขาให้ ลมหายใจของเขาติดขัดเมื่อภาพ เหตุการณ์ในวันอันแสนเจ็บปวดย้อนเข้ามาในห้วงความคิดอีกครั้งจนทำให้เขาเผลอกำหมัดแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด
“กลับกันเถอะปริม” เสียงของเวหาเย็นเยียบ
“ไม่ค่ะ ตอนนี้ปริมยังกลับไม่ได้ เพราะปริมจะไม่ยอมให้ผู้หญิงใจร้ายคนนี้มาบงการพ่อได้อีกแล้ว” เธอพูดโดยที่สายตาจับจ้องไปที่ภารตรี โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง หญิงสาวเดินอาด ๆ เข้าไปหาจนอีกฝ่ายรู้สึกตัวพอหันมาเห็นว่าคาก็ถึงกับผงะ เบิกตาโตตกใจแล้วอุทานเสียงดัง
“นังปริม!”
“คุณมาที่นี่ทำไม” ปริญดาเปิดฉากถามอย่างไม่เกรงใจ เวหาที่เดินตามมารั้งแขนเธอไว้ไม่ให้วู่วาม
ภารตรีเอามือทาบอกตกใจเป็นรอบที่สองเมื่อเห็นเวหาเดินเข้ามา หน้าหล่อนซีดเผือดราวกับเห็นผีเพราะใบหน้าบึ้งตึงของชายหนุ่มทำเอาหล่อนนึกถึงกชอรที่กำลังมองหล่อนด้วยความอาฆาตแค้น
“กะ แก...”
“ครับ คุณย่า...” เวหาตอบพร้อมกับแสยะยิ้ม ทำเอาภารตรีตัวสั่นสะท้าน
ปริญดาแปลกใจไม่คิดว่าภารตรีจะกลัวเวหาขนาดนี้ ผิดวิสัยที่ชอบข่มและเหยียดคนอื่นตลอดเวลาของหล่อน “ถ้าจะมาเยี่ยมพ่อล่ะก็ คุณกลับไปเถอะค่ะ ท่านสบายดี”
ภารตรีเรียกสติที่กระเจิดกระเจิงกลับมา ชี้หน้าปริญดาอย่างเกรง ๆ กลัว ๆ “เดี๋ยวนี้แกไม่เห็นหัวฉันแล้วใช่ไหมถึงได้กล้าพูดไล่ฉันแบบนี้”
“ก็ในเมื่อคุณไม่คิดว่าฉันเป็นหลาน ฉันก็ไม่จำเป็นจะต้องเกรงใจว่าคุณเป็นย่าอีกต่อไป”
“เออ ก็ดี เพราะฉันก็ไม่อยากจะนับญาติกับลูกนอกคอกอย่างแกอยู่แล้ว”
ปริญดาสูดหายใจเข้าลึกข่มความโกรธ “ถ้าอย่างนั้นคุณมาที่นี่ทำไม เชิญคุณกลับไปได้แล้ว”
“ฉันก็จะมาเยี่ยมลูกชายฉันบ้างสิ แกเป็นแค่คนนอก มีสิทธิ์อะไรมาห้ามฉัน” หล่อนตะคอกใส่ปริญดา แต่สายตาเหลือบมองเวหาที่จ้องหล่อนนิ่งอย่างหวาดระแวง
“ร้อยวันพันปีไม่เคยจะมาเยี่ยม กี่ครั้งแล้วที่พ่อคิดสั้น แต่คุณก็ไม่เคยจะมาดูดำดูดีทั้งที่เป็นลูกชายตัวเองแท้ ๆ แล้วที่คุณมาวันนี้ ฉันก็ไม่คิดว่าคุณตั้งใจจะมาเยี่ยมเฉย ๆ หรอกนะ” เธอพูดหมดเปลือกอย่างที่ใจคิด เพราะเธอรู้ว่าคนอย่างภารตรีถ้าไม่มีสิ่งที่ต้องการก็คงจะไม่มาเหยียบที่โรงพยาบาลง่าย ๆ ในเมื่อหล่อนเป็นคนขับไสไล่ส่งภาคภูมิให้มาอยู่ที่นี่นานหลายปี
ยิ่งเธอเห็นภารตรีถือซองเอกสารอะไรบางอย่างอยู่ในมือ เธอก็ยิ่งมั่นใจว่าหล่อนคงมีจุดประสงค์อย่างอื่นพ่วงมาด้วยถึงได้มาถึงที่โรงพยาบาลนี่ได้
“ไม่ต้องมาสะเออะรู้ความคิดฉัน ลูกชายฉัน ฉันอยากจะมาหาเมื่อไรมันก็ไม่ใช่เรื่องของแก”
“ปริม...เขาอยากจะทำอะไรก็ช่างเขาเถอะ เสียเวลาเสียสุขภาพจิตเปล่า ๆ” เวหาพยายามเตือนเพราะไม่อยากให้เธอเครียด
“ไม่ได้หรอกค่ะ” เธอกระซิบบอก “ฉันอยู่กับคุณย่ามาตั้งแต่เด็กจนโต รู้ว่าท่านล้างสมองพ่อยังไงไว้บ้าง ที่มาวันนี้ฉันยังแปลกใจเลยค่ะว่าท่านมาทำไมถ้าไม่ใช่มีเรื่องที่ต้องใช้ให้พ่อทำอะไรให้อีก”
เวหาฟังแล้วก็อึ้ง ไม่คิดว่าหญิงชราที่ครั้งหนึ่งเขาเคารพว่าเป็นย่าจะเป็นคนที่มีนิสัยแบบนี้ และจากลักษณะคำพูดคำจาแล้วคงไม่เกินความจริงจากที่ปริญดาพูดนัก
“ไป ยัยเปีย อย่าไปสนใจคนบ้าพวกนี้เลย” ภารตรีเรียกคนใช้ข้างกายที่รีบกุลีกุจอเออออตามเจ้านาย
“เดี๋ยว” ปริญดาก้าวเข้าไปขวาง “ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ให้ไป”
“เอ๊ะ นังปริม ถอยไปนะ!”
“ไม่ วันนี้พ่อไม่อยู่ในสภาพที่จะคุยกับใคร ถ้าอยากเยี่ยมก็มาวันหลังแล้วกัน”
ภารตรีหน้าชาที่ถูกเด็กเมื่อวานซืนไล่อย่างกับหมูกับหมา แถมต่อหน้าเด็กรับใช้จนสร้างความอับอายให้หล่อนที่ต้องมายืนเถียงกันกลางโรงพยาบาลแบบนี้
“ฉันจะไปเยี่ยม แกจะทำไม” ภารตรีเบียดไหล่ปริญดาอย่างแรงจนเธอเซเกือบล้ม ดีที่เวหาอยู่ข้าง ๆ ประคองเธอไว้ได้ทัน ภารตรีเบ้ปากสะใจ
“ปริม คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” ถามด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะหันไปตีหน้าเคร่งใส่ภารตรีที่สะดุ้งโหยงทันทีที่เวหาจ้องมองหล่อนด้วยแววตาเอาเรื่อง ทำเอาสันหลังหล่อนเสียววาบ
ภารตรีรีบกวักมือเรียกเด็กรับใช้ ก่อนจะเดินลิ่ว ๆ เข้าไปด้านใน ไม่สนใจเสียงร้องเรียกของปริญดาที่สั่งให้หล่อนหยุด
“ปริม ไม่เอาน่า ห่วงตัวเองก่อนเถอะ เห็นไหมว่าเขาชนคุณจนเกือบล้มไปแล้ว”
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ” เธอฝืนยิ้มตอบ “คุณอย่าห้ามเลยนะคะ ตอนนี้ฉันต้องรีบตามคุณย่าไป ถึงแม่ฉันอยู่ด้วยท่านก็ช่วยอะไรไม่ได้ถ้าคุณย่าลองได้เกลี่ยกล่อมให้พ่อทำอะไรแล้วล่ะก็ และฉันสังหรณ์ใจไม่ดียังไงก็ไม่รู้”
“แต่ตัวคุณสั่นเป็นลูกนกแบบนี้ เสื้อผ้าก็เปียก ฝนก็ยังตกไม่หยุด รับรองว่ากลับไปมีหวังคุณได้เป็นหวัดสมใจแน่ และผมจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นกลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากับผมเดี๋ยวนี้” เวหาพูดแกมบังคับ
“โธ่...” เธอครางขัดใจ “แค่แป๊บเดียวเท่านั้นนะคะ ตอนนี้สภาพจิตใจของพ่อยิ่งอ่อนแออยู่ด้วย คุณย่าพูดอะไรมาท่านคงยอมทำตามทุกอย่าง”
เวหาไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่เธอพูดนัก มันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายขนาดไหนกันเชียวกับการที่แม่แค่ต้องการไปเยี่ยมลูกชาย
“อาจจะไม่ร้ายแรงอย่างที่คุณคิดก็ได้”
“คุณไม่รู้อะไร หลายครั้งแล้วที่คุณย่าคอยพูดจาหว่านล้อมให้พ่อทำนู่นทำนี่ให้จนแทบไม่เป็นตัวของตัวเอง แล้วที่ท่านต้องมาอยู่โรงพยาบาลนานเป็นปี ๆ แบบนี้ก็เพราะคุณย่านั่นแหล่ะที่สั่งให้ท่านย้ายมารักษาตัวที่นี่” พูดแล้วก็กัดฟันกรอด ๆ ด้วยความโมโห
“ฉันสัญญาว่าเสร็จเรื่องคุณย่าเมื่อไรฉันจะกลับบ้านพร้อมกับคุณ คุณรออยู่ตรงนี้ก็ได้ค่ะ ฉันขอไปจัดการแป๊บเดียว” เธอส่งสายตาอ้อนวอน สีหน้ากระวนกระวายร่ำ ๆ อยากจะไปให้ได้
เวหากุมขมับ มองแววตาเว้าวอนของเธอแล้วก็ใจอ่อน และรู้ว่านิสัยอย่างปริญดาใครห้ามอะไรก็ไม่ฟัง “โอเค ผมให้คุณไป แต่ผมจะไปด้วย”
ปริญดาเบิกตาโต เพราะจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ เธอไม่คิดว่าเขาอยากจะเข้าไปร่วมรับรู้ด้วย
เวหาอ่านสีหน้าเธอออกจึงโพล่งออกไป “ผมจะรออยู่ข้างนอกห้อง คุณก็เข้าไปจัดการธุระของคุณแล้วกัน”
เธอยิ้มกว้าง “ขอบคุณค่ะ”
เมื่อได้รับอนุญาติแล้วเธอก็ไม่รอช้า รีบเดินนำเขาตรงไปที่ห้องพักของภาคภูมิทันที
ปวราที่กำลังห่มผ้าให้ภาคภูมิหลังจากที่หมอเข้ามาดูอาการแล้วว่าไม่เป็นไร ต้องสะดุ้งตกใจเมื่อเสียงประตูห้องเปิดผัวะจนชนกับผนัง หล่อนพึมพำบ่นว่าไม่มีมารยาทที่ทำเสียงดัง แต่พอหันไปทางประตูเพื่อดูว่าเป็นใครเท่านั้น ร่างกายของหล่อนก็เกร็งขึง ดวงตาวาววับด้วยความหวาดระแวง
“คุณแม่...” เสียงราวกระซิบผ่านริมฝีปากของปวรา
ภารตรีที่มีสีหน้าหงุดหงิดใจเดินตึงตังเข้ามาด้านในพร้อมกับพ่นคำด่าใส่ปวราทันทีที่เห็นหล่อน “แกสั่งสอนลูกแกยังไงให้เป็นคนปากร้ายนิสัยต่ำทรามแบบนี้ ไล่ฉันสาดเสียเทเสียไม่ให้เข้ามาเยี่ยมตาภาค ไม่รู้จักหัวหงอกหัวดำ บุญคุณที่ฉันเคยเลี้ยงพวกแกมานี่เห็นสำนึกกันบ้างไหม”
ปวราเม้มริมฝีปากสนิท ข่มกลั้นอารมณ์เอาไว้ “นี่มันอะไรกันคะ คุณพูดพล่ามอะไรของคุณ”
“แม่...” ภาคภูมิเรียกเสียงแหบแห้ง พยายามจะลุกขึ้นนั่ง ปวรารีบหันไปช่วยประคองหลังให้เขานั่งได้สะดวก
ภารตรีชะเง้อมอง “ก็ยังอยู่สบายดีหนิตาภาค ไม่เห็นเหมือนคนใกล้ตายอย่างที่ฉันคิดสักหน่อย”
“คุณ!” ปวราร้องเสียงหลง ไม่คิดว่าผู้หญิงใจยักษ์ใจมารที่มีฐานะเป็นมารดาจะพูดกับลูกชายของตัวเองได้น่าเกลียดขนาดนี้
ภารตรีไม่สนใจปวรา หล่อนเดินเข้าไปใกล้เตียงแล้วมองสภาพร่างกายพ่ายผอมราวกับคนตรอมใจด้วยสายตารังเกียจ “ไงตาภาค ไม่ได้เจอกันหลายปี สภาพแย่กว่าที่ฉันจำได้อีกนะ”
ภาคภูมิชินชากับคำพูดห่างเหินของภารตรีที่เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรจนไม่รู้สึกรู้สาหรือน้อยใจกับคำพูดเหล่านั้นเสียแล้ว “ผมก็ไม่ได้เจอแม่มานาน คุณแม่ดูสบายดีนะครับ”
“ก็ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนเพราะตอนนี้ไม่มีพวกเหลือบไรมาเป็นตัวถ่วงความเจริญของบ้าน” หล่อนพูดเหยียด หางตาปลายมองปวราด้วยความจงเกลียดจงชัง
ปวรามือไม้สั่น มองตอบภารตรีอย่างไม่เกรงกลัว หล่อนไม่เคยรู้สึกอยากตบใครมาก่อนเลยในชีวิตจนกระทั่งตอนนี้
“แม่หมายถึงใครครับ” ภาคภูมิเลิกคิ้ว
“แล้วเมียแกไม่ได้บอกแกหรือไง” ภารตรีเชิดหน้าถาม
ภาคภูมิหันไปทางปวราที่ยืนทำหน้าบึ้งตึงแต่น้ำตาคลอหน่วย “ที่บ้านมีอะไรหรือเปล่าปิ่น”
ปวราสูดจมูก สายตายังจดจ้องไปที่ภารตรีขณะตอบ “อย่าถามปิ่นเลยค่ะ ถามคุณแม่ของคุณจะดีกว่าว่าที่ท่านพูดหมายถึงอะไร”
คนกลางถอนใจ เบื่อหน่ายเต็มทน เขาเพิ่งฟื้นตัวแต่ต้องมาเจอกับเรื่องปวดหัวไม่ว่างเว้น ปัญหาระหว่างเขากับเวหายังไม่จบ ความจริงที่เขาอยากรู้ว่าปริญดากับเวหาไปรู้จักกันได้ยังไงก็ยังไม่กระจ่าง มารดากับภรรยาก็ดูท่าว่าจะสร้างปัญหาใหม่เพิ่มขึ้นมาอีก จนเขาอยากจะลาโลกให้รู้แล้วรู้รอด ไปให้พ้นจากเรื่องทั้งหมดนี่เสียที
“ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาแจกแจงเรื่องไร้สาระให้ลูกชายฉันฟัง” หล่อนตอบเสียงสะบัด แล้วเดินเข้าไปใกล้ภาคภูมิ ครั้งนี้หล่อนมีทีท่าอ่อนลง
“ตาภาค แม่มีเรื่องอยากจะขอร้องสักหน่อย”
ภาคภูมิหลับตา มือเขากำแน่นอยู่นานก่อนจะปล่อยออก รู้สึกอึดอัดไม่อยากรับรู้เพราะทุกครั้งที่มารดาพูดประโยคนี้ทีไรต้องจบลงด้วยการที่เขาต้องยอมทำตามหล่อนทุกที
“เรื่องที่ดินที่บางนาที่ภาคเคยซื้อไว้ตั้งนานแล้วน่ะ แม่เห็นว่าถูกทิ้งร้างมานานหลายปี ปล่อยไว้ก็เสียดายเปล่า เลยจะมาปรึกษาภาคว่าอยากจะใช้ที่ดินตรงนั้นทำอะไรให้มันเป็นเงินเป็นทองงอกเงยขึ้นมา”
ปวราแอบส่ายหน้ากับความโลภของภารตรี เมื่อครั้งที่ภาคภูมิยังอาการไม่หนัก ก็ยุยงปลุกปั้นให้เขาเซ็นยินยอมมอบบ้านใหญ่ที่บิดาของเขายกให้ในพินัยกรรมหลังจากเสียชีวิตมาเป็นชื่อของตนเอง หาว่าถ้าชื่อเจ้าของบ้านเป็นของภาคภูมิหล่อนกับลูกจะมาฮุบไป ทั้งที่หล่อนไม่เคยมีความคิดละโมบแบบนั้นแม้แต่น้อย
มาครั้งนี้คงเห็นว่าหล่อนและลูกออกจากบ้านไปถาวรแล้ว จึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ข้าวของที่เป็นชื่อของภาคภูมิตกไปอยู่ในมือตนเองหรือไม่ก็คงจะเอาไปประเคนให้ลูกชายคนเล็กสุดโปรดของหล่อน
“แม่ว่าจะเอาไปให้ภพช่วยแม่ลงทุนสร้างอพาร์ทเม้นท์ให้เช่า แถวนั้นกำลังจะเจริญ แม่ว่าน่าจะทำแล้วรุ่ง ภาคว่าดีไหม”
คิดไว้ไม่ผิด...ปวราพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด อยากจะเปิดโปงเรื่องราวร้าย ๆ ที่ภารตรีทำไว้ให้ภาคภูมิรับรู้ว่ามารดาของตนเองนั้นไม่ได้หวังดีและรักเขาจริง อีกทั้งยังลำเอียงรักสมภพมากกว่าจนอะไรต่อมิอะไรที่ควรจะเป็นของภาคภูมิกลับกลายเป็นของสมภพไปเสียหมด
“แม่ครับ ถ้าแม่จะมาถึงนี่เพื่อพูดเรื่องนี้ผมว่าแม่กลับไปก่อนดีกว่า ตอนนี้ผมเหนื่อยและเพลียมาก ไม่มีอารมณ์จะมาออกความเห็นอะไรทั้งนั้น” ภาคภูมิขยับตัวเพื่อเอนกายลงนอน ไม่สนใจมารดาที่ยืนถลึงตามองเขาด้วยความเหลือเชื่อ
“ตาภาค นี่แกไล่แม่เหรอ”
ปวราหัวเราะในลำคอ ภารตรีหันขวับมาทำตาขวางใส่
“หรือแม่อยากจะอยู่ต่อก็ไม่ว่าครับ แต่ผมขอนอนพักไม่อยากคุยอะไรตอนนี้ทั้งนั้น” เขาดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมลำตัวแล้วหันไปสั่งปวรา
“ปิ่น ผมฝากปิดม่านปิดไฟให้ด้วยนะ”
ปวรายิ้ม “ได้ค่ะ” หล่อนเดินไปอีกฝากของเตียงแล้วค่อย ๆ ดึงม่านปิด สายตาเยาะหยันส่งผ่านไปยังภารตรีที่ยังคงยืนอึ้งคาดไม่ถึงกับการปฎิเสธของลูกชาย
ภารตรีเดือดดาลที่ภาคภูมิทำให้หล่อนเสียหน้า หล่อนจึงเดินเข้าไปผลักม่านที่ปวรากำลังปิดอยู่ออกอย่างแรงจนปวราร้องตกใจ จากนั้นก็หันไปตวาดภาคภูมิลั่นห้อง
“ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะตาภาค ฉันยังพูดไม่จบ!” หล่อนฟาดมือสุดแรงไปที่ขาภาคภูมิจนเขาร้องโอย “ฉันบอกให้แกลุกขึ้นมาไงไอ้ลูกไม่รักดี!”
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” ปริญดาที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาร้องห้ามเสียงดัง เธอทันเข้ามาเห็นภารตรีกำลังตีภาคภูมิพอดี และนั่นทำให้เธอหมดความยับยั้งชั่งใจ ปราดเข้าไปหาภารตรี แล้วผลักหล่อนจะกระเด็นล้มไปกองกับพื้น
“ออกไป! แล้วอย่ามายุ่งกับพวกเราอีก!”
ทั้งภาคภูมิและปวรารวมถึงเด็กรับใช้ที่มาด้วยกันกับภารตรีต่างพากันตระหนกตกใจ เบิกตาค้างกับสิ่งที่ปริญดาเพิ่งทำลงไป
<><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><
คุณ Zephyr ไม่ได้อยากจะทำให้คนอ่านต้องร้องไห้นะคะ แต่พล็อตมันมาแบบนี้ก็ต้องเอาให้เศร้าหนักก่อนจะจบลงด้วยดี อีกไม่นานค่าา ^^
คุณ lamyong มีปริมพยายามประสานรอยร้าวพ่อลูกต้องกลับมารักกันเหมือนเดิมแน่นอนค่่า ^^
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามผลงานและกดไลค์ให้นะคะ แล้วเจอกันค่า ^o^
เพียงใจปรารถนา ตอนที่ 38
เวหาถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีก คำพูดหว่านล้อมต่าง ๆ นานาที่ปริญดาคอยกรอกหูว่าบิดาเขานั้นต้องทนทุกข์ทรมานกับโรคซึมเศร้าเพราะยึดติดกับอดีตมาหลายปีวนเวียนอยู่ในหัวเขามาตลอดทางที่ออกมาจากคอนโด เธออยากให้เขาเลิกถือทิฐิและลืมเรื่องราวในอดีต คอยพยายามรบเร้าเขาให้เข้าไปเยี่ยบบิดากับเธอด้วยกัน แต่เขาก็เถียงคอเป็นเอ็นว่ายังไม่พร้อมที่จะพบท่านตอนนี้ และเขาเกือบเผลอจะมีอารมณ์รุนแรงขึ้นเสียงดังใส่เธอ พอเธอเห็นเขาหัวเสียจึงยอมแพ้แต่ขอให้เขามาส่งและรอรับกลับเพราะรู้สึกอาการคลื่นไส้เวียนหัวจึงไม่อยากขับรถมาเอง เขาจึงต้องมารอแก่วด้วยอารมณ์หงุดหงิดอยู่อย่างนี้
“เวย์คะ”
เวหาผ่อนลมหายใจยาวโล่งอกเมื่อได้ยินเสียงทักของปริญดาจากทางด้านหลัง เขาลุกขึ้นยืนแล้วหันไปยิ้มกว้างให้เธอ
“ทำไมคุณไปนาน...” แต่แล้วคำพูดเขาต้องสะดุด หัวใจหล่นวูบ เมื่อเห็นว่าเธอพาใครมาด้วย ดวงตาเบิกกว้างด้วยความคาดไม่ถึงและได้แต่ยืนตะลึงมองบิดาที่นั่งอยู่บนรถเข็นและกำลังจ้องเขาไม่วางตา
ทั้งสองคนต่างชะงักงันมองกันและกันนิ่ง ความเงียบอันน่าอึดอัดปกคลุมไปทั่ว ปริญดากับปวราก็กลั้นใจรอดูว่าปฎิกิริยาของเวหาจะเป็นอย่างไร แต่ผ่านไปเกือบนาทีทั้งภาคภูมิและเวหาต่างยังคงเงียบงัน ปริญดาจึงต้องเดินไปยืนข้าง ๆ เวหาแล้วกระซิบเรียกสติเขาเบา ๆ
“เวย์คะ...นี่พ่อของคุณไงคะ จำท่านได้ไหม” น้ำเสียงราบเรียบ แต่หัวใจเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ กลัวใจเขาจะไม่ยอมพูดกับภาคภูมิแล้วจะเตลิดไป เธอจึงต้องระมัดระวังคำพูดให้มากที่สุดเพื่อดึงให้เขาอยู่ตรงนี้กับเธอ
“ท่านอยากพบคุณมาก ท่านดีใจมากรู้ไหมคะที่รู้ว่าคุณเป็นคนให้เลือดท่าน” เธอคว้าแขนเขาไว้ และรับรู้ร่างกายเกร็งสั่นขณะที่สายตาเขายังไม่ละไปจากภาคภูมิ
“ผมบอกหรือเปล่าว่าผมยังไม่อยากเจอพ่อ” น้ำเสียงเย็นเยียบ พยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองอย่างเต็มที่
“แต่เวย์คะ...” ปริญดายังไม่ทันพูดจบ ภาคภูมิก็เรียกเวหาเสียก่อน
“เวย์...นี่เวย์จริง ๆ ใช่ไหม พ่อไม่ได้ฝันไปใช่ไหม” น้ำตาแห่งความดีใจไหลริน ทันทีที่เวหาหันมาทางเขา เพียงแว่บเดียวที่เห็นใบหน้าแทบจะถอดพิมพ์เดียวกันมากับกชอร หัวใจเขาก็เบิกบานเริงร่าและมั่นใจว่าชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นลูกชายที่พลัดพรากกันไปนานจริง ๆ
ภาคภูมิยื่นมือออกไป “เวย์...พ่อดีใจจริง ๆ ที่ได้เจอลูกอีก รู้ไหมพ่อคิดถึงเวย์ทุกวัน หลายปีที่ผ่านมาไม่มีวันไหนที่พ่อจะไม่คิดถึงเวย์เลยนะลูก”
แทนที่จะทำให้เวหารู้สึกดีขึ้นแต่คำพูดเหล่านั้นกลับทำให้ความโกรธเขาแล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ มือกำหมัดแน่นข้างกาย สันกรามขบกันจนนูน กระบอกตาของเขาร้อนผ่าวเมื่อพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา
“คิดถึงเหรอ ถ้าคิดถึงจริงก็คงไม่ทิ้งผมไว้ให้อยู่คนเดียวมาจนปานนี้หรอก” พูดรอดไรฟัน
ภาคภูมิน้ำตาไหลพราก ส่ายหน้าปฎิเสธ “ไม่จริง พ่อคิดถึงลูก คิดถึงแม่ พ่อขอโทษที่ทิ้งลูกไป พ่อพยายามจะไปหาลูกแล้ว แต่...”
“ผมไม่ต้องการคำอธิบายอะไรทั้งนั้น” เวหาตัดบทไม่ทนฟังอีกต่อไป และตอนนั้นที่สายตาของเขาสะดุดกับนาฬิกาเรือนสีทองที่อยู่ในกำมือของบิดา เขาสูดหายใจเข้าลึก หลับตาแน่นเมื่อพยายามเก็บกลั้นความโกรธที่ปริญดาหยิบของของเขาไปโดยพลการ
ภาคภูมิพยายามหมุนล้อรถเข็นเข้าไปใกล้ ไม่ยอมเลิกราง่าย ๆ “ไม่มีวันไหนที่พ่อไม่คิดถึงแม่กับเวย์ วันนั้นที่พ่อจากไปใช่ว่าเป็นความต้องการของพ่อ แต่มันเป็นความจำเป็น พ่อคิดอยู่เสมอว่าถ้ามีโอกาสพ่อจะพาเวย์มาอยู่ด้วยกัน แต่โอกาสนั้นก็ไม่เคยมาถึงเพราะพ่อคอยถูกกีดกันจากคนรอบข้างตลอดเวลา...” เขาพูดไปก็หอบไป แต่ก็ยังพยายามพูดต่อ
“เวย์ไม่รู้หรอกว่าพ่อแทบเป็นบ้าที่รู้ว่าแม่ฆ่าตัวตาย และแค่งานศพพ่อก็ยังไปไม่ได้มันทำให้พ่อคลั่งและอยากตายตามแม่ไปให้รู้แล้วรู้รอด...”
“พอได้แล้ว!” เวหาตวาดลั่นอย่างหมดความอดทน “ต่อให้พ่อตายซ้ำตายซากก็ไม่มีวันที่จะทำให้แม่ฟื้นขึ้นมา และไม่มีวันที่จะทำให้ความรู้สึกของผมกลับไปเป็นเหมือนเดิม!”
“เวย์!” ปริญดาร้องเสียงหลงตกใจ ไม่คิดว่าเขาจะพูดประโยคเฉือดเฉือนหัวใจคนเป็นบิดาแบบนั้น
ปวราไม่อาจทนฟังอยู่เฉย ๆ ได้อีกต่อไป หล่อนจึงแทรกขึ้นมาบ้าง “ทุกอย่างที่คุณภาคพูดมาเป็นความจริง แม่เป็นพยานได้ คนที่เวย์ควรจะโกรธต้องเป็นคุณย่าที่คอยบงการชีวิตคุณภาคจนเสียศูนย์ และโกรธที่แม่เข้ามาในครอบครัวของคุณภาคจนทำให้เรื่องราวบานปลาย สิ่งที่เกิดขึ้นล้วนแต่เป็นเพราะคนอื่นผลักดันให้คุณภาคต้องทำแบบนั้น”
เวหาหัวเราะหึ ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นกับสิ่งที่ปวราพูดมาเลยสักนิด “ถ้าคนคนหนึ่งยอมที่จะให้คนอื่นมาบงการชีวิตมากกว่าจะต่อสู้เพื่อรักษาครอบครัวตัวเองไว้...ผมก็ไม่มีอะไรต้องพูดอีก”
“โธ่...ทำไมถึงคิดแบบนั้นะ” ปวราพึมพำหนักใจ
เวหาเบื่อที่จะฟังคำแก้ตัวและอยากไปให้พ้น ๆ เสียที
“ปริม ผมจะกลับ แล้วทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ ผมไม่ชอบให้ใครมายุ่งเรื่องส่วนตัวของผม” เขาตวัดเสียงแข็งสั่งหญิงสาวจนเธอสะดุ้งร่างสะท้านด้วยความกลัว แล้วหันไปยกมือไหว้ปวราที่รับไหว้แทบจะไม่ทัน ก่อนจะคว้ามือหญิงสาวตั้งท่าจะลากเธอกลับด้วยกัน
“เดี๋ยวสิเวย์! อย่าเพิ่งไป!” ภาคภูมิร้องเรียก พยุงตัวลุกขึ้นด้วยความรีบร้อนกลัวเวหาจะเดินหนีไปเสียก่อน ทำให้ขาสะดุดกับที่วางเท้าล้มลงไปนอนกับพื้นและดึงเอาเสาน้ำเกลือล้มไปด้วย
ปวราและปริญดาร้องตกใจพร้อมกัน และเป็นปวราที่ถึงตัวภาคภูมิก่อนจึงรีบช่วยพยุงเข้าขึ้นนั่ง ปริญดาเองก็รีบเข้าไปช่วยพยุงอีกข้าง ส่วนเวหาทำท่าก้าวขาจะเข้าไปช่วยอีกแรงแต่ก็ต้องชะงักค้างเมื่อคำพูดที่เสียดแทงใจของบิดาเมื่อสักครู่หยุดเขาเอาไว้
“คุณภาค ลุกไว้ไหมคะ” ปวรากอดเอวเขาให้ยืนขึ้น แต่แล้วก็ต้องร้องอุทานอีกครั้งเมื่อเห็นข้อมือของภาคภูมิที่ถูกพันแผลเอาไว้มีเลือดไหลซึมออกมา
“ปริม ช่วยแม่พยุงพ่อที” ปวราร้องบอกเสียงเครือ ปริญดาจึงพยายามข่วยมารดาฉุดใต้แขนของภาคภูมิให้ลุกขึ้นยืน ถึงแม้ท่านจะผอมแห้งแรงน้อย แต่เรี่ยวแรงที่จะช่วยตัวเองแทบไม่มีเลย ทำให้เธอกับมารดาช่วยกันพยุงอย่างทุลักทุเลเหลือเกิน เธอจึงหันไปหาชายหนุ่ม มองเขาด้วยสายตาผิดหวังพร้อมกับพูดว่า
“เวย์ นี่คุณจะใจดำยืนดูอยู่เฉย ๆ อย่างนี้เหรอคะ นี่พ่อคุณนะ”
เวหาหน้าชาราวกับโดนตบ สมองสั่งการว่าเวลานี้ไม่ควรจะเอาความโกรธเป็นที่ตั้ง แต่อารมณ์ที่ยังคุกรุ่นสั่งให้ร่างกายของเขายืนนิ่งและได้แต่จ้องมองผู้เป็นบิดาด้วยแววตาว่างเปล่าโดยไม่เข้าไปช่วยเหลืออะไร
“มาช่วยกันหน่อยสิคะ เห็นไหมว่าแผลท่านเลือดออกใหญ่แล้ว” เธอขอร้อง พยายามประคองร่างภาคภูมิให้ยืนขึ้น แต่ขาของท่านอ่อนแรงมากจนยืนเองแทบไม่ไหวทำให้เธอกับมารดาต้องรับน้ำหนักตัวท่านไว้เต็ม ๆ
เวหาขยับเท้าทำท่าจะเข้าไปช่วย แต่เมื่อสบตาบิดาที่มองมาด้วยแววตาตัดพ้อ เท้าเขาก็หยุดกึก เปลี่ยนใจกะทันหัน “ผม...จะไปตามพยาบาลมาช่วย”
ปริญดาอ้าปากค้าง ดวงตาวาววาบด้วยความอึ้ง ไม่คิดว่าเขาจะใจจืดใจดำขนาดนี้ แต่ก่อนที่เธอจะทันได้พูดอะไร เวหาก็วิ่งหายเข้าไปข้างในตึก ก่อนจะกลับมาพร้อมกับบุรุษพยาบาลอีกคนเพียงเวลาไม่กี่นาที
บุรุษพยาบาลรีบเข้าช่วยประคองแขนภาคภูมิแทนปวราแล้วดันตัวท่านให้ลุกขึ้นยืนโดยมีปริญดาคอยช่วยอีกข้าง เมื่อภาคภูมินั่งที่รถเข็นแล้ว บุรุษพยาบาลก็ตรวจแผลที่ข้อมือให้เบื้องต้น
“ดูจากเลือดที่ซึมออกมาแล้วน่าจะแค่แผลปริเล็กน้อย แต่ยังไงแล้วไปให้หมอตรวจสภาพแผลอีกทีหนึ่งดีกว่านะครับ”
“งั้นเราไปกันเลยเถอะค่ะ” ปวราบอกอย่างรีบร้อน
“เดี๋ยวก่อน...” ภาคภูมิบอกเสียงเหนื่อยหอบ หันไปมองที่เวหา มือจับที่วางแขนแน่น “พ่อ...พ่อรู้ว่าพ่อผิด และพ่อไม่ต้องการ...ให้ลูกยกโทษให้” น้ำตาเขารื้นขอบตา เมื่อเวหาเบือนหน้าไปทางอื่น
“แต่พ่ออยากขอร้อง...” เสียงเครือสั่น สูดลมหายใจที่ขาดเป็นห้วง ๆ “ขอโอกาสให้พ่อ...ได้แก้ตัวอีกครั้ง...”
เสียงฟ้าร้องดังก้องคำรามพร้อมกับแสงสายฟ้าพาดผ่าน สองแม่ลูกผวาร้องตกใจ แม้แต่บุรุษพยาบาลที่ยืนคอยท่าอยู่ก็ยังต้องสะดุ้งกับเสียงกระหึ่มดังทั่วฟ้า แต่เวหากลับยืนสงบนิ่ง ไม่สะดุ้งสะเทือนใด ๆ
ภาคภูมิน้ำตาไหลอาบแก้ม มองใบหน้าที่พร่าเลือนเพราะม่านน้ำตาด้วยความปวดร้าวใจ เมื่อไม่มีปฎิกิริยาตอบโต้อะไรจากลูกชายกลับมา เขาเช็ดน้ำตาเพื่อมองสีหน้าเวหาให้ชัดอีกครั้ง แต่แล้วแววตาอันว่างเปล่าที่มองผ่านเลยเขาไปก็ตอกย้ำชัดเจนว่าตอนนี้เขาไม่มีสิทธิ์อ้อนวอนขอร้องใด ๆ ทั้งสิ้น
ปริญดาน้ำตาคลอหน่วยเมื่อเห็นภาคภูมิเสียใจแทนที่จะดีใจมีความสุขที่ได้พบหน้าลูกชายอีกครั้ง ทุกอย่างเป็นความผิดของเธอเอง เพราะคิดว่าเวหาจะใจอ่อนยอมลดทิฐิเมื่อเห็นการแสดงออกของภาคภูมิว่ารักและคิดถึงเขามากแค่ไหน แต่นี่ขนาดเห็นบิดาตนเองล้มลงไปนอนต่อหน้าต่อตาเขายังสามารถยืนนิ่งเฉยอยู่ได้ เขาคงไม่คิดที่จะยอมให้อภัยบิดาได้ง่าย ๆ อย่างที่เธอคาดหวังไว้
“ผมว่าเรารีบไปกันเถอะครับ จะได้ให้คุณหมอรีบตรวจดูบาดแผล” บุรุษพยาบาลพูดแทรกขึ้น พลางแหงนมองท้องฟ้าที่เริ่มจะปกคลุมด้วยเมฆดำ
“คุณภาคคะ ไปให้หมอดูอาการก่อนดีกว่านะคะ” ปวราเตือนด้วยความเป็นห่วง “อีกอย่าง ตอนนี้เวย์เขากำลังสับสน เพิ่งเจอกับคุณครั้งแรกหลังจากไม่เจอกันหลายปี เขาคงยังไม่พร้อมเท่าไร ยังไงรอให้เวย์เขาอารมณ์เย็นกว่านี้ ค่อยมาคุยกันอีกทีดีกว่าไหมคะ”
ภาคภูมิลอบมองไปที่เวหาอีกครั้งแล้วก็เห็นว่าแววตาสีหน้าของลูกชายยังคงว่างเปล่า ไม่แม้แต่จะมองมาที่ตนเอง เขาจึงได้แต่ถอนหายใจยาว คอตก พยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้
“แม่พาพ่อเข้าไปก่อนนะคะ เดี๋ยวปริมตามเข้าไป” เพราะเธอยังต้องมีเรื่องคุยกับเวหาตามลำพัง
เมื่อทั้งหมดพากันเข้าไปด้านในแล้ว หญิงสาวก็หันไปทางเวหา มองเขาด้วยความผิดหวัง
“ทำไมคุณถึงใจจืดใจดำแบบนี้คะ ถึงแม้ว่าตอนนี้คุณยังยอมรับพ่อไม่ได้ แต่ช่วยแสดงน้ำใจออกมาบ้างก็ยังดี แต่นี่คุณนิ่งเฉยมองพ่อทุลักทุเลพยายามจะลุกขึ้นยืนเองแบบนั้นได้ยังไงกัน”
“แต่ผมก็ไปเรียกคนให้มาช่วยหนิ จะหาว่าผมไร้น้ำใจได้ยังไง แล้วผมก็ไม่เห็นว่าเขาจะเป็นอะไรมาก” เวหาตอบหน้าตาย
ปริญดาอ้าปากค้างกับคำตอบของเขา ไม่คิดว่าเขาจะพูดออกมาได้อย่างเย็นชาไร้ความรู้สึกแบบนี้
“ผมจะกลับแล้ว เย็นนี้ผมมีนัดกับบริษัทจัดงานอีเว้นท์อีก คุณจะกลับพร้อมผมไหม” เขาตัดบทถามเสียงเรียบ เริ่มมีเม็ดฝนปรอย ๆ ตกลงมา บริเวณโดยรอบมืดมิดส่งสัญญาณว่าฝนลูกใหญ่กำลังจะตามมาในไม่ช้า
เธอส่ายหน้า “คุณกลับไปก่อนเถอะค่ะ ฉันยังเป็นห่วงพ่อ ตอนนี้พ่อต้องการกำลังใจจากคนในครอบครัวมากที่สุดฉันไม่อยากเห็นพ่อคิดสั้นอีก”
ใบหน้าเขาเฉยชาราวกับไม่รู้สึกรู้สากับคำพูดประชดประชันของหญิงสาว อารมณ์กรุ่นโกรธที่ยังคุโชนไม่อาจทำใจให้รู้สึกสงสารหรือเห็นใจบิดาได้ ถึงแม้ว่าวูบหนึ่งหัวใจของเขาจะรู้สึกตีบตัน เพราะรู้ว่าบิดาคงจะผ่านความเจ็บปวดมาไม่น้อยจนทำให้ร่างกายที่เคยแข็งแรงอย่างที่เขาจำได้เปลี่ยนไปเป็นคนผอมแห้งไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะลุกขึ้นยืน
เสียงฟ้าร้องดังสนั่นพร้อมกับคลื่นสายฝนที่เริ่มตกหนักขึ้นเปียกปอนทั้งคู่จนเวหาปัดความคิดนั้นไป แล้วสั่งปริญดาให้เข้าไปหลบฝนข้างในโดยมีเขาประคองเธอระวังไม่ให้ล้ม
“คุณเปียกแบบนี้กลับบ้านกับผมดีกว่า เดี๋ยวจะไม่สบายเอา” เวหาใช้มือเช็ดใบหน้าที่เปียกชุ่มของเธอ และปัดผมที่เปียกลู่ไปด้านข้าง
“ไม่เป็นไรค่ะ เปียกแค่นี้เดี๋ยวก็แห้ง”
เวหาทำหน้าไม่พอใจ “กว่าจะแห้งได้เป็นหวัดก่อนพอดี ตอนนี้คุณกำลังท้อง ควรจะทำตัวเองไม่ให้ป่วยรู้ไหม ถ้าร่างกายคุณอ่อนแอก็จะมีผลต่อลูกของเราด้วย เพราะฉะนั้นสุขภาพของคุณต้องมาก่อน เข้าใจไหม”
ปริญดารับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่เขามีต่อตัวเธอและลูก หัวใจเธอพองโตทุกครั้งที่ได้รับการเอาใจใส่ดูแลจากเขา และตั้งแต่เริ่มคบกับเขาจริงจัง เธอก็รู้ว่าพื้นฐานนิสัยใจคอเวหานั้นเป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และมีจิตใจดี ตั้งแต่รู้ว่าเธอตั้งท้อง เขาก็คอยเอาอกเอาใจเธอไม่ขาด แม้จะรู้ว่าเธอคือลูกสาวของคนที่ทำให้ครอบครัวเขาต้องแตกแยก เวหาก็เข้าใจและยอมรับ ให้อภัยทั้งเธอและมารดาได้อย่างง่ายดาย แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมกับบิดาแท้ ๆ เขาถึงได้ตั้งแง่ไม่ยอมผ่อนปรนบ้าง
“คุณกำลังคิดอะไรอยู่เหรอปริม” เวหาโพล่งถาม เมื่อเห็นสายตาเธอเหม่อลอยคล้ายกับกำลังหมกหมุ่นกับความคิดตนเอง
เธอเงยหน้าสบตาเขา ร่างกายเขาเองเปียกปอนไม่ต่างจากเธอ ใบหน้าวางขรึมที่ดูเคร่งเครียดทำให้เธอเดาไม่ออกว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไรในใจ
“คุณเป็นคนดีค่ะเวย์” เธอยิ้มจริงใจ “ความห่วงใยที่คุณมีให้ฉันหรือแม้แต่ก่อนหน้านี้ที่มีให้พี่น้ำแสดงให้เห็นว่าแท้จริงแล้วคุณเป็นคนดีมาก ๆ คนหนึ่ง”
เวหาย่นคิ้ว “คุณต้องการจะพูดอะไร”
เธอคว้ามือเขามากุมไว้ บีบเบา ๆ เพื่อให้กำลังใจ “ฉันขอโทษที่วันนี้ทำอะไรไปโดยที่ไม่บอกคุณก่อน แถมยังแอบเอานาฬิกาของคุณมาอีก เป็นเพราะฉันคิดน้อยหวังอยากให้พ่อได้เจอคุณเร็ว ๆ โดยที่ไม่ได้คิดถึงจิตใจคุณก่อนเลยว่าพร้อมที่จะเจอท่านไหม แถมยังว่าคุณใจจืดใจดำทั้ง ๆ ที่ตัวฉันเองไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินคุณด้วยซ้ำเพราะฉันไม่ใช่คนที่เจอสถานการณ์....”
“ช่างมันเถอะ” เวหายกมือปรามตัดบท “ผมรู้ว่าคุณหวังดี แต่ตอนนี้ผมบอกเลยว่ายังไม่พร้อมจะคุยอะไรกับพ่อทั้งนั้น”
ปริญดาพนักหน้ารับจ๋อย ๆ “ค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว แต่ฉันอยากให้คุณ...”
“ปริม..” เวหาหยุดคำพูดเธอไว้ “เรื่องนี้ขอให้เป็นเรื่องระหว่างผมกับพ่อ ตอนนี้พ่อก็ได้เจอผมแล้ว หลังจากนี้จะเป็นยังไงก็ขอให้ผมเป็นคนตัดสินใจเอง...”
เมื่อเขาพูดถึงขนาดนี้ เธอก็ไม่อยากจะรบเร้าเขาอีก จึงได้แต่ยิ้มบาง ๆ แล้วตอบเขาไป “ก็ได้ค่ะ หลังจากนี้ฉันจะไม่เข้าไปยุ่งเรื่องนี้อีกและปล่อยให้คุณทำในสิ่งที่ใจต้องการ”
“ขอบคุณที่คุณเข้าใจผม...” เขายิ้มตอบ “ทีนี้คุณจะกลับกับผมได้หรือยัง ถ้าคุณอยากกลับมาที่โรงพยาบาลอีกเดี๋ยวผมจะมาส่งอีกรอบแล้วค่ำ ๆ ถ้าผมยังคุยงานไม่เสร็จจะได้ฝากให้ไอ้ก้องมารับคุณ”
“โอ๊ยยย ฝนบ้าฝนบออะไรจะตกมากันตอนนี้ ดูซิเปียกเลอะไปหมดทั้งตัว ยี๊ แล้วนี่ทำไมขาฉันเลอะขี้โคลนเต็มไปหมเลยเนี่ย” เสียงแหลมของหญิงสูงวัยดังลั่นห้องโถงโรงพยาบาลจนเวหากับปริญดาต้องหันไปมอง
“คุณย่า!” ปริญดาอุทานตกใจ ไม่คิดว่าจะได้เจอภารตรีที่นี่
เวหาตัวแข็งทื่อ สมองของเขาอื้ออึงเมื่อได้ยินคำเรียกหลุดจากปากหญิงสาวข้างกาย สายตาเขาจับจ้องมองหญิงชราแต่งหน้าจัดที่กำลังใช้นิ้วชี้สั่งคนรับใช้มาด้วยกันให้เช็ดคราบสกปรกที่ขาให้ ลมหายใจของเขาติดขัดเมื่อภาพ เหตุการณ์ในวันอันแสนเจ็บปวดย้อนเข้ามาในห้วงความคิดอีกครั้งจนทำให้เขาเผลอกำหมัดแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด
“กลับกันเถอะปริม” เสียงของเวหาเย็นเยียบ
“ไม่ค่ะ ตอนนี้ปริมยังกลับไม่ได้ เพราะปริมจะไม่ยอมให้ผู้หญิงใจร้ายคนนี้มาบงการพ่อได้อีกแล้ว” เธอพูดโดยที่สายตาจับจ้องไปที่ภารตรี โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง หญิงสาวเดินอาด ๆ เข้าไปหาจนอีกฝ่ายรู้สึกตัวพอหันมาเห็นว่าคาก็ถึงกับผงะ เบิกตาโตตกใจแล้วอุทานเสียงดัง
“นังปริม!”
“คุณมาที่นี่ทำไม” ปริญดาเปิดฉากถามอย่างไม่เกรงใจ เวหาที่เดินตามมารั้งแขนเธอไว้ไม่ให้วู่วาม
ภารตรีเอามือทาบอกตกใจเป็นรอบที่สองเมื่อเห็นเวหาเดินเข้ามา หน้าหล่อนซีดเผือดราวกับเห็นผีเพราะใบหน้าบึ้งตึงของชายหนุ่มทำเอาหล่อนนึกถึงกชอรที่กำลังมองหล่อนด้วยความอาฆาตแค้น
“กะ แก...”
“ครับ คุณย่า...” เวหาตอบพร้อมกับแสยะยิ้ม ทำเอาภารตรีตัวสั่นสะท้าน
ปริญดาแปลกใจไม่คิดว่าภารตรีจะกลัวเวหาขนาดนี้ ผิดวิสัยที่ชอบข่มและเหยียดคนอื่นตลอดเวลาของหล่อน “ถ้าจะมาเยี่ยมพ่อล่ะก็ คุณกลับไปเถอะค่ะ ท่านสบายดี”
ภารตรีเรียกสติที่กระเจิดกระเจิงกลับมา ชี้หน้าปริญดาอย่างเกรง ๆ กลัว ๆ “เดี๋ยวนี้แกไม่เห็นหัวฉันแล้วใช่ไหมถึงได้กล้าพูดไล่ฉันแบบนี้”
“ก็ในเมื่อคุณไม่คิดว่าฉันเป็นหลาน ฉันก็ไม่จำเป็นจะต้องเกรงใจว่าคุณเป็นย่าอีกต่อไป”
“เออ ก็ดี เพราะฉันก็ไม่อยากจะนับญาติกับลูกนอกคอกอย่างแกอยู่แล้ว”
ปริญดาสูดหายใจเข้าลึกข่มความโกรธ “ถ้าอย่างนั้นคุณมาที่นี่ทำไม เชิญคุณกลับไปได้แล้ว”
“ฉันก็จะมาเยี่ยมลูกชายฉันบ้างสิ แกเป็นแค่คนนอก มีสิทธิ์อะไรมาห้ามฉัน” หล่อนตะคอกใส่ปริญดา แต่สายตาเหลือบมองเวหาที่จ้องหล่อนนิ่งอย่างหวาดระแวง
“ร้อยวันพันปีไม่เคยจะมาเยี่ยม กี่ครั้งแล้วที่พ่อคิดสั้น แต่คุณก็ไม่เคยจะมาดูดำดูดีทั้งที่เป็นลูกชายตัวเองแท้ ๆ แล้วที่คุณมาวันนี้ ฉันก็ไม่คิดว่าคุณตั้งใจจะมาเยี่ยมเฉย ๆ หรอกนะ” เธอพูดหมดเปลือกอย่างที่ใจคิด เพราะเธอรู้ว่าคนอย่างภารตรีถ้าไม่มีสิ่งที่ต้องการก็คงจะไม่มาเหยียบที่โรงพยาบาลง่าย ๆ ในเมื่อหล่อนเป็นคนขับไสไล่ส่งภาคภูมิให้มาอยู่ที่นี่นานหลายปี
ยิ่งเธอเห็นภารตรีถือซองเอกสารอะไรบางอย่างอยู่ในมือ เธอก็ยิ่งมั่นใจว่าหล่อนคงมีจุดประสงค์อย่างอื่นพ่วงมาด้วยถึงได้มาถึงที่โรงพยาบาลนี่ได้
“ไม่ต้องมาสะเออะรู้ความคิดฉัน ลูกชายฉัน ฉันอยากจะมาหาเมื่อไรมันก็ไม่ใช่เรื่องของแก”
“ปริม...เขาอยากจะทำอะไรก็ช่างเขาเถอะ เสียเวลาเสียสุขภาพจิตเปล่า ๆ” เวหาพยายามเตือนเพราะไม่อยากให้เธอเครียด
“ไม่ได้หรอกค่ะ” เธอกระซิบบอก “ฉันอยู่กับคุณย่ามาตั้งแต่เด็กจนโต รู้ว่าท่านล้างสมองพ่อยังไงไว้บ้าง ที่มาวันนี้ฉันยังแปลกใจเลยค่ะว่าท่านมาทำไมถ้าไม่ใช่มีเรื่องที่ต้องใช้ให้พ่อทำอะไรให้อีก”
เวหาฟังแล้วก็อึ้ง ไม่คิดว่าหญิงชราที่ครั้งหนึ่งเขาเคารพว่าเป็นย่าจะเป็นคนที่มีนิสัยแบบนี้ และจากลักษณะคำพูดคำจาแล้วคงไม่เกินความจริงจากที่ปริญดาพูดนัก
“ไป ยัยเปีย อย่าไปสนใจคนบ้าพวกนี้เลย” ภารตรีเรียกคนใช้ข้างกายที่รีบกุลีกุจอเออออตามเจ้านาย
“เดี๋ยว” ปริญดาก้าวเข้าไปขวาง “ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ให้ไป”
“เอ๊ะ นังปริม ถอยไปนะ!”
“ไม่ วันนี้พ่อไม่อยู่ในสภาพที่จะคุยกับใคร ถ้าอยากเยี่ยมก็มาวันหลังแล้วกัน”
ภารตรีหน้าชาที่ถูกเด็กเมื่อวานซืนไล่อย่างกับหมูกับหมา แถมต่อหน้าเด็กรับใช้จนสร้างความอับอายให้หล่อนที่ต้องมายืนเถียงกันกลางโรงพยาบาลแบบนี้
“ฉันจะไปเยี่ยม แกจะทำไม” ภารตรีเบียดไหล่ปริญดาอย่างแรงจนเธอเซเกือบล้ม ดีที่เวหาอยู่ข้าง ๆ ประคองเธอไว้ได้ทัน ภารตรีเบ้ปากสะใจ
“ปริม คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” ถามด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะหันไปตีหน้าเคร่งใส่ภารตรีที่สะดุ้งโหยงทันทีที่เวหาจ้องมองหล่อนด้วยแววตาเอาเรื่อง ทำเอาสันหลังหล่อนเสียววาบ
ภารตรีรีบกวักมือเรียกเด็กรับใช้ ก่อนจะเดินลิ่ว ๆ เข้าไปด้านใน ไม่สนใจเสียงร้องเรียกของปริญดาที่สั่งให้หล่อนหยุด
“ปริม ไม่เอาน่า ห่วงตัวเองก่อนเถอะ เห็นไหมว่าเขาชนคุณจนเกือบล้มไปแล้ว”
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ” เธอฝืนยิ้มตอบ “คุณอย่าห้ามเลยนะคะ ตอนนี้ฉันต้องรีบตามคุณย่าไป ถึงแม่ฉันอยู่ด้วยท่านก็ช่วยอะไรไม่ได้ถ้าคุณย่าลองได้เกลี่ยกล่อมให้พ่อทำอะไรแล้วล่ะก็ และฉันสังหรณ์ใจไม่ดียังไงก็ไม่รู้”
“แต่ตัวคุณสั่นเป็นลูกนกแบบนี้ เสื้อผ้าก็เปียก ฝนก็ยังตกไม่หยุด รับรองว่ากลับไปมีหวังคุณได้เป็นหวัดสมใจแน่ และผมจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นกลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากับผมเดี๋ยวนี้” เวหาพูดแกมบังคับ
“โธ่...” เธอครางขัดใจ “แค่แป๊บเดียวเท่านั้นนะคะ ตอนนี้สภาพจิตใจของพ่อยิ่งอ่อนแออยู่ด้วย คุณย่าพูดอะไรมาท่านคงยอมทำตามทุกอย่าง”
เวหาไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่เธอพูดนัก มันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายขนาดไหนกันเชียวกับการที่แม่แค่ต้องการไปเยี่ยมลูกชาย
“อาจจะไม่ร้ายแรงอย่างที่คุณคิดก็ได้”
“คุณไม่รู้อะไร หลายครั้งแล้วที่คุณย่าคอยพูดจาหว่านล้อมให้พ่อทำนู่นทำนี่ให้จนแทบไม่เป็นตัวของตัวเอง แล้วที่ท่านต้องมาอยู่โรงพยาบาลนานเป็นปี ๆ แบบนี้ก็เพราะคุณย่านั่นแหล่ะที่สั่งให้ท่านย้ายมารักษาตัวที่นี่” พูดแล้วก็กัดฟันกรอด ๆ ด้วยความโมโห
“ฉันสัญญาว่าเสร็จเรื่องคุณย่าเมื่อไรฉันจะกลับบ้านพร้อมกับคุณ คุณรออยู่ตรงนี้ก็ได้ค่ะ ฉันขอไปจัดการแป๊บเดียว” เธอส่งสายตาอ้อนวอน สีหน้ากระวนกระวายร่ำ ๆ อยากจะไปให้ได้
เวหากุมขมับ มองแววตาเว้าวอนของเธอแล้วก็ใจอ่อน และรู้ว่านิสัยอย่างปริญดาใครห้ามอะไรก็ไม่ฟัง “โอเค ผมให้คุณไป แต่ผมจะไปด้วย”
ปริญดาเบิกตาโต เพราะจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ เธอไม่คิดว่าเขาอยากจะเข้าไปร่วมรับรู้ด้วย
เวหาอ่านสีหน้าเธอออกจึงโพล่งออกไป “ผมจะรออยู่ข้างนอกห้อง คุณก็เข้าไปจัดการธุระของคุณแล้วกัน”
เธอยิ้มกว้าง “ขอบคุณค่ะ”
เมื่อได้รับอนุญาติแล้วเธอก็ไม่รอช้า รีบเดินนำเขาตรงไปที่ห้องพักของภาคภูมิทันที
ปวราที่กำลังห่มผ้าให้ภาคภูมิหลังจากที่หมอเข้ามาดูอาการแล้วว่าไม่เป็นไร ต้องสะดุ้งตกใจเมื่อเสียงประตูห้องเปิดผัวะจนชนกับผนัง หล่อนพึมพำบ่นว่าไม่มีมารยาทที่ทำเสียงดัง แต่พอหันไปทางประตูเพื่อดูว่าเป็นใครเท่านั้น ร่างกายของหล่อนก็เกร็งขึง ดวงตาวาววับด้วยความหวาดระแวง
“คุณแม่...” เสียงราวกระซิบผ่านริมฝีปากของปวรา
ภารตรีที่มีสีหน้าหงุดหงิดใจเดินตึงตังเข้ามาด้านในพร้อมกับพ่นคำด่าใส่ปวราทันทีที่เห็นหล่อน “แกสั่งสอนลูกแกยังไงให้เป็นคนปากร้ายนิสัยต่ำทรามแบบนี้ ไล่ฉันสาดเสียเทเสียไม่ให้เข้ามาเยี่ยมตาภาค ไม่รู้จักหัวหงอกหัวดำ บุญคุณที่ฉันเคยเลี้ยงพวกแกมานี่เห็นสำนึกกันบ้างไหม”
ปวราเม้มริมฝีปากสนิท ข่มกลั้นอารมณ์เอาไว้ “นี่มันอะไรกันคะ คุณพูดพล่ามอะไรของคุณ”
“แม่...” ภาคภูมิเรียกเสียงแหบแห้ง พยายามจะลุกขึ้นนั่ง ปวรารีบหันไปช่วยประคองหลังให้เขานั่งได้สะดวก
ภารตรีชะเง้อมอง “ก็ยังอยู่สบายดีหนิตาภาค ไม่เห็นเหมือนคนใกล้ตายอย่างที่ฉันคิดสักหน่อย”
“คุณ!” ปวราร้องเสียงหลง ไม่คิดว่าผู้หญิงใจยักษ์ใจมารที่มีฐานะเป็นมารดาจะพูดกับลูกชายของตัวเองได้น่าเกลียดขนาดนี้
ภารตรีไม่สนใจปวรา หล่อนเดินเข้าไปใกล้เตียงแล้วมองสภาพร่างกายพ่ายผอมราวกับคนตรอมใจด้วยสายตารังเกียจ “ไงตาภาค ไม่ได้เจอกันหลายปี สภาพแย่กว่าที่ฉันจำได้อีกนะ”
ภาคภูมิชินชากับคำพูดห่างเหินของภารตรีที่เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรจนไม่รู้สึกรู้สาหรือน้อยใจกับคำพูดเหล่านั้นเสียแล้ว “ผมก็ไม่ได้เจอแม่มานาน คุณแม่ดูสบายดีนะครับ”
“ก็ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนเพราะตอนนี้ไม่มีพวกเหลือบไรมาเป็นตัวถ่วงความเจริญของบ้าน” หล่อนพูดเหยียด หางตาปลายมองปวราด้วยความจงเกลียดจงชัง
ปวรามือไม้สั่น มองตอบภารตรีอย่างไม่เกรงกลัว หล่อนไม่เคยรู้สึกอยากตบใครมาก่อนเลยในชีวิตจนกระทั่งตอนนี้
“แม่หมายถึงใครครับ” ภาคภูมิเลิกคิ้ว
“แล้วเมียแกไม่ได้บอกแกหรือไง” ภารตรีเชิดหน้าถาม
ภาคภูมิหันไปทางปวราที่ยืนทำหน้าบึ้งตึงแต่น้ำตาคลอหน่วย “ที่บ้านมีอะไรหรือเปล่าปิ่น”
ปวราสูดจมูก สายตายังจดจ้องไปที่ภารตรีขณะตอบ “อย่าถามปิ่นเลยค่ะ ถามคุณแม่ของคุณจะดีกว่าว่าที่ท่านพูดหมายถึงอะไร”
คนกลางถอนใจ เบื่อหน่ายเต็มทน เขาเพิ่งฟื้นตัวแต่ต้องมาเจอกับเรื่องปวดหัวไม่ว่างเว้น ปัญหาระหว่างเขากับเวหายังไม่จบ ความจริงที่เขาอยากรู้ว่าปริญดากับเวหาไปรู้จักกันได้ยังไงก็ยังไม่กระจ่าง มารดากับภรรยาก็ดูท่าว่าจะสร้างปัญหาใหม่เพิ่มขึ้นมาอีก จนเขาอยากจะลาโลกให้รู้แล้วรู้รอด ไปให้พ้นจากเรื่องทั้งหมดนี่เสียที
“ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาแจกแจงเรื่องไร้สาระให้ลูกชายฉันฟัง” หล่อนตอบเสียงสะบัด แล้วเดินเข้าไปใกล้ภาคภูมิ ครั้งนี้หล่อนมีทีท่าอ่อนลง
“ตาภาค แม่มีเรื่องอยากจะขอร้องสักหน่อย”
ภาคภูมิหลับตา มือเขากำแน่นอยู่นานก่อนจะปล่อยออก รู้สึกอึดอัดไม่อยากรับรู้เพราะทุกครั้งที่มารดาพูดประโยคนี้ทีไรต้องจบลงด้วยการที่เขาต้องยอมทำตามหล่อนทุกที
“เรื่องที่ดินที่บางนาที่ภาคเคยซื้อไว้ตั้งนานแล้วน่ะ แม่เห็นว่าถูกทิ้งร้างมานานหลายปี ปล่อยไว้ก็เสียดายเปล่า เลยจะมาปรึกษาภาคว่าอยากจะใช้ที่ดินตรงนั้นทำอะไรให้มันเป็นเงินเป็นทองงอกเงยขึ้นมา”
ปวราแอบส่ายหน้ากับความโลภของภารตรี เมื่อครั้งที่ภาคภูมิยังอาการไม่หนัก ก็ยุยงปลุกปั้นให้เขาเซ็นยินยอมมอบบ้านใหญ่ที่บิดาของเขายกให้ในพินัยกรรมหลังจากเสียชีวิตมาเป็นชื่อของตนเอง หาว่าถ้าชื่อเจ้าของบ้านเป็นของภาคภูมิหล่อนกับลูกจะมาฮุบไป ทั้งที่หล่อนไม่เคยมีความคิดละโมบแบบนั้นแม้แต่น้อย
มาครั้งนี้คงเห็นว่าหล่อนและลูกออกจากบ้านไปถาวรแล้ว จึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ข้าวของที่เป็นชื่อของภาคภูมิตกไปอยู่ในมือตนเองหรือไม่ก็คงจะเอาไปประเคนให้ลูกชายคนเล็กสุดโปรดของหล่อน
“แม่ว่าจะเอาไปให้ภพช่วยแม่ลงทุนสร้างอพาร์ทเม้นท์ให้เช่า แถวนั้นกำลังจะเจริญ แม่ว่าน่าจะทำแล้วรุ่ง ภาคว่าดีไหม”
คิดไว้ไม่ผิด...ปวราพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด อยากจะเปิดโปงเรื่องราวร้าย ๆ ที่ภารตรีทำไว้ให้ภาคภูมิรับรู้ว่ามารดาของตนเองนั้นไม่ได้หวังดีและรักเขาจริง อีกทั้งยังลำเอียงรักสมภพมากกว่าจนอะไรต่อมิอะไรที่ควรจะเป็นของภาคภูมิกลับกลายเป็นของสมภพไปเสียหมด
“แม่ครับ ถ้าแม่จะมาถึงนี่เพื่อพูดเรื่องนี้ผมว่าแม่กลับไปก่อนดีกว่า ตอนนี้ผมเหนื่อยและเพลียมาก ไม่มีอารมณ์จะมาออกความเห็นอะไรทั้งนั้น” ภาคภูมิขยับตัวเพื่อเอนกายลงนอน ไม่สนใจมารดาที่ยืนถลึงตามองเขาด้วยความเหลือเชื่อ
“ตาภาค นี่แกไล่แม่เหรอ”
ปวราหัวเราะในลำคอ ภารตรีหันขวับมาทำตาขวางใส่
“หรือแม่อยากจะอยู่ต่อก็ไม่ว่าครับ แต่ผมขอนอนพักไม่อยากคุยอะไรตอนนี้ทั้งนั้น” เขาดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมลำตัวแล้วหันไปสั่งปวรา
“ปิ่น ผมฝากปิดม่านปิดไฟให้ด้วยนะ”
ปวรายิ้ม “ได้ค่ะ” หล่อนเดินไปอีกฝากของเตียงแล้วค่อย ๆ ดึงม่านปิด สายตาเยาะหยันส่งผ่านไปยังภารตรีที่ยังคงยืนอึ้งคาดไม่ถึงกับการปฎิเสธของลูกชาย
ภารตรีเดือดดาลที่ภาคภูมิทำให้หล่อนเสียหน้า หล่อนจึงเดินเข้าไปผลักม่านที่ปวรากำลังปิดอยู่ออกอย่างแรงจนปวราร้องตกใจ จากนั้นก็หันไปตวาดภาคภูมิลั่นห้อง
“ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะตาภาค ฉันยังพูดไม่จบ!” หล่อนฟาดมือสุดแรงไปที่ขาภาคภูมิจนเขาร้องโอย “ฉันบอกให้แกลุกขึ้นมาไงไอ้ลูกไม่รักดี!”
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” ปริญดาที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาร้องห้ามเสียงดัง เธอทันเข้ามาเห็นภารตรีกำลังตีภาคภูมิพอดี และนั่นทำให้เธอหมดความยับยั้งชั่งใจ ปราดเข้าไปหาภารตรี แล้วผลักหล่อนจะกระเด็นล้มไปกองกับพื้น
“ออกไป! แล้วอย่ามายุ่งกับพวกเราอีก!”
ทั้งภาคภูมิและปวรารวมถึงเด็กรับใช้ที่มาด้วยกันกับภารตรีต่างพากันตระหนกตกใจ เบิกตาค้างกับสิ่งที่ปริญดาเพิ่งทำลงไป
<><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><
คุณ Zephyr ไม่ได้อยากจะทำให้คนอ่านต้องร้องไห้นะคะ แต่พล็อตมันมาแบบนี้ก็ต้องเอาให้เศร้าหนักก่อนจะจบลงด้วยดี อีกไม่นานค่าา ^^
คุณ lamyong มีปริมพยายามประสานรอยร้าวพ่อลูกต้องกลับมารักกันเหมือนเดิมแน่นอนค่่า ^^
เปลวหอม
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 ต.ค. 2558, 00:33:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 ต.ค. 2558, 00:45:35 น.
จำนวนการเข้าชม : 1410
<< ตอนที่ 37 | ตอนที่ 39 >> |
lamyong 2 ต.ค. 2558, 10:48:42 น.
โหยยย เวย์ใจร้ายยยย พูดได้แค่นี้แหล่ะ งอลลลลล
โหยยย เวย์ใจร้ายยยย พูดได้แค่นี้แหล่ะ งอลลลลล