ล่ารักแดนทะเลทราย สนพ กรีนมายด์
แหวนล้ำค่าสัญลักษณ์แห่งราชวงศ์สวมใส่อยู่บนนิ้วของ ‘แอล’ นักวาดภาพสมัครเล่น แต่องค์รักษ์ธามินยังไม่ทันสืบหาเรื่องราวที่แท้จริง ก็พบหญิงสาวลึกลับผู้นั้นอยู่กลางวงล้อมของกบฏที่แฝงตัวไปทั่วทะเลทราย เธออาจเป็นนางนกต่อหรือสายของกบฏก็ได้ ทว่าธามินต้องพาเธอไปด้วยจนกว่าจะพบองค์หญิงซาเมรา ซึ่งคนของเขาส่งข่าวว่าถูกลักพาไปเป็นตัวประกัน
ซาเมราต้องปลอมตัวเป็นหญิงสามัญชน เพราะไม่อาจวางใจชายแปลกหน้าที่เข้ามาช่วยเธอไว้กลางทะเลทราย แต่ด้วยความจำเป็นทำให้หญิงสาวต้องเดินทางไปกับเขา เพื่อสืบให้รู้ว่ากบฏแดนทรายอยู่ที่ใด จะได้กำจัดให้สิ้นซาก
แต่ความลับกลับถูกเปิดเผยเสียก่อน เมื่อหญิงสาวลึกลับกลายเป็นองค์หญิงซาเมรา และชายแปลกหน้ากลายเป็นราชองครักษ์ธามิน องค์ชายที่ถูกลดเกียรติให้เป็นเพียงสามัญชน และเขาอาจเป็นกบฏที่เธอตามหาอยู่ก็เป็นได้ ซาเมราจะทำอย่างไร ระหว่างมอบความตายให้ธามิน หรือหนีไปด้วยกันจนสุดหล้า เมื่อเธอรู้ตัวแล้วว่ารักเขาหมดหัวใจ
Tags: ทะเลทราย ความรัก องครักษ์ เจ้าหญิง

ตอน: ตอนที่ 3 ครึ่งแรก

ตอนที่ 3

ละอองน้ำค้างโรยตัวลงสู่ทะเลทรายเบื้องล่าง ทว่าภายในเต็นท์ไม่รู้สึกถึงความเย็นยะเยือกนั้นเมื่อมีผ้าห่มผืนไม่ใหญ่นักแต่อบอุ่นห่มทับจนหลับสบายตลอดสองชั่วโมงที่ผ่านมา ผิวผ้าเต็นท์ด้านนอกมีหยดน้ำเป็นฝอยเล็กๆ แต่อีกไม่นานเมื่อแสงอาทิตย์แรกของวันมาถึง ความชุ่มชื้นนี้จะพลันหายไป
ธามินตื่นแล้วและกำลังก่อไฟเพื่อให้ความอบอุ่นก่อนจะไปเปลี่ยนชุดเป็นโตเบที่อยู่ในเป้ใบใหญ่แทนชุดราชองครักษ์เพื่อให้ง่ายต่อการเดินทาง แล้วเดินสำรวจรอบๆ จนพบต้นกระถินเหลืองยืนต้นตายเพราะหนองน้ำแห้งเหือดเป็นโอเอซิสร้างที่จำได้ว่ามีในแผนทีเพราะฉะนั้นหากเดินทางอีกสองวันน่าจะถึงหมู่บ้านที่ใกล้ที่สุด เมื่อมองไปรับบริเวณเขาไม่เห็นคนแปลกหน้าผ่านมาทางนี้ซึ่งยังพอโล่งใจได้ว่าผู้ตามล่าอาจไปเส้นทางอื่น นาฬิกาข้อมือส่งเสียงเตือนว่าใกล้ตี 5 แล้วร่างสูงจึงกลับมาที่เต็นท์แล้วตบพื้นให้พอมีเสียงเบาๆ พลางส่งเสียงเรียก
“ตื่นได้แล้วคุณ กำลังจะตี 5 แล้ว ถ้าออกเดินทางสายแดดจะแรงจนคุณทนไม่ไหวนะ”
ซาเมราขยับตัวอย่างเมื่อยขบและลุกขึ้นมานั่ง ถึงจะมึนงงแต่พอจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างก่อนจะมานอนในเต็นท์หลังนี้ ถ้าเป็นเพียงความฝันคงดีไม่น้อยเพราะการผจญภัยในฝันไม่น่ากลัวเท่าความจริง
“ขอเวลาห้านาทีนะคุณ”
ผ้าห่มที่ซาเมราเพิ่งเห็นว่าอยู่บนตัวถูกพับเก็บอย่างเรียบร้อย ผมยาวสยายก็สางด้วยนิ้วแล้วถักเปียก่อนมัดด้วยโบว์อันเดิม ฮิญาบถูกนำมาพันปิดใบหน้าไว้ให้เหลือเพียงดวงตา พอเรียบร้อยแล้วเธอถึงได้ออกมาจากเต็นท์ก่อนจะตรงรี่ไปหาขวดน้ำเพื่อบ้วนปากล้างหน้าด้วยน้ำเพียงเล็กน้อย หันมาอีกทีธามก็จัดการเก็บเต็นท์เสร็จพอดีแถมยังหยิบบางอย่างส่งให้
“เอาไปกินรองท้องก่อนนะ พอเจอบาซาคงมีอาหารให้ซื้อมากินกันระหว่าง”
ซาเมรายิ้มให้ผ่านฮิญาบก่อนรับถั่วกระป๋องมากินกัน ตอนนี้เธอยังไม่ไว้ใจเขานักดังนั้นแค่ถั่วกระป๋องเดียวคงบอกไม่ได้ว่าธามเป็นคนดี แต่ทำไมไม่เห็นเขากินอะไรเลยล่ะหรือว่ามีของกินเพียงเท่านี้
“ให้ฉันมาทั้งกระป๋องแล้วคุณจะกินอะไรล่ะ” เธอยื่นถั่วคืนเขาไปหลังจากเทใส่มือไว้แค่พอกิน
ธามินรับกระป๋องถั่วมานั่งกินรักษาระยะห่างพอสมควร สายตามองไปยังมือทั้งสองข้างของผู้หญิงแปลกหน้าที่รู้เพียงว่าชื่อเซรา ไม่มีแหวนหรือเครื่องประดับที่บ่งบอกว่าเธออาจเป็นใครในราชวงศ์
“เดินทางกันเลยไหม ฉันพร้อมแล้วล่ะ”
ธามินพยัหน้าแล้วลุกขึ้นไปเก็บสัมภาระใส่เป้ ซาเมราเพิ่งสังเกตว่าธามเปลี่ยนมาใส่โตเบสีน้ำตาลอ่อนเลยไม่ได้รู้กันว่าเขาเป็นทหารบกหรือว่าอากาศ แล้วยศอะไร หน้าตายังหนุ่มแน่นแบบนี้คงเพิ่งเข้ามาเป็นทหารชั้นผู้น้อยกระมัง ถ้าเธอได้กลับวังเมื่อไหร่จะรีบขอให้พี่ชายเพิ่มยศให้เขาก็แล้วกัน
การเดินทางเริ่มขึ้นในไม่กี่นาทีต่อมา พอแสงแรกแตะขอบฟ้าซาเมราถึงได้เห็นใบหน้าของธามชัดเจนขึ้น หญิงสาวผงะชะงักขาที่กำลังก้าวเมื่อจำได้แล้วว่าเคยพบเขามาก่อนที่ลานวาดรูป ผู้ชายผู้มีร่างสูงใหญ่และแข็งแรงมากจนสามารถจัดการคนร้ายสองคนได้ในเวลาเดียวกัน เขาจะจำเธอได้หรือเปล่านะ
“รีบเดินสิคุณ มองผมแบบนี้มีอะไรสงสัยหรือเปล่า ถ้าเจ็บป่วยต้องรีบบอกนะผมพอมียาติดตัวมาบ้าง”
ซาเมราส่ายหน้าแอบถอนใจโล่งอกเพราะธามคงจำเธอไม่ได้จริงๆ อย่างน้อยก็เบาใจได้ว่าพบคนดีมีน้ำใจเข้าแล้วถึงสองครั้งสองครา เธอรีบเดินตามร่างสูงไปก่อนที่เขาจะผิดสังเกต

ความสดชื่นของการเย็นสบายค่อยๆ ลดลงเมื่อแสงแดดแรงขึ้นตามเวลาที่ล่วงเลย เม็ดทรายร้อนระอุใต้รองเท้าเริ่มทำให้ซาเมราเดินได้ช้าลง ธามินผ่อนฝีเท้าพลางส่งน้ำให้เซราจิบเพื่อคลายความร้อนในร่างกาย เขาเคยมาลาดตระเวนทะเลทรายแถบนี้ตอนที่ฝึก ถึงจะระบุได้ไม่แน่ชัดจากเข็มทิศ แต่ก็พอจะบอกได้ว่าหากยังเดินเท้าด้วยความเร็วเท่านี้ ตอนบ่ายคงพบบาซาเล็กๆ พอให้ซื้อของกินมาตุนสำหรับคืนนี้และวันวันรุ่งขึ้นได้
“เดี๋ยวนะคุณ ฉันขอพักหน่อยได้ไหม”
ซาเมราหอบแฮกๆ ไม่นึกว่าตัวเองจะอ่อนแอขนาดนี้ แต่อีตาธามนี่สิทำเหมือนเป็นหุ่นยนต์ ไม่เหนื่อย ไม่หอบ ทำอย่างกับกินน้ำมัน ไขลานตรงไหนเนี่ย
“ก็ได้ครับ แต่เดี๋ยวเดียวเท่านั้นนะ ถ้าคุณพักนานเกินไปจะก้าวขาไม่ออก”
“จริงเหรอ พักนานน่าจะมีแรงสิ ทำไมถึงก้าวขาไม่ออกล่ะ”
ธามินเลิกคิ้วมองเจ้าของดวงตาสีดำสนิท “ที่ก้าวขาไม่ออกเพราะไม่ออกก้าวขาแล้วน่ะสิคุณ ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่ความคิด ถ้าคิดว่าไม่ไหว ต่อให้พักนานแค่ไหน ก็ไม่ไหวอยู่ดี”
“คุณคงลืมไปว่าฉันเป็นผู้หญิง ไม่ใช่ทหารแข็งแบบคุณนะ” เธอแย้งกลับบ้าง
ธามินเพิ่งฉุกคิดว่าเซราไม่ใช่ผู้หญิงแข็งแรงและอดทนไม่ต่างจากผู้ชายอย่างราเนีย เท่าที่เธอเดินมาด้วยกันแล้วไม่บ่นสักคำก็น่าจะพอใจได้แล้ว
“ถ้างั้นคุณพักต่ออีกสักครู่แล้วค่อยเดินทางกันต่อกัน อดทนอีกสักนิดใกล้ถึงบาซาแล้วครับ”
ซาเมรานั่งพักอยู่ไม่นานก็ลุกขึ้นแล้วท่องคำว่าอดทนในใจให้ก้าวขาต่อไป ถึงเธอจะเป็นองค์หญิงก็ต้องไม่ยอมให้ทหารปลายแถวมาดูถูกเด็ดขาด
ธามินหันมามองเพื่อนร่วมทางอยู่บ่อยครั้ง ตาสบตาอย่างบังเอิญทว่าไม่มีคำพูดระหว่างกัน เขาไม่ใช่ผู้ชายมากไมตรีอย่างมาลิค การพูดเอาใจผู้หญิงไม่ใช่วิสัย อีกทั้งผู้หญิงที่มีคู่หมายอยู่แล้วยิ่งต้องระวังคำพูดและการกระทำไม่ให้ใครว่าเอาได้ว่าเป็นถึงราชองครักษ์ แต่ไม่ให้เกียรติสตรี

ข่าวใหญ่ในวังฝ่ายในกลายเป็นเรื่องที่ต้องปิดเม้นไว้เมื่อองค์หญิงซาเมราหายตัวไป อีกทั้งนางกำนัลและคนขับรถที่ติดตามยังหายสาบสูญ รวมทั้งหัวหน้านางกำนัลที่ยังไม่พบตัวเช่นกัน ราเนียพยายามติดต่อหามาลิคหรือยาซิน แต่กลับติดต่อไม่ได้สักคน
ทีมควบคุมและประสานงานถูกเรียกตัวมาประชุมเครียด แม้สีหน้าของแต่ละคนจะไม่เต็มใจนักเมื่อเห็นว่าผู้นำการประชุมเป็นผู้หญิง ถึงวิถีชีวิตของชาวนัวเรด์ดีนจะเริ่มเท่าเทียมกันระหว่างหญิงและชาย แต่การบังคับบัญชาส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีผู้หญิงเป็นผู้นำนัก จึงมีคำพูดลับหลังให้ราเนียนึกโมโหว่าถ้าเธอไม่มีพ่อเป็นนายพลคงไม่ได้เป็นถึงราชองครักษ์
“ภาพจากกล้องวงจรปิดถูกบังไว้ทำให้ไม่เห็นคนลงมือฆ่าครับ” ทหารที่รับผิดชอบหาหลักฐานรายงาน
“แล้วการหายไปของหัวหน้านางกำนัลล่ะ ได้เบาะแสอะไรเพิ่มเติมบ้างไหมคะ” ราเนียสังหรณ์ใจว่าเบาะแสสำคัญอาจอยู่ที่หัวหน้านางกำนัลก็ได้
“มีภาพจากกล้องวงจรปิดอยู่ในมุมที่เห็นไม่ค่อยชัดว่าได้มีรถคันหนึ่งมารับหัวหน้านางกำนัลออกไปจากวังหลังจาก...”
“หลังจากอะไรหรือคะ”
สีหน้าของทหารผู้นั้นไม่สบายใจนักอีกทั้งยังอ้ำอึ้งไม่อยากพูดต่อ แต่เมื่อเห็นสายตาของราเนียที่จ้องมาก็จำต้องพูดออกไป
“หลังจากไปพบกับราชองครักษ์ธามินครับ”
ราเนียยิ่งไม่เข้าใจ “แล้วทหารที่ส่งออกไปตามหาองค์หญิงล่ะได้ร่องรอยอะไรบ้างไหมคะ”
ทหารอีกรายมีสีหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างกันเป็นคนรายงาน “ยังไม่พบอะไรในรัศมีสิบกิโลเมตรครับ แต่ผมขยายรัศมีของการตามหาออกไปแล้ว เมื่อคืนเพิ่งมีพายุทะเลทรายร่องรอยต่างๆ จึงถูกทรายกลบจนหมด ถ้ารู้ว่าองค์หญิงไปไหนคงง่ายขึ้นในการค้นหานะครับ”
เป็นเหตุผลที่ทุกคนต่างเห็นด้วย ทะเลทรายกว้างกว่า 1200 ตารางไมล์การตามหาใครสักคนให้พบโดยเร็วจึงไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วที่ราเนียหนักใจยิ่งกว่านั้นคือธามินหายไปไหนในเวลาสำคัญแบบนี้ เขาไปตามหาองค์หญิงหรือว่าเกิดอะไรขึ้นถึงแก่ชีวิตกันแน่ ราเนียจบการประชุมแล้วขึ้นเครื่องบินทหารเพื่อไปชายแดน เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้อย่างไรก็ต้องรายงานให้ชีคได้รู้หากจะต้องรับโทษก็ต้องยอมรับในความบกพร่องของตัวเอง

ท่ามกลางเปลวแดดในช่วงบ่ายของวันและละอองทรายที่ฟุ้งกระจายจากลมที่พัดแรงในทะเลทราย ทำให้ซาเมราขมวดผ้าฮิญาบแน่นขึ้น ทั้งคู่เดินเร็วบ้าง ช้าบ้าง แต่ไม่หยุดพักนานจนไม่อยากเดินต่อ จนกระทั่งเวลาเที่ยงพระอาทิตย์ตรงหัวพอดี ธามก็ตั้งเต็นท์กลางทะเลทรายโล่งๆ เพื่อหลบแดดที่ร้อนแรงจนเธอคิดว่าหากยังอดทนเดินต่อไปอาจตายเพราะความร้อนที่สูงเกินกว่าร่างกายจะยอมรับได้
“อดทนอีกนิดนะ ใกล้ถึงบาซาที่ผมบอกแล้วล่ะ” ธามินให้กำลังใจ แต่พอไม่มีเสียงกลับมาเขาจึงพูดต่อ “น่าแปลกนะที่คู่รักของคุณทำแบบนี้กับคุณ การเดินทางในทะเลทรายสำหรับผู้หญิงนับว่าเป็นเรื่องลำบากและอันตรายมาก”
ซาเมรายิ้มอยู่ใต้ผ้าโปร่งบาง “ถ้าจับโจรพวกนั้นได้คงดีมากเลยนะ”
ธามินถอนใจเพราะไม่คิดว่าพวกที่ลักพาตัวเป็นโจร แต่น่าจะเป็นคนที่มีความชำนาญในการต่อสู่มากกว่า ถ้าเป็นโจรเรียกค่าไถ่ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงไม่มีอะไรที่บ่งบอกถึงฐานะอันมั่งคั่งเลยสักอย่าง
“คุณจำหน้าคนพวกนั้นได้บ้างไหมครับ ถ้าเจอคนของทางการผมจะได้แจ้งเบะแสไว้”
“คิดว่าจำได้ค่ะ คุณพอมีดินสอหรือปากกาบ้างไหม อ้อ กระดาษด้วย ฉันอยากวาดหน้าโจรให้ดู คนของทางการจะได้จับตัวพวกมันง่ายขึ้น”
เรียวปากหนาคลี่ออกนิดหนึ่งเมื่อเซราคงลืมไปแล้วว่ามีทหารนั่งอยู่ตรงนี้คนหนึ่ง เขาหาปากกาได้หนึ่งด้ามกับด้านหลังที่ว่างเปล่ากระดาษของแผนที่ซึ่งพอจะวาดอะไรได้
เส้นของน้ำหมึกช่างตวัดลื่นไหลเป็นโครงสร้างใบหน้าของชายคนหนึ่งที่ซาเมราจำใบหน้าได้ชัดเจน ธามินมองมือที่กำลังขยับขึ้นลงอย่างคล่องแคล่วหวนให้นึกถึงช่างวาดหญิงที่ชื่อแอลขึ้นมา ใบหน้าจากภาพวาดทำให้รู้ว่าชายคนนี้เป็นคนในพื้นที่ไม่ใช่ชาวต่างชาติ การแต่งตัวกลมกลืนกับชาวบ้าน แต่รอยสักที่ข้อมือด้านในทำให้เขาตะลึงอึ้งเพราะเป็นครั้งที่สองแล้วที่เห็นรอยสักแบบนี้
“คุณแน่ใจนะครับว่าเห็นรอยสักรูปดาวสามแฉกอยู่ที่ข้อมือของคนร้าย”
“แน่ใจสิคะ น่าแปลกมันคือสัญลักษณ์ของอะไรหรือคะ คุณพอจะรู้บ้างไหม” ซาเมราถามเพราะสีหน้าของธามดูเหมือนจะรู้ความหมายของรอยสัก
“คงไม่มีอะไรหรอกครับ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าคุณหายเหนื่อยแล้วก็เดินทางต่อกันดีกว่า”
ธามินเก็บเต็นท์ซ่อนความมั่นใจบางอย่างไว้ภายใต้ดวงตาสีน้ำตาลทองของเขา ยามมองเซราคิ้วหนายิ่งขมวดมุ่นเมื่อเกิดคำถามใหม่ในใจทำให้ไม่เข้าใจบางอย่าง หญิงสาวช่วยเขาพับผ้าเต็นท์แล้วออกเดินทางต่อเงียบๆ ไม่มีเสียงถามไถ่ถึงความเหนื่อยล้าของเธออย่างในช่วงเช้า ซาเมรากำลังสงสัยว่าทำไมธามถึงเคร่งเครียดเมื่อเห็นรอยสักที่เธอวาด

บาซา(Bazar) ที่ธามินจำได้จากการฝึกภาคทะเลทรายอยู่ไกลออกไปอีกไม่กี่ร้อยเมตรเท่านั้น แต่ก็ไกลสำหรับซาเมราที่ล้าจนก้าวขาแทบไม่ออกอยู่แล้ว เธอไม่ใช่ผู้หญิงบอบบางหรืออ่อนแอ ตอนไปเรียนที่อิตาลีก็ใช้การเดินแทนการขับรถไปมหา’ลัยอยู่บ่อยครั้ง แต่การเดินในอากาศเย็นสบายกับอากาศร้อนจัดย่อมทำให้เหนื่อยกันต่างกันมาก
กลิ่นสาบของสัตว์และเสียงเซ็งแซ่ดังมาก่อนที่ทั้งสองจะเดินไปถึงบาซากลางทะเลทราย ส่วนใหญ่เป็นเสียงต่อรองราคาสินค้าของนักเดินทางเพื่อให้ได้ของราคาสมเหตุสมผล ธามินชะลอให้เซราเดินมาสมทบก่อนจะเดินไปซื้อของที่จำเป็นด้วยกัน
“ผมต้องซื้ออูฐแล้วก็อาหารสำหรับเดินทางอีกหนึ่งวัน คุณช่วยดูพวกของกินก็แล้วกัน” เขากระซิบบอก
ซาเมราพยักหน้าพลางสะกิดเขาแล้วบอกเสียงเบา “ฉันไม่มีเงินเลย ข้อยืมเงินคุณก่อนได้หรือเปล่าคะ ถ้ากลับวะ...เอ่อ บ้านเมื่อไหร่ ฉันจะคืนเงินให้คุณนะ”
“ไม่เป็นไรครับ คุณอยากซื้ออะไรก็บอกผมมาแค่นี้เองง่ายๆ ไม่ต้องมาตามคืนเงินผมหรอก”
คนหน้าขรึมเหมือนปวดท้องตลอดเวลาก็มีน้ำใจเหมือนกัน ซาเมราเดินตามธามไปยังบริเวณที่พ่อนำสัตว์ต่างๆ มาขาย มีทั้งอูฐ ม้าและแพะ เขาคุยราคาของอูฐกับพ่อค้าและต่อรองอยู่ไม่นานก็ได้อูฐมาสองตัว เธอจำราคาของอูฐไว้เพื่อที่กลับวังเมื่อไหร่จะได้ใช้เงินคืนเขาได้ถูก
อูฐถูกฝากไว้กับพ่อค้าในระหว่างที่ธามินกับซาเมราเดินมาอีกด้านของบาซาซึ่งมีร้านต่างๆ ที่ของวางขายบนชั้นไม้ปูผ้าทับดูสะอาดดี เธอเห็นขนมหน้าตาแปลกๆ อาหารแห้งอย่างพวกเนื้อตากแห้ง ของสดอย่างเนื้อและไก่ รวมทั้งยังมีไข่และ ของใช้ต่างๆ ที่จำเป็นอีกด้วย
“ฉันขอยืมเงินคุณไปซื้อของใช้ได้ไหมคะ”
ไม่มีคำตอบว่าได้หรือไม่ได้เมื่อเงินถูกส่งให้อย่างมีน้ำใจแล้วธามก็เดินต่อไป ซาเมรารู้สึกสมเพชตัวเองจริงๆ เป็นถึงองค์หญิงกลับไม่มีเงินติดตัวสักเหรียญ แถมยังต้องยืมเงินทหารที่เงินเดือนคงน้อยกว่าภาพที่เธอขายได้ด้วยซ้ำ
ของใช้ที่เซาเมราต้องการมีเพียงแปรงสีฟัน ยาสีฟันแล้วก็สบู่ล้างหน้าเท่านั้น เงินที่เหลือเธอนำมาซื้อขนมกับพวกอาหารแห้งที่ธามซื้อไปบ้างแล้ว ธามินซื้อชุดอบายะห์ให้เซราเปลี่ยนเพื่อไม่ให้คนร้ายจำได้เป็นการป้องกันเอาไว้ก่อน หญิงสาวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องที่แม่ค้าชี้มา การได้เปลี่ยนเสื้อผ้าทำให้เธอรู้สึกสบายตัวขึ้นมาก
ธามินพาซาเมราเดินซื้อของอีกสองสามอย่าง พอเห็นว่าหญิงสาวเริ่มเหนื่อยเขาก็พาไปร้านเล็กๆ ที่ขายน้ำชากับขนมปังสอดใส้เนื้อไก่หมักที่แล้วเอาไปปิ้งก่อนนำมาซ้อนกันหน้าตาคล้ายกะบับ(kebap) ชายหนุ่มสั่งให้ตัวเองกับหญิงสาวคนละชิ้นพร้อมน้ำชา พอซาเมรากินดูถึงรู้ว่ามันอร่อยกว่าอาหารที่เคยกินในวังมากมาย
“มันเรียกว่าอะไรน่ะคุณ ถ้าฉันกลับบ้านไปจะได้ให้คนที่บ้านทำให้กินสักหน่อย”
“ชาวทะเลทรายเรียกว่าชาวาร์มา (shawarma) น่าแปลกนะของพวกนี้หากินได้ง่าย ทำไมคุณถึงไม่เคยกินมาก่อนล่ะ” ธามินเอ่ยอย่างสงสัย
ซาเมรายกชามาดื่มถ่วงเวลา “ฉันเคยกินมาก่อนนะ แต่ไม่รู้ว่ามันชื่ออะไรเท่านั้นเองน่ะคุณ”
ธามินไม่เชื่อในคำพูดของเซราเลยสักนิดเพียงแค่ยังไม่อยากซักไซ้จนกลายเป็นต้อนให้จนมุม หลังจากนั้นไม่มีคำถามอะไรหลุดรอดมาจากเรียวปากสวยอีกเลย ลูกค้ายังเข้ามาในร้านเรื่อยๆ แต่ไม่มีลูกค้าคนไหนดึงดูดความสนใจได้เท่าชายในชุดโตเบสีดำ พันสะระบั่นสีเดียวกัน เขาคิดว่าเคยเห็นชายคนนั้นมาก่อน
“เดี๋ยวผมจะไปจ่ายเงินนะ คุณรอตรงนี้ก่อนอย่าเพิ่งลุกไปไหนนะครับ เดี๋ยวหากันไม่เจอ”
ซาเมราเงยหน้ามองตามก็เห็นธามเดินไปจ่ายเงินแต่ยังทำทีเลือกขนมที่วางขายอยู่อย่างกับยังมีเสบียงไม่พอ เธอเลยสั่งเครื่องดื่มมาอีกแก้วระหว่างรอ นานจนเครื่องดื่มหมดไปค่อนแก้วนั่นล่ะเขาถึงเดินกลับมาที่โต๊ะ สีหน้าเหมือนโกรธใครมาอย่างไรอย่างนั้น
“ไปกันเถอะ ป่านนี้พ่อค้าอูฐคงรอแล้วล่ะ”
ธามินช่วยถือของที่เซราซื้อมาแล้วจับต้นแขนเรียวให้เดินตามมา ถึงเธอจะสงสัยในท่าทีที่แปลกๆ ของเขาแต่ยังไม่สะดวกถาม ทั้งสองกลับไปหาพ่อค้าอูฐแล้วช่วยกันขนสัมภาระและเสบียงขึ้นไปบนตัวอูฐที่นั่งลงตามคำสั่ง
“ขึ้นไปนั่งสิคุณแล้วจับที่หนอกของอูฐไว้นะ เรื่องพวกนี้ผมคิดว่าคุณน่าจะรู้อยู่แล้วล่ะ”
ซาเมราไม่เถียงเพราะเวลาพี่ชายจัดการแข่งขันวิ่งอูฐในกลุ่มเชื้อพระวงศ์ทีไร เธอมักแต่งตัวเป็นผู้ชายไปแข่งด้วยทุกครั้ง พอชนะก็รีบเผ่นก่อนที่จะมีใครรู้ว่าฝ่ายในมาทำตัวแผลงๆ หญิงสาวตบที่คอของอูฐเพื่อแสดงไมตรีระหว่างคนกับสัตว์ก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งแล้วจับหนอกไว้ กระทุ้งขาทีเดียวมันก็ลุกขึ้นโดยที่พ่อค้าไม่ต้องเข้ามาช่วย แล้วการเดินทางก็เริ่มต้นตอนสี่โมงเย็นแดดกำลังอ่อนแสงลงจนเริ่มเย็นสบาย

แล้วจะมา up ต่อนะคะ
อัมราน_บรรพตี



บรรพตี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ต.ค. 2558, 09:14:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ต.ค. 2558, 09:14:43 น.

จำนวนการเข้าชม : 880





<< ตอนที่ 2 ครึ่งหลัง   ตอนที่ 3 ครึ่งหลัง >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account