เงามงกุฎ
ท่านหญิงปลายแถว ไร้ซึ่งศักดิ์อันคู่ควรต่อองค์พระราชาธิบดีแห่งเมลาวีโดยสิ้นเชิง
หาก...องค์รัสเซล...ทรงสนหรือเล่า
ทว่า...ท่านหญิงอาริเซียร์ยอมได้หรือ
พระเกียรติแห่งผู้เป็นที่รักจักถูกทำลายด้วยตน
มงกุฎแห่งราชบัลลังก์ ไยมิใช่เงาอันพร่าพรายที่ขวางกั้นหัวใจทั้งสอง
หนทางใด...ที่สมควรเลือกเดิน
หาก...องค์รัสเซล...ทรงสนหรือเล่า
ทว่า...ท่านหญิงอาริเซียร์ยอมได้หรือ
พระเกียรติแห่งผู้เป็นที่รักจักถูกทำลายด้วยตน
มงกุฎแห่งราชบัลลังก์ ไยมิใช่เงาอันพร่าพรายที่ขวางกั้นหัวใจทั้งสอง
หนทางใด...ที่สมควรเลือกเดิน
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทนำ
บทนำ
โพยมบนมืดครึ้มด้วยกลุ่มเมฆดำทะมึน วิชชุแลบแปลบปลาบพร้อมเสียงครืนลั่นก้องมาแต่ไกล กระแสลมกรรโชกแรงจนต้นไม้รอบด้านไหวโยก ธุลีดินฟุ้งกระจาย ท่ามกลางสายลมหวีดหวิวคือเสียงของหมู่ม้าที่กำลังควบผ่านด้วยความเร็ว หากแล้วกลับมีเสียงเล็ก ๆ แว่วแทรกมาให้ได้ยินบางเบา
"หยุดก่อน" บุรุษผู้อยู่บนหลังม้าที่พุ่งนำหน้ากลุ่มยกมือขึ้นพร้อมส่งเสียงบอกดัง ๆ อีกมือหนึ่งดึงรั้งบังเหียนเพื่อให้อาชาชะลอความเร็วลง ก่อนจะหยุดยืนย่ำเท้าไปมา
"เสียงเด็กร้อง" พูดพลางขมวดคิ้วพร้อมเงี่ยหูฟังเพื่อหาที่มา
กลุ่มผู้ติดตามที่อยู่ทางด้านหลังมองหน้ากันเอง ไม่มีผู้ใดกล่าวอะไรนอกจากทำกิริยาเช่นเดียวกับผู้เป็นนาย
"ทางซ้ายมือ" ใครสักคนอุทานออกมาไม่ดังนัก หากยังช้าไปกว่าม้านำที่สะบัดตัวเปลี่ยนทิศทางมุ่งหน้าไปตามเสียงที่ได้ยิน
ยามอัสดรทะยานผ่านแนวไม้ไปเรื่อย ๆ เสียงร้องไห้นั้นก็ชัดเจนขึ้นทุกขณะ แล้วพลันที่ทุกคนได้ประจักษ์ต่อสายตา เบื้องหน้าคือภาพของสตรีสาวนางหนึ่งกำลังนั่งเอนกายพิงต้นไม้ในลักษณาการอ่อนแรง สองแขนโอบประคองห่อผ้าเล็ก ๆ ไว้อย่างทะนุถนอม เสียงแผดร้องจ้าดังลอดออกมาให้ได้ยินทั่วกัน
หากแล้วสตรีผุ้นั้นพลันแสดงกิริยาประหวั่นลนลานยามเมื่อมองเห็นหมู่ม้าที่กำลังพุ่งตรงไปหา สองแขนโอบกอดห่อผ้าในอ้อมอกอย่างปกป้องหวงแหน ร่องรอยของบาดแผลและโลหิตที่เปรอะเปื้อนอยู่ตามตัวปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน
ผู้เป็นนายของกลุ่มกระโดดลงจากหลังอาชาด้วยความรวดเร็ว แล้วตรงเข้าไปใกล้ร่างที่กำลังเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ริมฝีปากหลุดถ้อยประโยคปลอบประโลม อ่อนโยน
"ไม่ต้องกลัว พวกเราไม่ใช่คนร้าย"
สตรีสาวจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างหวาดระแวง หากแล้วดวงตาพลันเบิกกว้าง มือที่สั่นเทายื่นออกมาคว้าแขนของผู้ที่นั่งคุกเข่าลงข้างกายไว้แน่น หยาดน้ำใสคลอในหน่วยตา
"ไปตรวจรอบ ๆ คอยระวังให้ดี เรากำลังล้ำแดนอยู่"
เสียงใครคนหนึ่งร้องสั่ง ส่งผลให้มือผอมบางที่กำลังจับแขนของอีกฝ่ายอยู่ออกแรงบีบหนัก ๆ ริมฝีปากแห้งผากเผยอน้อย ๆ ดุจจะพยายามกล่าวสิ่งใด หากดูราวจะพูดมิออก ร่างน้อยที่อยู่ในห่อผ้ายังคงร้องไห้จ้า
"ส่งเด็กมาก่อนดีไหม จะให้คนดูแผลให้" เสียงบอกอย่างอ่อนโยน ก่อนจะถูกขัดด้วยเสียงรายงาน
"มีทหารอัลโทเรียกลุ่มหนึ่ง กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้"
ประโยคที่ส่งผลให้หญิงสาวสะดุ้ง เสียงแหบแห้งพลันหลุดจากปาก
"ทะ...ทหาร ไม่...ฝะ...ฝ่าบาท ขอฝาก...เด็ก...คน...นี้"
คำเรียกขานบ่งบอกว่าสตรีสาวรู้ถึง 'ศักดิ์' ของผู้อยู่ตรงหน้า
"เจ้า...เป็นใครกัน" บุรุษผู้ทรงศักดิ์ตรัสถามพร้อมพระขนงที่ขมวดมุ่นด้วยความสงสัย หากยังคงรับทารกน้อยมาอุ้มไว้ในอ้อมพระกร
หยาดน้ำตาของสตรีสาวร่วงริน ดวงหน้านั้นยื่นเข้ามาใกล้วรองค์ที่ประทับอยู่ข้าง ๆ ถ้อยประโยคแผ่วเบาราวกระซิบพร่างพรูอย่างยากลำบาก ตราบข้อความถูกบอกเล่าหมดสิ้น ลมหายใจก็ปลิดปลิวตามแรงเฮือกสุดท้าย
เสียงวชิระลั่นกึกก้อง พิรุณโปรยลงมาบางเบา ดวงพักตร์ที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัยซีดเผือด นานช้ากว่าจะทรงยื่นพระหัตถ์ไปลูบปิดดวงตาที่เปิดค้างของหญิงสาวผู้ปราศจากลมหายใจ สายพระเนตรรานร้าวทอดลงมองเด็กน้อยในอ้อมพระพาหา ทรงลุกขึ้นยืนช้า ๆ พระกรโอบกระชับร่างเล็ก ๆ แน่นพลางตวัดผ้าคลุมมาบังหยาดฝนมิให้ตกกระทบ
หนึ่งในผู้ติดตามเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะทูลด้วยน้ำเสียงเบา
"ฝ่าบาท...ทหารอัลโทเรียใกล้เข้ามาทุกทีแล้วกระหม่อม ทรงอยู่ที่นี่นานไมได้ จะเสด็จตามกำหนดการเดิม หรือว่า..."
"กลับ..." รับสั่งสวนขึ้นทันควัน กระแสพระสุรเสียงเศร้าแกมอ่อนล้า "เพราะ...ไม่มีประโยชน์แล้ว สายเกินไป"
เด็กน้อยยังคงร้องไห้ด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง พระเนตรสีเทาทอดไปยังร่างไร้วิญญาณ ก่อนจะผินพระพัตกร์มาสบกับผู้ติดตาม "พานางกลับไปด้วย แล้วหาที่พักให้นางได้นอนหลับอย่างสบาย"
ผู้ติดตามค้อมศีรษะลงรับพระบัญชา ขณะที่อีกฝ่ายก้มพระพักตร์ลงตรัสกับร่างเล็กในอ้อมพระพาหาอย่างอ่อนโยนทว่าขมขื่นยิ่ง
"กลับไปด้วยกันนะ กลับบ้านของเรา..."
โพยมบนมืดครึ้มด้วยกลุ่มเมฆดำทะมึน วิชชุแลบแปลบปลาบพร้อมเสียงครืนลั่นก้องมาแต่ไกล กระแสลมกรรโชกแรงจนต้นไม้รอบด้านไหวโยก ธุลีดินฟุ้งกระจาย ท่ามกลางสายลมหวีดหวิวคือเสียงของหมู่ม้าที่กำลังควบผ่านด้วยความเร็ว หากแล้วกลับมีเสียงเล็ก ๆ แว่วแทรกมาให้ได้ยินบางเบา
"หยุดก่อน" บุรุษผู้อยู่บนหลังม้าที่พุ่งนำหน้ากลุ่มยกมือขึ้นพร้อมส่งเสียงบอกดัง ๆ อีกมือหนึ่งดึงรั้งบังเหียนเพื่อให้อาชาชะลอความเร็วลง ก่อนจะหยุดยืนย่ำเท้าไปมา
"เสียงเด็กร้อง" พูดพลางขมวดคิ้วพร้อมเงี่ยหูฟังเพื่อหาที่มา
กลุ่มผู้ติดตามที่อยู่ทางด้านหลังมองหน้ากันเอง ไม่มีผู้ใดกล่าวอะไรนอกจากทำกิริยาเช่นเดียวกับผู้เป็นนาย
"ทางซ้ายมือ" ใครสักคนอุทานออกมาไม่ดังนัก หากยังช้าไปกว่าม้านำที่สะบัดตัวเปลี่ยนทิศทางมุ่งหน้าไปตามเสียงที่ได้ยิน
ยามอัสดรทะยานผ่านแนวไม้ไปเรื่อย ๆ เสียงร้องไห้นั้นก็ชัดเจนขึ้นทุกขณะ แล้วพลันที่ทุกคนได้ประจักษ์ต่อสายตา เบื้องหน้าคือภาพของสตรีสาวนางหนึ่งกำลังนั่งเอนกายพิงต้นไม้ในลักษณาการอ่อนแรง สองแขนโอบประคองห่อผ้าเล็ก ๆ ไว้อย่างทะนุถนอม เสียงแผดร้องจ้าดังลอดออกมาให้ได้ยินทั่วกัน
หากแล้วสตรีผุ้นั้นพลันแสดงกิริยาประหวั่นลนลานยามเมื่อมองเห็นหมู่ม้าที่กำลังพุ่งตรงไปหา สองแขนโอบกอดห่อผ้าในอ้อมอกอย่างปกป้องหวงแหน ร่องรอยของบาดแผลและโลหิตที่เปรอะเปื้อนอยู่ตามตัวปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน
ผู้เป็นนายของกลุ่มกระโดดลงจากหลังอาชาด้วยความรวดเร็ว แล้วตรงเข้าไปใกล้ร่างที่กำลังเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ริมฝีปากหลุดถ้อยประโยคปลอบประโลม อ่อนโยน
"ไม่ต้องกลัว พวกเราไม่ใช่คนร้าย"
สตรีสาวจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างหวาดระแวง หากแล้วดวงตาพลันเบิกกว้าง มือที่สั่นเทายื่นออกมาคว้าแขนของผู้ที่นั่งคุกเข่าลงข้างกายไว้แน่น หยาดน้ำใสคลอในหน่วยตา
"ไปตรวจรอบ ๆ คอยระวังให้ดี เรากำลังล้ำแดนอยู่"
เสียงใครคนหนึ่งร้องสั่ง ส่งผลให้มือผอมบางที่กำลังจับแขนของอีกฝ่ายอยู่ออกแรงบีบหนัก ๆ ริมฝีปากแห้งผากเผยอน้อย ๆ ดุจจะพยายามกล่าวสิ่งใด หากดูราวจะพูดมิออก ร่างน้อยที่อยู่ในห่อผ้ายังคงร้องไห้จ้า
"ส่งเด็กมาก่อนดีไหม จะให้คนดูแผลให้" เสียงบอกอย่างอ่อนโยน ก่อนจะถูกขัดด้วยเสียงรายงาน
"มีทหารอัลโทเรียกลุ่มหนึ่ง กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้"
ประโยคที่ส่งผลให้หญิงสาวสะดุ้ง เสียงแหบแห้งพลันหลุดจากปาก
"ทะ...ทหาร ไม่...ฝะ...ฝ่าบาท ขอฝาก...เด็ก...คน...นี้"
คำเรียกขานบ่งบอกว่าสตรีสาวรู้ถึง 'ศักดิ์' ของผู้อยู่ตรงหน้า
"เจ้า...เป็นใครกัน" บุรุษผู้ทรงศักดิ์ตรัสถามพร้อมพระขนงที่ขมวดมุ่นด้วยความสงสัย หากยังคงรับทารกน้อยมาอุ้มไว้ในอ้อมพระกร
หยาดน้ำตาของสตรีสาวร่วงริน ดวงหน้านั้นยื่นเข้ามาใกล้วรองค์ที่ประทับอยู่ข้าง ๆ ถ้อยประโยคแผ่วเบาราวกระซิบพร่างพรูอย่างยากลำบาก ตราบข้อความถูกบอกเล่าหมดสิ้น ลมหายใจก็ปลิดปลิวตามแรงเฮือกสุดท้าย
เสียงวชิระลั่นกึกก้อง พิรุณโปรยลงมาบางเบา ดวงพักตร์ที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัยซีดเผือด นานช้ากว่าจะทรงยื่นพระหัตถ์ไปลูบปิดดวงตาที่เปิดค้างของหญิงสาวผู้ปราศจากลมหายใจ สายพระเนตรรานร้าวทอดลงมองเด็กน้อยในอ้อมพระพาหา ทรงลุกขึ้นยืนช้า ๆ พระกรโอบกระชับร่างเล็ก ๆ แน่นพลางตวัดผ้าคลุมมาบังหยาดฝนมิให้ตกกระทบ
หนึ่งในผู้ติดตามเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะทูลด้วยน้ำเสียงเบา
"ฝ่าบาท...ทหารอัลโทเรียใกล้เข้ามาทุกทีแล้วกระหม่อม ทรงอยู่ที่นี่นานไมได้ จะเสด็จตามกำหนดการเดิม หรือว่า..."
"กลับ..." รับสั่งสวนขึ้นทันควัน กระแสพระสุรเสียงเศร้าแกมอ่อนล้า "เพราะ...ไม่มีประโยชน์แล้ว สายเกินไป"
เด็กน้อยยังคงร้องไห้ด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง พระเนตรสีเทาทอดไปยังร่างไร้วิญญาณ ก่อนจะผินพระพัตกร์มาสบกับผู้ติดตาม "พานางกลับไปด้วย แล้วหาที่พักให้นางได้นอนหลับอย่างสบาย"
ผู้ติดตามค้อมศีรษะลงรับพระบัญชา ขณะที่อีกฝ่ายก้มพระพักตร์ลงตรัสกับร่างเล็กในอ้อมพระพาหาอย่างอ่อนโยนทว่าขมขื่นยิ่ง
"กลับไปด้วยกันนะ กลับบ้านของเรา..."

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ต.ค. 2558, 16:30:57 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 พ.ย. 2558, 12:44:12 น.
จำนวนการเข้าชม : 987


Zephyr 17 ต.ค. 2558, 02:19:32 น.
เด็กนี่คือใครๆๆๆๆๆๆๆๆ
อยากรู้แล้ววววววววววววววววววว
เปิดมาอัลโทเรีย
เกี่ยวโยงเรื่องเดิมแน่เลยๆๆๆๆ
รอค่า รอค่า ลงชื่อๆๆๆๆ
ตามมาตั้งแต่อาเรียน้อยๆแล้ว
เด็กนี่คือใครๆๆๆๆๆๆๆๆ
อยากรู้แล้ววววววววววววววววววว
เปิดมาอัลโทเรีย
เกี่ยวโยงเรื่องเดิมแน่เลยๆๆๆๆ
รอค่า รอค่า ลงชื่อๆๆๆๆ
ตามมาตั้งแต่อาเรียน้อยๆแล้ว


น้ำตาหัวใจ 21 พ.ย. 2558, 11:01:59 น.
มาแล้วค๊า รอถล่มไหดอง ไอน์จังเจ้าเก่าคะ อิอิ
มาแล้วค๊า รอถล่มไหดอง ไอน์จังเจ้าเก่าคะ อิอิ