ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: ลำนำผีเสื้อโลหิต : บทที่ ๒ ภารกิจคำทำนาย

ลำนำผีเสื้อโลหิต : บทที่ ๒ ภารกิจคำทำนาย

ฤดูใบไม้ผลิที่เวียนมาถึงอีกคราคือสัญญาณการเริ่มต้นปีใหม่ ปีนี้เปรียบได้กับ ‘ปีแห่งการพลัดพราก’ สำหรับเจ้ ไม่ทันพ้นเดือนหนึ่ง บรรดาเพื่อนสนิทก็ต้องเดินทางไกล ไม่ก็ขาดการติดต่ออย่างเลี่ยงไม่ได้

แว่นเป็นคนแรกที่หายไปเพราะต้องเก็บตัว เขาสัญญากับบิดาว่าจะไม่ออกไปนอกสกุลเฉินและไม่พบปะผู้ใดระยะหนึ่ง เจ้ทราบความจำเป็นของเพื่อน จึงงดไปหาที่สกุลเฉินชั่วคราว เพื่อไม่ให้รู้สึกลำบากใจและป้องกันข่าวลือเสียหายอีกทาง

คนต่อมาที่หายหน้าไปก็คือหน่อม รายนี้ส่งจดหมายมาบอกว่าจะไปถือศีลที่วัดในไห้ซิว และจะไม่กลับมาอีกระยะใหญ่ หน่อมบอกว่างานหมั้นระหว่างแม่ทัพต่งกับองค์หญิงลี่จูถูกเลื่อนไป เพราะท่านแม่ทัพถูกส่งไปรบกะทันหัน

ขณะนี้เจียงเฉียงยังคงสงบ แต่แคว้นอี้ป่ายซึ่งเป็นเมืองขึ้นถูกแคว้นจงเย่าที่มีอาณาเขตติดกันรุกราน หากยันไว้ไม่ได้ ข้าศึกจะทะลักเข้ามายึดดินแดนบางส่วนไป ฮ่องเต้จึงมีบัญชาให้แม่ทัพต่งพร้อมด้วยขุนพลคู่ใจนำกำลังทหารไปช่วย แม่ทัพต่งให้คำมั่นว่าจะกลับมาก่อนใบไม้เปลี่ยนสี ระหว่างนั้นองค์หญิงลี่จูจึงขออนุญาตเดินทางไปยังวัดทางเหนือ เพื่อถือศีลและขอพรให้แม่ทัพหนุ่มมีชัยกลับมา

ส่วนโบ้นั้นมาลาด้วยตัวเองถึงหอคณิกา หลังจากไปอยู่ในวังมาพักใหญ่ มีโอกาสพบคณะทูตและผู้คนมากหน้าหลายตา โบ้ก็ตระหนักว่าโลกนี้ช่างกว้างใหญ่ มีอะไรที่ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นอีกมากมาย จึงปรารถนาจะออกไปเผชิญโลกกว้าง โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ ‘เสาะแสวงหาหนุ่มหล่อขั้นเทพที่แซ่บยิ่งกว่าโอปป้า’

เจ้จิกตาใส่เป้าหมายของตุ๊ดไร้สติอย่างเพลียๆ ถึงกระนั้นก็ไม่คิดห้าม ด้วยคิดว่าชีวิตเป็นของโบ้ จะใช้อย่างไรก็สุดแท้แต่ใจเจ้าของ เจ้จัดการห่อขนมนมเนยให้กินระหว่างเดินทาง แล้วอวยพรให้ปลอดภัย

โบ้กลับไปไม่กี่อึดใจ ห้องเจ้ก็ถูกบุรุษที่ไม่เธอไม่ใคร่พบหน้าบุกรุก องค์ชายสามย่องมาด้านหลัง แล้วเกยคางบนบ่า

“แผลที่หน้าหายแล้ว เลยอยากได้รอยเพิ่มอีกหรือเพคะ” เจ้กรีดนิ้วมือที่มีเล็บคมกริบ

แผลที่ใบหน้าคราวก่อนเกิดเพราะองค์ชายลี่หมิงเมาจนเผลอเล่นเลยเถิด เขาแกล้งอุ้มเจ้ไปยังเตียงแล้วจับกด คณิกาผู้เลอโฉมไม่ดิ้นไม่ร้อง แต่เตะเข้ากลางกล่องดวงใจ แถมรอยข่วนบนใบหน้าให้ ก่อนจะออกจากวังด้วยความโมโห

“ถ้าได้อยู่บนเตียงเดียวกันกับเจ้าอีกก็นับว่าคุ้มนะ” ชายหนุ่มไล้ลิ้นกับริมฝีปาก

เขาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วหากำไรให้ตัวเองด้วยการซุกไซ้คอขาวเนียน ผลคือถูกตีศอกใส่สีข้างจนจุก

“ถ้าปลื้มปานนั้นจะลองอีกก็ได้นะเพคะ แต่หม่อมฉันไม่รับประกันว่าจะเผลอตกใจจนควักลูกตาออกมาหรือเปล่า” เจ้ขู่เสียงเย็น

“รู้ไหมว่าเวลาพูดกับข้าแบบนี้ เจ้าดูมีเสน่ห์เสียจริง ถ้าได้ยินบ่อยๆ ข้าคงมีความสุขมาก” คนที่ไม่เคยเข็ดหลาบกับการยั่วโมโหยิ้มกรุ้มกริ่ม

“ถ้าเช่นนั้นให้หม่อมฉันทำตามที่พูดเลยไหมเพคะ รับรององค์ชายต้องมีความสุขจนขึ้นสวรรค์แน่”

ขึ้นสวรรค์ในกรณีนี้หมายถึงถึงฆาต ไม่ได้สื่อความสองแง่สามง่ามแต่อย่างใด องค์ชายลี่หมิงทราบความหมายแต่ก็ยังกะล่อนต่อไปได้

“ให้ข้าตอบแทนด้วยการพาเจ้าขึ้นสวรรค์เองดีกว่า”

เจ้ถอนใจแรงอย่างจงใจ ตราบใดที่องค์ชายลี่หมิงยังมีความสุขกับการโต้คารม บทสนทนาคงไม่จบลงโดยง่าย

“นายใหญ่มาถึงนี่มีอะไรให้รับใช้เจ้าคะ” เจ้เปลี่ยนสรรพนามเมื่อคร้านจะเถียงด้วย

“ไปจุ้ยห้านด้วยกันไหม” องค์ชายสามชวน

“มีงานอะไรให้ทำหรือ” เจ้ถามอย่างระแวง

นายใหญ่เคยใช้งานผีเสื้อโลหิตที่จุ้ยห้านครั้งหนึ่ง ครานั้นหงเซียนได้อาละวาดจนสะใจ หากนำเลือดของศัตรูในวันนั้นมาใช้ได้ คงหมดปัญหาเรื่องการขาดแคลนน้ำดื่มน้ำใช้ไปเป็นเดือน

“ไม่มีภารกิจอะไรทั้งนั้น หนนี้ข้าจะไปนานหน่อย เลยห่วงว่าเจ้าอาจคิดถึง”

ในฐานะเจ้าเมือง โอกาสได้กลับมายังเมืองหลวงมีแค่ปีละหน แม้เขาจะแอบกลับประจำ แต่ก็เห็นเค้าลางว่าไม่แน่อาจเกิดเรื่องจนทิ้งเมืองไม่ได้ปลายปี

“ถ้าไม่มีงาน เห็นทีต้องขอปฏิเสธ”

“อย่าหยิ่งนักเลย ข้าอุตส่าห์ชวนเชียวนะ” องค์ชายสามยังคงตื๊อ

“ไม่เพคะ ไม่เจ้าค่ะ ไม่ก็คือไม่” เจ้เอ่ยอย่างเด็ดขาด

คนถูกปฏิเสธทั้งในฐานะองค์ชายและนายใหญ่ค่อนข้างผิดหวัง หนนี้เขาอยากให้นางไปด้วยกันจริงๆ ไม่รู้ทำไมจึงไม่อยากทิ้งไปนานๆ ชายหนุ่มยอมกระทั่งลดศักดิ์อ้อนวอนอีกครั้ง ทว่านางก็ไม่ใจอ่อน องค์ชายลี่หมิงเข้าใจอุปนิสัยแสนดื้อดึงดี จึงต้องตัดใจกลับไปลำพัง

หากองค์ชายลี่หมิงรู้อนาคต คงดึงดันพาตัวนางไปด้วยให้ได้ แต่เมื่อไม่รู้ เหตุการณ์จึงดำเนินไปตามลิขิต เส้นทางอันโชกชุ่มด้วยหยาดน้ำตาและความทุกข์ของฟางเซียนกำลังถูกเปิดออก กว่าองค์ชายสามจะรู้ตัว ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว


เมื่อนายใหญ่จอมวุ่นวายจากไป ประกอบกับเพื่อนฝูงขาดการติดต่อ เจ้ก็กลับมาใช้ชีวิตในแบบตัวเอง ช่วงนี้เธอกำลังเห่อร้านน้ำชาที่เพิ่งเปิดมาได้สามเดือน จึงแวะไปที่ร้านเกือบทุกวัน เพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตา เจ้จึงมักมาถึงร้านก่อนฟ้าสว่าง แรกๆ พวกลูกจ้างตกใจอยู่บ้างเพราะนึกว่าขโมย แต่พอเริ่มชินก็ไม่เป็นปัญหา ถ้าเห็นควันจากเตาอบก็จะรู้กันว่าวันนี้นายหญิงเข้าร้าน

ร้านน้ำชาของเจ้เหมือนร้านน้ำชาทั่วไป คือขายน้ำชากับขนม ที่พิเศษคือมีเครื่องดื่มร้อนเย็นให้เลือกหลากหลาย ทั้งยังมีขนมรสชาติเยี่ยมที่ไม่มีขายที่อื่นด้วย เมื่อเล่าลือปากต่อปากมากเข้า ผู้คนจึงพากันมารอซื้อขนมที่เพิ่งอบเสร็จใหม่ๆ

ชิฟฟอนเค้กของเจ้ขายดีมาก แต่กลับทำขายในจำนวนน้อยทำให้ต้องยื้อแย่งกัน เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวาย จึงต้องออกกฎว่าคนหนึ่งซื้อได้หนึ่งกล่องเท่านั้น เจ้ไม่เพิ่มปริมาณการผลิต เพราะอยากรักษาคุณภาพเอาไว้มากกว่าแสวงหากำไรในช่วงสั้นๆ

เค้กไม่ใช่ของทำยาก ขอแค่ลิ้นดีก็สามารถแยกแยะส่วนประกอบได้ นานวันเข้าก็ต้องมีเจ้าอื่นทำเลียนแบบ รสชาติกับคุณภาพจึงสำคัญที่สุด เจ้เน้นย้ำให้ลูกจ้างทำขนมอย่างพิถีพิถันทุกขั้นตอน พวกสูตรลับหรือเครื่องปรุงเฉพาะก็ให้คนที่ไว้ใจได้ดูแล กิจการจึงดำเนินไปได้อย่างราบรื่น

ทุกครั้งที่มาที่ร้าน เจ้จะตรวจสอบบัญชีก่อน เพื่อดูยอดขายว่าควรลดหรือเพิ่มสินค้าประเภทใด จัดการเสร็จค่อยเข้าครัวทำขนม เจ้ไม่เข้าไปแตะต้องในส่วนของขายประจำวัน แต่จะทำเมนูพิเศษขึ้นมาตามอารมณ์ เพื่อแจกให้แขกที่แวะมานั่งดื่มน้ำชาเป็นกรณีพิเศษ

เจ้สำรวจวัตถุดิบอยู่พักหนึ่งก็ตัดสินใจทำบิสกิต ขนมชนิดนี้ใช้วัตถุดิบไม่มาก ทั้งยังอบในเตาแบบโบราณที่คุมไฟลำบากได้ เจ้นั่งทำขนมเสียงดังกุกกักในครัวได้สักพัก ประตูห้องก็เปิดออก เด็กหญิงวัยสิบขวบคนหนึ่งเดินเข้ามา พอเห็นเจ้นางก็ยิ้มประจบ

“นายหญิงให้อาจูช่วยนะเจ้าคะ”

“ข้าแค่ทำอะไรเล่นเรื่อยเปื่อยเท่านั้น เจ้ากลับไปนอนเถิด” เจ้ไล่เพราะเห็นว่าอีกนานกว่าจะสว่าง

“อาจูไม่ง่วงเจ้าค่ะ ให้อาจูช่วยนะเจ้าคะ อาจูอยากทำประโยชน์ให้นายหญิง”

เจ้เห็นความตั้งใจจึงใช้ให้ไปหยิบถ้วย อาจูทำตามคำสั่งอย่างกระตือรือร้น เสร็จแล้วก็มายืนข้างๆ รอคำสั่งต่อไป

สักพักหนึ่งก็มีคนเข้ามาอีก อาผิง พี่สาววัยสิบแปดของอาจูดุน้องทันทีที่เห็นว่าลุกจากเตียงมาอยู่ในครัวเล็ก

“เจ้ากำลังรบกวนนายหญิงนะ”

‘ครัวเล็ก’ ของที่นี่ใช้เก็บวัตถุดิบสำคัญ รวมถึงเป็นสถานที่ส่วนตัวสำหรับทดลองทำขนมของนายหญิง นอกจากนางกับท่านแม่ซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดูแล ห้ามคนอื่นเข้ามาวุ่นวายเด็ดขาด

“อาจูอยากช่วยก็ปล่อยนางเถอะ ให้หัดเอาไว้ก็ดี ต่อไปจะได้ช่วยกันทำงาน”

เมื่อนายหญิงเข้าข้าง เด็กหญิงก็ขยับมาหลบหลังเจ้ แล้วแลบลิ้นใส่พี่สาว

“อาจู!” อาผิงเอ็ดน้อง “อย่าคิดว่านายหญิงเมตตาแล้วจะกำเริบได้นะ ถ้ายังดื้ออีก ข้าจะฟ้องท่านแม่”

“อย่านะพี่ผิงผิง ข้าผิดไปแล้ว!” เด็กซนรีบขอโทษ

เจ้มองเด็กกลัวไม้เรียวแล้วยิ้มขัน ถ้าเธออายุเท่านี้ก็คงกลัวอันฮูหยินเหมือนกัน แม้นางจะเป็นสตรีร่างเล็กผอมบาง แต่เวลาลงโทษกลับไม่เคยยั้งมือเลย

“ยังเช้าอยู่มาก เจ้าไปนอนต่อไม่ดีกว่าหรืออาผิง วันนี้ยังต้องทำงานอีกมาก”

ขณะนี้กำลังหลักของร้านคือแม่ลูกสกุลอัน สามีของอันฮูหยินเสียชีวิตไปโดยทิ้งลูกเจ็ดคนไว้ให้ดูแล แปดชีวิตอยู่อย่างยากจนข้นแค้น จนกระทั่งอาเปาซึ่งเป็นพี่ชายคนโตได้ทำงานในสกุลเฉิน ความเป็นอยู่จึงดีขึ้นบ้าง แต่ชีวิตของทุกคนมาพลิกผันจริงๆ ก็ตอนเจ้ตัดสินใจจ้างทั้งครอบครัวเป็นลูกจ้าง

เจ้เชื่อคำโฆษณาของแว่นว่าครอบครัวนี้มีจิตใจดี แม้จะยากไร้ก็ไม่บกพร่องเรื่องศีลธรรม พอได้สัมผัสก็รู้ว่าคำพูดของเพื่อนไม่เกินจริงเลย แม่ลูกสกุลอันล้วนขยันขันแข็งและซื่อสัตย์มาก

“ข้าตั้งใจตื่นมาดูแป้งหมักเจ้าค่ะ คนงานเพิ่งเอาส่าเหล้าชนิดใหม่มา เลยอยากลองเอาไปทำขนมดู”

ส่าเหล้ามีอีกชื่อที่คุ้นหูคือยีสต์ มันเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตแอลกอฮอล์และขนมปัง โลกนี้ไม่มีของสำเร็จรูป จึงต้องทดลองนำส่าเหล้าชนิดต่างๆ มาทำอาหารดูว่าอย่างไหนเหมาะจะใช้กับอะไร เจ้ทดลองเองในช่วงแรก แล้วส่งต่องานให้อาผิงทดลองและบันทึกผลในช่วงที่ว่าง

“เห็นเจ้าขยันขันแข็ง ข้าก็ยินดี แต่อย่าลืมถนอมสุขภาพด้วย ถ้ารู้สึกเหนื่อยก็กลับบ้านไปงีบหลับได้”

“ขอบคุณนายหญิงที่เมตตาเจ้าค่ะ” หญิงสาวรับคำแล้วไปทำงานต่ออย่างขยันขันแข็ง

พอใกล้สว่าง คนอื่นๆ ก็ตื่นตามมา อาหลันซึ่งเป็นลูกสาวคนที่สามถามทันทีที่พบหน้าว่าเช้านี้อยากกินอะไร เด็กสาวไม่ถนัดทำของหวานอย่างพี่ แต่มีฝีมือดีในเรื่องของคาว

ลูกชายอีกสามคนของอันฮูหยินไม่มาวุ่นวายกับเจ้ แต่รุดไปทำหน้าที่ทันทีที่ตื่น สองคนเล็กช่วยทำความสะอาดร้านก่อนไปโรงเรียน ส่วนอาซานวัยสิบเจ็ดคอยตระเตรียมวัตถุดิบ ตรวจสอบว่ามีอะไรขาดเหลือแล้วสั่งเข้ามาในร้าน

เจ้แสนภูมิใจกับบรรดาลูกจ้าง ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ คงมีกำไรมากพอให้นำเงินไปลงทุนทำอย่างอื่นเพิ่ม เจ้นั่งดีดลูกคิดอย่างพอใจ แม้กำไรจากร้านนี้ทั้งปีจะไม่เท่าเงินที่ได้จากการร่ายรำเพียงคืนเดียว แต่เธอก็สุขใจที่ได้ทำสิ่งที่รัก

หญิงสาวกำลังวางแผนอนาคตเพลินๆ หน้าร้านก็มีเสียงเอะอะ เจ้เห็นว่ายังไม่ใช่เวลาเปิดร้านจึงเงี่ยหูฟังการสนทนา

“เถ้าแก่เนี้ยอยู่ไหม” เสียงคุ้นหูของหญิงสาวคนหนึ่งดังลั่น

“ข้านี่แหละเถ้าแก่เนี้ย มีอะไรหรือเจ้าคะคุณหนู” อันฮูหยินออกไปรับหน้า

“ไม่ใช่เจ้า คือ...ข้าหมายถึงเถ้าแก่เนี้ยตัวจริง หมายถึงนายหญิงชิงชิงน่ะ” นางเอ่ยอย่างรีบร้อน

อันฮูหยินทำหน้าประหลาดใจ แม้คนทั่วไปจะทราบว่าร้านนี้เป็นของสกุลเป้า แต่ก็ไม่รู้ว่าเจ้าของที่แท้จริงคือนายหญิงชิงชิง

“นั่นซือซือใช่หรือเปล่า” เจ้เยี่ยมหน้าออกมาจากหลังร้าน

“นายหญิง ท่านอยู่นี่เอง” ซือซือทำท่าโล่งใจ “ข้าอยากให้ท่านกลับหอ...”

“ออกไปข้างนอกแล้วค่อยคุยกัน” เจ้รีบห้ามก่อนสาวใช้จะหลุดปากเปิดเผยสถานะของตน ขณะนี้เธออยู่ในฐานะหลานสาวของเศรษฐีสกุลเป้า จึงหวังจะรักษาสถานะนี้ไว้เพื่อความสะดวก

ซือซือกลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อเห็นนายหญิงทำตาดุ นางรีบตามออกมาหน้าร้านแล้วแจ้งธุระ

“พวกพรานมารอพบนายหญิงเจ้าค่ะ”

‘พวกพราน’ หมายถึงคนของพรานราตรี คนของหอซูเมิ่งส่วนใหญ่รู้จักคนพวกนี้ในฐานะแขกพิเศษ มีน้อยคนนักที่จะรู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว พวกเขาทำงานรับจ้างสืบข่าวเรื่อยไปจนถึงลอบสังหาร

เจ้สั่งซือซือว่าถ้ามีพวกพรานมาหาเมื่อไรให้รีบมาบอก เธอจ้างคนในองค์กรสืบหาข้อมูลของแหวนวงหนึ่ง พวกนั้นเงียบหายไปหลายเดือน จนเจ้เริ่มวิตกว่าอาจไม่ได้ของที่ต้องการมา เธอจำเป็นต้องใช้แหวนวงนี้เพื่อรักษาชีวิตของแว่น ผู้เฒ่าที่วัดปี่กานย้ำอย่างหนักแน่นว่าต้องเป็นแหวนวงนี้เท่านั้น ถึงจะสามารถเปลี่ยนชะตากรรมของกุ้ยฮวาได้ เจ้เชื่อคำทำนายหมดใจ จึงบอกตัวเองมาตลอดว่าต้องพยายาม

“ขอบใจเจ้ามาก” เจ้เอ่ยกับสาวใช้ด้วยน้ำเสียงสดใส เธอเร่งฝีเท้าไปยังรถม้าที่ซือซือเตรียมไว้ ในใจเปี่ยมไปด้วยความหวังว่าจะได้พบข่าวดี

“เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้วเจ้าค่ะ” ซือซือถอนใจอย่างโล่งอกที่นายหญิงพอใจ

ลึกๆ แล้วซือซือกลัวฟางเซียนมาก หญิงสาวรับใช้ใกล้ชิดจึงเคยพบหงเซียน แม้หงเซียนจะไม่ได้ทำอะไรนาง แต่สายตาเย็นเยือกของมือสังหารก็ทำให้นางสั่นสะท้านทั้งตัว และจำฝังใจจนทุกวันนี้ เลยออกจะหวาดๆ ไม่อยากให้นายหญิงโมโห


คนของพรานราตรีรออยู่ในห้องพิเศษชั้นห้า ชายหนุ่มได้รับการต้อนรับอย่างดีตามคำสั่งของเชี่ยนหนิงซึ่งเป็นนายหญิงของที่นี่ ชายหนุ่มแต่งกายอย่างพ่อค้า แต่คนทำหน้าที่ต้อนรับรู้ว่าไม่ใช่ หากทำงานมานานและช่างสังเกตพอ ก็จะแยกแยะความแตกต่างระหว่างพ่อค้าจริงๆ กับพวกพรานที่ปลอมตัวมาได้

จุดสังเกตแรกคือ พ่อค้ามักมีผู้ติดตามมาด้วยและไม่พกอาวุธ ในขณะที่พวกพรานมาเพียงลำพังและพกของมีคมไว้ไม่ห่างกาย จุดสังเกตอย่างที่สองคือ พ่อค้าที่ไม่ใช่เศรษฐีหรือคนสำคัญจะไม่ได้รับการต้อนรับอย่างดีในห้องพิเศษ เว้นแต่พวกพรานที่แม้จะแต่งกายมอซอก็ยังได้รับการปรนนิบัติ ประการสุดท้ายคือ บรรยากาศแสนลึกลับที่ห่อหุ้มตัวอยู่ สายตาของพวกพรานมีแรงกดดันบางอย่างที่ให้ความรู้สึกว่าไม่ใช่คนปกติ

พนักงานของหอซูเมิ่งบริการแขกผู้แสนน่ากลัวเป็นอย่างดี แม้จะหวาดหวั่นต่อความเคร่งขรึมและใบหน้าดุดัน ก็ยังเก็บอารมณ์ได้ จนกระทั่งฟางเซียนมาถึง

“ออกไปได้แล้ว” เจ้ไล่คนไม่เกี่ยวข้องออกไป

หนึ่งหนุ่มกับสองสาวรีบออกไปอย่างยินดี เมื่อพ้นกรอบประตูไปได้ ก็พร้อมใจกันถอนใจอย่างโล่งอก แล้วบ่นเป็นเสียงเดียวว่าไม่ขอรับใช้พวกพรานอีกแล้ว

คำนินทารู้ถึงคนในห้องเพราะเขามีประสาทหูดียิ่ง ชายหนุ่มชินชากับเรื่องเช่นนี้จึงไม่คิดเอาความ เขารอจนมั่นใจว่าไม่มีใครแอบฟังจึงเอ่ยธุระ

“สิ่งที่เจ้าต้องการอยู่ในนี้” ชายหนุ่มยื่นซองจดหมายไปตรงหน้า

“ราคาล่ะ”

“หมื่นทอง”

เงินจำนวนนี้ถือว่าเยอะมาก แต่เจ้ก็ยินดีจ่าย

“ถ้ามั่นใจว่าถูกต้องก็ไปรับจากนายแม่ได้เลย”

ฟางเซียนฝากเงินจำนวนมากไว้กับเชี่ยนหนิง ทั้งค่าตอบแทนจากการร่ายรำจนถึงค่าตอบแทนจากภารกิจลอบสังหาร เจ้ไม่เคยเอามาใช้เพราะไม่ค่อยอยากแตะต้องเงินที่ได้จากการเข่นฆ่าชีวิตผู้อื่น รวมถึงขี้เกียจดูแลทองคำจำนวนมาก จึงยังไม่เบิกมาใช้

“ข่าวนี้แม่นยำแน่นอน” ชายหนุ่มยืนยันหนักแน่น

เจ้เปิดจดหมายออกอ่าน ด้านในมีข้อความว่าสิ่งที่ตามหาอยู่กับเศรษฐีหลี่

‘เศรษฐีใหญ่ประจำเมืองหลวงงั้นรึ ชักจะยุ่งเสียแล้วสิ’

สกุลหลี่มีทรัพย์สมบัติจำนวนมาก จึงหวาดระแวงว่าจะมีโจรบุกปล้น เพื่อป้องกันเหตุร้าย เลยจ้างยอดฝีมือจากสำนักคุ้มภัยเอาไว้หลายคน

“ของที่เจ้าต้องการ ถ้าจะให้คนไปเอา คิดราคาที่หนึ่งล้านทอง”

“ข้ามีปัญญาไปเอาโดยไม่ต้องจ้างใคร” เจ้บอกปัด ราคานี้ไม่เพียงขูดรีดจนเกินงาม ยังเป็นการเสียเงินโดยใช่เหตุ

“ข้าก็คิดเช่นนั้น ผีเสื้อโลหิตไม่จำเป็นต้องยืมมือใครอยู่แล้ว” ชายหนุ่มเหยียดยิ้มเมื่อเอ่ยถึงฉายาของสตรีตรงหน้า

ไม่มีใครในพรานราตรีไม่รู้จักผีเสื้อโลหิต สตรีโฉมงามนางนี้เป็นที่กล่าวขวัญในฐานะมือสังหารที่งดงามและอำมหิตที่สุดในประวัติศาสตร์

“คำชมจากปากพิราบแดงถือเป็นเกียรติ” เจ้ส่งยิ้มหวานเชือดใจให้เพื่อนร่วมองค์กร

เขารู้ว่านางไม่ชอบถูกเรียกว่า ‘ผีเสื้อโลหิต’ ก็ยังจงใจเอ่ยคำต้องห้าม เจ้เกลียดการถูกเรียกด้วยนามของมือสังหาร เพราะมันจะทำให้ความกระหายเลือดในกายเดือดพล่าน ยิ่งถ้าออกมาจากปากของนายใหญ่ ก็จะยิ่งทำให้หงเซียนกระเหี้ยนกระหือรืออยากออกมาอาละวาด

“ไม่เจอกันนาน เจ้าใจเย็นขึ้นนะ” เจ้าของฉายาพิราบแดงเอ่ยอย่างชอบใจ หนก่อนนางแจกมีดสั้นให้ทันที หากหลบไม่ทันคงไม่แคล้วต้องสิ้นใจเพราะยาพิษที่เคลือบอยู่

“เวลาย่อมทำให้คนเราเปลี่ยนแปลง” เจ้ตอบกลับอย่างมีสำบัดสำนวน

“...และแก่ชรา” ชายหนุ่มต่อให้

เจ้คิ้วกระตุกับคำว่า ‘แก่’ ปีนี้ฟางเซียนเพิ่งจะย่างยี่สิบสอง แต่อายุจริงของเจ้นั้นสามสิบกว่าแล้ว เลยอ่อนไหวเป็นพิเศษ

“แน่นอน...ใครเล่าจะฝืนสังขารได้ เวลาช่างแสนสั้นนัก พริบตาก็ผ่านไป ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมถึงมีคนบางพวกอยากไปไวก่อนกำหนด” เจ้โต้กลับ

“เพราะชีวิตน่าเบื่อกระมัง คนเราจึงต้องแสวงหาสิ่งท้าทาย” ชายหนุ่มตอบพลางยกจอกเหล้าในมือขึ้นดื่ม

ตามปกติพิราบแดงไม่รับงานสืบข่าวหาของ แต่เพราะเป็นความต้องการของมือสังหารฝีมือฉกาจ จึงดึงดูดความสนใจเขา สิ่งที่ผีเสื้อโลหิตปรารถนาจะครอบครองต้องมีความลับซ่อนอยู่แน่

“หมดธุระแล้วข้าขอตัว” เจ้ตัดบทก่อนเผลอตัวปล่อยหงเซียนออกมาจัดการเพื่อนร่วมองค์กร

“ข้ายังมีธุระอีกหนึ่งอย่าง” ชายหนุ่มรั้งตัวไว้ “ตอบได้หรือไม่ว่าจะเอาแหวนอันธการไปทำอะไร”

‘แหวนอันธการ’ คือสิ่งที่ฟางเซียนว่าจ้างให้คนตามหา ว่ากันว่ามันเป็นสมบัติของพรรคมาร แผ่นดินนี้มีอยู่หลายวง แต่กลับไม่เปิดโอกาสให้คนนอกได้ครอบครอง จนกระทั่งสามสิบปีก่อน พรรคมารเสื่อมอำนาจ มีแหวนวงหนึ่งหลุดจากมือผู้ครอบครอง และในขณะนี้ถูกเก็บอยู่ในห้องสมบัติของสกุลหลี่

“ข้ายินดีจะตอบคำถามเจ้า โดยไม่รับเงินแม้แต่เหรียญเดียว”

เจ้เชิดหน้าอย่างทระนง เธอปล่อยให้อีกฝ่ายดีใจอยู่วูบหนึ่ง ก่อนจะทำให้ผิดหวัง

“...แต่จะบอกก็ต่อเมื่อได้มันมาไว้ในครอบครองแล้ว”

พิราบแดงหัวเราะชอบใจ นางเป็นคู่สนทนาที่แสนวิเศษจริงๆ มิน่าเล่านายใหญ่แห่งหอซูเมิ่งจึงยกให้เป็นคนพิเศษ

“ถ้าเช่นนั้นข้าขอตอบแทนล่วงหน้าด้วยเจ้านี่ก็แล้วกัน” ชายหนุ่มโบกกระดาษในมือไปมา

เจ้ปั้นหน้านิ่งทำเป็นไม่สนใจ อีกฝ่ายจึงส่งกระดาษให้ถึงมือ

“ข้าได้มันมาจากหอดำ ถ้าเจ้ารับงานนี้ก็จะได้เงินมาใช้เล่นอีกแสนทอง”

‘หอดำ’ เป็นเสมือนแหล่งหางานของเหล่ามือสังหาร มันอยู่ภายใต้การดูแลของกลุ่มคนไม่ระบุนาม แต่ก็ซื่อสัตย์ยุติธรรม ขอเพียงไปหยิบใบประกาศว่าจ้างมา แล้วทำงานให้ได้ตามนั้น ก็จะได้รับเงินตามที่ระบุไว้ โดยผู้ว่าจ้างและมือสังหารไม่จำเป็นต้องติดต่อหรือเห็นหน้ากัน

ฟางเซียนเคยไปที่นั่นครั้งหนึ่ง เพื่อสังหารนักฆ่าที่เป็นปรปักษ์ต่อพรานราตรี การอาละวาดของนางทำใบประกาศเปื้อนเลือดหลายใบ แต่คนดูแลกลับไม่ตื่นกลัว ชายวัยกลางคนเอ่ยอย่างเป็นมิตรว่าหากต้องการใช้ความสามารถเมื่อใด ให้กลับมาได้ทุกเมื่อ

“สังหารหลี่เซิ่ง” เจ้อ่านออกเสียงข้อความในใบประกาศ

หลี่เซิ่งก็คือหัวหน้าสกุลหลี่คนปัจจุบัน หรือก็คือผู้ครอบครองแหวนอันธการ

“เอามานานเท่าไรแล้ว”

“สองวัน”

ใบประกาศที่นำออกมาจากหอดำจะมีอายุประมาณสามเดือน หากทำไม่สำเร็จต้องเจรจาขอจ่ายค่าธรรมเนียมเพื่อต่ออายุใบประกาศ มิเช่นนั้นก็จะมีคนนำใบประกาศที่เนื้อหาเหมือนเดิมไปติดใหม่ ใครได้ใบประกาศใบล่าสุด ถ้าภารกิจสำเร็จ ต่อให้ไม่ได้ลงมือสังหารเองก็จะได้รับเงินค่าจ้าง

เจ้ต้องการแค่เอาแหวนมาเท่านั้น ไม่คิดจะฆ่าใคร แต่ก็ยังเก็บประกาศไว้ ด้วยเห็นว่าตัวเองกำลังจะไปขโมยของล้ำค่าของท่านเศรษฐี จึงอยากชดเชยด้วยการต่อชีวิตให้อีกสามเดือน

-โปรดติดตามตอนต่อไป-
สวัสดีท้ายตอนค่ะ ขออนุญาตแจ้งข่าวอีกครั้งนะคะ งานหนังสือที่ศูนย์ประชุมสิริกิตะวันที 21-1 พย โน้มจะไปแจกลายเซ็นวันที่ 22 28 29 31 เวลาบ่ายโมงถึงบ่ายสี่ค่ะ ใครอยากเจอเย็นกว่านี้แจ้งได้นะคะ



วันที่ 22 กับ 28 อยู่บูธถึงหกโมงเย็นค่ะ แต่หลังจากนั้นโน้มก็ยังเดินเล่นในงาน อยากเจอขอเบอร์หลังไมค์โทรตามได้เลยค่ะ

.

วันที่ 25 กับ 1 ไปแบบส่วนตัวค่ะ ใครอยากเจอขอเบอร์หลังไมค์ได้เช่นกันค่า ส่วนใหญ่จะนั่งเล่นแถวหน้าสตาร์บัค มีนัดมีตติ้ง เข้ามาทักทายได้ไม่ต้องเกรงใจนะคะ ไม่กัดค่า



ส่วนของที่ระลึก ใครไปวันที่โน้มมาแจกลายเซ็นจะได้พวงกุญแจนะคะ ส่วนใครมาวันที่ 23-1 จะได้แม่เหล็กติดตู้เย็นแทนค่ะ (ทำไว้ประมาณ 500 ชิ้น หมดแล้วหมดเลยนะคะ) สำหรับคนที่ซื้อเล่มสามไปแล้ว สามารถมาขอที่คั่นน้องแปดที่บูธได้นะคะ วันที่ 22 โน้มจะฝากเรื่องกับพนักงานเอาไว้ แล้วเจอกันค่ะ ^O^



หมายเหตุ วันที่ 21 ยังไม่มีของให้นะคะ ทำเสร็จไม่ทันค่ะ ของทำมือเลยช้าหน่อยค่ะ



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 ต.ค. 2558, 23:46:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 ต.ค. 2558, 23:46:37 น.

จำนวนการเข้าชม : 1038





<< ลำนำผีเสื้อโลหิต : บทที่ ๑ ร้างไกลพันลี้   ลำนำผีเสื้อโลหิต : บทที่ ๓ จันทร์หลบโฉมสุดา >>
Zephyr 24 ต.ค. 2558, 18:16:31 น.
หุ ว้าว เจ้ ออกโรง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account