ดวงใจอาถรรพ์ : สัมผัสรักไร้โฉม
"คุณเคยตกหลุมรักใครทั้งๆที่ไม่เคยเห็นหน้าเขาไหม
แล้วคุณเคยยอมทำทุกอย่างให้เขาคนนั้นแม้ว่าคุณจะไม่เคยได้ยินเสียงเขาเลยก็ตาม"
นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายรักที่อยากนำเสนอมุมมองของความรักในอีกรูปแบบให้ทุกท่านได้ลองสัมผัส

Tags: ความรัก ผี

ตอน: Chapter 2

กลิ่นหอมเย็นๆ เหมือนกลิ่นแป้งโชยผ่านใบหน้าของชายหนุ่มไปพร้อมด้วยสายลมที่พัดมาอย่างอ่อนเบาพลันปลุกให้เขาต้องลืมตาตื่น แขนทั้งสองข้างต่างช่วยกันพยุงร่างที่รู้สึกจะเบาจนคล้ายปุยนุ่นให้ตั้งตรงบนเตียงนอนที่ทั้งเก่าและทรุดโทรม สายตาของเขากวาดมองไปรอบตัวพบแต่เพียงความมืดคล้ายยามราตรี ต่างกันก็เพียงแค่ไม่มีแสงดาวส่องระยิบบนฟากฟ้า
‘ตื่นแล้วหรอคะ’ ไม่มีแม้แต่เสียงใดผ่านมาให้ได้ยิน แต่ชายหนุ่มกลับรับรู้ได้ถึงถ่อยคำที่มันถูกส่งตรงมาที่เขา
‘ฉันอยู่ตรงนี้ค่ะ คุณมองเห็นฉันไหมคะ’ เท็ดเริ่มที่จะกวาดตามองไปมาเพื่อหาต้นตอของถ้อยคำเหล่านี้ แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นอะไรที่ยากเย็นยิ่งนักเพราะสิ่งเหล่านี้หาได้มีตัวตนอยู่ไม่ แต่กลับเป็นเพียงแค่ความรู้สึกที่เขาสามารถสัมผัสถึงมันได้
“นั้นเสียงใคร…แล้วผมอยู่ที่ไหน…คุณเป็นใครกัน” น้ำเสียงที่เริ่มสั่นคลอนหลุดออกมาจากปากของชายหนุ่มอย่างแผ่วเบา เขาพยายามจะดันร่างกายของตัวเองลงจากเตียงที่นั่งอยู่อย่างสุดกำลัง แต่มันก็ไม่สามารถทำได้ถึงแม้ว่าตอนนี้ร่างกายของเขาจะให้ความรู้สึกที่เบาจนคล้ายปุยนุ่นแต่เหตุไฉนเวลาที่ชายหนุ่มออกแรงร่างกายกลับหนักอึ้งประดุจดั่งมีแท่งเหล็กตันขนาดเท่าภูผามาทับไว้ ถึงจะขยับอย่างไรมันก็ไม่ยอมเขยื้อนเลยสักนิดเดียว
“คะ…คุณ…เป็นใครกัน…ละ…แล้วมันเกิด…อะ…อะไรขึ้นกับผม” ความหนาวเย็นที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนได้คืบคลานเข้ามาปกคลุมบรรยากาศโดยรอบ ซึ่งมันทำให้ภายในจิตใจของชายหนุ่มยิ่งทวีความหวาดกลัวเพิ่มมากขึ้น นั่นก็เพราะว่าเขาได้แสดงมันออกมาอย่างชัดเจนจากน้ำเสียงที่สั่นรัว สายตาที่เริ่มลอกแลกมองหาที่มาของถ้อยคำเหล่านั้นพร้อมด้วยความวิตกที่เกิดขึ้นมากมายภายในหัว เขาพยายามจะนึกให้ออกว่าตนอยู่ที่ไหนและกำลังทำอะไรเหตุใดถึงได้มาอยู่ที่นี้ แต่สิ่งที่เขาได้มานั้น มันกลับเป็นเพียงแค่ภาพสีเทาในหัวที่จับใจความอะไรไม่ได้เลยสักอย่างเดียว
‘อย่ากลัวไปเลยนะคะ…ลองมองดูมันสิคะ…มันจะทำให้ความกลัวของคุณหายไป’ สิ้นถ้อยคำเหล่านั้นก็ปรากฏแสงไฟดวงกลมๆสีขาวขึ้นตรงหน้าของชายหนุ่ม มันค่อยๆส่องสว่างมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เรื่อยมาจนในท้ายที่สุดแสงสีขาวนั้นก็สาดเข้าไปยังนัยน์ตาของเขา ส่งผลให้สิ่งที่เคยเห็นทั้งหมดกลายเป็นเพียงภาพสีขาวโพลน
“เท็ด…เฮ้...เท็ด ได้ยินฉันไหมเพื่อน” บุรุษผมดำในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลอ่อนที่ปล่อยชายรุ่งริ่งทับอยู่บนกางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้ารูป กำลังยืนเขย่าตัวเพื่อนรักของตนอย่างเบามือ หลังจากที่เห็นว่าเขานอนลืมตามองหลอดไฟบนเพดานในห้องมาได้สักประเดี๋ยวหนึ่งแล้ว
ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปได้ไม่นานสักเท่าไหร่ เปลือกตาของเท็ดก็ได้เริ่มกระพริบขึ้นลงด้วยความเร็วราวสองถึงสามครั้ง เหมือนกับเป็นสัญญาณบ่งบอกให้อีกฝ่ายที่กำลังจดจ่ออยู่กับการดึงสติเพื่อนรักให้กลับเข้าร่างได้รับรู้ว่าเขาสามารถทำมันจนสำเร็จเรียบร้อยแล้ว
“ฉัน….อยู่ที่….ไหน….กัน” ถ้อยคำที่แผ่วเบาค่อยๆหลุดออกมาจากปากของเท็ดอย่างช้าๆเพราะตอนนี้ในคอของเขามันช่างให้ความรู้สึกราวกับกระดาษทรายแผ่นบางๆที่ทั้งแห้งและสาก เขาพยายามบรรจงกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากพลางกวาดสายตามองไปรอบๆถึงแม้ว่าภาพที่เห็นมันอาจจะดูพล่ามัวไปบ้างก็ตามที
ชายหนุ่มค่อยๆเหลือบสายตาไปเพ่งยังข้างเตียงของตน แล้วพยายามเรียบเรียงภาพที่เบลอจนน่าปวดหัวให้ออกมาเป็นรูปร่างที่ชัดเจน และถึงแม้ว่ามันจะเป็นไปได้อย่างช้าๆแต่ในที่สุดเขาก็สามารถมองเห็นอะไรต่อมิอะไรได้ดีจนเกือบจะเป็นปกติ
“ไมค์…”
ชายหนุ่มหลับตาลงพร้อมกับเผยยิ้มมุมปากก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ทันทีที่เห็นว่าใครกันเป็นคนที่ยืนอยู่ด้านข้างของเขาในตอนนี้ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มกับผมสั้นสีดำ ใบหน้าที่เข้ารูปมีหนวดเคราขึ้นอยู่บ้างประปราย ซึ่งลักษณะแบบนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจาก ไมเคิล ซัวลี่ เพื่อนสนิทของเขาที่รู้จักกันมาเนิ่นนานนั่นเอง
“เฮ้อ!!…ให้ตายเถอะเพื่อน แกนี่มันช่างหนังเหนียวดีจริงๆ ฉันละคิดไว้อยู่แล้วเชียวว่าแกจะต้องไม่เป็นอะไร แต่กว่าจะฟื้นขึ้นมาได้เล่นซะใจหายใจคว่ำกันหมด” เสียงตะโกนออกมาของไมค์ที่แสดงถึงอาการโล่งอกและดีใจเมื่อได้เห็นเพื่อนของตนตื่นขึ้นมายิ้มได้อีกครั้ง ซึ่งมันดังมากเสียจนทำให้คนที่เดินผ่านไปมาหน้าห้องถึงกับต้องหยุดชะงักแอบชะโงกขึ้นมาดู
ด้วยความงุนงงในสิ่งที่เกิดขึ้น เท็ดจึงค่อยๆพยุงตัวลุกขึ้นนั่งเพื่อจะได้สอบถามถึงสิ่งที่ตนสงสัยแต่ว่ามันกลับเป็นเรื่องที่ยากพอดูเพราะเมื่อเขาคิดจะออกแรงกล้ามเนื้อแขนทั้งสองข้างของเขาก็ปวดระบมขึ้นมาอย่างฉับพลัน ซึ่งมันบีบให้เขาต้องยอมจำนนผ่อนตัวลงไปพร้อมกับใบหน้าที่ยู่ยี่เล็กน้อย และเมื่อเห็นดังนั้นปุ่มสวิทช์ที่ปลายเตียงก็ถูกกดขึ้นโดยไมค์ที่เห็นในความพยายามอันล้มเหลวของเพื่อน ซึ่งมันก็ช่วยได้มากเลยทีเดียวเพราะเท็ดสามารถลุกขึ้นมานั่งแบบปกติได้โดยไม่ต้องออกแรงใดๆเลย เพียงแค่ปล่อยตัวไปตามสบายเท่านั้นส่วนที่เหลือเตียงผู้ป่วยจะค่อยๆเอียงขึ้นมาให้เขาได้นั่งอย่างปกติตามที่ต้องการ
“ขอบใจเพื่อน” เท็ดตอบกลับพลางหยิบแก้วน้ำที่ไมค์ส่งมาให้ ซึ่งมันนับว่าเป็นอะไรที่ทรมานร่างกายและจิตใจของชายหนุ่มเป็นอย่างยิ่ง นั้นก็เพราะความกระหายน้ำที่มีมากล้นในตัวเขาตอนนี้มันกำลังถูกความเจ็บแสบภายในลำคอที่แห้งผากซึ่งมาพร้อมกับอาการบาดเจ็บจากภายในผนวกกันออกมาเป็นอุปสรรคทำให้เขาไม่สามารถดื่มน้ำเข้าไปอย่างรวดเร็วได้ ถึงแม้จะกระหายเพียงใดก็ต้องบรรจงดื่มเข้าไปอย่างช้าๆ
“มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมฉันถึงได้มาอยู่ในสภาพแบบนี้” ชายหนุ่มร้องถามด้วยสีหน้าที่รู้สึกงุนงงพลางส่งแก้วน้ำคืนกลับไปให้ยังเพื่อนของตน โดยที่ตัวเขาเองก็พยายามจะนึกให้ออกว่าทำไมหรือเพราะอะไร ตัวเขาถึงได้มาอยู่ในชุดผู้ป่วยของโรงพยาบาลเบ็ทเฮมโรงพยาบาลชั้นแนวหน้าในอังกฤษ แถมยังมานอนอยู่ในห้องผู้ป่วยวีไอพีที่แสนแพง
“ก็แกถูกรถชนไง จำอะไรไม่ได้เลยหรือ” ไมค์ตอบก่อนที่จะก้าวยาวๆไปนั่งลงตรงโซฟาที่ริมผนังห้อง และก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีคำตอบใดๆกลับมาเลยเลยนอกเสียจากภาพของเท็ดที่กำลังนั่งทำหน้าตาครุ่นคิดพร้อมกับคิ้วที่พยายามจะขมวดเข้าหากันราวกับปลายของเชือกสองเส้นที่นำมาวางไว้คู่กันเพื่อรอเวลาที่จะเอามาผูกเป็นปม
“ช่างมันเถอะ น่าจะเป็นผลมาจากสมองโดนกระทบกระเทือนนั้นแหละ แกอย่าเพิ่งไปคิดอะไรเยอะแยะเลย เอ้อ!!! เกือบลืมเสียสนิทฉันต้องไปบอกหมอก่อนว่าแกฟื้นแล้ว ขอตัวสักประเดี๋ยวนะ” ไมค์รีบตัดบทเมื่อเห็นว่าเพื่อนของเขาไม่มีทีท่าว่าจะนึกอะไรขึ้นมาได้เลย ก่อนที่ตัวเขาเองจะลุกขึ้นยืนจับชายเสื้อที่รุ่งริ่งของตนยัดกลับไปให้เรียบร้อยแล้วเดินอาดๆออกจากห้องไป
จริงอยู่ที่ถึงแม้ว่าเท็ดจะไม่สามารถจำได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตนไปเมื่อก่อนหน้านี้ หากแต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่มันกลับยังคงวนเวียนอยู่ในหัวเขาตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นถ้อยคำที่เขาเคยรู้สึกถึงก่อนที่เขาจะตื่นขึ้นมา หรือแม้กระทั้งภาพของหญิงสาวที่ใส่เสื้อโค้ทสีขาวซึ่งตัวเขาพยายามจะนึกให้ออกว่าเธอคือใคร แต่ไม่ว่าจะนึกยังไงก็นึกไม่ออก
สงครามของความรู้สึกเริ่มต้นปะทุขึ้นภายในจิตใจของชายหนุ่มอย่างเงียบๆ โดยฝั่งหนึ่งคือกองกำลังแห่งความเจ็บปวดที่มันก่อตัวขึ้นเมื่อเท็ดพยายามจะคิดถึงเรื่องราวต่างๆนาๆที่พานพบมาให้จงได้ ซึ่งมันจะทรมานเป็นอย่างยิ่งเมื่อเขาต้องการจะนึกถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ไม่สามารถจะจดจำมันขึ้นมาได้ และหากยังขืนดื้อดึงที่จะทำต่ออาการปวดหัวมันก็เริ่มแสดงผลเพื่อบีบให้ตัวเขาเข้าสู่สภาวะจำยอมหยุดคิดหยุดนึกถึง
หากแต่ว่ากองกำลังแห่งความรู้สึกกลับมีแรงต้านที่ถาโถมมามากเสียยิ่งกว่าอีกฝั่ง มันคือความรู้สึกนึกคิดที่โหยหาอยากจะนึกให้ได้ว่าตนได้ไปพบเจอเข้ากับอะไร เหตุใดจึงต้องมาอยู่ที่นี้ แล้วถ้อยคำกับหญิงสาวที่ตนพบเธอคือใครกัน ทำไมถึงได้เข้ามาอยู่ในหัวของเขาเกือบจะตลอดเวลา และความรู้สึกที่เหมือนเธอกำลังรอและเฝ้าดูเขาอยู่ที่ไหนสักแห่งภายใต้ภาพในจิตใจที่ดำมืดนี้มันคืออะไรกัน มันมาจากที่ไหน ใครจะให้คำตอบแก่เขาได้บ้าง
ในขณะที่เท็ดกำลังอยู่ท่ามกลางการทำรบกันของทั้งสองความรู้สึกภายในความคิดของตัวเองอยู่นั้น หญิงสาวในวัยยี่สิบต้นๆก็กำลังเดินจ้ำด้วยใจที่จดจ่ออยู่หน้าทางเข้าโรงพยาบาล ภายในมือของเธอมีช่อดอกกุหลาบสีขาวบริสุทธิ์ ซึ่งอาจจะดูกลมกลืนกับสีของเสื้อยืดเธอไปหน่อยแต่มันก็ยังดีที่มีเสื้อแจ็คเก็ตยีนส์ใส่คลุมอยู่ด้านนอกผนวกกับกางเกงยีนส์ขาสั้นและรองเท้าผ้าใบสีชมพู ซึ่งมองดูโดยรวมแล้วก็นับว่าเข้ากันได้ดีกับหญิงสาวผิวขาววัยแรกรุ่นอย่างเธอ
“เฮ้...เจสสิก้า...วันนี้ลมอะไรหอบพาคุณมาถึงนี้ได้ละเนี่ย” สาวผมลอนสีน้ำตาลอ่อน หยุดชะงักลงด้วยเสียงเรียกทักพร้อมกับหันไปมองยังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ จุดที่อีกหนึ่งบุรุษผู้เป็นต้นตอของเสียงยืนมองอยู่
“ก็พอดีวันนี้ฉันว่างๆ น่ะ ไม่มีอะไรทำเลยอยากจะมาดูอาการเขาเสียหน่อย มีปัญหาอะไรกับฉันหรือเปล่าล่ะ” น้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะเต็มใจตอบสักเท่าไหร่เล็ดลอดผ่านริมฝีปากสีแดงสดออกมา พร้อมกับแววตาสีน้ำตาลอ่อนที่กำลังมองผ่านแว่นกันแดดซึ่งก็เป็นสีเดียวกันกับนัยน์ตาของเธอ มายังไมค์ผู้ที่ตอนนี้ได้แต่ยืนนิ่งพินิจชุดที่คุณเธอใส่มา
“สงสัยงานนี้เจ้าเท็ดได้มีช็อคหัวใจวายตายคาเตียงเป็นแน่แท้” ชายหนุ่มหยอกออกมาเบาๆ เมื่อได้เห็นชุดกระโปรงรัดรูปสั้นเหนือเข่าขึ้นมาประมาณหนึ่งคืบ เนื้อผ้าเป็นสีแดงสดเฉกเช่นเดียวริมฝีปากของเธอ ซึ่งมันเผยให้เห็นสัดส่วนสรีระของหล่อนได้อย่างชัดเจน แถมยังเพิ่มความดึงดูดใจด้วยรองเท้าส้นเข็มสีดำสนิท จนไม่ว่าบุรุษใดได้พบเห็นเป็นต้องชายตาตามทุกรายไป
“นี้คุณ...จะแอบนินทาอะไรฉันน่ะก็ให้มันเบากว่านี้หน่อย…แต่ก็ช่างมันเถอะ...เอ้านี้” เจสสิก้ายื่นตะกร้าใส่ผลกีวีและแอปเปิ้ลเขียวอย่างละครึ่งมาให้กับไมค์ พลางใช้มืออีกข้างค่อยๆแกะบาร์โค๊ดราคา 25 ปอนด์ที่ติดอยู่ข้างใต้ออก
“ทำไมไม่เอาไปให้เองล่ะ ไหนๆก็มาถึงที่แล้ว บางทีถ้าได้เห็นหน้าคุณ อาการของเท็ดอาจจะหายเร็วขึ้นก็ได้นะ” ชายหนุ่มรับตะกร้ามาพร้อมปล่อยคำถามที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามต้องเบ้ปาก พลางชายตามองไปรอบๆ
“อ๋อ...พอดีฉันนึกขึ้นมาได้น่ะว่ามีธุระด่วนต้องไปทำ มันสำคัญมากเสียด้วยยังไง คุณก็ช่วยบอกเท็ดดี้ ให้ทีก็แล้วกันว่าฉันมาเยี่ยมอยากจะเข้าไปหามากเลย แต่พอดีธุระนี้มันก็สำคัญหลีกเลี่ยงไม่ได้” เธอหงายข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกาเรือนน้อยสีเงินที่ไม่น่าเชื่อว่ามันจะล็อคมาจนถึงข้อสุดท้ายแล้วแต่เธอก็ยังคงใส่มันหลวมอยู่ดี
“อุ๊ยตาย...มัวแต่คุยเพลินใกล้จะถึงเวลาแล้วด้วยสิ เดี๋ยวฉันต้องไปแล้วล่ะ ฝากที่เหลือด้วยนะไมค์ อย่าลืมบอกกับเท็ดดี้ให้ด้วยละ ฉันไปก่อนนะ” ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะได้เอ่ยวาจาใดๆ เธอก็เดินจ้ำอ้าวตรงไปยังประตูทางเข้า-ออกของโรงพยาบาล ทิ้งให้ชายหนุ่มได้แต่ยืนตาค้างมองดูบรรดากีวีและแอปเปิ้ลเขียวหลายสิบลูกที่ถูกจัดเรียงมาอย่างดีแถมมีสติกเกอร์สินค้าลดราคาแอบติดอยู่ตรงมุมด้านข้างหูหิ้วของมันด้วย ซึ่งคาดว่าเจ้าของที่ซื้อมาเธอคงจะลืมดึงออกไปพร้อมกับบาร์โค๊ดที่ติดอยู่ข้างใต้เมื่อสักครู่นี้
“ไงจ๊ะ เบ็ตตี้มาเยี่ยมเท็ดดี้ของฉันหรอจ๊ะ” ใจที่จดจ่อพร้อมด้วยช่อกุหลาบสีขาวในมือของหญิงสาวต้องหยุดชะงักลง เมื่อได้ยินเข้ากับเสียงของใครบางคนที่ถ้าตัวเธอสามารถเลือกได้เธอคงขอเลือกที่จะหูหนวกเสียยังดีกว่าจะมาได้ยินเสียงของผู้หญิงคนนี้
“แหม่...ดอกกุหลาบสวยดีนะ อุ๊บ...ฉันนี้แย่จริงๆเลย มัวแต่ยุ่งอยู่กับการจัดตะกร้าผลไม้กลัวว่าเท็ดดี้เขาจะไม่มีอะไรกิน ดันลืมเรื่องดอกไม้ไปเสียสนิทเลย” เจสสิก้าฉีกยิ้มหวานพลางส่งสายตาดูถูกมายังช่อดอกไม้ที่หญิงสาวบรรจงทำขึ้นมาจากใจเพื่อมอบให้กับคนที่เธอแคร์มากที่สุด
“แต่ก็คงไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ เอาของเธอใช้แทนไปก่อนก็น่าจะพอได้อยู่ อุ๊ย!!! ขอโทษทีนะจ๊ะอยู่คุยนานไม่ได้พอดีมีธุระสำคัญต้องไปทำ ฉันไปก่อนนะจ๊ะ บ๊าย”
เรียวปากสีแดงที่เบ้ออกเล็กน้อยพร้อมหางตาที่ถูกส่งออกมาจากปลายแว่นกันแดดก่อนที่จะเดินผ่านอีกฝ่ายไป มันช่างเป็นการแสดงความดูถูกได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่เบ็ตตี้เคยได้รับมาในชีวิต ซึ่งอันที่จริงตัวเธอเองน่าจะเริ่มชินกับมันได้แล้วเพราะตั้งแต่ความลับที่ว่าเธอแอบชอบเท็นเดอร์ ไลน์ ถูกเปิดเผย ศัตรูหัวใจรายแรกและรายเดียวของเบ็ตตี้อย่างเจสสิก้าก็มักจะแสดงท่าทีแบบนี้เพื่อเอาชนะเธอมาโดยตลอด
“ใช้แทนอย่างนั้นหรือ” เพียงคำพูดเดียวของหญิงสาวที่หลุดออกมาพร้อมด้วยสายตาที่กำลังยืนมองดูช่อดอกกุหลาบที่ตนบรรจงทำขึ้น ซึ่งตอนนี้มันได้ลงไปนอนแน่นิ่งบนกองขยะภายในถังเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ความมุ่งหวังในหัวใจอันตั้งมั่นบัดนี้มันได้ถูกดับลงด้วยไฟริษยาซึ่งโหมกระพือเข้ามาจากผู้ที่เป็นดั่งมารหัวใจตลอดกาลของเธอ
“เฮ้อ...วันนี้คงเป็นวันซวยสินะ นึกแล้วก็เสียดาย...ไม่น่าทิ้งเลยเรา อุตสาห์เจ็บมือนั่งทำมาทั้งคืน” เสียงถอนหายใจด้วยความอาลัยต่อสิ่งที่ตนตั้งใจจะทำในขณะที่กำลังยืนรอรถเมล์ของหญิงสาว เธอเลือกที่จะกลับไปนอนเล่นอยู่บ้านเสียยังดีกว่าที่จะต้องมาทนยืนดูคนที่ตนรักกำลังดื่มด่ำกับอาหารที่อีกฝ่ายเอามาให้
เวลาล่วงผ่านไปจนยามราตรีได้เข้ามาเยี่ยมเยือน ทั้งสองหนุ่มยังคงนั่งคุยกันอย่างสนุกปากถึงช่วงเวลาที่อีกฝ่ายหมดสติไป ไมค์เล่าเรื่องราวต่างๆในที่ทำงานให้เท็ดได้ฟังซึ่งถึงแม้ว่ามันจะเป็นเวลาตั้ง 3 วันที่เขาหายไปและมีเรื่องเกิดขึ้นเยอะแยะมากมาย แต่เท็ดกลับรู้สึกว่ามันเหมือนเวลาแค่เพียงชั่วข้ามคืนเท่านั้นเองที่เขานั้นนอนสลบอยู่
“แกแน่ใจนะว่าไม่ต้องให้ฉันนอนเฝ้าน่ะ” ชายหนุ่มยืนจัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่ก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อโค้ทตัวสีน้ำตาลอ่อนที่นอนพาดอยู่ยังปลายโซฟาขึ้นมาไว้ที่บนแขนของตนเอง แล้วหันมามองเพื่อนของเขาซึ่งกำลังนอนดูเขาอยู่เช่นกัน
“แกไปเหอะ ฉันไม่เป็นอะไรมากแล้วละ แค่นี้สบายๆ ขอบใจแกมาก”
“ตามใจแกก็แล้วกัน ไว้พรุ่งนี้เดี๋ยวฉันจะแวะมาใหม่ โชคดี”
หลังจากร่ำลากันเป็นที่เรียบร้อย จนเหลือไว้เพียงชายหนุ่มผู้ที่กำลังนอนดูตะกร้าผลไม้จากหญิงสาวที่ตนหลงรักซึ่งมันตั้งอยู่บนโต๊ะอาหารทรงกลมขนาดไม่ใหญ่มากนักตรงมุมอีกฝากหนึ่งของห้อง
แม้แววตาจะมองดูสิ่งที่ถ้าเป็นเมื่อก่อนตนคงจะดีใจจนเนื้อเต้นเป็นลิงโลดไปแล้ว แต่ทว่าตอนนี้ในหัวของเขากลับคิดถึงแต่เพียงภาพของหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งอันที่จริงเธอคนนั้นควรจะเป็นเจสสิก้าอย่างที่เคยเป็นมา แต่มันดันกลับกลายเป็นภาพของหญิงสาวที่สวมเสื้อโค้ทยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนที่โปรยมาเป็นสายซึ่งตัวเขาเองนั้นก็ไม่รู้จักเธอด้วยซ้ำไป แต่เธอคนนี้ดันกลายมาเป็นภาพที่ติดตาตรึงใจของเขาจนยากที่จะลบมันออกไปเสียแล้ว
แสงไฟในห้องเริ่มริบหรี่ลงโดยที่เขาไม่ทันได้สังเกต พร้อมด้วยความเย็นที่กลับเพิ่มขึ้นอย่างเฉียบพลันจนมันทำให้เขาต้องสะดุ้ง เมื่อขนทุกเส้นพร้อมใจกันลุกขึ้นตั้งชูชัน กล้ามเนื้อของเขามันเริ่มส่งอาการปวดแปลบๆไปทั่วทั้งตัว อาจจะเป็นเพราะความหนาวที่มากเกินไปนี้ก็ได้ มันจึงทำให้ร่างกายของเขาเกิดอาการเกร็ง มือทั้งสองข้างถูกรัดเข้าหากันจนแน่น ปลายเท้าทั้งสองข้างต่างพากันจิกลงบนเตียงโดยที่เขาไม่อาจจะควบคุมมันได้เลย และในขณะนั้นความเงียบก็พลันเข้าปกคลุมบรรยากาศในห้องจนแทบจะทันทีที่เขารู้สึก ซึ่งมันเงียบมากเสียจนได้ยินเพียงแค่เสียงลมที่ออกมาจากเครื่องปรับอากาศ
‘เอี๊ยด!!’
ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังนอนหนาวสั่นอยู่ในห้อง จู่ๆ ประตูก็ได้เปิดเข้ามาอย่างช้าๆ เขานอนมองดูกำแพงและทางเดินด้านนอกที่ไร้ซึ่งผู้คนเดินผ่านไปมาอยู่สักครู่ โดยแอบหวังไว้ในใจลึกๆว่าขอให้มีใครสักคนก็ได้โผล่หน้ามาให้เขาเห็นที ไม่ใช่ปล่อยให้มันโล่งอยู่แบบนี้
‘ปัง!!!’
ยังไม่ทันได้เตรียมใจใดๆประตูก็พลันปิดตัวลงส่งผลให้เท็ดต้องสะดุ้งสุดตัว ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้นมามากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด หัวใจชายหนุ่มมันเริ่มจะบรรเลงเพลงร็อคที่ทั้งเร็วแล้วรัวออกมาอย่างบ้าคลั่ง
เท็ดพยายามสั่งการสมองตัวเองไม่ให้วิตกหรือสนใจเหตุการณ์ที่มันเพิ่งเกิดขึ้น แต่ในขณะนั้นหางตาของเขาก็ดันเหลือบไปมองยังโซฟาที่ตั้งอยู่ข้างเตียง มันค่อยๆเกิดรอยบุ๋มลงไปเป็นวงไม่กว้างมากนักคล้ายเหมือนมีคนกำลังนั่งอยู่ตรงนั้น ตามมาด้วยรอยหยดน้ำที่อยู่ๆก็ปรากฏขึ้นบนพื้นตรงบริเวณเดียวกัน หยดแล้วหยดเล่าซ้ำอยู่อย่างนั้นจนพื้นพรมโดยรอบต่างชื้นแฉะกลายเป็นแอ่งน้ำขนาดย่อม
“อ๊าค!!!”
เสียงของชายหนุ่มที่ตะโกนลั่นออกมาด้วยความตื่นตระหนก จนผู้คนในโรงพยาบาลต่างพากันแตกตื่นด้วยความตกใจ เพราะเสียงของเขานั้นมันดังตามมาหลังจากที่ไฟทั้งหมดในโรงพยาบาลได้พร้อมใจพากันดับลง
—To be continued.—



หยดหมึกสีหมอก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 ต.ค. 2558, 11:12:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ต.ค. 2558, 11:12:30 น.

จำนวนการเข้าชม : 573





<< Chapter 1    Chapter 3 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account