ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: ลำนำผีเสื้อโลหิต : บทที่ ๔ คนที่อยากพบที่สุด

ลำนำผีเสื้อโลหิต : บทที่ ๔ คนที่อยากพบที่สุด

ของขวัญจากเต้กุนเป็นยาเม็ดสีทองขนาดเท่าหัวเข็มหมุด ในขวดมีอยู่ประมาณร้อยเม็ด กลิ่นของมันหอมเหมือนนมผสมน้ำผึ้ง ส่วนรสชาติจะเป็นอย่างไรนั้น เจ้ไม่กล้าเสี่ยง จะใช้หมา แมว หรือสาวใช้เป็นตัวทดลองก็สงสาร เลยทิ้งของขวัญที่ได้มาไว้อย่างนั้น จนกว่าเต้กุนจะมาหาในคืนเดือนมืดครั้งถัดไป

เจ้เข้านอนทันทีเมื่อแขกพิเศษกลับไปแล้ว เธอกะจะงีบสักสองชั่วยามค่อยตื่นไปที่ร้านน้ำชา ทว่าก็นอนเพลินจนกระทั่งดวงอาทิตย์ฉายแสง ไม่มีใครมาปลุกหรือขัดจังหวะการนอนของเจ้ เพราะสั่งไว้ว่าห้ามรบกวนจนกว่าจะบ่าย เจ้เห็นว่าออกไปร้านตอนนี้ก็คงไม่ได้ทำขนม จึงเปลี่ยนแผนไปที่อื่นแทน

“ซือซืออยู่รึเปล่า เตรียมน้ำอาบให้ข้าหน่อย!” เจ้ตะโกนเรียก

“อยู่เจ้าค่ะ นายหญิง รอสักครู่นะเจ้าคะ”

หลังเสียงตะโกนตอบไม่นาน ก็มีคนยกถังน้ำกับน้ำร้อนมาให้ คนที่นี่ไม่อาบน้ำกันทุกวัน เพราะอากาศหนาวและยังถือว่าสบู่เป็นของฟุ่มเฟือย ขนาดคณิกาที่ต้องดูแลเรือนร่างอย่างดียังอาบกันวันเว้นวัน แต่เจ้ทนทำอย่างนั้นไม่ได้ เธอเกิดในเมืองไทยที่เป็นเมืองร้อน อาบน้ำวันละสองหนเป็นอย่างต่ำจนชิน มาอยู่นี่ต่อให้อากาศหนาวอย่างไรก็ต้องอาบ จึงลงทุนจ่ายค่าจ้างเป็นพิเศษเพื่อให้เตรียมน้ำอาบไว้ให้ตลอดวัน

“วันนี้มีอะไรพิเศษหรือเปล่า”

“มีคนของสกุลเฉินมาขอพบเจ้าค่ะ แต่นายหญิงยังไม่ตื่น ข้าไม่กล้าปลุก เขาเลยฝากของมาให้”

คนของสกุลเฉินที่ว่าคืออาเปา เขาเอายาบำรุงผิวพรรณมาให้ตามคำสั่งของแว่น

“เอามาเยอะไหม”

“หลายขวดหลายขนาดเลยเจ้าค่ะ ขวดเล็กเรียกว่า...เอ่อ...อะไรนะ ขนาด...ขนาดทดลอง หรืออะไรนี่แหละเจ้าค่ะ”

ก่อนเข้าวังตอนเดือนสิบ แว่นกับเจ้เคยคุยกันว่าถ้าร้านน้ำชาอยู่ตัวแล้ว จะรับฝากขายยาสมุนไพรของแว่น แว่นเลยทดลองทำยาหลายๆ อย่างขึ้นมา หนึ่งในนั้นเอาสูตรยาของหมอเทวดาหลิ่งปินมาปรับส่วนผสม กลายเป็นยาบำรุงผิวชั้นเลิศ

ยานี้จะออกฤทธิ์หลังจากกินแล้วไปพักผ่อน เมื่อตื่นขึ้นมา ผิวพรรณจะเปล่งปลั่งสดใสมาก เหมาะสำหรับคนนอนดึกพักผ่อนน้อยที่จำเป็นต้องใช้รูปลักษณ์แบบคณิกาเป็นอย่างยิ่ง ยานี้ไม่มีผลข้างเคียงเวลาหยุดใช้ แต่จะทำให้รู้สึกคอแห้งง่าย เจ้ชอบใจเลยขอมาลองใช้ เอาไว้กินเฉพาะในวันที่รู้สึกว่าผิวแห้งหรือโทรม

เห็นทียาจะออกฤทธิ์ดีมาก ขนาดไม่แต่งหน้ายังดูเปล่งปลั่งสดใส หน้าดูวาวหน่อยๆ ประหนึ่งเทรนฮิตสาวเกาหลี พอมีคนถาม เจ้ก็ตอบตามตรงว่าได้ยาดีมา เธอเห็นว่าน่าจะเป็นช่องทางค้าขายอีกอย่าง เลยขอให้แว่นทำมาเพิ่มให้ แต่แว่นบอกว่าต้องใช้สมุนไพรหายาก ไม่มั่นใจว่าจะหาวัตถุดิบมาทำขายได้มากพอ ก็เลยไม่ได้คุยกันอีก ไม่คิดว่าแว่นยังจำได้ ขนาดไม่ได้ติดต่อกันยังให้คนนำมาส่ง

แว่นฝากจดหมายมาด้วย ในจดหมายอธิบายว่าตอนนี้อยู่ว่างๆ อยากทำยาไปฝากขาย ถ้าเจ้ตกลง จะให้อาเปาไปติดต่อ รวมถึงมีรายการยาบอกราคาต้นทุนและราคาที่สมควรขายมาให้ ส่วนยาบำรุงผิวนี้ แว่นเพิ่งค้นพบวิธีปลูกส่วนผสมแบบใหม่ ถ้ามีทุนอีกสักหน่อยน่าจะทำขายเป็นเรื่องเป็นราวได้ แต่ตอนนี้อยากลองตลาดก่อน เลยฝากเจ้ช่วยเอาไปแจกให้พวกคณิกาลองใช้

“ยานี้ใช่ยาบำรุงผิวที่นายหญิงใช้หรือเปล่าเจ้าค่ะ” ซือซือถามอย่างสนใจ

“ใช่ เก็บขวดใหญ่ไว้นะ ส่วนขวดเล็กๆ เอาไปให้ท่านแม่กับพวกพี่น้องที่เจ้าคิดว่าดีต่อข้า อ้อ! แบ่งขวดใหญ่ไปขวดหนึ่งด้วย”

เจ้ไม่ระบุตัวให้เหนื่อย เพราะซือซือทราบดีอยู่แล้วว่าใครเป็นอย่างไรบ้าง

“ขอบพระคุณนายหญิงเจ้าค่ะ” ซือซือยิ้มอย่างยินดี หนก่อนนายหญิงก็แบ่งยาวิเศษมาให้นาง สาวใช้หน้าตาธรรมดาอย่างซือซือไม่รู้จะบำรุงผิวพรรณไปทำไม จึงเอาไปขายให้คณิกาคนอื่น พอบอกว่าเป็นของที่หลงฟางเซียนใช้ พวกนางก็แย่งกันซื้อ ยาเพียงสิบเม็ดได้ราคาสูงถึงสิบห้าทอง

เมื่อดูแลนายหญิงเรียบร้อยแล้ว ซือซือก็นำยาไปแจก ส่วนเจ้หยิบหมวกผ้าโปร่งมาสวม แล้วใช้ทางลับออกไปข้างนอก หอซูเมิ่งมีทางเข้าทางเดียว แต่มีทางออกหลายทาง ทั้งทางที่คนส่งของหรือทางลับที่แทบไม่มีใครรู้ ทางที่เจ้ออกถูกสร้างลวงตาให้เข้าใจว่าเป็นตู้เก็บของ ที่นี่ปลอดคนเกือบตลอดเวลา มีเพียงยายแก่สายตาฝ้าฟางนั่งประจำอยู่บนเก้าอี้โยก

ยายแกเป็นคนเก่าแก่อยู่มานานนับตั้งแต่นายใหญ่คนก่อน แกไม่มีลูกหลาน คนในหอซูเมิ่งจึงช่วยกันดูแล คนที่นี่มีน้ำใจกว่าที่คนภายนอกคิด ความที่ส่วนใหญ่ล้วนไร้ญาติขาดมิตร พวกคนรับใช้ระดับต่ำจึงอยู่แบบช่วยเหลือเกื้อกูลกันมากกว่าจะแข่งขันกันอย่างบรรดาคณิกา

“ภายในสามวันนี้ นายหญิงจะได้เจอคนที่อยากพบ” หญิงชราเอ่ยขณะที่เจ้เดินผ่าน

แกมักชอบพูดอะไรทำนองนี้ขึ้นมาลอยๆ ผิดบ้างถูกบ้างไปตามประสา คนที่นี่เลยเรียกยายแกว่า ‘ยายทัก’ เพราะชอบทักเรื่องนั้นเรื่องนี้บ่อยๆ หลายคนกลัวไม่อยากโดนทักเรื่องไม่ดี ก็เลยไม่เฉียดแกเลย แต่คนที่ไม่เชื่อก็มีอยู่เยอะพอประมาณ

เจ้ถูกหญิงชราทักหลายครั้งแล้ว เธอเชื่อพอประมาณเพราะตรงตามที่ทักหมด ช่วงที่มาอยู่โลกนี้ใหม่ๆ แกทักว่าจะได้เจอชายสูงศักดิ์ เจ้ก็ได้พบองค์ชายสาม แม้จะไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของเขา ก็ยังอดรู้สึกไม่ได้ว่าผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดา วันแรกที่เจอเต้กุนก็เหมือนกัน ยายแกบอกว่าจะได้พบมิตรใหม่ที่ไม่ใช่มนุษย์

“ขอบคุณท่านยายมาก”

เจ้กลับหลังหันแล้วหยิบเงินจำนวนหนึ่งยัดใส่มือ เธอไม่ได้สงสารหรือเชื่องมงาย เพียงแต่มองว่าหญิงชรากำลังทำนายดวงชะตาให้จึงอยากตอบแทน

เมื่อพ้นจากประตูหลังร้านแล้ว เจ้ก็ตรงดิ่งไปเรียกรถ ก่อนจะสั่งให้พาออกนอกเมืองไปยังโรงงานเล็กๆ ของตัวเอง เธอสร้างที่นี่ขึ้นมาตั้งแต่อยู่ในร่างนี้ใหม่ๆ ด้วยเหตุผลประการสำคัญคือ ร่างกายต้องการ ‘น้ำปลา’ อย่างรุนแรง แต่ในเจียงเฉียงไม่มีของที่คล้ายสิ่งที่โหยหาเลย

เจ้สลดไปเลยเมื่อค้นพบว่าเจียงเฉียงห่างไกลทะเล เกลือที่ใช้ปรุงอาหารของชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นเกลือสินเธาว์ เจ้รู้ว่าสภาพแวดล้อมไม่เอื้อต่อการทำน้ำปลา เลยพยายามเสาะหาเครื่องปรุงต่างๆ มาปรับใช้ ทว่าต่อให้เป็นเกลือชั้นดีแค่ไหน ก็แซ่บสู้น้ำปลาไทยไม่ได้ เมื่อความอยากดำเนินมาถึงขีดสุด เจ้ก็ตัดสินใจทุ่มเงินซื้อที่ดิน จ้างคนงานรวมถึงขนซื้อเกลือทะเลจำนวนมากมาทดลองทำน้ำปลาไว้กินเอง

“แม่นางจะไปที่โรงงานเหม็นหึ่งทำไม” คนขับรถม้าถาม

“ข้ามีธุระนิดหน่อย”

เจ้ออกจะเศร้าใจไม่น้อย ที่โรงงานซึ่งอุตส่าห์ตั้งชื่อเสียเพราะพริ้งถูกคนตั้งชื่อใหม่ให้เสียไม่มีดี

“โรงงานทิพยโอชาต่างหาก” เจ้แก้ให้

“จะชื่ออะไรข้าก็ขอไม่เข้าไปข้างในนะแม่นาง กลัวกลิ่นติดรสม้าแล้วจะไม่มีคนนั่ง”

“ถ้าไม่ได้ทำน้ำปลาหกใส่รถก็ไม่เป็นอะไรหรอก” เจ้เอ่ยอย่างหมั่นไส้คนที่แสดงออกว่ารังเกียจแบบเกินพอดี

“น้ำปลา? แม่นางพูดถึงอะไร”

“ไม่มีอะไรหรอก จอดด้านหน้าก็ได้ ข้าจะเดินเข้าไปเอง” เจ้ถอนใจปลงๆ ด้วยคร้านจะอธิบาย

โรงงานน้ำปลาของเธอสร้างมลภาวะทางอากาศจริงๆ แม้จะกำชับให้จัดการเรื่องกลิ่นอย่างดีที่สุด แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบกลิ่น จะทำออกมาในรูปแบบไหนก็ยังดมแล้วเวียนหัวอยู่ดี ดูอย่างซือซือนั่นปะไร ตอนถูกบังคับให้กินน้ำปลากับไก่ต้มครั้งแรก นางทำหน้าเหมือนจะตายเสียให้ได้ ขนาดกินแล้วอุทานว่าอร่อย ก็ยังเอามือบีบจมูกไปกินไปจนหมดจาน

พอเจ้เดินเข้าไปข้างใน หัวหน้าคนงานก็เดินกะเผลกมาหา หากมองไปยังขา จะเห็นว่าขายซ้ายชายวัยกลางคนผู้นี้พิการ

“นายหญิงมาด้วยตัวเองเลยหรือขอรับ อีกไม่กี่วันข้าว่าจะไปหาอยู่เชียว” เฉิงเคอกระวีกระวาดเข้ามาต้อนรับ เขาเป็นเพียงไม่กี่คนในที่นี้ ที่รู้ว่าตัวจริงของเจ้เป็นใคร

เฉิงเคอเคยเป็นทหาร เขาบาดเจ็บในสงครามจนต้องตัดขาทิ้ง แม้จะได้เงินชดเชยก็ทอดอาลัยในชีวิต นำเงินทั้งหมดไปใช้ในหอคณิกา แล้วดื่มยาพิษด้วยหวังจะตายในช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุด ทว่ากลับรอดมาได้ เฉิงเคอคิดได้หลังจากฟื้นขึ้นมาว่าตัวเขาไม่เหลือเงินทอง ไร้ที่อยู่อาศัย มีดีที่อ่านออกเขียนได้ทำบัญชีเป็น จึงคุกเข่าขอร้องคนที่หอซูเมิงให้รับเข้าทำงาน

ทว่าหน้าที่ส่วนนี้มีคนทำอยู่แล้ว อีกทั้งไม่มีใครอยากจ้างชายพิการไว้ใช้แรงงาน เฉิงเคอจึงถูกปฏิเสธ บังเอิญตอนนั้นเจ้กำลังมองหาคนที่มีคุณสมบัติอย่างเฉิงเคอมาดูแลโรงงานพอดี จึงจ้างเขาไว้ชั่วคราว เฉิงเคอไม่มีคุณสมบัติของผู้จัดการที่ดีพร้อม แต่มีความอดทน ไม่เกี่ยงงาน และไม่รังเกียจกลิ่น ตลอดหนึ่งปีครึ่งมานี้ เขาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการทดลองทำน้ำปลาสูตรต่างๆ ของที่เอาไปใช้ปรุงอาหารถวายฮ่องเต้ในวัง ก็เป็นผลมาจากความอุตสาหะของเขา

“มีเรื่องอะไรรึ ถึงจะไปหา”

“น้ำปลาถังใหม่บ่มได้ที่แล้วขอรับ”

“ขอบคุณเจ้ามากที่ช่วยดูแลอย่างใส่ใจ”

เจ้สูดอากาศเหม็นคาวในโรงงานอย่างชื่นใจ เมื่อรู้ว่าของดีที่รอคอยใกล้เสร็จ น้ำปลาหมักแบบธรรมชาติโดยทั่วไปต้องหมักไว้ประมาณหนึ่งปี แล้วตักกรองสัปดาห์ละสองสามวันเป็นเวลาหนึ่งเดือน แต่น้ำปลารุ่นแรกของเจ้ใช้เวลาน้อยกว่านั้นมาก เธออยากกินเร็วๆ เลยเปิดถังหมักออกมาบ่มเร็วหน่อย น้ำปลารุ่นนี้ไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็ถือว่าดีกว่าเกลือหลายสิบเท่า ทำให้พอบรรเทาความอยากไปได้บ้าง

หลังจากนั้นเจ้ก็ทิ้งงานให้เฉิงเคอทำต่อ ให้เขาลองหมักด้วยสูตรต่างๆ ทดลองลดและเพิ่มเวลาหมัก ได้ผลเช่นไรให้มารายงานเป็นระยะ

“มิได้ขอรับ ข้ายังมีเรื่องต้องปรับปรุงอีกมาก” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างถ่อมตัว

“ถ้าน้ำปลารุ่นใหม่ได้แล้ว ให้ส่งไปที่บ้านใหญ่ของสกุลเฉินด้วย”

เจ้ไม่เคยลืมเพื่อน ถ้าหม่อมกับโบ้ยังอยู่เมืองหลวงก็จะส่งไปให้เช่นกัน

“ให้ส่งไปจำนวนเท่าไรขอรับ” เฉิงเคอถามจำนวนเพื่อป้องกันความผิดพลาด

“ไหเดียวก่อนก็แล้วกัน ปิดฝาให้ดี ห่อกระดาษกับผ้าหลายๆ ชั้นด้วย อ้อ! หากล่องดีๆ ที่ดูแพงมาใส่ด้วยเล่า แล้วบอกไปว่าเป็นของขวัญจากแม่นางชิงชิง”

เฉิงเคอรับคำโดยไม่ถาม นิสัยอย่างทหารที่ก้มหน้าทำตามคำสั่งอย่างนี้เป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย กล่าวคือหากไม่สั่งก็จะไม่ทำ ช่วงแรกๆ จึงมีปัญหาพอประมาณ เจ้จึงแก้ด้วยการกำชับว่า หากมีปัญหาอะไรที่เห็นเป็นเรื่องเร่งด่วน ให้ตัดสินใจไปเลย ไม่ก็ให้รีบมารายงาน ซึ่งชายหนุ่มก็ทำตามที่สั่งได้ดีปานกลาง

“ช่วงนี้มีปัญหาอะไรหรือเปล่า” เจ้ถาม

“มีคนมาขอซื้อน้ำปลาขอรับ ให้ราคาถึงไหละสิบทอง ข้ายังไม่ได้ให้คำตอบเขา ตั้งใจว่าจะรอปรึกษานายหญิงก่อน”

“ใครกัน” เจ้ทำหน้าสงสัย น้ำปลาที่เธอทำขึ้นมาไม่เป็นที่รู้จัก ขนาดเอาไปแจกจ่าย ผู้คนยังเบือนหน้าหนี ต้องบังคับแม่ครัวที่หอซูเมิ่งอยู่นานกว่าจะยอมใช้น้ำปลาทำอาหารให้

“คนสกุลหลี่ขอรับ ที่เป็นเศรษฐีใหญ่”

ไม่ต้องอธิบายเพิ่มก็นึกออก ช่วงนี้เธอพยายามเก็บข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับสกุลหลี่ จนใกล้จะละเมอชื่อนี้อยู่แล้ว

“พวกเขารู้ได้อย่างไรว่าที่นี่ทำน้ำปลา”

ถึงจะมีป้ายปักไว้ด้านหน้าว่าทิพยโอชา คนส่วนใหญ่ก็ยังเดาไม่ออกว่าสถานที่แห่งนี้สร้างขึ้นมาเพื่อการใดกันแน่

“เห็นว่าสืบเอาขอรับ”

เฉิงเคอเล่าคร่าวๆ ว่ามีคนในวังเคยกินน้ำปลาแล้วติดใจ จึงสั่งพวกพ่อค้าให้ไปหาเครื่องปรุงชนิดนี้มา พอได้ฟัง เจ้ก็ปะติดปะต่อเรื่องราวได้ นอกจากเอาไปทำอาหารถวายฮ่องเต้ องค์ชายสามยังขนน้ำปลาสุดรักสุดหวงของเจ้ไปทำอาหารเลี้ยงแขกผู้ทรงเกียรติหลายไห

“ของเก่ายังเหลืออยู่เยอะไหม”

“ประมาณร้อยไหขอรับ”

“แบ่งขายให้ครึ่งหนึ่งก็แล้วกัน”

น้ำปลาหมักแบบธรรมชาติของเจ้เก็บได้ไม่นานเท่าน้ำปลาที่ใส่สารกันบูด ประกอบกับถังใหม่เพิ่งบ่มเสร็จ เจ้จึงไม่คิดจะหวงไว้ให้เน่าเสีย รวมถึงใช้โอกาสนี้เอาทุนคืนเสียเลย

บังเอิญเหลือเกินที่คนของสกุลหลี่มาอ้อนวอนขอซื้ออีกครั้งตอนที่เจ้อยู่พอดี เลยได้ตกลงราคากันด้วยตัวเอง เจ้ขายน้ำปลาในราคาไหละร้อยเหรียญทอง ทั้งที่ต้นทุนจริงๆ ไม่เกินห้าเหรียญทอง สาเหตุที่ตั้งราคาแพงเพราะคนที่นี่มีทัศนคติว่ายิ่งแพงยิ่งดี ขายถูกเกินไปจะกลายเป็นของไร้ค่า รวมถึงตั้งราคาเผื่อต่อด้วย

คนของสกุลลี่ยอมซื้อโดยไม่ต่อรองราคาเลย เขาจ่ายเงินสดให้พันทอง ส่วนที่เหลือเป็นตั๋วแลกเงิน จากนั้นก็ขนน้ำปลาจำนวนห้าสิบไหกลับไปทันที

เจ้มารู้ทีหลังว่าพ่อค้าคนอื่นก็อยากได้น้ำปลาเช่นกัน ให้ราคาสูงกว่าสกุลหลี่ด้วย แต่ไม่ได้ขายให้เพราะของเหลือน้อย รวมถึงอยากเก็บของใหม่เอาไว้ก่อน งานนี้เจ้เสียดายเงินอยู่บ้าง แต่ก็คิดว่าคุ้มค่าเมื่อเทียบกับเส้นสาย


เจ้ปักหลักอยู่ที่โรงงานเพื่อทดลองปรุงรสและผสมหัวน้ำปลาตามสูตรต่างๆ พอดีหมกมุ่นมากไปหน่อยเลยอยู่จนถึงบ่ายอีกวัน ออกมาด้านหน้าก็ไม่มีรถม้าจอดรอแล้ว แต่ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะคนงานออกไปตามรถม้าให้ได้

เธอกลับถึงหอคณิกาตอนสาย กลับมาก็เห็นของขวัญเต็มโต๊ะ ซือซือบอกว่านายหญิงคนอื่นให้มาเพื่อตอบแทนเรื่องยาบำรุงผิวพรรณ

“พวกนายหญิงที่ไม่ได้หงุดหงิดน่าดูเชียวเจ้าค่ะ บ่นว่าท่านลำเอียงด้วย”

“ก็มีของอยู่เท่านี้นี่นา ช่วยไม่ได้”

“ข้าก็บอกไปแล้วเจ้าค่ะ แต่พวกนางดื้อด้านกันจริงๆ แล้วยังว่าร้ายนายหญิงด้วย” ซือซือถือโอกาสฟ้อง

“พวกนางก็เป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้วนี่” เจ้เอ่ยอย่างไม่ยี่หระ “ไปหยิบยาบำรุงให้ข้าที แล้วเร่งคนเอาน้ำอาบมาให้ข้าด้วย”

เจ้ง่วงมาก แต่ยังเข้านอนไม่ได้เพราะเหนียวเหนอะหนะไปทั้งตัว แถมยังมีกลิ่นน้ำปลาติดตามเสื้อผ้า

ซือซือหยิบยามาให้นายหญิงก่อน แล้วไปเร่งเรื่องน้ำอาบ เจ้รับยามากินแล้วรออยู่พักหนึ่ง นางก็กลับมาพร้อมคนงานและถังน้ำ

“ไม่ต้องผสมให้ร้อนมากนะ” เจ้สั่ง

ซือซือไม่ตอบรับขยับเขยื้อน หญิงสาวเขม้นมองมาด้วยสายตาสงสัย นางกวาดตาไปรอบห้องคล้ายจะมองหาอะไรสักอย่าง พอไม่พบก็ถามเสียงเข้ม

“เจ้าเป็นใคร แล้วนายหญิงไปไหน!”

“พูดอะไรของเจ้าน่ะซือซือ ข้านี่ไงนายหญิง”

“ไม่มีทาง! อยู่ๆ คณิกาอันดับหนึ่งของหอซูเมิ่งจะกลายเป็นคนอัปลักษณ์ได้อย่างไร” หญิงสาวบอกเสียงดังก่อนจะวิ่งไปยังส่วนอื่น

“นายหญิงอยู่ไหนเจ้าคะ นายหญิง!” ซือซือตะโกนหาฟางเซียนเป็นการใหญ่

เจ้ได้แต่มองสถานการณ์อย่างงงงัน พวกผู้ชายที่แบกถังน้ำมาให้ดูก็ตกใจเช่นกัน ทั้งคู่มองเธอด้วยสายตากล่าวหาราวกับว่าเธอเป็นคนร้าย

‘ไม่ดีแล้ว ต้องมีอะไรผิดปกติ’

เจ้ถลาไปส่องกระจกเมื่อได้สติ สิ่งที่สะท้อนกลับมาไม่ใช่ใบหน้าของสตรีโฉมงามอย่างที่เคย แต่เป็นผู้หญิงหน้าตาจืดชืดที่ไม่เคยรู้จัก

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น!” เจ้เอามือแตะหน้าตัวเอง

เธอคิดไล่เรียงเหตุการณ์อย่างตื่นตระหนก ตอนกลับเข้าห้อง ตัวเธอยังเป็นปกติอยู่ พอซือซือออกไป เธอก็กลายร่างเป็นอีกคน เจ้มั่นใจว่าไม่ได้หลับฝัน ถึงจะเหนื่อยมา สติก็ยังอยู่ครบ

“ยา! เจ้าอะไรยาอะไรให้ข้ากิน!” เจ้ถลาไปหาซือซือเมื่อนึกขึ้นได้ เธอจำได้ว่ายาที่กินเข้าไปมีกลิ่นหอมของน้ำผึ้งกับนม แต่ไม่ได้เอะใจว่าเป็นยาของเต้กุน เพราะยาของแว่นก็มีส่วนผสมของน้ำผึ้ง

“ข้าไม่เคยเอายาให้เจ้ากินสักหน่อย” ซือซือปฏิเสธ

“ข้าหมายถึงยาที่เจ้าให้นายหญิงกินน่ะ” เจ้เสียงดังใส่อย่างหงุดหงิด เธอเขย่าตัวสาวใช้เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมตอบคำถามเสียที

“ปล่อยข้านะ!” ซือซือผลักคนที่นางคิดว่าเป็นคนแปลกหน้าอย่างแรง

เจ้ไม่ทันระวังจึงล้มลง ตอนนั้นหางตาเหลือบไปเห็นพอดีว่าขวดยาที่ทิ้งไว้เมื่อคืนวานไม่ได้อยู่ที่เดิม

‘ซวยแล้วไง’

เจ้หันมาทางสาวใช้เพื่ออธิบาย แต่ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว ซือซือตะโกนเรียกให้พวกผู้ชายช่วยกันจับตัวเธอ

“ผู้หญิงคนนี้ต้องเอานายหญิงขอข้าไปซ่อนแน่ๆ!” หญิงสาวยัดข้อหาให้

เจ้เห็นท่าว่าอธิบายไปก็ไม่เข้าใจ เลยเลือกหนีเอาตัวรอดก่อน เต้กุนบอกว่าอีกสามชั่วยามยาจะหมดฤทธิ์ รอให้ถึงตอนนั้นแล้วค่อยกลับมา

แม้หน้าตาจะเปลี่ยนไป แต่สมรรถภาพทางกายยังอยู่ครบถ้วน ผู้ชายเพียงสองคนมีหรือจะคณามือคนที่มีเบื้องหลังเป็นถึงมือสังหาร เจ้จึงหนีออกจากหอซูเมิ่งได้โดยไม่มีใครตามทัน

โชคร้ายจริงๆ ของเจ้เริ่มต้นตอนนี้เอง เธอรีบร้อนวิ่งหนีออกมาเลยไม่ได้สวมรองเท้า เงินติดตัวสักเหรียญก็ไม่มี ซ้ำร้ายตัวยังเหม็นหึ่ง เดินไปทางไหนคนเขาก็รังเกียจ

“อย่าจ้องข้านะ ผู้หญิงบ้า!” เด็กคนหนึ่งตะโกนใส่

เด็กคนนี้เล่นกับกลุ่มเพื่อน พอมีคนหนึ่งพูดกับเจ้ ที่เหลือก็พร้อมใจกันมอง

“ผู้หญิงบ้าละ/น่ากลัวจังเลย/น้องเล็ก เจ้าอย่าเข้าไปใกล้นางนะ”

พวกเด็กผู้หญิงซุบซิบกันใหญ่ ส่วนพวกผู้ชายแลบลิ้นปลิ้นตาตีตูดล้อเลียน

“ไม่เห็นน่ากลัวเลย/มานี่สิ ข้าจะจัดการแกเอง!”

“ข้าไม่ได้บ้านะ!” เจ้แหวกลับ

ยิ่งโกรธ พวกเด็กๆ ก็ยิ่งล้อเลียนหนัก เจ้โมโหเลยวิ่งไล่สั่งสอนเด็ก คนเคยประกวดนางงามแต่มีความเป็นแม่ต่ำเตี่ยเรี่ยเหว ไม่ลังเลเลยที่จะจับหัวโจกมาตีก้นสั่งสอน

“ปล่อยข้านะ! ปล่อยข้า!” เด็กชายอายุสิบขวบดิ้นปัดๆ

“ข้าจะไม่ปล่อยจนกว่าเจ้าจะขอโทษ!” เจ้ประกาศลั่น

“ทำไมข้าต้องขอโทษคนบ้าด้วย ปล่อยข้านะนังสารเลว!”

ถ้อยคำด่าทอหยาบคายสารพัดออกมาจากปากเด็กน้อย คนฟังถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยิน เจ้นึกตำหนิไปถึงพ่อแม่เด็กที่ด้อยการอบรม

“วันนี้ถ้าไม่ขอโทษ โดนตีจนกว่าจะตายก็แล้วกัน” เจ้ขู่ เธอตั้งใจเต็มที่ว่าจะสั่งสอนเจ้าเด็กปากพล่อยนี่แทนพ่อแม่

เด็กชายร้องไห้จ้า แต่ไม่มีท่าทีว่าจะขอโทษ เอาแต่ตะโกนว่าหญิงบ้าจะฆ่าตัวเอง

ไม่กี่อึดใจก็มีคนกลุ่มหนึ่งวิ่งมา ผู้หญิงที่อยู่ด้านหน้าสุดสะโกนลั่นว่ามีคนบ้ากำลังทำร้ายลูกนาง เหล่าชาวบ้านที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนพร้อมใจกันกรูเข้ามา บ้างก็พยายามขว้างหินใส่ เจ้เห็นท่าไม่ดีเลยตัดสินใจปล่อยเด็กแล้วออกวิ่งอีกครั้ง

เธอหนีไปหลบในตรอกเล็กๆ ได้ทันฉิวเฉียด จึงรอดจากการรุมทำร้ายมาได้ เจ้ปาดเหงื่อชุ่มโชกบนใบหน้าออก แล้วถอนใจอย่างเหนื่อยล้า เธอไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดแล้ว แต่คาดว่าต้องทนอยู่ในสภาพนี้อีกประมาณสองชั่วยาม

“นั่งอยู่ตรงนี้แหละจะได้ไม่ซวยอีก”

เจ้ทิ้งตัวลงบนพื้น เธอทั้งง่วง เหนื่อย และหิว ถ้าได้งีบสักพัก เวลาคงผ่านไปเร็วขึ้น แต่เจ้กลับไม่สามารถนอนได้ ประสาทสัมผัสของฟางเซียนดีเกินไป นางตื่นตัวอยู่เสมอในสถานที่ที่มีผู้คนจำนวนมาก เจ้ชันเข่าขึ้นมาซบ พลางบ่นถึงคนที่ให้ของประหลาดมา

“กินแล้วขี้เหร่ไม่พอ ยังซวยอีก”

เจ้บ่นยาวด้วยหวังให้คนที่อยู่บนสวรรค์ได้ยิน แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีทีท่าว่าเต้กุนจะลงมาช่วย เธอเลยต้องช่วยตัวเองด้วยการหอบสังขารอันอ่อนล้ากลับหอคณิกา

เพื่อให้มั่นใจว่าคืนร่างเรียบร้อยแล้ว เจ้เลยเดินหาอะไรมาส่องดูสารรูปตัวเอง กระจกเป็นของหายาก และคงจะขอยืมใครมาส่องไม่ได้ง่ายๆ เจ้เลยเดินออกจากตรอกไปยังแม่น้ำ หมายจะดูเงาตัวเองในนั้น เดินมาได้ครึ่งทางก็พบแอ่งน้ำกว้างประมาณหนึ่งเมตร วันนี้ไม่มีฝนตก แต่บังเอิญคนขายปลาเทน้ำทิ้งไว้หลังขายเสร็จ เจ้จึงลองชะโงกไปดูเผื่อจะใช้ได้

“ยังไม่เปลี่ยนอีกหรือเนี่ย”

เจ้ถอนใจเมื่อเห็นใบหน้าอันแสนจืดชืด เธอเริ่มกังวลเสียแล้วว่ายาของเต้กุนจะออกฤทธิ์นานกว่าที่บอกไว้ เจ้มัวแต่กังวลจึงไม่ได้ยินคนบอกให้หลีก กว่าจะรู้ตัว ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ก็ผลักเธอล้มลงไปในแอ่งน้ำแล้ว

“นังบ้านี่เกะกะจริง!” ชายร่างใหญ่ไม่เพียงแต่ทำร้าย ยังถุยน้ำลายออกมาด้วย

เจ้ซึ่งมีคนปฏิบัติต่อตัวเองเหมือนราชินีมาตลอดโมโหจนหน้าแดงก่ำ รสชาติของการเกิดเป็นคนขี้เหร่เป็นอย่างนี้เอง เจ้เหยียดยิ้มให้เงาในน้ำอย่างสมเพชแกมขัน ครั้งแรกที่ได้มองเงาในกระจก เธอเห็นผู้หญิงหน้าจืดธรรมดา แต่ตอนนี้กลับเห็นคนบ้า มิน่าเล่าใครๆ ถึงได้หนีห่าง

ก่อนเกิดเรื่อง เจ้กำลังอาบน้ำก็เลยแกะผมที่เกล้าไว้ออก พอวิ่งมากเข้า แถมยังไปทะเลาะกับเด็กมา มันเลยพันกันยุ่งเหยิงจนมีสภาพดูไม่ได้เลย

‘ตอนเป็นตุ๊ดยังไม่เคยตกต่ำขนาดนี้เลย’ เจ้บ่นพึมในใจถึงชะตากรรม

ขณะนี้รอบตัวเธอมีผู้คนสัญจรไปมามากมาย แต่ไม่มีใครคิดจะเหลียวแลผู้หญิงตัวเล็กๆ เลย ถ้าลองสวยอย่างฟางเซียน ไม่ทันได้กะพริบตา คนมากมายก็เข้ามาอาสาช่วยเหลือ

เจ้ปลงกับชีวิตมากขึ้นเป็นเท่าตัว ถ้ายาที่เต้กุนเอามาให้ไม่มีชื่อ เธอจะขอตั้งให้เองว่า ‘ยาซึ้งถึงสัจธรรม’ เจ้บอกตัวเองว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แล้วเตรียมหยัดกายลุกขึ้น ตอนนั้นเองที่มีมือมือหนึ่งยื่นมาตรงหน้า

“แม่นางเป็นอะไรหรือเปล่า ให้ข้าช่วยไหม” เสียงนุ่มของบุรูษดังเสนาะหู

สิ่งแรกที่เจ้เห็นคือเสื้อผ้าที่เขาสวม เสื้อผ้าอย่างชนชั้นกลางทำให้พอเดาได้ว่าเป็นคนมีการศึกษา จากที่ปลงในชีวิตก็ชื่นจิตขึ้นมาบ้างกับน้ำใจจากคนแปลกน้า เจ้ยอมให้เขาช่วยดึงตัวลุกขึ้น ทว่ายังไม่ทันได้ขอบคุณ โลกก็เหมือนหยุดหมุนไปชั่วขณะ

“นพ!” นามนี้หลุดออกจากปากทันทีที่ได้เห็นหน้าชายหนุ่มผู้มากน้ำใจ

“ขออภัย เมื่อครู่แม่นางว่าอะไรนะ” ชายหนุ่มถามอย่างสุภาพ ทว่าหญิงสาวกลับตอบแทนเขาด้วยการสะบัดมือแล้ววิ่งหนีไป

-โปรดติดตามตอนต่อไป-



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 ต.ค. 2558, 23:54:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ต.ค. 2558, 00:12:44 น.

จำนวนการเข้าชม : 1042





<< ลำนำผีเสื้อโลหิต : บทที่ ๓ จันทร์หลบโฉมสุดา   ลำนำผีเสื้อโลหิต : บทที่ ๕ อดีตฝังใจ >>
mottanoy 26 ต.ค. 2558, 07:57:56 น.
555 แล้วยาให้หน้าธรรมดานี่จะช่วยให้เข้าไปเอาแหวนได้ยังไงน้าาา


Zephyr 26 ต.ค. 2558, 20:30:36 น.
อ้าว มาเจอกิ้กเก่าอีก
อืม ชักจะวุ่นวาย
เจ้ราชินีตลอด ลองใช้ชีวิตยาจกบ้างนะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account