หัวใจบ่มรัก (เริ่มต้นอัพให้อ่านใหม่อีกรอบ)
เริ่มต้นลงให้อ่านใหม่อีกรอบนะคะ แต่อัพแค่ 70% เด้อค่า



เด็กกะโปโล’ คือคำจำกัดความของ วรรณวลี ในสายตาของหนุ่มหล่อพี่ชายข้างบ้านอย่าง พศวัต และ ‘ตาแก่’ ที่กล้าพูดว่าเธอเป็นเด็กกะโปโล คอยดูเถอะเด็กกะโปโลคนนี้จะทำให้ตาแก่ปากร้ายมาสยบแทบเท้าให้ได้
ในอดีตเขาเคยปฏิเสธการหมั้นหมายกับ วรรณวลี ตามความต้องการของผู้ใหญ่เพราะคิดว่าเธอยังเด็กเกินไปสำหรับเรื่องพวกนี้ แต่ในวันนี้เด็กสาวในอดีตกลับมาพร้อมการเป็นหญิงสาวที่สวยสะพรั่ง เสน่ห์ยั่วยวนใจเขาอย่างร้ายกาจ และนั่นมันทำให้เขาอยากจะทำให้ความต้องการของผู้ใหญ่ในอดีตให้เป็นจริง …เขาต้องทำมันให้สำเร็จ ก็ผู้หญิงคนนี้เกือบจะถูกหมายปองให้เป็นของเขาตั้งแต่หลายปีก่อนแล้วนี่ และตอนนี้ก็ได้เวลาเอาจริง!!!

“ยะ…หยุดนะ” ห้ามเสียงสั่นพร้อมทั้งดิ้นขัดขืนและพยายามดึงตัวเองกลับ แต่ก็ดูเหมือนจะไร้ผล ยิ่งดิ้นชายหนุ่มก็ยิ่งกอดแน่นขึ้นไปอีก “หือ…อย่าหยุดเหรอได้…จัดไป”
“กรี๊ดดด! หยุดดด! ไม่ใช่อย่าหยุด ไอ้พี่พตบ้า” วรรณวลีตวาดแว้ดมือไม้ทั้งผลักไสทุบตีคนบ้ารัวไม่เลือกที่และไม่มียั้ง หลบได้ก็หลบแต่ถ้าหลบไม่ได้ไม่ก็ต้องโดนจนช้ำกันไปบ้างล่ะ
“พอแล้ว พอแล้ว พี่ยอมแล้ว ไม่ทำอะไรเราแล้ว” พศวัตห้ามเสียงกลั้วหัวเราะ พร้อมทั้งหลบซ้ายหลบขวายกแขนรับกำปั้นน้อยๆ ที่รัวเข้าใส่อย่างรู้สึกสนุกมากกว่าเจ็บตัว
“สัญญานะ” ถามอย่างระแวง
“ครับ…” เพียงเท่านั้นมือบางก็ผลักอกกว้างแรงๆ เป็นการส่งท้าย ก่อนจะขยับตัวกลับมานั่งที่เบาะของตัวเองพร้อมทั้งรัดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย อย่างน้อยก็ป้องกันไม่ให้เขากระชากเธอเข้าไปหาอีก ด้วยใบหน้าที่บึ้งตึงและแดงก่ำ
“งั้นก็รีบๆ กลับบ้านสิคะ ฉัน…ว้าย!” วรรณวลีร้องเสียงหลง รีบยกมือปิดปากที่โดนพศวัตอาศัยโอกาสเพียงแค่เสี้ยวนาทีขโมยจูบไปอีกครั้งเอาไว้ ส่วนอีกข้างยกขึ้นชี้หน้าคนฉวยโอกาสที่นั่งหัวเราะยักคิ้วหลิ่วตาอย่างยียวนอย่างโมโหระคนอายจนตัวสั่น
“เอาสิเรียกแบบนั้นอีกสิ ฉันๆ คุณๆ เนี่ย พ่อจะจูบให้หนำใจเลย”

***********************************************

เรื่องนี้เป็นรูปเล่มแล้วนะคะ
นักอ่านคนไหนสนใจสามารถติดต่อได้ที่ kesmani1@hotmail.com หรือที่แฟนเพจ รดามณี ไหมขวัญ


ราคาปก 320 บาท ลดเหลือ 299 บาท ค่าจัดส่ง 20 บาท
***แถมสมุดโน๊ตภาพหน้าปกนิยาย***



E-book :https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiMTgyNTMyIjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NDoiNjU3OCI7fQ
Tags: หัวใจบ่มรัก,เกศมณีลรดามณี,ไหมขวัญ,มายา,นิยายรัก,โรแมนติก,ทำมือ,รักต่างวัย,กินเด็ก

ตอน: ตอนที่ 1 ซ้ำรอย 100%

ตอนที่ 1

ซ้ำรอย

จากที่เงียบเหงามาหลายปีวันนี้บ้านกิตติวราก็กลับมาคึกคักอีกครั้ง นางอมลวรรณตื่นขึ้นมาทำบุญใส่บาตรตั้งแต่เช้าตรู่อย่างเช่นทุกวัน หากแต่วันนี้พิเศษหน่อยก็ตรงที่สามีของนางหยุดงาน รวมไปถึงสองพ่อลูกของบ้านข้างๆ อย่างนายอนิวัตติ์กับพศวัตที่งานรัดตัวไม่ใช่น้อย แต่วันนี้ชายหนุ่มกลับยอมหยุดงานมาร่วมใส่บาตรในตอนเช้า เพื่อที่ตอนบ่ายจะได้เดินทางไปรับคนที่จากบ้านเกิดเมืองนอนไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศกลับบ้านอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

จากนั้นทั้งสองครอบครัวก็ร่วมรับประทานอาหารเช้าด้วยกันที่บ้านกิตติวรา และใบหน้าของแต่ละคนในวันนี้นั้นดูสดใสยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะคู่สามีภรรยาผู้เป็นเจ้าบ้าน และมันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ได้รับโทรศัพท์ทางไกลจากลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนว่าจะบินกลับเมืองไทยตั้งแต่เมื่อวาน หลังจากที่เรียนจบและขอเที่ยวพักผ่อนพร้อมกับช่วยงานน้าสาวนานถึงหนึ่งปีเต็ม

และตลอดทั้งวันนางอมลวรรณก็ได้สั่งให้เด็กรับใช้ตรวจตราความเรียบร้อยภายในห้องนอนของลูกสาวรวมถึงวัตถุดิบในการทำอาหารจานโปรดให้เพียบพร้อมและตรวจตราอีกรอบก่อนจะเตรียมตัวไปรับบุตรสาวที่จะเดินทางมาถึงสนามบินในช่วงบ่ายแก่ๆ พร้อมกับสามีและสองพ่อลูกที่มีท่าทีตื่นเต้นไม่แพ้กัน โดยเฉพาะพศวัต แม้จะพยายามเก็บท่าทีแต่ทุกคนกลับดูออกว่าเขาตื่นเต้นกับการกลับมาของ‘ยัยเด็กกะโปโล’ อย่างวรรณวลีไม่น้อย

“อ้าว เจ้าพตล่ะ”

นายอนิวัตติ์ถามเด็กรับใช้พลางเลิกคิ้วขึ้น เมื่อเดินลงบันไดมาแล้วไม่เห็นบุตรชาย ที่วันนี้หยุดงานเพื่อไปรับวรรณวลีโดยเฉพาะ หลังจากที่เมื่อหลายปีก่อนไม่ได้ไปส่งเป็นการแก้ตัว

“ยังไม่เห็นลงมาเลยค่ะ…อุ๊ย! คุณพตลงมาแล้วค่ะ”

สาวใช้บอกก่อนจะเดินก้มหน้าเดินเลี่ยงออกไปปล่อยให้เจ้านายได้คุยกันตามลำพัง ด้านนายอนิวัตติ์เมื่อได้ยินอย่างนั้นก็หันไปมองร่างสูงในชุดกางเกงสแล็คสีเทากับเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีดำแต่แอบมีลูกเล่นเป็นเส้นกลางสีเทารวมไปถึงขอบปกเสื้อของบุตรชาย แล้วกดยิ้มมุมปากหัวเราะหึๆ ในลำคอ

“ไงแค่ไปเปลี่ยนเสื้อทำไมนานนักล่ะ หรือมัวแต่งหล่ออยู่”

“พ่อก็พูดไปเรื่อยเปื่อย ผมแค่มัวคุยโทรศัพท์เรื่องงานกับเลขาอยู่ต่างหากล่ะครับ และแค่ไปรับยัยเด็กกะโปโลอย่างยัยเปรี้ยวทำไมผมจะต้องแต่งลงแต่งหล่ออะไรด้วยล่ะครับ”

คนโดนแซวแก้ตัวเสียงเรียบพยายามเก็บอาการให้มากที่สุด เพราะเจ้าตัวรู้อยู่แก่ใจมากที่สุดว่าถึงปากจะบอกว่าไม่แต่งหล่อแต่กว่าจะเลือกเสื้อที่ใส่ได้ก็นานกว่าปกติ แต่เรื่องคุยโทรศัพท์กับเลขาเรื่องงานนั้นเขาก็ไม่ได้โกหกหรอกมันจึงทำให้ที่ช้าอยู่แล้วยิ่งช้าเข้าไปอีก

“เด็กกะโปโล!”

นายอธิวัตติ์ทวนคำที่ลูกชายเรียกแทนตัวของวรรณวลีเสียงสูง พร้อมกับหันไปหรี่ตามองใบหน้าหล่อคมเข้มเต็มวัยของพศวัตแล้วหัวเราะดังลั่น

“น่าขำตรงไหนครับ”

พศวัตถามคนเป็นพ่อเสียงขุ่น

“ก็ตรงที่แกบอกว่าหนูเปรี้ยวเป็นเด็กกะโปโลไงล่ะ ที่พูดมาน่ะแน่ใจเหรอ ผ่านมาหลายปีแล้วนะป่านนี้ไม่โตเป็นสาวเต็มตัวแล้วเหรอ…”

เสียงลากยาวคล้ายกับท้าทายทำให้พศวัตหันไปมองใบหน้าที่ดูจะอารมณ์ดีเหลือเกินของคนเป็นพ่อแล้วทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ ก่อนจะเดินหนีเอาดื้อๆ เพราะไม่รู้จะโต้แย้งยังไง จะว่าไปคงมีเขาคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้รับการติดต่อจากหญิงสาว ขณะที่พ่อของเขานั้นวรรณวลีโทร.มาหาบ่อยครั้ง และบ่อยครั้งในวันหยุดพ่อของเขาจะชวนไปดูรูปที่หญิงสาวส่งข้ามทวีปมาให้ดู ใจมันก็อยากจะดูอยู่หรอกแต่เพราะอะไรก็ไม่รู้ทำให้เขาปฏิเสธทุกครั้งไป แถมคิดเอาเองว่าวรรณวลีคงไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากมายหรอก อย่างมากก็แค่อายุมากขึ้นตัวโตขึ้นและสูงขึ้นก็เท่านั้น

แต่พอมาวันนี้ท่าทีที่พ่อเขาเอ่ยถึงวรรณวลีอย่างมีเลศนัย ทำให้เขาไม่แน่ใจแล้วสิว่าหญิงสาวจะเป็นอย่างที่เขาคาดคิดไว้หรือเปล่า แต่เอาเถอะน่าคนเรามันจะเปลี่ยนได้แค่ไหนกันเชียว

“ไปกันเถอะบ้านนู้นโทร.มาบอกแล้วว่ากำลังจะออกเดินทาง นี่ก็จะบ่ายโมงแล้วเราต้องเผื่อเวลารถติดสักนิด”

นายอนิวัตติ์ที่เดินตามหลังมาบอกลูกชายที่ดูเหมือนจะจมอยู่ในภวังค์ความคิด หลังจากที่เพิ่งวางสายจากเพื่อนบ้านอย่างอายุธ

“คะ…ครับ”

บอกก่อนจะเปิดประตูรถ หากแต่เสียงโทรศัพท์ของชายหนุ่มกลับดังขึ้น ทำให้คนเป็นพ่อที่กำลังจะก้าวขึ้นรถหยุดชะงักยืนรอก่อน เพราะกลัวว่าลูกชายจะเจองานด่วนเข้ามาแล้วจะไปด้วยไม่ได้

“ผมขอเวลาแป๊บหนึ่งครับ”

เอ่ยจบชายหนุ่มก็กดรับสายที่ไม่ใช่เรื่องงานอย่างที่คนเป็นพ่อคาดคิด หากแต่เป็นหนึ่งในผู้หญิงของเขาต่างหากล่ะ ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าหล่อนโทร.มาทำไมทั้งที่บอกไปแล้วว่าวันนี้ยุ่ง

“ว่าไงครับฟ้า”

“ตอนนี้พตอยู่ไหนคะ”

เสียงเล็กแหลมติดจะหงุดหงิดดังมาตามสาย ทำให้พศวัตถอนหายใจพลางกรอกตาขึ้นฟ้าอย่างพยายามสกัดกั้นอารมณ์เบื่อหน่ายเอาไว้ไม่ให้มันสื่อออกไปทางน้ำเสียง

“ผมกำลังจะออกไปทำธุระ ถ้าฟ้าไม่มีอะไรแค่นี้นะผมรีบ”

“เดี๋ยวสิคะพต!”

ชายหนุ่มกำลังจะกดวาง แต่เสียงร้องเรียกจากหญิงสาวก็ดังแว่วเล็ดลอดออกมา จนเขาต้องยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูอีกครั้ง แต่น้ำเสียงที่ใช้ถามดูจะห้วนสั้นอย่างคนไม่สบอารมณ์

“คุณมีอะไรอีกฟ้า ผมบอกว่ารีบและวันนี้ผมก็บอกคุณไปแล้วว่าไม่ว่างมีธุระสำคัญ”

“แหม…ฟ้ารู้ค่ะ แต่นี่มันสุดวิสัยจริงๆ นี่คะ พอดีรถฟ้ายางแตกอยู่แถวบางนา ฟ้ากลับมาจากไปหาเพื่อนน่ะค่ะ เบื่อรถติดเลยใช้เส้นทางลัด ที่คุณเคยพามาคุณก็รู้นี่ค่ะว่าถนนเส้นนี้ค่อนข้างเปลี่ยว แม้จะเป็นช่วงกลางวันก็ไม่ค่อยจะมีรถวิ่งเลย แถมสองข้างทางมีแต่ป่า ฟ้ากลัวนี่ยังไม่กล้าลงจากรถเลยนะคะเนี่ย”

มีปัญหาแล้วทำไมต้องโทร.หาเขาด้วยเล่า คนรู้จักมีเป็นสิบเป็นร้อยทำไมไม่โทร.หา หรือไม่ก็น่าจะโทร.เรียกช่างสิถึงจะถูก มาโทร.หาเขาเพื่อ…

“แล้วทำไมคุณไม่โทร.เรียกช่างล่ะฟ้า”

“ฟ้าทำไม่เป็นหรอกค่ะและไม่มีเบอร์ด้วย อีกอย่างที่นี่ก็เปลี่ยวจะตายช่างพวกนั้นเชื่อใจได้แค่ไหนกันเชียว ฟ้าไม่เอาด้วยหรอก ยังไงพตมาหาฟ้าก่อนได้ไหมคะ”

หญิงสาวอ้างสารพัดเหตุผล

“คนที่บ้านคุณล่ะ”

“อยู่แค่นังพลอยคนเดียวนั่นแหละค่ะ นอกนั้นก็ตามไปรับใช้คุณพ่อกับคุณแม่ที่บ้านตากอากาศที่ภูเก็ตนู่น”

“เพื่อนคุณที่เพิ่งไปหามาล่ะ”

“โอ๊ย! ยัยมายด์น่ะเหรอคะ เพิ่งออกไปกับกิ๊กคงติดต่อได้หรอกป่านนี้ปิดมือถือไปเริงร่ากันที่ไหนแล้วก็ไม่รู้”

เสนอแนะทางไหนดูเหมือนหญิงสาวนามว่า ‘ฟ้า’ คนนี้จะหาเหตุผลมาอ้างเพื่อที่จะให้ชายหนุ่มเป็นคนไปช่วยเธอแก้ปัญหายางรถแตกของเธอให้จงได้

“งั้นคุณถือสายรอผมแป๊บหนึ่ง”

บอกพลางถอนหายใจ กดต่อสายหาเพื่อนสนิทอย่างธนภูมิเผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง และระหว่างรออีกฝ่ายรับสายนั้นก็ไม่ลืมที่จะหันไปบอกคนเป็นพ่อที่ยืนพิงรถกอดอกรอ

“ขอเวลาอีกสักครู่นะครับพ่อ”

พศวัตยิ้มแห้งๆ อย่างเกรงใจ เมื่อคนเป็นพ่อพยักหน้ารับ และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ธนภูมิรับสายความสนใจทั้งหมดจึงถูกดึงกลับมาที่เจ้าเครื่องมือสื่อสารนี้อีกครั้ง

“ไอ้ภูมิตอนนี้แกว่างไหม”

“โนเวย์เพื่อนฉันกำลังจะเข้าประชุมด่วนในอีก 15 ไม่ใช่สิ 10 นาทีข้างหน้านี้เอง แกมีอะไร”

ได้ยินคำปฏิเสธพศวัตแทบไม่อยากจะคุยกับเพื่อนต่อ นิ้วแกร่งยกขึ้นนวดขมับตัวเองแรงๆ ก่อนจะตอบกลับเชิงปรึกษาไปในตัวด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ ว่า

“แกจำฟ้าเพื่อนลูกสาวคุณนายญาดาที่เราเจอในงานเลี้ยงแต่งงานลูกชายคุณหญิงรมย์ชลีเมื่อเดือนก่อนได้ไหมวะ”

“ได้สิสวยสะดุดตาขนาดนั้น แกกำลังคั่วอยู่นี้ มีปัญหาอะไรหรือเจ้าหล่อนจะจับแกทำสามี”

ธนภูมิล้อเลียนเสียงกลั้วหัวเราะชอบใจ ก่อนจะระเบิดออกมาเต็มที่เมื่อโดนอีกฝ่ายตะคอกด่ากลับมาอย่างไม่จริงจังนักด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

“ไอ้บ้า! รถเธอยางแตกแถวบางนา เธอต้องการให้ฉันไปหา แต่แกเข้าใจไหมว่าตอนนี้ฉันไม่ว่าง ต้องไปรับยัยเปรี้ยวที่สนามบินพร้อมกับทุกคน”

“ห๊า! น้องเปรี้ยวกำลังจะกลับมาเมืองไทยเหรอทำไมแกไม่บอกกันบ้างวะ ถ้ารู้จะหยุดงานเตรียมดอกไม้ช่อใหญ่ๆ ไปรอรับ”

เสียงที่ดูจะตื่นเต้นเกินเหตุของธนภูมิ ไม่เพียงแต่ทำให้พศวัตชักสีหน้าแสดงอาการไม่พอใจเท่านั้นแต่มันยังลามไปถึงน้ำเสียงที่กรอกลงไปตามสายด้วย

“แล้วทำไมฉันต้องบอกแกด้วยห๊าไอ้ภูมิ…ตกลงแกช่วยอะไรฉันไม่ได้ใช่ไหม”

“เออ แต่แกจะไปคิดหนักทำไม บางนากับสุวรรณภูมิไกลกันที่ไหน เอาอย่างนี้แกให้พ่อแกกับพ่อแม่ของน้องเปรี้ยวไปก่อน ส่วนแกไปหาคุณฟ้าและก่อนไปโทร.เรียกช่างก่อนเลย ไปถึงแกจะได้ไม่ต้องคอยนาน เสร็จสรรพก็มาส่งคุณฟ้าขึ้นแท็กซี่แค่นี้เอง ทันเวลาไหม”

พศวัตยกนาฬิกาข้อมือเรือนแพงขึ้นมาดูตอนนี้อีกไม่กี่นาทีจะบ่ายโมง วรรณวลีนั่งเครื่องมาถึงราวๆ บ่าย 3 โมง ถ้าทำได้อย่างที่เพื่อนรักบอกเวลาเหลือเยอะแยะ

“ทันๆ ขอบใจมาก แค่นี้แหละ”

ไม่รอให้อีกฝ่ายได้ตอบกลับหรือบอกลา พศวัตก็รีบวางสายแล้วกดมาสนทนาต่อกับอีกคนที่ถือสายรออยู่

“ฟ้าครับเดี๋ยวผมจะแวะไปหาคุณก่อนแล้วกันนะครับ จากนั้นผมค่อยไปทำธุระต่อ คิดว่าคงทัน”

“คุณนี่น่ารักเสมอเลยนะคะ มีธุระด่วนยังอุตส่าห์มีน้ำใจเสียสละเวลามาช่วยฟ้า ขอบคุณนะคะ แล้วเจอค่ะ”

น้ำเสียงเล็กแหลมตอบกลับมาอย่างอ่อนหวานติดจะอ้อนเล็กน้อยอย่างดีใจ

“ครับแล้วเจอกัน”

พศวัตวางสายพลางพ่นลมออกจากปาก ก่อนจะหันมายิ้มแหยๆ ให้กับคนเป็นพ่อที่ไม่ต้องถามก็พอรู้ว่าลูกชายตัวดีกำลังจะไปหาหญิงที่ชื่อว่า ‘ฟ้า’

“พ่อครับคือ…”

ยังไม่ทันที่พศวัตจะพูดจบ นายอนิวัตติ์ก็ยกมือขึ้นแล้วโบกเล็กน้อยว่าไม่ต้องพูดอะไรเพราะจากที่ยืนฟังมาแต่ต้นจนจบก็พอรู้เรื่อง

“ไม่ต้องพูด เอาเป็นว่าพ่อจะไปพร้อมกับสองคนที่จอดรถรออยู่หน้าบ้านก็แล้วกัน ส่วนแกก็รีบๆ จัดการธุระให้เสร็จ แล้วก็รีบๆ ตามไปซะ ขืนช้าคงไม่ทัน เมื่อหลายปีก่อนแกพลาดไม่ได้ไปส่ง คราวนี้หนูเปรี้ยวกลับมาก็ควรจะไปรับเป็นการแก้ตัวนะ”

“โธ่พ่อ! วันที่ยัยเปรี้ยวเดินทางไม่ใช่ผมไม่ไปส่งนะครับ ไปแต่ไม่ทันต่างหากเล่า บอกไม่เคยจะเชื่อ และวันนี้ยังไงก็ทันแน่นอนคอยดูก็แล้วกัน”

พศวัตเอ่ยอย่างมั่นใจพร้อมกับเอ่ยแย้งเรื่องวันที่วรรณวลีเดินทางแล้วเขาไปส่งไม่ทันเพราะเกิดเหตุขัดข้องเล็กน้อยไปถึงก็เจอทุกคนกำลังจะกลับพอดี อธิบายเหตุผลแล้วพ่อแม่ของวรรณวลีดูจะเข้าใจ แต่พ่อของเขาต่างหากที่ยังไม่อยากจะเชื่อ ถึงขนาดตั้งข้อสันนิษฐานว่าเขาจงใจมาช้ามากกว่า

“พูดเมื่อไหร่ว่าไม่เชื่อ ไปๆ รีบไปเถอะเดี๋ยวจะไม่ทัน พ่อก็จะรีบไปเหมือนกัน สองคนนั้นโทร.ถามแล้วถามอีก ไปๆ”

ว่าแล้วนายอนิวัตติ์ก็ก้าวขึ้นไปนั่งรอบุตรชายบนรถ ด้านพศวัตเองก็ก้าวขึ้นไปนั่งประจำตำแหน่งคนขับแล้วค่อยๆ เคลื่อนรถออกจากบ้านไปจอดที่หน้าบ้านกิตติวรา ที่มีรถของสองสามีภรรยาซึ่งทั้งสองคงพอจะรู้เรื่องคร่าวๆ จากพ่อของเขาตอนที่โทร.ตามระหว่างรอเขาจอดรออยู่

ร่างสูงของพศวัตเปิดประตูลงจากรถแล้วรีบเดินตรงไปคุยพร้อมทั้งขอโทษขอโพยนายอายุธกับภรรยาทันที ในขณะที่นายอนิวัตติ์ลงจากรถอีกคันไปขึ้นนั่งอีกคันด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยจะพอใจนัก เพราะกลัวลูกชายจะซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง อีกทั้งธุระที่ว่ายังเกี่ยวกับผู้หญิงอีก

“คุณน้าครับ ผมขอโทษนะครับที่ไปสนามบินพร้อมคุณน้าทั้งสองคนไม่ได้ พอดีมีเรื่องที่ต้องไปจัดการนิดหน่อยเดี๋ยวจัดการเสร็จผมจะรีบตามไปนะครับ คิดว่าคงทัน”

“ไม่เป็นไรหรอกน้าเข้าใจ และอีกอย่างเวลามีถมเถ”

นายอายุธบอกด้วยรอยยิ้ม ซึ่งก็ไม่ต่างกับคนเป็นภรรยาที่ยิ้มพร้อมกับพยักหน้าให้กับชายหนุ่มอย่างต้องการบอกว่าไม่เป็นไร เห็นอย่างนั้นแล้วพศวัตก็ยิ้มตอบพร้อมกับยกมือไหว้ขอบคุณผู้ใหญ่ทั้งสองที่เข้าใจ ก่อนจะผละไปขึ้นรถแล้วขับบึ่งออกไปด้วยความเร็วค่อนข้างสูง

“มีเรื่องทุกทีสิน่า”

นายอนิวัตติ์เอ่ยขึ้นพลางส่ายศีรษะ ขณะที่สายตาก็มองตามท้ายรถเมอร์เซเดสเบนซ์สีบรอนซ์ของพศวัต แล้วไม่รู้ทำไมเขามีลางสังหรณ์ว่าลูกชายของตนจะพลาดการไปรับวรรณวลีเหมือนกับคราวที่ไปส่งหญิงสาวไปต่างประเทศ ทั้งที่ดูจากเวลาและแผนการคร่าวๆ ที่ได้ยินจากลูกชายก็น่าจะทัน

“ช่างเถอะ ก็คนมันมีธุระจริงๆ นี่นา และเจ้าพตจะมาทันหรือไม่ทันก็ไม่เห็นเป็นไรหรอก อย่างน้อยก็ยังมีพวกเราที่ไปรอรับยัยเปรี้ยวอยู่แล้วนี่”

สิ้นเสียงของนายอายุธรถก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกมุ่งหน้าไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ ภายในรถที่ก่อนหน้านั้นเงียบไปพักใหญ่ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากนายอนิวัตติ์เปิดประเด็นเรื่องของวรรณวลีขึ้นมาว่าอยากเห็นหน้าของหญิงสาวเร็วๆ จากที่หลายปีที่ผ่านมาเห็นแค่ภาพที่ถูกส่งข้ามทวีปมาให้ดูเท่านั้นและเท่าที่เห็นดูเหมือนวรรณวลีจะโตและเปลี่ยนไปค่อนข้างมากเลยทีเดียว ซึ่งผิดกับคนเป็นพ่อแม่ที่หมั่นบินไปเยี่ยมลูกสาวไม่ได้ขาดอย่างน้อยปีหนึ่งก็สามถึงสี่ครั้งเลยไม่ค่อยรู้สึกถึงการการเปลี่ยนแปลงของลูกสาวอยู่เท่าไหร่จึงได้แต่หัวเราะชอบใจ



และแล้วลางสังหรณ์ของนายอนิวัตติ์ก็เป็นจริง ตั้งแต่ลงจากเครื่องที่สนามบินจนกระทั่งตอนนี้หญิงสาวได้กลับมาถึงบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พศวัตก็ยังไม่โผล่หน้ามา มีโทรศัพท์มาครั้งเดียวตอนที่ตนและทุกคนกำลังนั่งรถกลับว่าขอโทษด้วยที่ปลีกตัวไปไม่ทันตามที่ได้สัญญาเอาไว้ เพียงเท่านั้นก็วางสาย และจากน้ำเสียงนายอนิวัตติ์พอจะจับได้ว่าบุตรชายของตนนั้นคงอยู่ในอารมณ์ที่เรียกได้ว่าหงุดหงิดพอสมควร

“โอ๊ย! คิดถึงบ้านจริงๆ เลย…ในที่สุดก็ได้กลับมาเสียที”

ร่างบอบบางดูไม่ต่างจากเมื่อก่อนมากนัก แต่ต่างก็ตรงที่ตอนนี้หญิงสาวดูสูงขึ้นและเป็นสาวเต็มตัวมีส่วนเว้าส่วนโค้งอย่างที่ผู้หญิงคนหนึ่งควรจะมีวิ่งเข้าไปกางแขนหมุนตัวอยู่กลางห้องรับแขก ที่ตอนนี้มีคนรับใช้สี่คนมานั่งรอต้อนรับการกลับมาของคุณหนูของบ้าน

“สวัสดีค่ะทุกคน”

หญิงสาวหันไปทักทายคนรับใช้ทั้งสี่คนที่นั่งพับเพียบรออยู่ข้างๆ โซฟาด้วยรอยยิ้ม และไม่ลืมที่จะยกมือไหว้คนที่อายุมากกว่าอย่างไม่ถือตัว

“สวัสดีค่ะคุณหนูยินดีต้อนรับกลับบ้านนะคะ…ว่าแต่ก่อนคุณหนูสวยแล้ว กลับมาคราวนี้คุณหนูโตเป็นสาวเต็มตัวยิ่งสวยขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าเลยนะคะ งานนี้สงสัยหัวบันไดบ้านไม่แห้งแน่ๆ ใช่ไหมคะคุณผู้หญิง”

“ช่างเจรจานะเรา แยกย้ายกันไปทำงานได้แล้ว”

นางอมลวรรณไล่เหล่าคนใช้เสียงดุแต่ก็ไม่ได้จริงจังนัก พลางพิศมองบุตรสาวแล้วนางก็เห็นด้วยกับสิ่งที่คนรับใช้เก่าแก่พูดว่าวรรณวลีนั้นสวยขึ้นกว่าเดิมมาก ไม่ใช่เด็กกะโปโลอย่างเช่นวันวานแล้ว

“ผมเห็นด้วยนะว่าหนูเปรี้ยวดูเป็นสาวและสวยขึ้นมาก เห็นในภาพว่าสวยแล้วตัวจริงสวยยิ่งกว่า นี่ลุงอยากให้เจ้าพตมาเห็นจริงๆ เมื่อเช้านั่นนะเขายังเรียกว่าเราเป็นเด็กกะโปโลเหมือนเดิมอยู่เลย”

ท้ายประโยคนายอนิวัตติ์หันไปพูดกับวรรณวลีที่นั่งกัดเม้มริมฝีปากสีหน้าที่เริงร่าเมื่อครู่หม่นลงเล็กน้อย เมื่อได้ยินชื่อพศวัต ผู้ชายที่จนถึงตอนนี้เธอก็ยังมีความรู้สึกดีๆ ให้เขาไม่เสื่อมคลาย ทั้งที่เมื่อหลายปีที่แล้วเธอคิดว่าความรู้สึกนี้เป็นความรู้สึกของเด็กสาวช่างฝัน แต่มันไม่ใช่เลยเธอลองแม้กระทั่งคบกับคนอื่น แต่ปรากฏว่าความรู้สึกนั้นมันก็ยังคงอยู่ไม่จางหาย ไม่รู้และไม่เข้าใจเหมือนกันว่าปักใจอะไรหนักหนากับแค่ ‘ตาแก่ปากร้าย’ คนหนึ่งที่ไม่คิดจะสนใจใยดีเธอเลยสักนิดเดียว ตอนเดินทางไปเรียนต่อก็ไม่ไปส่ง ตอนกลับมาก็ไม่ไปรับทั้งที่เขารับปากพ่อของเขาเป็นมั่นเป็นเหมาะ ช่างเป็นผู้ชายที่เชื่อไม่ได้และมีดีแค่หล่อเท่านั้นจริงๆ

“สงสัยในสายตาพี่พตเปรี้ยวก็คงเป็นแค่เด็กกะโปโลมั้งคะ แต่ก็ช่างเถอะใครจะยังมองว่าเปรี้ยวเป็นเด็กกะโปโลก็ช่าง แต่ความเป็นจริงแล้วเปรี้ยวผ่านช่วงเวลานั้นมาหลายปีแล้ว ก็ตอนนี้เปรี้ยวอายุ 23 ปีไม่ใช่เด็กแล้วนี่คะ”

พูดจบวรรณวลีก็ยืดตัวขึ้นเอามือเท้าสะเอวพร้อมกับเชิดหน้าลอยไปมา เพื่อให้ทุกคนในที่นั้นได้พิจารณาว่าสิ่งที่เธอพูดมานั้นมันเป็นเรื่องจริง

“จ้า…ลูกพ่อน่ะโตเป็นสาวแล้ว แล้วอย่างนี้มาช่วยงานพ่อได้หรือยังล่ะ หรือว่ายังพักผ่อนไม่พอหรือว่าจะเรียนต่อโท”

“เรื่องเรียนคงเก็บไว้ก่อนค่ะ ส่วนเรื่องไปช่วยงานคุณพ่อก็ยังก่อนเช่นกันค่ะ”

วรรณวลีส่ายหน้าตอบพลางอมยิ้มนัยน์ตากลมโตพราวระยับ อย่างคนกำลังมีความคิดเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นมาในสมองน้อยๆ

“อ้าว…”

นายอายุธครางเสียงหลงทำหน้าเหลอหลา ขณะที่คนเป็นภรรยาหัวเราะออกมาน้อยๆ ไม่ได้ว่าอะไรหากวรรณวลีจะมาหยุดพักเที่ยวเล่นที่เมืองไทยอีกสักพัก แม้ตอนอยู่ที่อังกฤษหญิงสาวจะพักยาวมาแล้วเป็นปี แต่นั่นก็ไม่เรียกว่าพักเสียทีเดียว เพราะต้องช่วยงานที่ร้านอาหารของคนเป็นน้าอยู่ตลอด

“เอาเป็นว่าแม่อนุญาตให้เราเที่ยวเล่นอีกสักเดือนสองเดือนพอ หลังจากนั้นหนูต้องเขาไปเรียนรู้งานกับคุณพ่อนะลูก จะมามัวเที่ยวเล่นอยู่ตลอดไปไม่ได้หรอก เข้าใจไหม”

วรรณวลีหันไปยิ้มหวานให้กับคนเป็นแม่ แล้วส่ายหน้าอีกครั้งโดยไม่พูดอะไร ทำให้นางอมลวรรณเข้าใจไปว่าให้พักเที่ยวเล่นเดือนสองเดือนไม่พอ นางจึงส่งสายตาดุให้บุตรสาว เห็นอย่างนั้นวรรณวลีก็เข้าใจแล้วล่ะว่าคนเป็นแม่เข้าใจเธอผิด

“ไม่ใช่อย่างที่คุณแม่คิดเสียหน่อย เปรี้ยวจะยังไม่ไปเรียนรู้งานกับคุณพ่อและไม่หยุดเที่ยวเล่นอย่างที่คุณแม่เสนอมา แต่…”

หญิงสาวหยุดพูดแล้วกวาดสายตาที่ทอประกายความขี้เล่นออกมามองทุกคนที่ต่างจ้องและรอฟังการตัดสินใจของเธอด้วยใจจดจ่อ

“แต่เปรี้ยวจะไปหาประสบการณ์การทำงานจากที่อื่นสักพักใหญ่ๆ ก่อนน่ะค่ะ จากนั้นค่อยมาเรียนรู้และช่วยงานคุณพ่อทีหลัง คุณพ่อคุณแม่อนุญาตเปรี้ยวนะคะ”

สองสามีภรรยารวมไปถึงนายอนิวัตติ์ต่างหันมามองหน้ากันเหลอหลา ขณะที่วรรณวลีนั่งฉีกยิ้มนั่งรอคำอนุญาตตาแป๋ว

“ไปทำงานหาประสบการณ์ที่อื่น…มันก็ดีนะ แต่ที่อื่นใกล้ๆ ได้ไหมถึงจะบอกว่าเราโตแล้วแต่พ่อก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี”

คนเป็นพ่อต่อรองด้วยสีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อย ซึ่งก็ไม่ต่างกับนางอมลวรรณ ก็อย่างว่าถึงลูกจะโตและอายุมากแค่ไหนในสายตาของคนเป็นพ่อแม่ลูกยังคงเป็นเด็กเสมอ ดังนั้นนายอนิวัตติ์ที่ดูจะเข้าใจสองสามีภรรยาเป็นอย่างดีจึงมีข้อเสนอแนะ

“งั้นเอาอย่างนี้ดีไหม หนูเปรี้ยวไปทำงานที่บริษัทของลุงก่อนเป็นไง ดีไหม ที่บริษัทอื่นแต่เจ้าของไม่ใช่คนอื่นเข้าเงื่อนไขหรือเปล่า”

นายอนิวัตติ์ถามความคิดเห็นสามพ่อแม่ลูก สองสามีภรรยารีบพยักหน้าและเปิดยิ้มออกมาอย่างเห็นด้วยที่สุด ในขณะที่วรรณวลีทำสีหน้าแปลกๆ

“ดีเลยค่ะ ตกลงนะลูกได้คนเก่งอย่างตาพตสอนงานด้วย”

“มะ…มันจะดีเหรอคะ สำหรับเปรี้ยวไม่มีปัญหา แต่จะไม่รอถามความสมัครใจของพี่พตดูก่อนเหรอคะ”

ถามอย่างเสียงอ่อยอย่างไม่แน่ใจ

“ดีที่สุด!”

ผู้สูงวัยทั้งสามตอบเป็นเสียงเดียวกันอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่ได้นัดหมาย จากนั้นต่างก็หันมาสบตากันอย่างหมายมาดอะไรบางอย่าง

“เรื่องเจ้าพตลุงคิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไรหรอก คนกันเองทั้งนั้นนี้ และอีกอย่างไปทำแค่ชั่วคราวเท่านั้นเอง แต่จะทำถาวรลุงก็ไม่ว่านะ”

เอ่ยจบนายอนิวัตติ์ก็หัวเราะอย่างชอบใจ ก่อนจะหันไปยักคิ้วให้กับนายอายุธและภรรยาที่นั่งอมยิ้มชอบใจอย่างรู้กัน

และในเวลาต่อมาคำตอบที่ถูกกลั่นกรองและคิดทบทวนดีแล้ว ที่ออกจากปากของวรรณวลีก็แทบทำเอาผู้สูงวัยทั้งสามแทบอยากจะลุกขึ้นมาโห่ร้อง

“ถ้าทุกคนเห็นว่าดีและไม่มีปัญหา เป็นอันว่าเปรี้ยวตกลงจะไปทำงานกับพี่พตค่ะ”

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
มีรูปเล่มพร้อมส่งนะคะ
ราคา 299 (จากราคาปก 320 บาท)
ค่าส่ง 20 บาท
(แถมสมุดโน๊ตภาพหน้าปกนิยาย จนกว่าของจะหมด)
สนใจสั่งซื้อได้ที่ แฟนเพจ รดามณี ไหมขวัญ หรือที่ kesmani1@hotmail.com
E-book : https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiMTgyNTMyIjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NDoiNjU3OCI7fQ



เกศมณี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 ต.ค. 2558, 13:43:24 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ต.ค. 2558, 13:43:24 น.

จำนวนการเข้าชม : 1245





<< บทนำ เด็กกะโปโล vs ตาแก่ปากร้าย 100%   ตอนที่ 2 ฉันไม่ใช่เด็กกะโปโลแล้วนะ 100% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account