ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: ลำนำผีเสื้อโลหิต : บทที่ ๕ อดีตฝังใจ

ลำนำผีเสื้อโลหิต : บทที่ ๕ อดีตฝังใจ

เจ้ไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองกลับมาที่หอซูเมิ่งเมื่อไร เธอเดินเข้ามาโดยไม่ทันคิดด้วยซ้ำว่ายาของเต้กุนอาจยังไม่หมดฤทธิ์ โชคดีที่เจ้กลับมาอยู่ในร่างเดิมก่อนจะเข้ามาทางประตูลับ การปรากฏตัวของฟางเซียนทำให้ผู้คนที่กำลังแตกตื่นเพราะนางหายไปสงบลง

“แม่นางหลงฟางเซียนกลับมาแล้ว!” ใครคนหนึ่งตะโกนบอก

ซือซือที่กำลังร้อนใจวิ่งตามเสียงไป จนพบนายหญิงในที่สุด หญิงสาวตกใจมากเมื่อเห็นสภาพของฟางเซียน

“นายหญิงหายไปไหนมาเจ้าคะ เกิดอะไรขึ้น ทำไมตัวท่านเลอะเทอะมอมแมมอย่างนี้!”

เจ้ไม่ตอบคำถาม เธอวิ่งกลับเข้าไปในห้อง เร่งปิดล็อกประตูราวกับกลัวว่าจะมีใครตามมาทำร้าย เจ้มีอาการตกใจและสับสน เมื่ออดีตคนรักที่เธอพยายามลืมมาปรากฏกายตรงหน้า

‘นพ...ใช่นพไม่ผิดแน่!’ เจ้กำมือเย็นเฉียบของตัวเองแน่นเมื่อนึกถึงเขา

รูปปาก คิ้ว จมูก คางของเขาเหมือนคนในความทรงจำทุกประการ แม้แต่ช่วงอายุก็ใกล้เคียงกัน ขอบตาเจ้ร้อนผ่าว ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป ไม่แคล้วน้ำตาคงไหลอาบแก้ม คนที่สาบานว่าจะเข้มแข็งสูดจมูก แล้วหยิกแขนตัวเองแรงๆ เพื่อเรียกสติ

“นั่นไม่ใช่นพ ก็แค่คนหน้าคล้าย” เจ้ย้ำกับตัวเองซ้ำๆ ในขณะที่พยายามบังคับใจไม่ให้สั่น

เธอต้องเตือนตัวเองให้จำไว้ว่าไม่ได้อยู่ในโลกเดิมแล้ว นพไม่มีทางตามมาถึงนี่ได้ หรือต่อให้เป็นเขาจริง ทุกอย่างก็ไม่มีวันกลับเป็นเหมือนเดิม เธอมีชีวิตใหม่ ตัวตนใหม่ ในขณะที่เขาเป็นของคนอื่น

เจ้เหยียดยิ้มประชดตัวเองอย่างเวทนาที่สติแตกกับเรื่องเท่านี้

“นายหญิง เปิดประตูเถอะเจ้าค่ะ ท่านเป็นอะไรไป ตอบข้าหน่อยเถอะ!”

เสียงตะโกนโหวกเหวกของซือซือดึงเจ้ให้หลุดจากภวังค์ อันที่จริงนางมายืนเคาะประตูได้สักพักหนึ่งแล้ว แต่เจ้เพิ่งได้ยิน

“ข้าอารมณ์ไม่ดี อยากอยู่คนเดียว!” เจ้ตะโกนกลับ

ปกติซือซือไม่เคยเซ้าซี้ แต่วันนี้นางเป็นห่วงจริงๆ จึงถามย้ำอีกครั้ง

“นายหญิงไม่เป็นไรแน่นะเจ้าคะ”

‘เป็น...เป็นมากด้วย!’ เจ้อยากตะโกนแบบนั้น แต่ปากกลับเอ่ยในทางตรงกันข้าม

“ข้าไม่เป็นไร จะไปไหนก็ไป หัวค่ำเจ้าค่อยมารับใช้!”

ซือซือรับคำ แต่ก็ยังบอกเผื่อไว้

“ถ้านายหญิงอยากได้อะไร ก็สั่นกระดิ่งเรียกนะเจ้าคะ”

สภาพของฟางเซียนทำให้นางกังวลมาก ส่วนหนึ่งภักดีในฐานะนายบ่าว อีกส่วนนั้นวิตกถึงอนาคตของตัวเอง ตำแหน่งสาวใช้ได้ค่าตอบแทนน้อยนิด ถ้าปราศจากความเมตตาของนายหญิง นางคงไม่ได้กินดีอยู่ดี มีเงินเหลือส่งไปจุนเจือครอบครัวดังเช่นทุกวันนี้

ในขณะที่ซือซือจ้องมองประตูห้องที่ปิดอยู่อย่างวิตก เจ้ก็ฝืนตัวเองลุกขึ้นมาแช่ตัวในอ่าง น้ำอุ่นที่เคยผสมอย่างพอดีตอนนี้เย็นเสียแล้ว แต่เจ้ก็ไม่ใส่ใจ เธอถดตัวลงไปนอนคุดคู้อยู่ใต้น้ำ ความเย็นช่วยเรียกความเป็นตัวของตัวเองให้ฟื้นคืนมาหลายส่วน เจ้จึงอยู่อย่างนั้นจนกลั้นใจไม่ไหว ค่อยโผล่ขึ้นมาหายใจ

เจ้อ้าปากสูดจมูกแรงๆ เพื่อรับอากาศเข้าไปในปอด ก่อนจะหลับตาลง ปล่อยให้น้ำเยียวยาร่างกายอันอ่อนล้า เจ้พยายามไม่คิดอะไร นอกจากวิธีการเจริญสติและทำสมาธิที่เคยได้เรียนมา

เจ้แช่น้ำอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งรู้สึกดีขึ้นแล้ว ค่อยขึ้นมาเช็ดตัวลวกๆ เธอหยิบเสื้อคลุมเนื้อบางมาห่มกาย ก่อนจะนั่งสางผมหน้ากระจก

“กลับเป็นอย่างเดิมแล้วจริงๆ”

เจ้เหม่อมองใบหน้าฟางเซียน ความงามของนางทำให้ความคิดเริ่มฟุ้งซ่าน เธอนึกย้อนถึงตัวเองในวันแรกที่ได้มาอยู่ในร่างนี้ ความทรงจำอันเจ็บปวดของฟางเซียนทำให้เจ้โกรธแค้นและโศกเศร้า ในขณะที่ความทรงจำของหงเซียนคือความวิกลจริตและความมืดมน

ช่างน่าอัศจรรย์ที่จิตใจของเจ้ไม่ถูกกลืนกิน ไม่รู้เพราะด้านชาเกินไป หรือเพราะหัวใจยังเจ็บ เลยยึดติดอยู่กับความทรมานของตัวเอง จนไม่เหลือใจให้สิ่งใดครอบงำ

เจ้สางผมและม้วนปลายผมเล่น ในขณะที่นึกย้อนไปถึงจุดกำเนิดของตัวเอง เจ้เป็นลูกคนเดียว เกิดในครอบครัวแสนธรรมดา มีฐานะกลางๆ พ่อกับแม่เปิดร้านขายของชำในตลาด พ่อมีเชื้อสายจีน เจ้เลยเรียกพ่อติดปากว่า ‘ป๊า’ ส่วนแม่เป็นสาวไทยร่างเล็กหน้าสวยคม

เจ้ได้ผิวขาวๆ มาจากบรรพบุรุษฝั่งพ่อ ทว่ากลับไม่ได้ความคมจากแม่มาเลย เครื่องหน้าของเจ้กระเดียดไปคล้ายยาย ซึ่งเป็นคนสวยหวาน ยายเสียหลังเจ้เกิดไม่นาน เจ้เลยจำเรื่องเกี่ยวกับยายไม่ค่อยได้ มีเพียงรูปถ่ายสมัยยังสาวกับภาพในวันแต่งงานของพ่อกับแม่เท่านั้นที่เป็นตัวบอกเล่าเรื่องราว

แม่เล่าอย่างภูมิใจมากว่า ยายเคยเป็นถึงนางงามประจำตำบล น่าเสียดายแม่สวยไม่ครึ่งของยาย ก็เลยไม่มีใครทาบทามไปประกวด เวลาเล่าเรื่องเกี่ยวกับยาย ดวงตาของแม่จะเปล่งประกายแห่งความสุข เจ้จึงเชื่อหมดใจว่ายายต้องใจดีกว่าอาม่ามากแน่

อาม่าไม่ชอบแม่เพราะอยากให้พ่อแต่งงานกับลูกจีนด้วยกัน แต่พ่อก็ไม่ฟังคำทัดทาน ทำงานเก็บหอมรอมริบไปขอแม่จากตากับยายด้วยตัวเอง แล้วช่วยกันทำมาหากินเปิดร้านขายของในตลาด ตอนพ่อกับแม่แต่งงานกัน อาม่าไม่ยอมรับ ทั้งยังไม่ยอมมางานด้วยซ้ำ แต่พอเริ่มเจ็บป่วยกลับขนข้าวของมาอยู่ที่บ้าน อ้างว่าพ่อเป็นลูกต้องตอบแทนบุญคุณ

อาม่าเป็นคนขี้บ่นปากร้าย ทั้งยังจู้จี้จุกจิก ไปอยู่กับลูกคนไหน เขาก็เอือมระอา ถ้าลูกไม่ขอให้ไปอยู่กับคนอื่น แกก็เป็นฝ่ายเก็บข้าวของออกมาเอง จนมาถึงคราวของพ่อ ทั้งที่อาม่าเกลียดแม่ขนาดนั้น แต่แม่ก็ยังเต็มใจปรนนิบัติรับใช้ ด้วยหวังให้อาม่าเห็นความดี แต่อาม่าก็ยังร้ายกับแม่ได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย แม้แต่กับเจ้ที่เป็นหลาน ก็ยังด่าว่าหยิกตีอย่างไร้เหตุผล

ยิ่งนานวัน เจ้ก็ยิ่งไม่เชื่อว่าอาม่าเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดพ่อ เพราะพ่อนั้นสุดแสนจะใจดี เวลาอยู่ด้วยกัน พ่อพูดเสมอว่า ‘ซัน’ ซึ่งเป็นชื่อเล่นของเจ้ แปลว่าพระอาทิตย์ ที่ตั้งแบบนี้เพราะว่าเจ้เป็นแสงสว่างในชีวิตพ่อ เป็นทั้งความหวังและพลังใจสำคัญ พอพูดจบ พ่อก็จะยกตัวเจ้ขึ้นสูงเหนือหัว เจ้คิดเสมอว่าพ่อก็คือดวงตะวันของตัวเองเหมือนกัน แต่กลับไม่มีโอกาสได้พูด เพราะพ่อด่วนจากไปกะทันหันจากอุบัติเหตุ

ควันจากเมรุเผาศพไม่ทันจาง อาม่าก็ไล่เจ้กับแม่ออกจากบ้าน แล้วยึดทุกอย่างเป็นของตัวเอง พ่อกับแม่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน เพราะอยากให้อาม่ายอมรับก่อน แต่อาม่าไม่ใจอ่อนสักที นานวันเข้าก็ลืมเรื่องนี้สนิท แถมแม่เองยังเรียนไม่สูง ไม่รู้ว่าบุตรที่บิดาให้การรับรองสามารถยื่นเรื่องขอรับมรดกได้ เมื่อถูกเขาไล่ก็ได้แต่ร้องไห้หอบลูกกลับมาอยู่กับพ่อตัวเองที่บ้านเดิม

สองปีต่อมาตาก็เสีย โดยทิ้งมรดกไว้พอสมควร แม่เอาที่ดินของตาไปขายเพื่อลงทุนเปิดร้านขายของขึ้นมาใหม่ในตลาดอำเภอวิเชียรบุรี ช่วงนั้นเองที่มีคนมาติดพันแม่ เขาเป็นหนุ่มใหญ่มีฐานะ ไม่เพียงแต่ทุ่มทุนซื้อตึกแถวให้ ยังเอารถยนต์มาให้ใช้ด้วย พอทั้งคู่แต่งงานกัน แม่ก็กลายเป็นคุณนาย ไม่ต้องลำบากทำงานหามรุ่งหามค่ำอีก

ช่วงเวลานั้นจนกระทั่งอายุสิบห้าปีเป็นช่วงชีวิตที่ดีพอใช้ เจ้ได้กินอยู่อย่างสะดวกสบาย มีเงินจับจ่ายใช้สอยไม่ขาด อีกทั้งพ่อเลี้ยงยังไม่เคยด่าว่าที่เจ้เริ่มแสดงจริตอย่างผู้หญิง อันที่จริงคือไม่สนใจเลยต่างหาก ถ้าไม่ยุ่งอยู่กับงาน ก็ยุ่งอยู่กับการหาความสำราญใส่ตัว ถึงกระนั้นก็มีข้อดีอย่างยิ่งยวดคือ ผู้ชายคนนี้รักแม่จริงๆ เจ้เห็นแม่ยิ้มเสมอเลยคิดว่ามีความสุข ไม่เฉลียวใจเลยว่าแม่กำลังฝืนทนอยู่กับคนที่ไม่ได้รักเพื่ออนาคตของลูก

ช่วงที่เจ้กำลังจะขึ้นมัธยมปลาย เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น แม่หนีไปกับผู้ชาย ทิ้งไว้แต่จดหมายว่าอีกไม่นานจะกลับมารับ พอพ่อเลี้ยงทราบข่าวก็คลุ้มคลั่งอาละวาดหนัก แต่ก็ยังไม่ไล่เจ้ออกจากบ้าน ด้วยหวังอยู่ลึกๆ ว่าแม่จะต้องกลับมาหาลูก จึงเก็บเจ้ไว้เป็นตัวประกัน เจ้กลัวมาก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะหนีไปพึ่งใคร ทำได้เพียงอดทนยามถูกพ่อเลี้ยงด่าว่าทุบตีแทนแม่ที่ทำให้อับอาย

พ่อเลี้ยงทำรุนแรงกับเจ้มากขึ้นทุกวัน หลักจากถูกกระทืบจนซี่โครงร้าว เจ้ก็ตัดสินใจว่าจะไม่ทนอยู่ที่นี่อีกต่อไป เจ้ซึ่งมีอายุเพียงสิบหกปีเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าแล้วตัดสินใจไปตายเอาดาบหน้า เจ้ตั้งใจจะไปหางานทำที่กรุงเทพ ทว่ายังไม่ทันได้ไปไหนไกลก็โดนกลุ่มนักเลงรุมทำร้าย สมบัติที่มีถูกขโมยไปหมด เจ้บาดเจ็บเหนื่อยหิวจนไม่อยากมีชีวิตต่อ ได้แต่ทิ้งร่างนอนรอความตายอยู่ข้างถนน

เจ้คิดจริงๆ ว่าวันนั้นต้องเป็นวันตายของตัวเองเป็นแน่แท้ แต่กลับมีลุงป้าคู่หนึ่งมาช่วยไว้ ทั้งสองคนมีอาชีพรับจ้างทั่วไป เห็นเด็กวัยรุ่นนอนหมดแรงอยู่ก็พาซ้อนมอเตอร์ไซค์กลับไปทำแผลใส่ยาที่บ้าน ลุงสมหวังกับป้าทองใบไม่เพียงแต่หาข้าวหาปลาให้กิน ยังให้ที่ซุกหัวนอนด้วย

ทั้งสองเป็นคนจนแต่ก็เปี่ยมน้ำใจ ลุงสมหวังซักถามที่มาที่ไปของเจ้ แล้วอาสาจะพาไปส่งบ้าน เจ้เอ่ยอย่างเศร้าๆ ว่าไม่มีบ้านให้กลับแล้ว ป้าทองใบเวทนาจึงให้อยู่ด้วยชั่วคราว รวมถึงหางานให้ทำ

เพื่อไม่ให้เป็นภาระของทั้งสอง เจ้จึงไปเป็นลูกจ้างในโรงงานน้ำปลา ทำงานแบกหามและให้เขาใช้งานจิปาถะโดยไม่เกี่ยงว่าต้องลำบากแค่ไหน ระหว่างทำงาน เจ้ต้องเก็บซ่อนความเป็นเพศที่สามไว้เพื่อไม่ให้ถูกรังแก จึงเก็บกดอึดอัดพอประมาณ

ทำงานได้ประมาณหกเดือน ชีวิตของเจ้ก็พลิกผันอีกรอบ เมื่อถูกชวนไปทำงานที่พัทยา เจ้เห็นว่าเงินดีและไม่อยากรบกวนสองลุงป้ามากกว่านี้จึงตกลง ตอนแรกก็ไปเป็นเด็กเสิร์ฟทำงานกลางคืน แต่แอ๊บแมนได้แค่สามวัน ความสาวในตัวก็ถูกปลุกให้ตื่น เจ้หาทางดิ้นรนจนได้ทำงานหลังเวทีโชว์ โดยเริ่มจากรับใช้จิปาถะ ได้ค่าตอบแทนนิดหน่อย สักพักก็ได้เป็นผู้ช่วยช่างแต่งหน้า คอยลงรองพื้นจัดเตรียมเสื้อผ้าให้นางโชว์ พออายุครบสิบแปดปีก็ได้ขึ้นเวทีอย่างที่ใจหวัง

ตอนนั้นเจ้ยังไม่ได้แปลงเพศ ไม่ได้กินยาฮอร์โมนใดๆ แต่เพราะยังเด็ก หน้าหวาน มีผิวพรรณดี แต่งหน้าแต่งตัวนิดหน่อยก็ออกมาสวย ทำให้เป็นที่นิยมและหาเงินได้มาก เจ้ทำงานอย่างหนัก ไม่กินไม่เที่ยว เพื่อเก็บเงินแปลงเพศ มีคบผู้ชายบ้าง แต่ก็ไม่จริงจัง รักๆ เลิกๆ ตามประสาวัยรุ่น

พออายุยี่สิบปี ชีวิตก็มาถึงทางแยกอีกหน ในที่สุดเจ้มีเงินเก็บมากพอจะทำตามฝัน ตอนนั้นเจ้กำเงินแสนในซองกระดาษแน่น แล้วเดินเข้าคลินิกไปด้วยหัวใจพองโต แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจเดินออกมา ไม่ใช่เพราะเกิดกลัวขึ้นมากะทันหัน แต่เพราะอยู่ๆ คำสอนของพ่อก็ลอยเข้าหู

“พ่ออยากให้ซันเรียนสูงๆ ต่อไปจะได้ไม่ลำบาก”

เจ้ไม่ได้นึกถึงเรื่องพ่อนานแล้ว แม้แต่ฝันก็ยังไม่ฝันถึง การที่อยู่ๆ คำพูดของพ่อแวบเข้ามาในความคิด อาจเป็นความต้องการของพ่อที่อยู่บนสวรรค์จริงๆ ก็ได้ ด้วยเหตุนี้เจ้จึงเอาเงินที่สะสมได้ไปเรียนต่อ ในที่สุดก็จบปริญญาตรี สาขานิเทศน์ศาสตร์ วันนั้นเจ้ดีใจอย่างที่สุดและก็เสียใจอย่างที่สุดด้วย เมื่อไม่มีคนในครอบครัวมาร่วมยินดี แต่เจ้ก็ยังปลอบใจตัวเองว่าอย่างน้อยก็มีคนรักที่ดี เจ้เชื่อว่าเขารักเจ้จากใจ แต่เปล่าเลย ‘เจ้คิดผิด’

ผู้ชายคนนั้นทิ้งเจ้ทันทีเมื่อพบคนใหม่ที่สูบเงินได้มากกว่า เจ้อกหักและเสียศูนย์อย่างแรง เลยไปเกณฑ์ทหารประชดชีวิต ช่วงนั้นเองที่เจ้ได้เจอเพื่อนแท้ที่พร้อมจะร่วมทุกข์ร่วมสุข เจ้คลี่ยิ้มเมื่อนึกถึงเพื่อนๆ มิตรสหายคือความสุขเดียวที่ยั่งยืนในชีวิตเจ้ ส่วนที่เหลือนั้น มาแล้วก็จากไปดังเช่น ‘นพ’

เจ้เก็บนพมาจากข้างถนนตอนกลางดึกในวันฝนพรำ ไฟรถเจ้สาดเข้าข้างทางพอดี จึงเห็นว่ามีคนนอนไม่ได้สติอยู่ เจ้ช่วยนพไว้โดยไม่คิดอะไร ทีแรกว่าจะพาไปส่งโรงพยาบาลแล้วกลับทันที แต่พอเห็นว่าไม่มีเงิน ไม่มีญาติมาแสดงตัว ก็สงสาร นึกถึงตัวเองตอนตกอับแล้วได้สองลุงป้าช่วยเหลือขึ้นมาจึงทอดทิ้งไม่ลง

ชีวิตของนพคล้ายเจ้อย่างน่าประหลาด พ่อตาย แม่แต่งงานใหม่ ต้องทนอยู่กับพ่อเลี้ยงชั่วๆ นานวันเข้าทนไม่ไหวก็เลยหนีออกจากบ้าน

ตอนเจอกัน เจ้อายุยี่สิบหก นพสิบแปด เมื่อคนที่มีประวัติความเป็นมาคล้ายกันมาอยู่ร่วมบ้าน ความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความเข้าอกเข้าใจก็เกิด ทั้งที่เพิ่งเจอกันได้ไม่นาน แต่เจ้กลับคิดว่านพเป็นเหมือนญาติสนิท นพเองก็คิดอย่างนั้น เขาทำตัวดี ให้ความเคารพเจ้ ทั้งยังขยันขันแข็งทำงานหาเงินส่งตัวเองเรียน

เจ้กับนพอยู่กันอย่างคนในครอบครัวมาหลายปี จนกระทั่งเจ้เลิกกับแฟนอีกหน คราวนี้เฮิร์ตหนักเมาเละเทะ เป็นเหตุให้เผลอมีความสัมพันธ์กันโดยไม่ได้ตั้งใจ แรกๆ ก็มองหน้ากันไม่ติด แต่ไปๆ มาๆ ครั้งที่สอง สาม สี่ก็ตามมาเสียอย่างนั้น

“ผมอยากดูแลพี่ ให้ผมเป็นคนรักของพี่นะ” นพพูดอย่างจริงจังในวันหนึ่ง

“มันก็แค่ความใคร่ เธอยังเด็ก แล้วไม่มีใคร เลยยึดพี่เป็นที่พึ่ง ออกไปเห็นโลกให้มากกว่านี้ คิดให้ดีก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน”

แม้เจ้จะบอกปัดอย่างใจร้ายปานใด นพก็ไม่เคยเปลี่ยนความตั้งใจ พอเรียนจบมีงานทำ เขาก็เก็บเงินซื้อแหวนทองวงเล็กๆ ให้

“ผมโตพอแล้ว ไม่อยากเรียกว่าพี่ ขอเป็นที่รักได้ไหม” นพพูดประโยคสุดเชยด้วยท่าทีเขินอาย

ไม่รู้ว่าใครเป็นคนคิดคำพูดให้ แต่ที่แน่ๆ มันทำให้เจ้หัวเราะทั้งน้ำตา

การได้ใช้ชีวิตร่วมกันกับเขาและได้รักอย่างหมดใจถือเป็นความสุขอย่างที่สุด เจ้ไม่เคยต้องการอะไรมากไปกว่าช่วงชีวิตในตอนนั้นแล้ว แต่ทุกอย่างกลับพังทลาย เมื่อนพเผลอมอบใจให้คนอื่น เจ้ไม่ตัดพ้อต่อว่า แต่เฉือนหัวใจตัวเองด้วยการปล่อยเขาไปมีครอบครัว ใช้ชีวิตอย่างคนปกติ

นพมีความสุขดีกับชีวิตใหม่ แต่เจ้กลับไม่อาจเริ่มต้น แม้จะมาอยู่ในโลกนี้ เจ้ก็ยังหลงอยู่ในวังวนเดิม ยังฝันถึงวันที่มีเขา และตื่นขึ้นมาในสภาพน้ำตาเปียกหมอน เมื่อพบความจริงว่านพได้จากไปแล้ว

เจ้จมอยู่กับอดีตเนิ่นนาน กว่าจะรู้ตัว น้ำตาก็ไหลอาบสองข้างแก้ม นี่เป็นอีกครั้งที่เจ้ต้องกอดตัวเองอยู่ในความเงียบงัน คอยกลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้เล็ดลอดออกไปให้ใครได้ยิน


คนเราเวลาจมอยู่กับความเศร้าจะต้องใช้เวลาเท่าไรกันกว่าจะฟื้นคืน คำตอบคือระบุไม่ได้ ด้วยแผลใจอันเป็นต้นเหตุแห่งความเศร้าของแต่ละคนแตกต่างกัน แผลบางอย่างเวลาผ่านไปไม่นานก็หายดี แต่สำหรับเจ้นั้น เรื่องของนพเป็นเสมือนบาดแผลเรื้อรังที่รักษาไม่หาย เจ้หมดหนทางจะรักษาจึงเตือนตัวเองเวลาหดหู่ว่าอ่อนแอได้หนึ่งคืนเท่านั้น ดวงอาทิตย์วันใหม่ขึ้นเมื่อไร เธอจะเข้มแข็งให้เหมือนคำของพ่อ เจ้จะเปล่งประกายอย่างสว่างไสว ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อคนอื่นด้วย

ซือซือทั้งโล่งอกแล้วประหลาดใจไปพร้อมๆ กันที่นายหญิงกลับเป็นปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น อันที่จริงก็ไม่ปกตินัก เพราะวันนี้นายหญิงแต่งหน้าอ่อนๆ ก่อนออกไปข้างนอก ทั้งที่ปกติไม่เคยทำ

“นายหญิงจะกลับมาเมื่อไรเจ้าคะ ข้าจะได้เตรียมน้ำเอาไว้ให้อาบ”

“ข้าจะไปอยู่บ้านสกุลเป้าสักสามสี่วัน ช่วงนี้ถ้าเจ้าไม่มีอะไรทำก็กลับบ้านไปได้” เจ้ยื่นถุงเงินให้ซือซือ

หญิงสาวมักรับมาอย่างยินดี แต่วันนี้กลับมีสีหน้ากังวล

“นายหญิงจะกลับมาใช่ไหมเจ้าคะ”

“กลับสิ ถ้าไม่กลับ เจ้าจะให้ข้าไปอยู่ที่ไหน” เจ้เอ็ด จะดีจะร้าย เจ้ก็รู้สึกว่าที่นี่คือบ้าน แม้ส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะความทรงจำของฟางเซียนก็ตาม

สีหน้าของซือซือดูดีขึ้นทันตา นางยิ้มทั้งที่เพิ่งถูกดุ

“จะให้เรียกรถม้าให้ไหมเจ้าคะ”

“ไม่ต้อง ข้าจัดการเอง”

วันนี้เจ้ตั้งใจไปเยี่ยมลุงกับป้า หรือก็คือสองสามีภรรยาสกุลเป้าที่เธออ้างตัวว่าเป็นหลานสาว เจ้ได้รู้จักทั้งสองประมาณหนึ่งปีก่อนเห็นจะได้ ลุงกับป้าเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อตามหาหลานสาวที่หอซูเมิ่ง สองสามีภรรยานำเงินจำนวนมากมาไถ่ตัวหลาน ทว่าจ่ายเงินไปแล้วก็ยังไม่ได้ตัวหลานสาวคืน ทั้งคู่เลยมาคุกเข่าวิงวอนที่หน้าหอซูเมิ่ง

ทั้งสองถูกคนของหอคณิกาทำร้าย แต่ก็ยังไม่ละความพยายามในการอ้อนวอน เจ้เห็นคนแก่เดือดร้อนก็ทนไม่ไหว เลยเชิญเข้ามาด้านในแล้วรับปากว่าจะช่วยเท่าที่ทำได้ ลุงกับป้าเล่าให้ฟังว่าแต่งงานกันมาหลายปีแล้วแต่ไม่มีลูก ป้าเป้าเลยไปขอเด็กที่เกิดจากอนุภรรยาของน้องชายมาเลี้ยง แม่เด็กเสียไปตั้งแต่เด็กน้อยยังแบเบาะ ทางนั้นจึงยกให้อย่างเต็มใจ

หลานสาวของแกเติบโตมาเป็นคนสวย เป็นที่เลื่องลือในตำบล จึงมีคนมาสู่ขอมากมาย แต่นางบอกว่ายังไม่อยากแต่งงาน อยากมาเปิดหูเปิดตาในเมืองหลวง ลุงกับป้ารักและตามใจหลานมาก จึงขายสมบัติทั้งหมดที่มีย้ายมาตั้งรกรากในเมืองหลวง

อยู่มาได้สักพัก นางก็ขอไปเรียนตัดเย็บ ลุงป้าก็ตามใจ ให้คนคอยไปรับไปส่งที่บ้านอาจารย์ทุกวัน จนอยู่มาวันหนึ่งชิงชิงก็หายตัวไป ลุงกับป้าร้อนใจเร่งออกตามหากันทั้งวันทั้งคืนแต่ก็ไม่พบ เวลาผ่านไปสามวันก็มีจดหมายเขียนมาบอกว่าโดนจับไปขายให้หอซูเมิ่ง ให้นำเงินพันทองมาไถ่ตัว

ลุงกับป้าเชื่อตามนั้นจึงรีบนำเงินมาให้ ผลคือมีคนมารับเงินแล้วหายตัวไปดังที่เล่ามา เจ้ฟังความแล้วก็มั่นใจว่าถูกหลอกแน่ๆ เลยใช้เส้นสายช่วยสืบหา ไม่นานก็รู้ความจริงว่าหลานของลุงกับป้าหนีไปกับผู้ชายซึ่งเป็นลูกจ้างโรงงานทำด้าย ทั้งสองไม่ได้อยู่อย่างหลบซ่อน เพราะชะล่าใจว่าลุงป้าคงหาตัวไม่พบ เจ้จึงอาสาส่งคนไปตามตัวกลับมาให้ แต่ทั้งสองปฏิเสธ

“ถ้าเป็นความต้องการของนางก็ปล่อยไปเถิด ขอเพียงปลอดภัย พวกข้าก็ไม่ต้องการอะไรอีก” ลุงเป้าว่า

“ท่านทั้งสองไม่โกรธหรือที่หลานสาวอกตัญญู หลอกเอาเงินทองไปมากมาย”

“พวกข้าสองผัวเมียไม่มีลูก ทรัพย์สินเงินทองที่มีก็ตั้งใจว่าจะยกให้นางทั้งหมด”

สองลุงป้าดีถึงเพียงนี้ แต่หลานชั่วก็ยังเนรคุณกับพวกแกได้ลง เจ้ฟังแล้วโมโหแทน ทั้งยังสงสารทั้งสองมาก เธอรู้ว่าคนแก่อยู่ด้วยกันลำพังมักจะเหงา ก็เลยแวะไปที่ร้านผ้าของทั้งสองเป็นระยะ นานวันเข้าก็เกิดความสนิทสนม เจ้จึงได้ใช้ชื่อ ’ชิงชิง’ รับสมอ้างว่าเป็นหลานสาวอีกคนของลุงป้า

เจ้มาถึงร้านตั้งแต่เช้าตรู่ ลุงกับป้ายังมาไม่ถึง เลยไปนั่งจิบน้ำชาด้านใน และชวนช่างตัดเย็บที่มาร้านตั้งแต่เช้าคุยไปพลางๆ

“ช่วงนี้กิจการที่ร้านเป็นอย่างไรบ้าง”

“ขายได้กลางๆ เจ้าค่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะแม่นางหลงฟางเซียนใช้ผ้าจากร้านเรา คงปิดกิจการไปแล้ว”

“เกิดอะไรขึ้นกัน” เจ้ถามด้วยความประหลาดใจ

สองสามีภรรยาสกุลเป้าแม้จะเป็นคนบ้านนอกซื่อๆ แต่ก็มีรสนิยมดี มีหัวทางการค้า นอกจากนี้ยังรับตัดเย็บชุดด้วย มีตั้งแต่แบบธรรมดาราคาไม่แพง เรื่อยไปจนถึงงานปักที่ต้องใช้ฝีมือสูง พวกลูกมือในส่วนของการตัดเย็บ ลุงกับป้ารับมาจากบ้านนอก จึงคุ้นมือถูกใจกันดี ส่วนลายปักนั้นยอมทุ่มเงินจ้างช่างออกแบบมาทำให้ จึงสวยเก๋ไม่เหมือนใคร

“มีร้านผ้ามาเปิดอยู่ถัดไปไม่เท่าไรเจ้าคะ ปักลายเลียนแบบเราไม่พอ ยังดึงตัวช่างไปหลายคน”

เจ้รับฟังปัญหาอย่างเห็นใจ แต่ก็ไม่คิดตำหนิพ่อค้ารายใหม่ โลกของการค้าก็เป็นอย่างนี้ ต้องรู้จักดิ้นรนแข็งขันเพื่อความอยู่รอด

เมื่อลุงกับป้ามาถึง เจ้จึงถามว่าจะจัดการอย่างไรต่อไป สองลุงป้ายิ้มอย่างไม่เดือดร้อน บอกว่าอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ก็ได้ ขายดีก็ช่าง ขายไม่ดีก็ปล่อยไป ผ้าทั้งร้านซื้อมาด้วยเงินสด เงินเก็บพวกตนก็มีพอประมาณ จะเลิกกิจการเมื่อไรก็ได้ ที่ยังขายอยู่ก็เพราะทำแก้เบื่อไปเท่านั้นเอง

หลักการค้าแบบไม่แข่งขันยื้อแย่งกับใครทำให้เจ้ทั้งขำทั้งเพลีย เห็นทีลุงป้าคงใจเย็นเป็นน้ำแบบนี้ไปทั้งชีวิต เจ้เห็นความสุขที่มีอยู่ในแววตาของคนทั้งสองแล้วก็ไม่คิดเข้าไปเจ้ากี้เจ้าการ แต่กลับนึกสนุกอยากทำงานในร้านตัวเองอย่างเต็มที่ เลยตัดสินใจขอความช่วยเหลือ

“ข้าอยากให้ท่านรับใครอีกคนเป็นหลานสาว ได้หรือไม่”

“ใครรึ” ลุงเป้าถาม

“นางชื่อชิงชิงเหมือนข้า อายุเท่าข้า แต่หน้าตาไม่เหมือนกัน ข้าอยากให้ลุงกับป้าพาไปที่ร้านน้ำชา แล้วแนะนำว่าเป็นหลานสาว ต่อไปจะมาช่วยดูแลที่นี่แทนข้า ได้หรือไม่”

เจ้คิดจะกินยาของเต้กุนเป็นตัวช่วย บทเรียนจากเมื่อวานทำให้เจ้ได้รู้ว่าการเกิดมาหน้าตาขี้เหร่เป็นข้อเสียเปรียบ แต่ในขณะเดียวกันก็ให้ประโยชน์หลายทาง คนไม่สวยย่อมไม่เป็นที่ริษยา ยามติดต่อคบหาใครก็ได้เห็นเนื้อแท้คนคนนั้น อีกทั้งไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวกสบาย ไม่จำเป็นต้องปิดบังหน้าตาเพราะกลัวถูกจับได้อีกต่อไป

“ถ้าชิงชิงต้องการ ป้าก็จะจัดการให้ แล้วจะพามาหาป้าเมื่อไรเล่า” ป้าเป้ารับปากโดยไม่ซักถามให้ลำบากใจ

“อีกสักหนึ่งชั่วยาม ข้าจะให้นางมาที่นี่ อาจต้องรบกวนให้พักกับพวกท่านสักระยะ”

ทั้งสองรับปากโดยง่าย เจ้จึงออกไปหาซื้อข้าวของเครื่องใช้จำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตเป็นฟางเซียนผู้มีหน้าตาแสนธรรมดาเพิ่ม จากนั้นจึงกินยาที่เต้กุนให้ ก่อนจะกลับไปหาลุงป้า

เรื่องราวของแม่นางชิงชิงผู้มีหน้าตาแสนธรรมดาเริ่มต้นจากจุดนี้ ต่อมาไม่นาน นางก็จะกลายเป็นที่กล่าวขวัญในฐานะนายหญิงแห่งโรงน้ำชาผู้เก่งกล้าสามารถ

เจ้ไม่อยากได้ฉายานี้เลย เธอแค่อยากทำงานเพื่อบรรเทาความฟุ้งซ่านในจิตใจ แต่เรื่องกลับลอยมาหาเรื่อยๆ จึงต้องแผลงฤทธิ์อย่างเลี่ยงไม่ได้ ความวุ่นวายหลายหลากทยอยมาให้ปวดตัวเป็นระยะ ทั้งปัญหาของร้าน เรื่องของเพื่อน เรื่อยไปจนถึงโชคชะตาที่ไม่อาจหนีพ้น

-โปรดติดตามตอนต่อไป-



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 ต.ค. 2558, 12:36:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ต.ค. 2558, 12:36:03 น.

จำนวนการเข้าชม : 1055





<< ลำนำผีเสื้อโลหิต : บทที่ ๔ คนที่อยากพบที่สุด   ลำนำผีเสื้อโลหิต : บทที่ ๖ นายหญิงแห่งโรงน้ำชาจิวเจีย >>
mottanoy 30 ต.ค. 2558, 15:16:47 น.
เจ๊จะทำอะไรน้าาา


Zephyr 1 พ.ย. 2558, 12:48:33 น.
นายหญิงแห่งโรฃน้ำชา เท่เป็นบ้า
555 ว่าแต่ทำแก้เซ็งใช่ไหม


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account