แน่ใจว่าใช่รัก
ในอดีต
เธอเคยชอบเขามากกกกกกกกกกก
และเธอก็เกลียดเขามากกกกกกกกกกกกกเช่นกัน

ปัจจุบัน
เขากลับชอบเธอมากกกกกกกกกกก
เลยต้องโกหกเธอ ปิดบังความจริงว่าเขาคือผู้ชายคนนั้น

...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทนำ - ตอนที่ 1

บทนำ

“ใครจะไปชอบยัยอ้วนแบบนั้นได้ลง น่ารำคาญจะตาย” คำพูดบาดหูจากเสียงของคนที่เธอรักปักใจดังมาจากในห้องเรียนยามเที่ยง ขณะที่ทุกคนกำลังพักผ่อนหลังรับประทานอาหารเที่ยงกันแล้ว ทำเอาหัวใจดวงน้อยๆของนางสาวมณชิสาเจ็บแทบขาดใจ เธอเห็นคนพูดทำท่ารำคาญเต็มแก่ เธอคงผิดเองที่เผลอทำกระเป๋าสตางค์ตกแล้วมีคนมาเก็บได้ พบว่าเธอแอบเก็บรูปเพื่อนร่วมชั้นเอาไว้ในนั้น ความลับที่แอบชอบมาสามปีแตกโพละ มณชิสาเตรียมตัวแล้วว่าจะต้องเจอเรื่องที่ทำให้เสียใจ หากไม่คิดเลยว่าศิกานต์จะรำคาญเธอถึงขนาดนี้

มณชิสาได้แต่เก็บเอาความเสียใจซ่อนไว้ อาจจเพราะมณชิสาเป็นคนรูปร่างอ้วน ใบหน้าไม่น่ารักเลยมีเพื่อนน้อย การที่ศิกานต์เข้ามาพูดคุยด้วย ทำดีด้วยเลยทำให้มณชิสาเผลอใจไปคิดว่าเขาจริงใจกับเธอ แต่พอได้ยินที่เขาพูดแล้วก็ได้รู้ว่าเขาเองก็ไม่ต่างจากคนอื่นเลย

แม้ว่าศิกานต์จะมีท่าทีเข้ามาทักทายเธอ พูดคุยด้วยเหมือนกับว่าเขาไม่เคยพูดประโยคใจร้ายนั่นออกมาจากปาก

จนมณชิสาเคยเผลอตะโกนใส่หน้าเขาไปในวันหนึ่งที่เธอถูกเพื่อนทิ้งให้ต้องทำความสะอาดห้องเรียนคนเดียวว่า
“ไม่ต้องมายุ่ง ฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือจากนาย!” ศิกานต์เหมือนจะอึ้งไป หลังจากวันนั้นแล้ว เขาก็ไม่พูดกับเธออีกเลย
จวบจนเธอเลือกที่จะตามบิดาไปอยู่ต่างจังหวัดหลังจากหย่าขาดกับทางมารดาแล้ว และตั้งแต่ที่ได้ยินประโยคนั้น มณชิสาก็ไม่เคยพูดคุยอะไรกับผู้ชายที่ชื่อศิกานต์อีกเลย เธอตั้งใจจะลืมทุกอย่างแล้วเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆทันทีที่ย้ายโรงเรียน

เธอจะต้องทำให้ ยัยอ้วนมณชิสา คนนั้นหายไป และจะต้องลืมผู้ชายที่ชื่อ ศิกานต์ ชวนพงษ์ คนนี้ให้ได้!


ตอนที่ 1

ณ ผับแห่งหนึ่งในตัวเมืองเชียงใหม่ ที่มีทั้งลูกค้าท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวต่างจังหวัดมาใช้บริการนั่งดื่ม รับประทานอาหาร และฟังเพลงแนวอะคูสติกสบายๆ พูดคุยกัน ร่างแบบบางที่เพิ่งจะเก็บร้านเสร็จในเสื้อยืดสีดำปักเลื่อมเป็นลวดลายสัตว์ในวรรณคดีและกระโปรงยาวคลุมเข่าสไตล์แขกเดินเข้ามาด้านในอย่างคุ้นเคย

แน่ล่ะสิ แฟนของเธอทำงานเป็นนักดนตรีอยู่ที่ผับนี้นี่นา ทำให้พนักงานและลูกค้าประจำส่วนหนึ่งจำเธอได้

“พี่มณ! มารอพี่อาร์ตเหรอคะ” ลูกค้าวัยรุ่นอายุอ่อนกว่าเอ่ยทักทันทีที่มณชิสาแหวกผู้คนเข้ามาโต๊ะด้านข้างเวทีได้ และทันทีที่คนมาใหม่นั่งลงร่วมโต๊ะด้วย เด็กสาวคนเดิมก็รีบยื่นหน้ามาเล่าอะไรบางอย่างให้ฟัง

“นี่ๆพี่มณ ลูกค้าผู้หญิงโต๊ะโน้นเขาจ้องพี่อาร์ตใหญ่เลย สงสัยจะชอบพี่อาร์ตแหง”

“เฮ้ย ไอ้แวว แกไปเล่าแบบนั้นเดี๋ยวงานก็เข้าพี่อาร์ตหรอก” ชายหนุ่มร่วมโต๊ะอีกคนรีบพูดเตือนเพื่อนสาว

“ไม่เป็นไรหรอกโชค พี่ว่าถ้าคนของเราไม่เล่นด้วย ก็ไม่น่าห่วงอะไร พี่มีเหตุผลพอน่า” มณชิสาตอบแล้วหันไปมองแฟนตนซึ่งกำลังดีดกีตาร์ ร้องเพลงอยู่บนเวที ดูเหมือนเขาจะไม่รู้ว่าเธอมาถึงแล้วเลยไม่ได้หันมาทักทาย

“ใช่สิ พี่มณน่ะใจกว้างมีเหตุผล พี่อาร์ตเขาป๊อบขนาดมีสาวๆมาตามอยู่ทุกคืน พี่มณยังสบายๆอยู่เลย แววล่ะซูฮกพี่มณจริงๆ”
แววดาวพูดนั้นออกจะเกินจริงไปหน่อย เพราะบางทีมณชิสาก็แอบไม่พอใจบ้างที่อานนท์เขาวางตัวไม่เป็น หากจะทำอย่างไรได้สำหรับนักดนตรี การวางตัวห่างเหินกับลูกค้าเกินไปก็จะทำให้เสียงาน มณชิสาเข้าใจเหตุผลข้อนี้ดีเลยทำให้เธอต้องอดทนมากกว่าเดิม

“หิวไหมพี่มณ เรียกเด็กมาสั่งอาหารดีกว่านะ” นายโชคดีนึกขึ้นได้ว่ามณชิสาเพิ่งเก็บร้านมา คงยังไม่ได้ทานอะไรเลยหันไปเรียกบริกรมาสั่งอาหาร ส่วนแววดาวก็ชวนมณชิสาคุยไปเรื่อย จนกระทั่งวงของอานนท์เล่นเพลงสุดท้ายของคืนนี้จบ มณชิสาส่งยิ้มให้แฟนหนุ่มซึ่งเดินลงจากเวทีมาหาตน ทว่าบริกรหนุ่มกลับเดินมาเข้ามาเรียกอานนท์ไปหาแขก มณชิสามองตามก็พบว่าเป็นแขกโต๊ะที่แววดาวเล่าว่ามีผู้หญิงมองอานนท์ด้วยแววตาเยิ้มโต๊ะนั้น

“พี่อาร์ตเนื้อหอมจริงๆ โดนเรียกแบบนี้ทุกคืนเลย” แววดาวมองแล้วพูดออกมา

“ก็แค่เอาใจแฟนๆ ไม่มีไรหรอก พี่มณอย่าคิดมากนะ” โชคดีให้กำลังใจมณชิสา มณชิสาพยายามส่งยิ้มสบายๆตอบกลับไป ทั้งที่ใจเธอรุ่มร้อนเพราะแรงหึงหวง

... อย่าคิดแบบนั้นสิ ยัยมณ เขาทำงานอยู่ มณชิสาพยายามข่มความร้อนรุ่มในใจของตัวเอง จนกระทั่งอานนท์ผละจากโต๊ะนั้นมาได้ แม้กระนั้นมณชิสาก็ยังรู้สึกถึงสายตาบางอย่างที่ทำให้เธอเสียวสันหลัง หันไปมองเห็นว่าหญิงสาวโต๊ะนั้นจ้องเธอมิวางสายตาเลย
โดยที่มณชิสาเองก็ไม่ได้รู้ตัวเลยว่า เธอเองก็ยังมีอีกหนึ่งสายตาที่จ้องมองเธออยู่ ... จากอีกฝั่งของร้านเช่นกัน





มณชิสาเดินออกมากับอานนท์เมื่อผับปิด ห้องพักของอานนท์อยู่ไม่ไกลจากผับมากนัก อานนท์จะไปส่งมณชิสาที่บ้านก่อนจะกลับมานอนพักที่ห้องเช่า

“มณ เป็นอะไรหรือเปล่า เงียบเชียว” อานนท์ถามขึ้นเมื่อทั้งคู่เดินออกมาจากร้านสักพักใหญ่ มณชิสาซึ่งปกติจะพูดเล่าโน่นนี่เกี่ยวกับร้านขายของที่ระลึกตรงถนนคนเดินกลับเงียบกริบ คล้ายมีอะไรในใจ

“วันนี้แม่โทรมาหามณ อยากให้มณไปอยู่กับแม่” มณชิสาเอ่ยขึ้นด้วยความกลัดกลุ้มใจ

“แม่คงห่วง ไม่อยากให้ลูกสาวอยู่คนเดียว พ่อของมณก็เสียไปได้ปีกว่าแล้วนี่” อานนท์ออกความเห็น

“แล้วอาร์ตอยากให้มณไปอยู่กับแม่หรือไง” มณชิสาได้ฟังแล้วเข้าใจผิด

“เฮ้ย! นี่มณ อาร์ตไม่ได้คิดแบบนั้นเลยนะ” อานนท์ร้องขึ้นเมื่อถูกแฟนสาวงอนเข้าให้แล้ว เขาประคองมือขาวๆขึ้นมาระดับอกของเขา จ้องมองดวงตากลมที่กำลังขุ่นมัวเมื่อได้ฟังเรื่องราวขัดใจ

“อาร์ตไม่อยากให้มณไปไหนหรอก อาร์ตอยากดูแลมณนะ” น้ำเสียงทุ้มเต็มไปด้วยความหวงแหนและห่วงใย

“งั้นอาร์ตไปหาแม่กับมณนะ ไปขอมณจากแม่ แล้วเราจะได้อยู่ด้วยกัน” มณชิสาพูดอย่างมีความหวัง

“โธ่มณ อาร์ตยังไม่มีปัญญาไปขอมณหรอก อาร์ตรู้นะว่าแม่ของมณน่ะแต่งงานกับเศรษฐีใหญ่ขนาดนั้น เขาคงจะยกมณให้นักดนตรีจนๆอย่างอาร์ตหรอกนะ” อานนท์พูดพลางขมวดคิ้ว

“แต่แม่ไม่ได้เลี้ยงมณนะอาร์ต แม่ไม่มีสิทธิ์มากะเกณฑ์มณหรอก แต่อาร์ตแสดงความตั้งใจจริง มณจะช่วยอาร์ตอีกทางเอง เราค่อยๆช่วยกันเก็บเงินก็ได้นี่ มณไม่ได้กลัวลำบากนะอาร์ต”

“พอเถอะมณ เราอย่าเพิ่งคุยเรื่องนี้เลยนะ มาเถอะ อาร์ตเหนื่อยอยากกลับไปนอนแล้ว” อานนท์ขึ้นคร่อมเวสป้า ยานพาหนะคู่ใจพร้อมกับตัดจบบทสนทนาลง มณชิสาลอบถอนหายใจ อานนท์เป็นแบบนี้ทุกครั้งที่พูดเรื่องนี้ แล้วแบบนี้มณชิสาจะสบายใจในตัวชายหนุ่มได้อย่างไร!

เวสป้าของอานนท์แล่นมาจอดตรงหน้าบ้านทรงไทยขนาดย่อมๆบนผืนที่ไม่ใหญ่มาก ต้นไม้ไม่รกครึ้มเพราะไม่ต้องการให้ดูน่ากลัวหากเต็มไปด้วยดอกไม้นานาชนิดตามที่บิดาของมณชิสาชอบ และทันทีที่ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ ลุงเพิ่มและป้าคำที่คอยดูแลบ้านและมณชิสามาตั้งแต่บิดาของมณชิสายังไม่จากไปก็รีบเดินมาเปิดประตูให้ ทั้งคู่มักจะรอให้หญิงสาวกลับถึงบ้านก่อนค่อยขึ้นนอน แม้ว่าจะดึกมากจนมณชิสาบอกทั้งคู่ว่าไม่ต้องรอ ก็ไม่ได้อาจจะห้ามความเป็นห่วงของคนมีอายุทั้งคู่ได้

“ปิดบ้านดีๆล่ะ ผมไปก่อนนะครับลุงป้า” อานนท์บอกกับหญิงสาว และไม่ลืมหันไปไหว้ลาคนมีอายุซึ่งกำลังเปิดประตูบ้านอยู่

และขณะที่มณชิสากำลังจะปิดประตูบ้าน อานนท์เพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก
“เอ้อ มณ พรุ่งนี้อาร์ตไม่ได้เล่นนะ มณไม่ต้องไปที่ร้านก็ได้ อาร์ตว่าจะไปซ้อมดนตรีกับพวกไอ้นิค ไว้อาร์ตจะโทรหามณนะ”

“จ้ะ” มณชิสาตอบรับ เหม่อมองจนรถของอานนท์แล่นหายลับมุมถนนไป จึงเดินเข้าบ้านไปพักผ่อนบ้าง






เช้าวันต่อมา มณชิสาสะพายกระเป๋าใบโปรด และถือกระเป๋าโน้ตบุ๊คจะออกไปร้านกาแฟเพื่อทำงานอิสระ ก่อนที่ตอนเย็นจะไปเปิดร้านขายของที่ระลึกอย่างเช่นทุกๆวัน หากวันนี้อยู่ๆก็มีรถคันหรูมาจอดที่หน้าบ้าน เธอค่อนข้างแปลกใจที่มีแขกมาหาในยามสายๆแบบนี้

“ลุงเพิ่ม ใครมาจ๊ะ” มณชิสาถามเมื่อคนสูงอายุเดินสวนเข้ามา ใบหน้าของคนถูกถามกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ซึ่งมณชิสาแทบไม่ต้องฟังคำตอบ ก็พบว่าใครคนนั้นเดินตามลุงเพิ่มเข้ามาแล้ว และเธอก็รู้จักดีเสียด้วย

หญิงวัยกลางคน รูปร่างได้สัดส่วนในเสื้อสีม่วงสดใสกางเกงขายาวสีดำ คล้องกระเป๋าราคาหลายหมื่น ผมเกล้าขึ้นเรียบร้อยทำให้เห็นใบหน้าสะสวยเด่นชัด มณชิสาได้รับเค้าโครงจากใบหน้าของหญิงผู้นี้มาเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์

“แม่ ...” มณชิสาตกใจไม่น้อยที่อยู่ๆมารดาก็โผล่มาจนหลุดถามออกไปอย่างเสียมารยาท “มาทำไมคะ”

คุณชลลดาไม่โกรธกลับส่งยิ้มหวานให้ พร้อมกับเข้ามากอดลูกสาวแนบอกก่อนจะผละออกมา ลูบผมลูบหน้าอีกฝ่ายอย่างรักใคร่

“แม่คิดถึงหนู หนูโตขึ้นมาก แม่เสียใจที่ไม่ได้เลี้ยงดูหนูเลย นี่หนูจะไปข้างนอกหรือจ๊ะ” เห็นสภาพท่าทางของบุตรสาว คุณชลลดาจึงถามออกมา

“ค่ะ” มณชิสาพูดอะไรไม่ออก กับเรื่องที่เกิดกระทันหันแบบนี้

“หนูอยู่คุยกับแม่หน่อยได้ไหมจ๊ะ” คุณชลลดาเอ่ยบอก มณชิสาฟังพร้อมกับจ้องมองดวงตาของผู้เป็นแม่ ก็รู้สึกได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่คำขอร้อง หากแต่เป็นคำสั่งที่เธอไม่สามารถขัดได้ มณชิสาจึงเดินกลับขึ้นไปบนบ้าน วางกระเป๋าและสัมภาระลงบนโซฟาไม้ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง

คุณชลลดาเดินตามมามองไปรอบๆ เห็นสภาพห้องที่ว่างเปล่าไร้ของตกแต่ง มีเพียงชุดเฟอร์นิเจอร์ไม้กลางห้อง ตู้หนังสือติดผนังฝั่งหนึ่ง มีทีวีเล็กๆเหมือนกับตั้งไว้ปราศจากคนดู ชุดเครื่องเสียงเก่าเก็บ ... ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปนานแค่ไหน สามีเก่าที่หย่าขาดกันไปก็ไม่เปลี่ยนไปเลย แถมดูท่าทางจะส่งผ่านกรรมพันธ์ความพอเพียงจนน่าเบื่อมาสู่ลูกสาวด้วย

“ขอบใจจ้ะ” คุณชลลดารับแก้วน้ำเปล่ามาจากหญิงสูงวัย

“แม่มีอะไรหรือเปล่าคะ” มณชิสาถามขึ้น มารดาพากายมานั่งข้างๆ ก่อนจะเอ่ยตอบ

“แม่อยากจะพาหนูไปอยู่ด้วย” บอกความต้องการของตนทันที

“แม่คะ มณไม่อยากไป มณต้องดูแลบ้าน แล้วก็ร้านด้วย” มณชิสาเบื่อจะปฏิเสธมารดาเธอเหลือเกิน ในเรื่องเดิมๆเนี่ย

“ร้านของหนูก็แค่ร้านเล็กๆ ถ้าหนูอยากเปิดร้าน แม่เปิดให้หนูก็ได้ ที่กรุงเทพฯมีศูนย์การค้าฯมากมาย” มารดาพูด

“ไม่ค่ะ มันไม่ใช่ความต้องการของหนู หนูชอบร้านที่นี่ ชอบชีวิตที่นี่ด้วย” มณชิสายังยืนกรานคำเดิม ด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวจนชลลดาเห็นแววตาของสามีเก่าปรากฏอยู่ในดวงตากลมของลูกสาว

นี่จะดื้อเหมือนพ่อมันหรือไงนะ น่าเบื่อจริง!

“แม่อย่าตื๊อหนูเลย หนูอยู่ได้ อยู่ได้มาตั้งหลายปีแล้ว” มณชิสาอ้อนวอนให้มารดาล้มเลิกความตั้งใจลง จริงๆแล้วความผูกพันของทั้งคู่ก็แทบเป็นศูนย์ มณชิสาจึงไม่ได้เรียกร้องอยากอยู่กับมารดาเท่าไหร่

คุณชลลดาลอบถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย รู้ว่าตัวเองคงไม่สามารถพูดกล่อมบุตรสาวได้สำเร็จ แต่ว่าเธอก็ไม่อยากจะล้มเลิกแผนการบางอย่างในใจ รักษาสัญญากับทางโน้นไว้แล้วด้วย คุณชลลดาจึงต้องแกล้งทำเป็นยอมแพ้บุตรสาว

“ก็ได้จ้ะ แม่ไม่ตื๊ดหนูละ แต่แม่ขออยู่กับหนูหน่อยได้ไหม แม่คิดถึงหนูนะ หนูมณ” พูดพลางดึงร่างเล็กมากอดไว้ แม้น้ำเสียงจะยอมแพ้แล้ว แต่ดวงตาคมของมารดากลับกลิ้งกลอกไปมาพยายามหาวิธีการต่างๆนานา เพื่อที่จะพาตัวมณชิสากลับกรุงเทพฯให้ได้

ส่วนมณชิสาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก คิดว่ามารดาน่าจะยอมแพ้ไปแล้ว เธอจึงยอมอยู่เป็นเพื่อนมารดาจนเย็น ก่อนจะขอตัวออกมาตั้งร้านตามเวลาเดิมของทุกวัน โดยที่คุณชลลดาแอบโทรศัพท์ไปหาสามีเพื่อขอความช่วยเหลืออะไรบางอย่าง





ร้านของมณชิสาเป็นห้องแถวเล็กๆ ตั้งอยู่ใจกลางถนนคนเดินที่ผู้คนพลุกพล่าน เธอขายเครื่องประดับทำเองจากมือได้รับผลตอบรับดีจนสามารถเลี้ยงตัวเองได้

“อันนี้เท่าไหร่ครับ” เสียงห้าวทุ้มของใครบางคนดังถามเธอ มณชิสาส่งยิ้มพร้อมตอบกลับไปน้ำเสียงสดใส

“จี้รูปปลาโลมานั่น สองร้อยห้าสิบค่ะ อันนี้เป็นแฮนด์เมดนะคะ มีอยู่ชิ้นเดียวในโลกแน่นอนค่ะ”

ชายหนุ่มแปลกถิ่น จากการแต่งตัว และกล้องตัวใหญ่ที่คล้องอยูที่คอทำให้รู้ว่าเป็นนักท่องเที่ยว มีสายตาพึงพอใจในจี้รูปปลาโลมาดีไซน์เก๋

“นี่ครับ ผมชอบมากเลย มันดูเหมือนมีชีวิตจริงๆเลยนะครับ คุณเป็นคนที่นี่เหรอ” ชายหนุ่มถาม

“ฉันเป็นคนกรุงเทพฯค่ะ แต่มาอยู่ที่นี่ได้เจ็ดปีแล้ว” มณชิสาชินกับการถูกนักท่องเที่ยวชวนคุยเลยตอบกลับไปอย่างเป็นมิตร เธอเห็นชายหนุ่มส่งยิ้มแปลกๆกลับมาให้ ก่อนที่เขาจะส่งเงินตามจำนวนราคาค่าจี้รูปโลมามาให้เธอ

“ผมขอรับโลมานี่ไปเลี้ยงล่ะกันนะครับ นี่ครับเงิน”

มณชิสารับเงินมาพร้อมกับเอ่ยขอบคุณอีกฝ่ายตามปกติ หลังจากชายหนุ่มเดินห่างออกไป พี่ปู ที่ขายเสื้อผ้าตัดเย็บเองข้างๆก็โผล่หน้ามาชวนคุย

“หนูมณ เมื่อกี้หล่อมากเลย หนูมณรู้จักหรือจ๊ะ”

“ไม่รู้จักหรอกพี่ ลูกค้าชวนคุยเฉยๆ” มณชิสาขำพี่ปูที่เวลามีหนุ่มหล่อๆมาชวนคุย มักจะออกอาการแบบนี้เสมอ

“แหม เสียดายนะ หล่อมากเลย เหมือนพระเอกช่องเจ็ด”
พูดจบพี่ปูก็หันไปขายของลูกค้าต่อ มณชิสาหัวเราะขำกับคำพูดของแม่ค้าร้านข้างเคียง พอคิดดูแล้วก็จริงอย่างที่พี่ปูบอก ลูกค้าผู้ชายคนเมื่อกี้หล่อจริงด้วย ใบหน้าคม หน้าตาราวกับถูกปั้นมา ผิวขาว ตัวสูง น้ำเสียงทุ้มน่าหลงใหล หากต่อมกรี๊ดคนหล่อของมณชิสาพังไปตั้งแต่จบมัธยมต้นแล้ว ตั้งแต่เธออกหักครั้งแรกโน่นแหนะ ...





คืนนี้มณชิสาเก็บของแล้วก็ไม่ได้มีนัดไปที่ผับอย่างทุกวัน ทั้งที่แฟนหนุ่มเธอบอกว่าจะซ้อมดนตรีทั้งวันกับแก๊ง เธอกลับเห็น นายนิค หนึ่งในแก๊งวงดนตรีของแฟนหนุ่มเดินควงกับแฟนสาวอยู่ ซึ่งเขาก็เดินเข้ามาทักทายเธอเหมือนปกติ

“อ้าว มณ อาร์ตไม่มาช่วยเก็บร้านเหรอ” นายนิคถาม หญิงสาวมุ่นคิ้วกับคำถาม แต่ก็ตอบคำถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่หัวใจเธอบีบคั้นจนแทบทรงตัวไม่อยู่ หัวสมองว่างเปล่าเมื่อเธอรับรู้ว่าแฟนหนุ่มอาจจะโกหกเธอ ซึ่งมณชิสาเคยขอร้องอานนท์ไว้ก่อนจะคบกันว่า เรื่องเดียวที่เธอยอมไม่ได้คือการถูกหลอกลวง หักหลังจากคนที่เธอรัก และเธอก็คาดหวังว่าเขาจะไม่ทำเช่นนั้นกับเธอ อานนท์เองก็รับปากอย่างดี

“เปล่าจ้ะ นิคไม่ซ้อมดนตรีเหรอวันนี้” มณชิสาถามเสียงสั่น

“ไม่ได้ซ้อมหรอก ไอ้อาร์ตบอกว่าปวดหัว เดี๋ยวเราไปก่อนนะมณ” นายนิคเดินห่างจากร้านไป มณชิสาโล่งอกไปนิดหน่อย เหตุผลที่ไม่ได้ไปซ้อมดนตรี เหตุผลที่เขาหายไปทั้งวันไม่โทรศัพท์หกันจนรู้สึกเป็นห่วง เธอคิดในแง่ร้ายมากเกินไป หญิงสาวจึงรีบเก็บร้านแล้วแวะซื้อข้าวต้มไปฝากชายหนุ่มที่ห้องพักก่อนจะกลับบ้านเสียหน่อย




ห้องพักของชายหนุ่มเป็นอพาทเมนต์หกชั้นที่คนค่อนข้างพลุกพล่าน มีคนหลากหลายประเภทจนอานนท์ไม่อยากให้มณชิสามาหา หากวันนี้อานนท์ป่วย มณชิสาจึงทำใจกล้าเดินขึ้นตึกมาท่ามกลางสายตาของคนหลายกลุ่ม ทั้งผู้ชายน่ากลัว วงเหล้า และผู้หญิงที่อานนท์บอกว่าพวกเขาขายบริการอยู่

มณชิสามาหยุดยืนอยู่หน้าห้องพักของชายหนุ่ม เห็นหน้าต่างที่หันออกมายังทางเดินปิดด้วยม่านสีเข้มแต่ก็พอเห็นว่าด้านในเปิดไฟอยู่ อานนท์คงกำลังพักผ่อนดูโทรทัศน์ด้านใน เธอยกมือเคาะประตูเบาๆ ไม่นานประตูก็เปิดออก อานนท์อยู่ในเสื้อกล้ามกางเกงขาสั้น

“มณ! มาได้ยังไง!” ชายหนุ่มตกใจไม่น้อยที่อยู่ๆเธอก็โผล่มา

“มณเห็นว่าอาร์ตไม่สบายเลยซื้อข้าวต้มมาฝาก” มณชิสายื่นถุงข้าวต้มร้อนๆให้ชายหนุ่ม อานนท์ทำหน้าแปลกใจ

“ก็บอกนิคไว้แบบนี้ไม่ใช่เหรอ วันนี้มณเจอนิคที่ถนนคนเดิน” เธอจึงขยายความให้ฟัง อานนท์ทำหน้าเออออ ขณะนั้นเองเสียงหวานๆของใครบางคนก็ดังมาจากในห้องชายหนุ่ม

“อาร์ตจ๋า อาร์ตมีไดร์เป่าผมไหม”

จังหวะที่อานนท์เองก็ตกใจ หันไปมองเสียงนั้น ทำให้มณชิสามองผ่านช่องว่างระหว่างตัวชายหนุ่มกับกรอบประตู เห็นร่างแบบบางของหญิงสาวแปลกหน้าในผ้าขนหนูตัวเดียวยืนอยู่เบื้องหลัง มณชิสาชาไปทั้วตัว เธอจำหน้าผู้หญิงคนนั้นได้ทันทีว่าคือหญิงสาวที่เรียกให้อานนท์ไปหาที่โต๊ะในผับคืนนั้น

“มณ ... มันไม่ใช่ ...” อานนท์พยายามปิดประตูห้อง หากหญิงสาวในห้องกลับเดินมาดันประตูเอาไว้ มณชิสารู้สึกเหมือนถูกคนฟาดไม้ลงที่กลางหัว สมองมึนงงและชาไปทั้งร่าง ได้ยินเพียงเสียงหัวใจที่เต้นเบาๆของตัวเอง เธอไม่ได้ยินว่าชายหนุ่มพูดอะไร ผู้หญิงคนนั้นพูดอะไร เท้าของเธอขยับ และวิ่งห่างจากประตูห้องชายหนุ่มมาโดยไม่สนใจฟังเสียงทัดทานจากใคร เธอรู้สึกตัวอีกทีเมื่อวิ่งมายังกลางถนน และกำลังจะถูกมอเตอร์ไซค์ชน

“กรี๊ดดดด”

“เฮ้ยยยยยยยย”

เอี๊ยดดดดดดดดดด ...
เสียงล้อรถเบียดกับถนนดังลั่นไปทั่ว จนทำให้คนรอบๆหันมามองเขากันหมด

เฮ้ย! อะไรเนี่ย เขาขับมาดีๆนะ! ชายหนุ่มเจ้าของมอเตอร์ไซค์ตัดพ้อกับสายตาทุกคู่ รีบลงมาดูร่างบางซึ่งเหมือนจะตกใจจนขาพับขาอ่อน นั่งกองอยู่บนถนนตรงหน้า

“นี่คุณ ... คุณที่เป็นแม่ค้าขายปลาโลมานี่ ไหวไหมครับคุณ” เขาเห็นใบหน้าขาวก็จำได้ทันที

“ฉัน ... โอเคค่ะ ” มณสิชาพยายามลุกขึ้นยืน เพราะเหตุการณ์เกือบตายนี่เลยทำให้มณชิสาได้สติขึ้นมา ทว่าอานนท์กลับวิ่งตามเธอมา มณชิสาไม่อยากจะอยู่ฟังข้อแก้ตัวใดๆจากชายหนุ่มอีกแล้ว

“มณ! มณ!”

“คุณ ฉันเจ็บแขน ช่วยพาไปทำแผลที่โรงพยาบาลตรงนู้นหน่อยได้ไหม” มณชิสาเอ่ยขอร้องกับชายหนุ่มแปลกหน้า แม้เขาจะงุนงงกับเหตุการณ์ แต่ก็ยอมทำตามคำขอร้องของหญิงสาว มณชิสาขึ้นซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ชายหนุ่ม ไม่มีความสนใจใดๆ ทิ้งให้อานนท์ร้องตะโกนโวยวายอยู่เบื้องหลัง





ชายหนุ่มนักท่องเที่ยวแปลกหน้าพาหญิงสาวมาจนถึงโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง จากสภาพแล้วมีเพียงฝ่ามือหญิงสาวเท่านั้นที่เป็นแผลถลอก และแขนซ้นเล็กน้อยเท่านั้น นอกนั้นก็ไม่มีแผลอะไรซึ่งชายหนุ่มก็ยังไม่ไว้ใจ อยากให้หญิงสาวตรวจร่างกายภายในด้วย

“ฉันไม่เป็นไรแล้ว จริงๆนะ” มณชิสาเริ่มรำคาญเมื่อถูกเซ้าซี้ใส่

“จะไปรู้ได้ยังไง คุณยังไม่ได้ตรวจ” เขาไม่เห็นด้วยเลย

“เอ๊ะ ฉันรู้ตัวน่า อีกอย่างคุณไม่ต้องมาสนใจอะไรมากมายหรอก ถ้าฉันเกิดเป็นอะไร เดี๋ยวก็มาหาหมอเองน่ะ” หญิงสาวตัดบทอย่างรำคาญ เธอรู้ตัวดีว่าอารมณ์เธอไม่ปกติอย่างมากจนห้ามไม่ให้ไม่ขึ้นเสียงใส่ชายหนุ่มไม่ได้เลย

“ให้มันได้อย่างนี้สิ รู้ตัวไหมว่าเมื่อกี้ถ้าผมเบรกไม่ทัน คุณได้ไปสวรรค์แล้ว” เขาเริ่มขึ้นเสียงใส่อารมณ์บ้างแล้ว

“อ้อ ฉันต้องขอบคุณคุณใช่ไหมที่เบรกทัน ทั้งที่คุณชนฉันนะ” หญิงสาวลุกขึ้น เมื่อพยาบาลพันผ้าที่ข้อมือเสร็จ

“ใช่ ผมชนคุณ คุณก็ตรวจร่างกายซะซี่ จะมัวมางอแงดื้อด้านอยู่ทำไม” ชายหนุ่มว่าพลางส่ายหน้าไปมา กับอาการดื้อดึงของหญิงสาวผู้นี้

“ก็ฉันบอกแล้วว่าไม่ ...” มณชิสากำลังจะเถียงกลับ พยาบาลสาวขัดขึ้นก่อน

“ใจเย็นๆนะคะ ดูแล้วเรี่ยวแรงขนาดนี้ น่าจะไม่มีปัญหาอะไรหรอกนะคะ” พร้อมทั้งออกความเห็น มณชิสาฟังแล้วก็ยื่นหน้าใส่เยาะเย้ยใส่อีกฝ่ายเมื่อพยาบาลเห็นด้วยกับตน ท่าทางยียวนของมณชิสาทำให้ชายหนุ่มหงุดหงิดใจขึ้นมาทันที จากที่เจอเมื่อคืนในผับ จนตลาดเมื่อตอนเย็น เขาค่อนข้างพอใจในรูปร่างหน้าตาของหญิวสาวจนเก็บไปเพ้อ ไม่น่าเชื่อเลยว่าสาวน้อยน่ารักคนนั้นจะยียวนกวนประสาทได้ขนาดนี้

“เดี๋ยวเชิญคุณมณชิสาไปรับยาที่เคาน์เตอร์นะคะ” พยาบาลบอกกับหญิงสาว ซึ่งชายหนุ่มสะดุดกับชื่อที่พยาบาลเรียกเธอ เอ่ยถามออกไปทันที

“คุณชื่อมณชิสาเหรอ”

“ใช่ ทำไมเหรอ” มณชิสาขมวดคิ้วใส่ เมื่อถูกถามชื่อ แต่เธอก็ไม่ได้สนใจอะไรต่อจนไม่ทันสังเกตว่าชายหนุ่มเหลือบมองนามสกุลที่ต่อท้ายชื่อบนซองยาแล้วเขาทำหน้าแปลกใจมากถึงมากที่สุด

มณชิสา เดชาณรงค์ ...

“ไม่ทราบว่า ท่านไหนจะจ่ายเงินคะ” เสียงของพยาบาลปลุกให้ชายหนุ่มตื่นจากความตกอกตกใจเมื่อครู่

“ผมครับ” เขาหันไปตอบพยาบาล โดยที่สีหน้ายังไม่คลายความแปลกประหลาดใจลงเลย

มณชิสา เดชาณรงค์ ! เขาจำได้ไม่ผิดแน่ๆ

ศิกานต์ยิ้มกับตัวเอง ... เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าโชคชะตาจะเล่นตลก ดลให้เขามาพบกับคนที่คิดว่าในชาตินี้จะไม่ได้เจอกันอีกแล้วจนได้!
สำหรับศิกานต์แล้ว นี่เป็นเรื่องดีสำหรับเขามากทีเดียว!





ศิกานต์พาหญิงสาวซ้อนมอเตอร์ไซค์เช่ามาส่งถึงหน้าบ้าน เช่นเดิมที่ลุงเพิ่มกับป้าคำจะออกมารับ ซึ่งคนสูงวัยค่อนข้างแปลกใจที่วันนี้คนมาส่งไม่ใช่อานนท์เหมือนทุกที

“สวัสดีครับ ผมไปก่อนนะคุณมณชิสา” เขาบอกลาหญิงสาว และไม่ลืมยกมือไหว้ผู้สูงวัยทั้งคู่ด้วย ก่อนจะขับรถห่างออกไป

“ใครหรือจ๊ะหนูมณ” ป้าคำถามอย่างแปลกใจ

“หนูไม่รู้เหมือนกัน ลืมถามชื่อไปเลย” มณชิสาตอบด้วยน้ำเสียงปกติ

“อ้าว แล้วทำไมถึงมาส่งหนูได้ล่ะครับ” ลุงเพิ่มสงสัยจนออกทางสีหน้า

“หนูโดนรถเขาชน เขาเลยมาส่งหนู แค่นั้นเองจ้ะลุง” หญิงสาวเล่าให้ฟัง ทั้งสองคนทำหน้าตกใจ ถามไถ่อาการของหญิงสาวกันใหญ่จนดูแล้วไม่มีอะไรบุบสลายจึงยอมปล่อยให้มณชิสาไปนอนพักผ่อน

มณชิสาเจอมารดานั่งรออยู่ตรงห้องรับแขก

“ทำไมกลับดึกจังล่ะหนูมณ แล้วนั่นเป็นอะไร” ชลลดาถามเมื่อเห็นผ้าพันแผลที่มือลูกสาว

“มณขายของก็กลับประมาณนี้ล่ะแม่ ส่วนนี่มณซุ่มซ่ามหกล้มน่ะค่ะ” มณชิสาไม่อยากเล่าเรื่องราวทั้งหมดเลยแสร้งโกหกไป

“ตายจริง แล้วเป็นอะไรมากไหม นี่ล่ะนะ แม่บอกให้เลิกขายของแล้วไปอยู่กับแม่เถอะ” ชลลดาพยายามวกเข้าความต้องการของตัวเอง จนมณชิสาแสดงอาการเบื่อหน่ายออกทางสีหน้า

“แม่ หนูง่วงมากเลย หนูไปนอนก่อนนะคะ” มณชิสาไม่รอฟังคำตอบจากมารดา ผละเดินจากไปทันที ชลลดามองแล้วก็หงุดหงิดใจ ก่อนที่จะคลี่ยิ้มมุมปากเมื่อเธอรู้ดีว่า อย่างไรเสีย มณชิสาก็ไม่มีทางหนีจากสิ่งที่ชลลดาต้องการจะให้เป็นไปได้หรอก!



ตีสี่กว่า มณชิสาก็ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนร่วมค้าขายในย่านถนนคนเดินว่าไฟไหม้ล็อคที่เธอขายอยู่ ไหม้จนเกลี้ยงไปหมด เธอรีบเปลี่ยนชุดแล้วให้ลุงเพิ่มขับมอเตอร์ไซค์ออกมาดู เห็นสภาพร้านที่เหลือแต่ตอแล้วก็แทบทรุดลง ยังดีที่ลุงเพิ่มประคองไว้ได้ทัน มณชิสาร้องไห้ให้กับร้านที่เธอสร้างขึ้นมา แล้วซ้ำร้ายกว่าเดิมคือ ผู้ให้เช่าจะถือโอกาสปรับปรุงตรงนั้นเป็นร้านอาหาร ไม่ใช่ล็อคขายของอีกแล้ว โดยทำการคืนเงินค่าเช่าให้ผู้ร่วมขายตรงนั้นโดยไม่มีเงื่อนไขอีกด้วย มณชิสาเลยต้องหาทำเลขายของใหม่ ทำให้เธออยู่กับบ้านมากขึ้นกว่าเดิม

“หนูมณ นายอานนท์มาหาแหนะครับ” ลุงเพิ่มเดินเข้ามาบอกในบ่ายวันหนึ่งหลังจากไฟไหม้มาสองวันแล้ว เธอหลีกเลี่ยงที่จะเจอหน้าอานนท์มาตลอด ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่อานนท์กล้ามาหาเธอถึงที่บ้าน กล้าที่จะเสี่ยงเจอแม่ของเธอ

“มณไม่อยากเจอเขาค่ะลุง” มณชิสาตอบ

“แต่อาร์ตอยากเจอมณนะ” อานนท์เดินตามลุงเพิ่มเข้ามา และเมื่อมณชิสาหันไปทำหน้าตำหนิลุงเพิ่มที่กำลังรีบเดินหนีหายไปหลังบ้าน เขาก็รีบพูดต่อ “อย่าว่าลุงเพิ่มเลย อาร์ตขอให้ลุงช่วยเอง อาร์ตจะมาบอกว่า อาร์ตขอโทษนะมณ อาร์ตไม่มีข้อแก้ตัวอะไร อาร์ตยังรักมณนะ”

“พอเถอะอาร์ต มณไม่อยากฟัง” มณชิสาจะลุกขึ้นหนี แต่อานนท์เรียกรั้งไว้

“ขอร้องเถอะมณ ฟังอาร์ตเถอะ อาร์ตจะมาลามณนะ”

มณชิสาชะงักตัว หันไปมองอานนท์ด้วยแววตาสงสัย

“อาร์ตจะไปกรุงเทพฯ มีคนติดต่อให้เราไปทำเพลงที่นั่น อาร์ตเลยจะมาบอกลามณ มาขอโทษมณ”

“ผู้หญิงคนนั้นชวนอาร์ตเหรอ” มณชิสาตงิดในใจ และอานนท์ก็พยักหน้าตอบ

“เขาเป็นคนที่รู้จักค่ายเพลง จริงๆวันนั้นอาร์ตก็ไปหาเขาเพื่อจะคุยเรื่องนี้ อาร์ตไม่ได้อยากจะให้ทันเกินเลยเลย แต่...”

“พอเถอะอาร์ต ให้มันจบไปเถอะ มณไม่อยากฟัง มณขอบคุณที่อาร์ตมาลามณล่ะกันนะ มณขอให้อาร์ตประสบความสำเร็จกับสิ่งที่อาร์ตชอบ” มณชิสาพยายามที่จะข่มกลั้นน้ำตาของตัวเองเอาไว้ แม้เสียงของเธอจะสั่นจนเขาจับได้ก็ตาม

อานนท์บอกลาครั้งสุดท้ายพร้อมพร่ำพรรณนาว่าเขารักเธอมากแค่ไหน เขาเดินออกจากบ้านไปโดยไม่หันหลังกลับมาอีก แต่แล้วอย่างไรเล่า มณชิสาได้แต่คิดตัดพ้อชายหนุ่มผ่านน้ำตาที่เขาไม่ได้หันมาเห็น

... รักมาก รักแค่ไหน ก็ไม่สู้เท่าความรักที่เขารักตัวเองหรอก เพราะถ้าเขารักเธอ เขาคงไม่เลือกที่จะตัดใจไปจากเธอได้ง่ายดายเพียงนี้หรอก!

มณชิสาปล่อยให้น้ำตารินไหล ร้องไห้ให้กับความรักที่เพิ่งจบลงไป ...

“มณ” เสียงของมารดาดังขึ้นข้างๆ ทำให้มณชิสารีบปาดน้ำตาทิ้ง หากมารดากลับเข้ามาโอบกอดหญิงสาวเอาไว้

“ไม่เป็นไรนะลูก ร้องไห้เถอะ ร้องให้พอ แล้วลูกจะดีขึ้นนะจ๊ะ” ประโยคปลอบโยนอันอบอุ่นที่มณชิสาห่างเหินไปนานหลังจากพ่อเสียไป ทำให้กำแพงและเกราะหนาๆของมณชิสาพังลงทันที เธอกอดรับอ้อมกอดมารดา และร้องไห้เหมือนเด็กเล็กๆที่เสียใจ โดยมีมืออบอุ่นของคนที่เป็นแม่คอยลูบหลังลูบไหล่ให้กำลังใจอยู่ไม่ห่างไปไหน

นี่สินะ ... มณชิสารู้สึกได้ ว่านี่คืออ้อมกอดของแม่ที่เธอไม่เคยรู้จัก ...





เย็นวันต่อมา มณชิสากับศิกานต์นั่งอยู่ริมถนนคนเดินที่ผู้คนพลุกพล่าน

อยู่ๆศิกานต์ก็มาหา บอกว่ามณชิสาควรไปทำแผลใหม่ได้แล้ว มณชิสาปฏิเสธไม่ออกเพราะชายหนุ่มพูดดักทางและขู่ไว้จนเธอยอมใจอ่อนมากับเขา พอหาหมอเสร็จเขาก็ขอให้เจ้าถิ่นอย่างเธอพาเที่ยวรอบๆเมืองเสียหน่อย มณชิสาปฏิเสธไม่ออกอีกครั้งเลยต้องพาไปอย่างจำยอม

“ผมเสียใจเรื่องร้านด้วยนะ” เขาเอ่ยขึ้นพลางดูดน้ำมะพร้าวเย็นชื่นใจไปพลาง เขาได้ยินเรื่องนี้ในเย็นวันเกิดเหตุ และไปหาหญิงสาวที่บ้าน แต่ไม่พบเธอ แถมเมื่อวานก็ต้องไปธุระเลยกว่าจะแสดงความเสียใจก็ช้าไปหลายวัน

“อือ ขอบคุณ” เธอตอบ

“ผมชอบร้านคุณนะ นี่ไง ผมใส่อยู่ด้วย” เขาสะกิดให้หญิงสาวดูสร้อยที่คอเขา เป็นเชือกสีดำห้อยจี้โลมาอยู่

“ฉันนึกว่าคุณจะเอาไปให้แฟนซะอีก” มณชิสามองแล้วบอกออกมาตามที่ใจคิด

“ทำไม ไม่เหมาะกับผมเหรอ” ศิกานต์ถาม

“ใช่” เธอตอบอย่างไม่ต้องคิดนาน

“อะไรกัน ผมไม่น่ารักเหรอไง โอเคๆผมล้อเล่น ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นก็ได้ เสียใจจัง” ศิกานต์ตัดพ้อกับสีหน้าของหญิงสาวที่ไม่เห็นด้วยกับเขา

“ฉันล้อเล่นน่า” มณชิสาหัวเราะกับท่าทางของเขา ศิกานต์มองเห็นเธอหัวเราะก็คลี่ยิ้มพอใจ มณชิสาไม่เข้าใจรอยยิ้มของเขา

“มีอะไรเหรอ”

“ผมดีใจที่เห็นคุณหัวเราะได้ เมื่อตอนผมไปรับคุณ คุณเศร้ามากเลยนะ ผมชอบที่คุณงอแงแบบวันนั้นมากกว่าอีก” เขาอธิบาย

“จริงสิ คุณชื่ออะไร” มณชิสานึกขึ้นได้ว่ายังไม่รู้จักชื่อเขาเลย

ศิกานต์ไม่รู้ว่าเธอจะจำเขาได้ไหม และถ้าจำได้ เธอจะยังยอมคุยกับเขาดีๆแบบนี้หรือเปล่า เขากลัวว่ามณชิสาจะโกรธและไม่คุยกับเขาแบบเมื่อหกปีก่อน

“ผมชื่อซี” ในที่สุดก็โกหกไปจนได้

“แล้วคุณจะกลับเมื่อไหร่” มณชิสาถามต่อ

“... พรุ่งนี้เช้า” คำตอบของศิกานต์ทำให้มณชิสารู้สึกเหงาวาบขึ้นในใจ เธอแอบรู้สึกว่าเธอกำลังจะถูกผู้ชายคนนี้ทิ้งเหมือนกับที่อานนท์ทำกับเธอ แม้ว่ามณชิสาจะรู้ดีว่าชายหนุ่มเป็นนักท่องเที่ยว ที่วันหนึ่งก็ต้องกลับบ้านตัวเอง กระนั้นมณชิสาก็ยังรู้สึกเหงาในใจอยู่ดี
มณชิสาไม่ได้ถามอะไรต่อ เธอเสนอจะพาชายหนุ่มเที่ยวให้ทั่วก่อนที่จะต้องจากกันไป ซึ่งอาจจะไม่ได้พบกันอีกแล้วก็ได้

ศิกานต์ขับมอเตอร์ไซค์ มาส่งหญิงสาวที่บ้านเมื่อตะวันตกดินไปแล้ว

“ขอบคุณนะที่พาผมเที่ยวซะทั่วเลย”

“ไม่เป็นไรหรอก ไว้คุณมาอีก ก็มาหาฉันนะ ฉันจะพาไปเที่ยวอีก” มณชิสาพูด

ศิกานต์ทำหน้าเศร้า รู้ตัวดีว่าเวลานั้นคงอีกนานมากเลย
“ผมกลับไปต้องเริ่มทำงานอย่างจริงจังแล้ว คงไม่ได้เที่ยวที่นี่อีกนานเลย” ศิกานต์ตอบ

“อะไรกัน แค่กรุงเทพฯ เชียงใหม่ บินชั่วโมงเดียวก็ถึง” หญิงสาวบอกเมื่อเห็นแววตาของชายหนุ่ม ทำเหมือนกับว่าอยู่ห่างกันคนล่ะซีกโลกอย่างนั้นล่ะ

“ผมจะพยายามล่ะกันนะ”

“ขอให้เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพนะคุณ” มณชิสาอวยพรให้ ชายหนุ่มยิ้มรับ มองหญิงสาวเปิดประตูบ้าน เขาลังเลใจที่จะบอกความจริง

“มณ”

แม้ใจจะลังเล แต่ปากก็ไวเกิน เรียกเธอออกไปแล้ว แถมยังเรียกแบบที่เขาเคยเรียกเธอเมื่อหกปีก่อนด้วย หากมณชิสาไม่ได้ระแคะระแคงใจ เธอหันมามองหน้าเขา ซึ่งในที่สุดศิกานต์ก็ทำใจบอกความจริงไม่ได้ เขาไม่อยากเห็นภาพก่อนลา จากแววตาที่สดใสขึ้นของเธอต้องขุ่นมัว

“ปิดบ้านดีๆนะ” เลยกลายเป็นกำชับหญิงสาวไปแทน มณชิสาพยักหน้ารับ แล้วเดินหายไปเข้าในบ้าน

ศิกานต์หลับตา ข่มกลั้นความต้องการของหัวใจ ความรู้สึกเล็กๆที่เกิดขึ้นมาแม้จะไม่กี่วัน แต่มันก็ไม่ง่ายเลยที่จะตัดใจไม่ให้รู้สึกชอบผู้หญิงคนนี้ แต่ทำอย่างไรได้ ในเมื่อเธอเกลียดผู้ชายที่ชื่อ ศิกานต์ ขนาดนั้น ...




มณชิสาเปิดประตูเข้าบ้าน เห็นแม่ของตนนั่งดูทีวีอยู่ เธอตัดสินใจอะไรบางอย่างได้
“แม่ มณจะไปกรุงเทพฯกับแม่ค่ะ”



จบตอน



มิรินทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 ก.ค. 2554, 03:08:20 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ก.ค. 2554, 03:12:04 น.

จำนวนการเข้าชม : 1237





ปูสีน้ำเงิน 25 ก.ค. 2554, 23:36:37 น.
ไปจ๊ะเอ๋กันที่กรุงเทพฯแน่ๆ เลย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account