ตราบฟ้าไร้ดาว
พี่หิน หนุ่มน้อยนิรนาม ผู้มามอบโลกใบใหม่ที่สดใสสวยงามให้น้องเอ๋ย และจากไปพร้อมกับโลกใบนั้น
ทิ้งไว้แต่โลกมืด โลกไร้สุขและสิ้นหวังเอาไว้ให้
น้องสาวที่เขาเองก็รักปานดวงใจ


‘พี่รักเอ๋ยนะจ๊ะ สามสี่วันที่ออกเรือ พี่คงจะต้องเป็นบ้าแน่ๆ เพราะคิดถึงเอ๋ย แล้วเอ๋ยล่ะ รักพี่และจะคิดถึงพี่หรือเปล่า’

‘ไหนบอกให้พี่ชื่นใจหน่อยสิจ๊ะคนดี’

‘บอกให้พี่ได้ยินหน่อยสิจ๊ะคนดีของพี่ เดี๋ยวเราต้องรีบกลับเข้าบ้านกันแล้วนะ’

‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’

‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’

‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’


วรินรำไพ หรือ เอ๋ย หญิงสาวผู้ไม่หลงเหลือหัวใจให้ใครได้แล้ว
นอกจาก 'พี่หิน' คนเดียวเท่านั้น


“พี่หินจ๋า! เอ๋ยมารับพี่หินแล้ว พี่หินอยู่ไหนจ๊ะ พี่หินกลับมาหาเอ๋ยสิจ๊ะ”

น้ำตาที่ไม่เคยเหือดแห้งนั้น หลั่งไหลลงมาอีกมากมาย เมื่อภาพในค่ำคืนนั้นลอยมาอยู่ตรงหน้าสาวน้อยที่กำลังเจ็บเสียด แน่นที่อกเพราะความเสียใจ

“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ พี่หินได้ยินมั้ยจ๊ะ ว่าเอ๋ยรักพี่หิน”

“เอ๋ยจะรักเพียงพี่หินคนเดียวเท่านั้น พี่หินต้องกลับมาหาเอ๋ยนะจ๊ะ เอ๋ยรู้ว่าพี่หินยังไม่ตาย”

ร่างเล็กยกเสื้อผ้าพี่ชายขึ้นมากอดไว้ ก่อนจะแนบแก้มลงไปหา ปล่อยให้หยาดหยดน้ำตาไหลรินลงไปใส่ ประหนึ่งอยากให้พี่ชายที่แสนดีมาซับน้ำตาที่หลั่งรินออกมาเพราะความเสียใจอย่างสุดซึ้งก็ไม่ปาน

“เอ๋ยจะรอพี่หินอยู่ตรงนี้ตลอดไป พี่หินได้ยินมั้ยจ๊ะ ว่าเอ๋ยจะรอพี่หินคนเดียว และจะรักพี่หินคนเดียวเท่านั้น”

ประโยคอ้อนวอนของพี่ ตกย้ำซ้ำเติมให้น้ำตาน้องหลั่งรินออกมามากมายแล้วแทบจะกลายเป็นสายเลือด เพราะความเสียดายที่ไม่ได้บอกคำที่พี่อยากได้ยินออกไป ถ้าเพียงแต่น้องคนนี้ล่วงรู้ว่าความตายจะมาพรากพี่ไปจากน้องในรวดเร็วขนาดนี้

“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ รักและจะรอให้พี่หินกลับมาหาเอ๋ยอีก กลับมาสร้างบ้านในฝันของเรา กลับมาอยู่กับเอ๋ย มีลูกตัวเล็กๆ กับเอ๋ย แล้วเราจะจูงลูกไปส่งโรงเรียน เหมือนที่พี่หินบอกไว้ไงจ๊ะพี่หินจ๋า”

กายเล็กๆ และยังกอดเสื้อผ้าพี่หินอยู่นั้น ค่อยๆ รูดเลื่อนไปตามผนังเก๋งเรือลงไปหาพื้น เมื่อมีประโยคอ้อนวอนของพี่ลอยมาตอกย้ำความผิดพลาดไม่ขาดหาย

และถ้าเพียงเลือกได้อีกครั้ง ถ้าเพียงย้อนเวลากลับมาได้อีกครั้ง ถ้าเพียงมีพี่ชายที่แสนดีอยู่ข้างกายอีกครั้ง ถ้าเพียงค่ำคืนสุดท้ายที่ได้อยู่กับพี่ชายแบบนั้นอีกครั้ง

“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ รักมาก รักมากยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก และพี่หินจะอยู่ในใจเอ๋ยตลอดไปจ๊ะ แล้วเอ๋ยก็จะรอ รอวันที่พี่หินกลับมาหาเอ๋ย กลับมาฟังคำบอกรักจากเอ๋ย กลับมาทำความฝันที่เรามีด้วยกัน เอ๋ยจะรอพี่หินจ๊ะ ต่อให้เอ๋ยจะต้องไปตลอดชีวิต เอ๋ยก็จะรอพี่หินคนเดียว จะรักและจะรอพี่หินของเอ๋ยคนเดียว ไม่ว่าจะนานแค่ไหน เอ๋ยก็จะรอ”


ชลธิป จิระธนานนท์ หรือ คุณร๊อค
ผู้บริหารหนุ่มเจ้าของ‘ตาเบบูญา บางปูปาร์ค รีโซเทล แอนด์ สปา’
ผู้ที่หวนกลับมาทำร้ายคนที่เขารักปานดวงใจ
โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว กระทั่งวินาทีสุดท้าย



“นรกสำหรับคุณไง!”

เขาคว้าแขนเล็กๆ ไว้แล้วกระชากตามตัวไปอย่างแรง

“เงียบทำไม! ถึงเวลาที่คุณจะต้องอธิบายให้ผมฟังได้แล้ว ว่าคุณทำยังไงถึงได้รอดจากการติดคุก ถ้าเหตุผลเพียงเพราะคุณอยากได้ตัวผม เงินผม คุณก็บอกมาดีๆ สิ ผมจะจัดให้!”

“...”

“เงียบทำไม! คุณบอกผมมาสิว่าทำไม! ตอบผมมาให้ได้! ไม่อย่างนั้นคุณจะต้องเสียใจกับการกระทำของคุณเอง! ตอบผมมา!!!”

ประตูห้องเปิดออกได้ ร่างผอมบางก็ถูกกระชากแขนอย่างแรงเข้าไปในห้องจนกระแทกกับตู้เสื้อผ้า ทว่าวริญรำไพก็ไม่คิดจะพูดอะไรออกมา นอกจากมีน้ำตาไหลรินอาบสองแก้มเท่านั้น

“คุณพูดไม่ออกเหรอ! หรือบอกผมไม่ถูกว่าคุณใช้วิธีไหน ถึงได้รอดคุกมา!”

“ฉันเปล่า ฉันไม่ได้ทำอะไร คุณก็รู้ว่ามันเป็นอุบัติเหตุ”

“ผมไม่โง่พอที่จะเชื่อคำของคุณ เหมือนพ่อผม เหมือนพ่อตาผม เหมือนทนายนั่น หรือเหมือนไอ้หน้าโง่คนไหนทั้งนั้น เพราะผมรู้ดีว่าคุณมันแผนสูง คุณมันเก่งเรื่องมารยาสาไถจนผมเกือบจะหลงเชื่ออยู่แล้ว บอกผมมาสิ ว่าคุณไปทำอีท่าไหนทุกคนถึงได้เชื่อคุณนัก คุณลงทุนเอาตัวไปประเคนให้ถึงเตียง เหมือนที่ประเคนให้ไอ้ล่ำนั่นหรือเปล่า!!!”

“ฉันเปล่า คุณกำลังเข้าในฉันผิด”

“ใช่! ผมเข้าใจคุณผิด ผิดมาโดยตลอดที่คิดว่าคุณมันเป็นคนดี! คนซื่อ คนสะอาดบริสุทธิ์! แต่ตอนนี้ผมเข้าใจถูกต้องแล้ว ว่าคุณมันเลวยังไง! คดยังไง! สปรกแค่ไหน! ในตัวคุณมันเต็มไปด้วยคราบคาวของผู้ชายรวยๆ กี่สิบคนแล้ว หรือกี่เที่ยวแล้วล่ะ คุณถึงได้พ้นผิด คุณไปแบให้ตั้งแต่ร้อยเวรที่โรงพักยันไอ้ทนายมือหนึ่งนั่นเลยหรือเปล่า! พวกเขาถึงได้เชื่อ จนปล่อยให้คุณออกมายืนหน้าตาเฉยแบบนี้ได้ ทีนี้ก็ถึงเวลาที่คุณจะทำให้ผมเชื่อเหมือนคนพวกนั้นบ้างแล้วล่ะ”

“ไม่จริง! ฉันไม่เคยทำอะไร คุณกำลังเข้าใจผิดค่ะ ฉันไม่เคยทำแบบนั้น!”

“ผมไม่เชื่อ!!! หรือถ้าคุณอยากให้ผมเชื่อ ก็ให้ผมพิสูจน์สิ! ว่าคุณมันบริสุทธิ์จริง! อย่าดีแต่เสแสร้ง!” เขาเข้าไปจับสองไหล่เหวี่ยงไปหาเตียง

“โอ๊ย!!!”

จนร่างผอมๆ ร้องด้วยความจุก “คุณเจ็บเหรอ! แค่นี้มันยังน้อยไป! มันยังไม่สาสมที่คุณทำให้ผมเจ็บ! ต่อไปนี้คุณก็เชิญมีชีวิตอยู่ในขุมนรกกับผมก็แล้วกัน!”

ร่างเล็กๆ ถูกร่างใหญ่ๆ ล็อกไว้กับเตียงทันที ปากก็ร้องขอ อ้อนวอนต่อเขาทั้งน้ำตา “อย่า!!! ได้โปรด!!! อย่า!!!”

“นี่เป็นคือคำพิพากษาสูงสุดจากผมสำหรับผู้หญิงชั่วอย่างคุณ!!!”

“อย่า!!! ได้โปรดอย่าทำ...”

เรี่ยวแรงในกายที่เคยมีตอนนี้หดหายไปหมดแล้ว เมื่อถูกอีกกายตรึงไว้กับเตียงใหญ่ แล้วระดมจูบอย่างรุนแรง ไร้ซึ่งความปรานีใดๆ จนเดาได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง เมื่อเขายื่นความจำนงค์ให้รู้อย่างโจ่งแจ้ง

“อย่า!!! ได้โปรด!!! อย่าทำอย่างนี้กับฉัน!!!”

“อย่ามาขอชีวิตจากยมบาลอย่างผม! เพราะไม่มีทางที่ผมจะปล่อยให้คุณลอยนวลอยู่ได้โดยไม่ต้องชดใช้อะไรแน่!!! คุณต้องตาย! และต้องตายทั้งเป็นด้วย!!!”


ดลยา นิติพงษ์พาณิชย์ หรือ คุณย่า
สาวผู้เกิดมามีทุกอย่างพร้อมสรรพ ไม่ว่าจะเป็นรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ
และมีเป็นที่รักของผู้คนรอบข้าง เพราะเธอนั้นแสนดีจนเป็นที่เลื่องชื่อ
จนได้หัวใจของชลธิปไปครอบครอง


“มาแล้วตากล้องมือดีที่คุณย่าจองตัวไว้ เอ๋ยมารู้จักคุณย่าเร็วๆ เข้า”

พอไปถึงซุ้มเรือนไทยที่ใช้เป็นที่ตระเตรียมข้าวของ เจ้านายสาวก็รีบลากแขนให้เดินตรงไปหาว่าที่เจ้าสาวที่อยู่ในชุดขาวสะอาดตา สวยงามราวเทพธิดาจำแลงกายมาก็ไม่ปาน

“สวัสดีค่ะคุณเอ๋ย ได้เจอตัวกันสักทีนะคะ หลังจากที่คาดกันมาสองสามรอบแล้ว”

ดลยาเป็นฝ่ายเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสก่อน วริญรำไพที่ยกมือไหว้ดวงกมลแล้วถึงได้หันไปหาลูกค้าซุปเปอร์วีไอพี “สวัสดีค่ะคุณย่า ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

แล้วก็ยกมือไหว้ทักทายพร้อมส่งยิ้มบางๆ เพียงเล็กน้อยให้ตามสไตล์ที่ทุกคนมักจะคุ้นเคย “เช่นกันค่ะ ยังไงก็ต้องใช้ฝีมือถ่ายภาพย่าออกมาให้สวยที่สุดเลยนะคะ”

“ค่ะ งั้นเอ๋ยขอตัวไปเตรียมกล้องก่อนนะคะ”

ดลยาหันไปหาดวงกมลกับสุภาภรณ์แล้วยิ้มให้อย่างรู้กัน เพราะตอนที่แต่งตัวอยู่บนห้อง ทั้งสองบอกไว้แล้วว่าตากล้องสาวผมยาวถึงเอวเป็นคนพูดน้อย เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ค่อยสังสรรหรือสุงสิงกับใครมากนอกจากจะเกี่ยวข้องกันในเนื้องาน


อติรัตน์ จิระธนานนท์
ผู้หญิงที่กุมชะตากรรมทุกคนไว้ในมือ
ผู้หญิงที่เห็นแก่ตัว ไม่สนใจใครหรืออะไรทั้งสิ้น
นอกจากหน้าตาทางสังคม ความเหมาะสม และผลประโยชน์


“ไม่ต้องมาสำบัดสำนวนกับฉันให้มากความหรอก!! เท่าไหร่บอกมา!!!”

“ห้าล้านพอมั้ย!!!” อติรัตน์รีบยื่นข้อเสนอ

“ถ้าน้อยไปก็สิบล้าน!!! แล้วเธอก็ต้องปิดปากให้เงียบ!!! อย่าบอกเรื่องนี้กับใคร!!!”

“งั้นก็ยี่สิบล้าน! ค่าช่วยชีวิตลูกฉัน อีกสิบล้าน! สำหรับเธอที่ต้องปิดปากเงียบ อีกสิบล้าน! สำหรับการเดินไปจากชีวิตลูกฉันซะ และอีกสิบล้าน! สำหรับการไปแล้วไม่ต้องหวนกลับมาหาลูกฉันอีก ทั้งหมดห้าสิบล้าน!!! ฉันว่าเธอรวมคนทั้งเกาะหาไปตลอดชาติก็ไม่มีทางได้เห็นเงินก้อนนี้ด้วยซ้ำ”

“ว่าไง!! จะเอาหรือไม่เอา! อย่ามาลีลาเพื่อจะขึ้นค่าปิดปากนะฉันไม่ชอบ! หรืออยากได้เท่าไหร่ก็บอกมา! ฉันจะชดใช้ให้!!!”

“อย่ามาเล่นลิ้นกับฉันนะ! บอกมาอยากได้เท่าไหร่ฉันจะจ่าย!!!”

“อย่ามาตีฝีปากกับฉัน!!! เธออยากได้อะไรฉันจะชดใช้ให้!!!”

“บอกมาว่าต้องการเท่าไหร่! ฉันจะจ่ายให้!!! แล้วรีบไสหัวออกไปจากชีวิตพวกฉันสักที!!! ฉันเบื่อที่จะต้องตามแก้ปัญหาที่เธอคอยตามสร้างให้เต็มทีแล้ว!!!”

“ทำไมฉันต้องสนด้วย!!!”




==========================================================

สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย

หนึ่งคอมเม้นต์คือหนึ่งแรกผลักดันและกำลังใจของคนเขียนนะคะ
แต่ยินดีต้อนรับนักอ่านเงาทุกท่านค่ะ

นิยายของกันเกราเรื่องไหนที่ยังไม่ได้ทำสัญญากับ สนพ. ยินดีจะลงให้อ่านจนจบเรื่องค่ะ แต่ถ้าเรื่องไหนทำสัญญาแล้ว ขออนุญาตลงแค่ครึ่งเดียวนะคะ

ขอบคุณค่ะ สำหรับทุกๆ กำลังใจที่มีให้เรื่อยมา
ยิ้มมมมมมมมมมมมมมมมม


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: รู้ก็เมื่อสายไป ๑๐๐%

“ของเอาไปเก็บในห้องนั้นไม่ได้นะ! เดี๋ยวต้องเอาเงินสินสอดเข้าไปนับเข้าไปเรียงใส่พาน! ใครเข้าออกสุ่มสี่สุ่มห้าได้ยังไง! เงินหายขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ!”

ดลพรที่ลงมาช่วยอติรัตน์ดูแลความเรียบร้อยของบ้านก่อนหนีขึ้นไปแต่งหน้าทำผมรีบร้องเสียงหลงใส่ อินทิราที่เดินนำแซ้งกับซันหอบหิ้วอุปกรณ์ถ่ายทำไปหาที่เก็บดีๆ เพราะกลัวจะหายและคนเดินชนจนตกแตก

“ใช่ๆ ในห้องนั้นไม่ได้มาทางนี้” อติรัตน์เห็นก็เลยรีบตรงมาห้ามอีกคน

“ แม่รวยๆ ช่วยหา แม่รวยอยู่ไหน! มาช่วยหาที่เก็บของพวกนี้ให้ทีมงานหน่อยสิ! เอาไปห้องที่เก็บมิดชิดหน่อยแล้วกัน ของราคาแพงหายมาแล้วจะยุ่ง!”

“ค่ะ”

แม่บ้านใหญ่รับคำเจ้านายแล้วก็เดินนำอินทิรากับสองหนุ่มไป วริญรำไพที่สะพายกล้องกับกระเป๋าเลนส์อันหนักอึ้งรวมทั้งกระเป๋ษสะพายอีกเดินเข้ามาพอดี เลยรีบยกมือไหว้ทั้งสอง แม้จะมีสายตาเหยียดหยามกับสบัดหน้าหนีให้ก็ตามที

“พี่เอ๋ยเอามาเก็บทางนี้จ้ะ”

อินทิราเห็นเลยอดหมั่นไส้สองคนไม่ได้ จึงร้องเรียกให้ตามไปยังห้องสมุดที่แม่บ้านกำลังเปิดประตูให้ “ห้องนี้ปลอดภัยค่ะ ไม่ค่อยมีใครเข้ามา พวกคุณก็จะได้เข้ามาหยิบของได้สะดวกด้วย ขึ้นไปไว้ชั้นบนเดินขึ้นลงเหนื่อยตายกันพอดีกว่าจะจบงาน”

แล้วแม่บ้านก็เดินไปตามเสียงเรียกเจ้านายต่อ วริญรำไพวางของได้ก็รีบวิ่งตามเพื่อให้แม่บ้านนำไปห้องที่เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวใช้แต่งตัว แม้จะยังไม่พร้อมจะเจอเขาในตอนนี้นัก แต่ก็ต้องทำเพราะงาน

ดลยาที่กำลังนั่งให้รัชชาทำผมอยู่หันมาส่งยิ้มบางๆ ให้ เมื่อวริญรำไพเข้าไปในห้อง แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ซึ่งนั่นถือเป็นเรื่องดีสำหรับวริญรำไพแล้ว และดียิ่งๆ ขึ้นเมื่อในห้องนั้นไร้ซึ่งเงาเจ้าบ่าว

เข้าใจว่าอาจจะยังไม่ตื่นหรืออาจจะยังไม่หายไข้ก็เป็นได้ แต่สิ่งดีๆ มักจะมีในชีวิตสาวพลาดรักไม่นานนัก เพราะทันทีที่เจ้าสาวอยู่ในชุดไทยและเครื่องประดับล้ำค่าเรียบร้อยแล้ว

“คุณร๊อกนั่งตรงนี้เลยค่ะ”

รัชชาก็พาเขาเข้ามาแต่งหน้าทำผมต่อ แต่เขาก็ไม่แม้แต่จะเอ่ยปากทักทายหรือส่งยิ้มให้วริญรำไพเหมือนที่เคยเป็นมา แถมยังมีสีหน้าบึ้งตึงใส่อย่างไม่เคยมีมาก่อนด้วยซ้ำ

วริญรำไพไม่พยายามจะใส่ใจ หรือมองเขามากมายนัก ทว่าก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อไวด์ไดน์เดอร์จะต้องส่องไปที่เขาไม่ว่างเว้น และทุกครั้งที่นิ้วกดชัตเตอร์ลง ในอกก็ให้เจ็บแปลบแสบแสน

แม้จะบอกว่าความรักที่สิงสู่อยู่ในใจเรื่อยมา และทวีความรุนแรงมากขึ้นเมื่อได้พบเจอเขายังไง แต่ก็เฝ้าข่ม เฝ้าบอกใจ ว่าแท้จริงแล้วนั้น ตัวเองก็รักพี่หิน ไม่ใช่รักเขาที่หน้าเหมือนพี่หินเลยสักนิดเดียว

หรือถ้าจะยอมรับอีกว่าตัวเองรักเขาขึ้นมา แต่นั่นก็สืบเนื่องมาจาก ความเหมือน ความคล้าย ในตัวเขาที่จำเพาะเจาะจงไปเหมือนพี่หินเพียงเท่านั้น

“คุณร๊อกอย่าเผลอดื่มน้ำเย็นนะคะ เดี๋ยวจะไข้ขึ้นจนไม่มีแรงอยู่ถึงงานเลี้ยงตอนเย็นนะคะ”

รัชชาช่วยกำชับอีกคน เมื่อแต่งหน้าให้เขาเสร็จ และพร้อมจะเดินลงไปข้างล่างที่มีแขกนับร้อยรออยู่ เพื่อออกไปตั้งขบวนขันหมากมาจากหน้าบ้าน ที่มีสุภาภรณ์กับทีมงานเตรียมการรอเรียบร้อยแล้ว

วริญรำไพกับตากล้องอีกคนที่ต้องบันทึกวีดีโอ ต่างต้องรีบเดินเร็วๆ นำหน้าเขาไป เพื่อเก็บภาพจากที่พักบันไดเพื่อให้เห็นตอนเขาก้าวลง แล้วเขาก็ก้าวผ่านหน้าไปชนิดไม่คิดจะหันมาหา ทำเหมือนไร้เยื่อขาดใยใดๆ ต่อยังไม่มีผิดเพี้ยน

แต่เจ้าของร่างผอมบางก็รีบหอบกล้องตามไปไม่ว่างเว้น เมื่อนี้คืองาน และปรารถนาจะให้เวลาผ่านพ้นไปโดยเร็วเหลือกำลัง แต่ปาฏิหาริย์ก็ไม่เคยเกิดขึ้นกับตัวเองมาตลอดสิบสองปี

จึงจำต้องกล้ำกลืนฝืนทนข่มใจ เก็บภาพความประทับใจของทุกคนในงาน ที่สร้างความร้าวรานในหัวอกสาวพลาดรักอย่างวริญรำไพทุกวินาทีก็ว่าได้

บ่อยครั้งที่น้ำตาไม่รักดีจะแอบไหลออกมาถ้าไม่รีบเบือนหน้าหนีจากภาพที่เห็น หรือไม่ก็ต้องหันไปพูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน เป็นการดึงความสนใจให้เจ้าน้ำตาไหลกลับไปยังภายในให้ได้

“เจ้าบ่าวหอมแก้มเจ้าสาวหน่อยเร็ว!”

เมื่อเจ้าบ่าวสวมแหวนเพชรห้ากระรัตให้เจ้าสาวแล้วเสียงแขกที่มาร่วมงานเรียกร้อง ทั้งสองจึงต้องทำตามคำขอ วริญรำไพต้องสั่งมือหลายสิบรอบกว่าจะกดชัตเตอร์รัวเก็บภาพนี้ไว้สำเร็จ

“เจ้าบ่าวหอมแก้มเจ้าสาว! เจ้าบ่าวจูบเจ้าสาว!”

“เจ้าบ่าวหอมแก้มเจ้าสาว! เจ้าบ่าวจูบเจ้าสาว!”

พอๆ กับที่ทำสำเร็จ เมื่อแขกในงานเลี้ยงส่งเสียงเรียกร้องขึ้นไปบนเวที แถมมีพิธีกรดาราคนสวยที่เป็นเพื่อนกับเจ้าสาว และอาสามาช่วยงานให้เรียกร้องขึ้นอีกคน

ทั้งสองจึงต้องทำตามคำขอ เสียงปรบมือดังเกรียวกราว รวมทั้งตอนที่เจ้าสาวเปลี่ยนเป็นชุดอาฟเตอร์ปาร์ตี้ ซึ่งเป็นชุดที่หกและชุดสุดท้ายที่ลงมาจากชั้นบนอย่างสวยงามราวเทพธิดา

เกี่ยวแขนเดินคู่กันไปทักทายแขกในงานพร้อมกับเทพบุตร ที่วริญรำไพต้องทำใจยอมรับในนาทีนี้ว่าทั้งสองเกิดมาเป็นคู่กัน และเกิดมาเป็นของกันและกันโดยแท้

และแม้วินาทีที่วริญรำไพรอคอยให้มาถึงนับตั้งแต่ตีห้าที่ก้าวเข้ามาทำงาน แต่พอเวลาเลยผ่านมาจริงๆ หัวใจก็เจ็บแปลบปลาบไม่มีที่สิ้นสุด ขณะยืนอยู่หน้าประตูห้องหอ

กดชัตเตอร์เก็บภาพสองบ่าวสาวที่นั่งอยู่กับพื้น รอรับพรต่างๆ จากผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย สายตาอันเช็นชาจากเขาที่มีให้ตั้งแต่เช้าเป็นยังไง จบจนเย็นย่ำค่ำกระทั่งดึกดื่นก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่

‘เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง!’

เสียงสายฟ้าฟาดดังเข้ามาถึงในห้องหอ “ถือว่าเป็นพรจากสวรรค์ก็แล้วกันนะหลานป้า วันแต่งงานถ้าได้น้ำได้ฝนก็ถือว่าชีวิตคู่จะชุ่มฉ่ำเย็น ไม่มีเรื่องทุกข์ร้อนหรือเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจมาหา”

พี่สาวของนพดลที่กำลังจะให้พรหลาน พยายามแก้ไขสถานะการณ์ให้ดีขึ้น แล้วก็รีบให้พรสั้นๆ เพื่อจะได้เสร็จไวๆ ไม่ต่างจากผู้ใหญ่คนอื่นๆ ที่วริญรำไพเห็นว่าต่างคนก็ต่างรีบกล่าว

แล้วก็ต่างพากันรีบออกไปจากห้องทันที เมื่อวริญรำไพกดชัตเตอร์เก็บภาพรวมภาพสุดท้ายของสองครอบครัวเอาไว้ ก่อนจะตามทุกคนลงไปแล้วเก็บภาพการส่งผู้ใหญ่กลับบ้านของชลธีกับอติรัตน์

เป็นการเสร็จสิ้นภาระกิจอันหนักอึ้งและดึกดื่นของวันในที่สุด!

“แม่รวย! ช่วยดูแลความเรียบร้อยข้างล่างทีนะ ส่งทีมงานกลับบ้านเสร็จแล้วก็ยกเครื่องบำรุงไปให้ฉันกับคุณผู้ชายด้วย แต่ห้องคุณร๊อกกับคุณย่าไม่ต้องไปยุ่ง! ถ้าอยากได้อะไรเขาจะโทรลงมาบอกเอง! อย่าเอาตัวไปคอยขวางความสุขคนกำลังแต่งงานกันล่ะ! มันบาปหนา!”

อติรัตน์มองด้วยหางตาไปยังวริญรำไพกับทีมงานที่เหลืออีกแค่สามคนเดินผ่านไปหมายจะเก็บของกลับบ้าน ก่อนจะเดินเชิดหน้าไปเกี่ยวแขนสามี

“รีบขึ้นไปพักเถอะค่ะคุณ รัตน์หมดห่วงแล้ว ต่อไปคงไม่มีมาร! มาคอยผจญลูกเราอีกแล้วล่ะค่ะ!”

วริญรำไพไม่ได้หันไปมอง แต่ก็เห็นด้วยหางตาว่าทั้งสองหันมาหาขณะเดินเคียงคู่กันขึ้นบันไดไปชั้นบน “รีบกลับกันดีกว่าเรา เดี๋ยวฝนตกก่อน รถยิ่งจอดอยู่ไกลด้วย” ตากล้องสาวอีกคนเอ่ย

นั่นทำให้ทุกคน รวมทั้งวริญรำไพรีบเข้าไปในห้องสมุด แล้วขนอุปกรณ์ทุกอย่างที่เหลือออกมา แล้วพากันเดินจากหน้าคฤหาสน์ไปยังรถที่จอดอยู่นอกรั้วสูงสามเมตร ซึ่งเป็นระยะทางเกือบห้าร้อยเมตรทีเดียว

“อุ๊ย! เอ๋ยลืมกระเป๋าสะพายน่ะ”

“...”

เพื่อนร่วมงานหันมามองเป็นตาเดียวกัน เพราะเที่ยงคืนแล้ว และต่างคนก็ต่างเหนื่อย “รีบไปเอาเลยเอ๋ย เราจะรอในรถ” นั่นเป็นคำที่เพราะและรักษาน้ำใจที่สุดของเพื่อนแล้ว

“ไม่เป็นไร ทุกคนกลับก่อนได้ เอ๋ยจะโบกแท็กซี่กลับเอง จะได้ไม่ต้องวกรถไปส่งเอ๋ยอีก” เพราะเพื่อนทั้งสามบ้านอยู่ทางเดียวกัน

“ได้ยังไง ดึกป่านนี้แท็กซี่ที่ไหนจะมีล่ะเอ๋ย”

“เยอะแยะ เอ๋ยเลิกงานดึกแบบนี้ตลอด หาทีไรก็ได้ทุกทีล่ะแท็กซี่น่ะ แต่ฝากเอากล้องมาให้เราพรุ่งนี้ด้วยนะ บ่ายๆ เราค่อยเข้าไปดูด้วยกัน” กระเป๋ากล้องถูกยื่นให้เพื่อนร่วมงาน

“เอางั้นเหรอ” เพื่อนร่วมงานก็มีท่าทีลังเล แม้จะเหนื่อยแต่ก็ไม่อยากทิ้งเพื่อนไว้

“ใช่! แบบนี้ล่ะ แล้วเจอกันพรุ่งนี้บ่าย”

แต่เมื่อเห็นท่าทีของสาวยีนส์ยืดที่มีสูทพอดีตัวสีขาวกรมท่าทับไว้ว่ามั่นอกมั่นใจที่จะกลับคนเดียว เพื่อนๆ ถึงได้ยินยอม



“พอดีลืมของในห้องสมุดค่ะ ขอเข้าไปเอาแป้บนะคะคุณป้า”

วริญรำไพแจ้งความจำนงค์กับแม่บ้านที่กำลังดูแลความเรียบร้อยอยู่ด้านล่าง “อ๋อ! เชิญเลยค่ะ ตามสบายนะคะ” บอกพร้อมส่งยิ้มให้แล้ว ร่างอ้วนๆ ก็เดินเข้าครัวไปทันที เพราะต้องตระเตรียมของบำรุงไปเสิร์ฟให้เจ้านายถึงบนห้อง

สองเท้าบางรีบก้าวเดินเข้าไปในห้อง แล้วกวาดตามองหากระเป๋าหนัง และพยายามคิดว่าเอาวางไว้ตรงไหนกันแน่ จำได้ว่าเมื่อเช้าวางบนโต๊ะ แต่ก็ไม่มี เลยมองไล่ไปตามชั้นหนังสือเรื่อยๆ

กระทั่ง!

เห็นวางพิงอยู่กับหนังสือตรงชั้นล่างสุด น้องทีมงานน่าจะย้ายไปวางไว้ให้ เลยรีบตรงเข้าไปคว้ามา และกับความรีบนั้น มือบางเลยโดนหนังสือสองเล่มใหญ่ให้ตกลงมาจากชั้นด้วย

‘แฟ้มอ่อนขนาดบีห้าสีส้ม’

ที่เสียบอยู่ตรงกลางระหว่างหนังสือก็ตกลงมากับพื้นด้วย แฟ้มแตกกระจายออกมากางหราให้ดวงตาคู่เศร้าเห็นจนสงสัยเหลือกำลังว่าทำไมมีรูปของตัวเองมาอยู่ในห้องนี้ได้

แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นรูปชายหนุ่มในชุดกางเกงขาสั้นกับเสื้อกล้ามสีขาว มีเสื้อเชิ้ตสีฟ้า ลายม้าน้ำสีขาวไม่ติดกระดุมสวมทับไว้อีกที โดยมีหมวกกับแว่นกันแดดหนาๆ บดบังใบหน้าเอาไว้

=========================

สวัสดีค่ะนักอ่านที่น่ารัก
หลังจากแฟนนอนแอดมิตที่ รพ. 1 เดือนกับอีก 6 วัน เป็นอะไรที่เหนื่อยทั้งคนไข้และคนเฝ้าไข้ค่ะ เพิ่งจะออกจาก รพ มาเมื่อวานนี้
วันนี้เลยรีบเอาพี่หินกับน้องเอ๋ยมาลงให้อ่านกันค่ะ แต่ว่าจะลงได้อีกไม่เยอะนะคะ เพราะหมดแม็กแล้วค่ะ

ยังไงก็ฝากให้ตามเป็นกำลังใจแบบรูปเล่มนะคะ มีขายตามร้านนายอินทร์ค่ะ หรือจะสั่งตรงจาก กันเกรา ก็ยินดียิ่งค่ะ มีลายเซ็นและค่าจัดส่งฟรีค่ะ

ขอบคุณที่เป็นกำลังใจให้ค่ะ



กันเกรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 พ.ย. 2558, 10:17:53 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 พ.ย. 2558, 10:17:53 น.

จำนวนการเข้าชม : 1049





<< ความจริงที่จำต้องเปิดใจ ๒ ๑๐๐%   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account