ริษยาซ่อนรัก
ความเจ็บเปลี่ยนภูเขาน้ำแข็งให้เป็นภูเขาไฟ เธอจึงถือคติว่าเจ็บแล้วต้องจำ และหากถูกกระทำซ้ำๆต้องเอาคืน!

ไฟใดจะร้อนเท่าไฟในอก
ความริษยาคือเปลวไฟที่จะเผาไหม้ทุกอย่างให้เป็นจุณ
แล้วอำนาจใดเล่าที่จะยับยั้งอานุภาพแห่งไฟร้ายได้
หากมิใช่...ความรัก

Tags: น้ำฟ้า,ริษยาซ่อนรัก,นิยายรัก

ตอน: บทที่ ๒ อดีตที่ตายไปแล้ว



บทที่ ๒


หลังจากได้ยินประกาศิตจากเจ้าของสำนักพิมพ์ ซันดาก็เดินตามปรัชญ์ออกมาจากห้องประชุมโดยไม่ปริปากพูดอะไรกับเขาเลย จนมาถึงห้องทำงานซึ่งจัดเอาไว้เป็นสัดส่วน ชายหนุ่มจึงเปิดประตูและเชื้อเชิญด้วยท่าทางที่หญิงสาวมองแล้วขัดหูขัดตาเสียเหลือเกิน คงเพราะอคติในใจนั่นแหละ แต่เธอก็ไม่สามารถควบคุมความรู้สึกของตนได้ ในเมื่อบางสิ่งฝังรากลึกอยู่ในใจมานานมากแล้ว

“เชิญฮะ คุณซัน” เสียงที่เอ่ยชื่อเธอเน้นๆ คล้ายเป็นการล้อเลียนเสียจนจับสังเกตได้

ซันดาทำเฉยเสีย แล้วเดินผ่านร่างของเขาและกรอบประตูเข้าไปโดยไม่เอ่ยคำขอบคุณ ก่อนจะหยุดอยู่กลางห้อง กวาดสายตามองห้องสีครีมเล็กๆด้วยใบหน้าที่ไม่แสดงความรู้สึก ห้องน่ะชอบอยู่หรอก แต่ไม่ชอบคนที่เดินมาด้วยนี่เลย

ปรัชญ์ปิดประตูแล้วจึงเดินเข้ามาเผชิญหน้ากับหญิงสาว จ้องเธอตรงๆอยู่อึดใจใหญ่อย่างประเมินท่าที ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาครามครัน อยากจะกระโดดเข้าไปจิกเล็บใส่ดวงหน้าหล่อเหลานั้นนัก

“มองทำไม”

ชายหนุ่มยิ้ม ยืนล้วงกระเป๋ากางเกงมองเธอด้วยสายตากึ่งขัน “มองทอม”

“พูดแบบนี้หมายความว่าไง”

“อ้าว! ยังต้องแปลอีกรึ เข้าใจอะไรยากแบบนี้จะมาเป็นบอกอได้หรือคุณ”

ซันดาเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงด้วยสายตาที่แทบจะลุกเป็นไฟ “ฉันคิดว่านายไม่ได้โง่ถึงขนาดที่จะไม่เข้าใจว่าฉันหมายถึงอะไร แต่ถ้าอยากให้อธิบายเพื่อเทสกึ๋น ฉันก็ไม่จำเป็นต้องตอบเพราะรู้ตัวดีว่ากำลังถูกหาเรื่องจากพวกอันธพาล”

ปรัชญ์อมยิ้ม “หาเรื่องที่ไหนกัน ก็ดูคุณสิ ผมสั้น สวมเสื้อเชิ้ต กางเกงยีน รองเท้าผ้าใบ นี่มันทอมชัดๆ แล้วไหนจะข่าวฉาวระหว่างคุณกับน้องสาวสุดเลิฟอีกละ จะไม่ให้ผมคิดว่าเป็นทอมได้ยังไง ว่าแต่เป็นจริงปะ” ท้ายประโยคเขาเอียงหน้ามองอย่างกวนๆ

“จะคิดยังไงก็เรื่องของนาย ฉันไม่เคยคิดจะยุ่งเกี่ยวกับนายเลย แต่เมื่อเราต้องร่วมงานกัน ฉันก็จะพยายามแยกงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันให้ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นหัวหน้าแล้วจะมาละลาบละล้วงเรื่องของคนอื่นได้นะ ดังนั้นถึงนายจะเป็นเจ้านาย แต่ถ้าส่วนไหนเป็นเรื่องส่วนตัว อย่ามายุ่ง” เธอเน้นคำว่า อย่ามายุ่ง ชัดถ้อยชัดคำนัก

ปรัชญ์ยิ้มกว้าง แววตาเขาฉายแววขี้เล่น “โอ้โฮ ดุเสียด้วย รู้สึกจะดุกว่าเก่านะ ไม่เหมือน....”

“พอ...ออกไปจากห้องทำงานฉันได้ละ” ไม่พูดเปล่า ซันดาใช้สองแขนดันร่างของเขาด้วยหน้าตาเคร่งเครียด ในใจร้องลั่นว่า ไปซะ ไปให้ไกลๆ

“เฮ้!นี่ผมเป็นเจ้านายคุณนะซัน” เขาร้องเสียงหลง

“ใช่ แต่ฉันจะทำงาน นายเองก็ไปทำงานของตัวเองได้ละ”

ก๊อกๆ

ขณะที่กำลังชุลมุน เสียงเคาะประตูก็ดังแทรกขึ้น สงครามกลางห้องจึงยุติลง ทั้งฝ่ายแดงและฝ่ายน้ำเงินต่างหันหน้าไปทางอื่น

เมื่อประตูเปิดออก หนุ่มสาวในชุดนักศึกษาจึงก้าวเข้ามาพร้อมกับยกมือไหว้ “ขอนุญาตค่ะ คุณดาสั่งให้เก๋กับวิชเข้ามาแนะนำตัวกับบอกอซันค่ะ”

ซันดามองเลยคู่กัดหนุ่มไปยังรุ่นน้องทั้งสองพลางบอกอย่างใจดีว่า “ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ เห็นคุณดาบอกว่าน้องๆจะมาเป็นผู้ช่วยพี่ งั้นเรามาวางแผนงานกันเลยดีกว่า เชิญที่โต๊ะเลยก็แล้วกันนะ”

เมื่อเห็นสองหนุ่มสาวทำตามต้อยๆ ซันดาจึงหันทางปรัชญ์พลางบอกเสียงเข้ม “เชิญคุณปรัชญ์กลับไปทำงานได้แล้วนะ พวกเราจะเริ่มงานกันแล้ว”

ชายหนุ่มอมยิ้ม ก่อนจะยักไหล่เดินออกไปด้วยท่วงท่าสง่าผ่าเผย

+++++++++++++++++++++++++++++


ประตูปิดลงเมื่อลับร่างปรัชญ์ หลังจากนั้นซันดาจึงหันมาสนใจสองหนุ่มสาวอีกครั้งหนึ่งพร้อมยิงคำถาม “นาย เอ่อ คุณปรัชญ์นี่มาเป็นบอกอได้ยังไง เขาเรียนจบอะไรมา”

จริงๆเธออยากจะถามว่า ‘เขาจบวิศวะมาไม่ใช่หรือ’ต่างหาก

“เท่าที่เก๋รู้ คุณปรัชญ์จบเอกบรรณาธิการโดยตรงเลยค่ะ” สิยาพรตอบยิ้มๆ เธอนั้นปลื้มปรัชญ์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การได้พูดถึงเขาจึงเป็นความรู้สึกดีๆและชื่นชม

“เหรอ” ซันดาตอบได้เพียงเท่านั้น ก็ที่เธอรู้มันไม่ใช่แบบนี้ แต่ครั้นจะย้อนถามกลับไปอีกก็ดูจะจับผิดกันมากเกิน แต่แล้วอีกอึดใจวิชกรจึงเป็นผู้ไขข้อข้องใจของเธอให้แจ่มชัดขึ้น “วิชได้ยินมาว่า ตอนแรกๆคุณปรัชญ์จบวิศวะมาฮะ แต่ตอนหลังมาเรียนเอกบรรณาธิการเพิ่มเพราะตอนหลังเปลี่ยนใจอยากทำงานเกี่ยวกับหนังสือ”

“งั้นเหรอ” เป็นอีกครั้งที่เรื่องราวของเขาทำให้เธอแปลกใจ

เพลบอยคณะวิศวกรรมศาสตร์อย่างปรัชญ์เนี่ยนะ สนใจเรื่องการทำหนังสือจนต้องกลับมาเรียนอะไรที่เขาเคยปรามาสว่าน่าเบื่อ

“บอกอซันมีอะไรหรือเปล่าคะ” สิยาพรถามขึ้น

บอกอสาวจึงส่ายหน้า “เปล่า ไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวต้องร่วมงานกันไง เลยอยากรู้ประวัติเจ้านายบ้าง”

“อ๋อ”สองหนุ่มสาวพูดขึ้นพร้อมกัน

“น้องทั้งสองคนไม่ต้องเรียกพี่ว่าบอกอก็ได้นะ เรียกว่าพี่ซันก็พอ คำว่าบอกอน่ะ เอาไว้ให้คนนอกเรียก เราทำงานร่วมกันเป็นพี่กับน้องดีกว่า”

สิ้นคำ เสียงโทรศัพท์มือถือของซันดาก็ดังขึ้น เธอจึงเดินเลี่ยงไปยืนพิงกรอบหน้าต่างและกดรับสาย

“พี่ซันลาออกจากสำนักพิมพ์ทำไมคะ” เสียงปลายสายแสดงความร้อนรนเด่นชัด

“พี่ได้งานที่ใหม่น่ะแพร” ซันดาตอบเสียงเรียบ มันก็จริงครึ่งหนึ่ง เธอได้งานใหม่แล้ว แถมเงินเดือนมากขึ้นกว่าเดิมเกือบเท่าตัว ส่วนเหตุผลที่เธอต้องลาออกจากสำนักพิมพ์เดิมนั้นขอเว้นไว้ก่อนก็แล้วกัน

“ไม่ใช่ว่าคุณแม่ของแพรกดดันให้พี่ซันออกหรือคะ”

“เอ่อ ก็...ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก”

“นั่นไง แพรว่าแล้ว แพรไม่ยอมค่ะ แพรเป็นคนพาพี่ซันมาทำงานด้วยตัวเอง คุณแม่จะมาใช้สิทธิ์เจ้าของสำนักพิมพ์บีบคนออกไม่ได้”

“พี่บอกแล้วไงว่าไม่ถึงขนาดนั้น พี่ไม่สนุกกับงานถึงต้องลาออก ตอนนี้พี่ได้งานใหม่แล้วด้วย แพรไม่ต้องห่วงหรอก”

“ไม่ค่ะ” แพรวาเน้นเสียงเข้ม “พี่ซันจะต้องกลับมาทำงานกับแพร สำนักพิมพ์ใหม่พี่อยู่แถวไหน บอกมาสิคะ แพรจะไปบอกเขาว่าพี่จะกลับมาทำงานสำนักพิมพ์เดิม”

“แพร” ซันดาทำเสียงดุ “อย่าทำให้พี่ลำบากใจ พี่ตัดสินใจแล้วก็คือตามนั้น แค่นี้ก่อนนะพี่กำลังจะเข้าประชุม”

“แต่พี่ซัน....” ได้ยินเพียงเท่านั้นซันดาก็ตัดสายทิ้ง เพราะยิ่งพูดก็ยิ่งบานปลาย

เธอกับแพรวาสนิทสนมกันมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันที่เชียงใหม่ โดยแพรวาเป็นน้องรหัสของเธอ เธอจึงคอยดูแลอีกฝ่ายเป็นอย่างดี จึงทำให้หญิงสาวติดเธอแจ จนทำให้ใครต่อใครคิดว่าทั้งคู่เป็นคู่รักทอมดี้ รวมถึงบิดามารดาของสาวรุ่นน้องด้วย หลังจากนั้นเมื่อเรียนจบมาและเป็นนักเขียนอยู่สองปี แพรวาก็ดึงตัวเธอเข้าทำงานกับสำนักพิมพ์ที่มารดาของเธอเป็นเจ้าของ ซันดาจึงเริ่มต้นชีวิตบรรณาธิการและเรียนรู้งานจากที่นั่น จวบจนครึ่งปีที่ผ่านมามีข่าวว่าบิดาและมารดาของแพรวาต้องการให้เธอแต่งงานกับลูกชายรัฐมนตรีท่านหนึ่ง แต่หญิงสาวกลับปฏิเสธ คนจึงพุ่งประเด็นมาที่ซันดาว่าเป็นต้นเหตุ ชีวิตการทำงานที่เคยราบรื่นของซันดาจึงเริ่มสะดุด คงเหมือนกับที่แพรวาคาดเดานั่นแหละ เธอถูกบีบให้ออกจากงานจริงๆ

“เดี๋ยวเก๋ช่วยหารายงานประจำปีมาให้พี่ดูหน่อยนะ พี่อยากรู้ว่าเราออกหนังสือไปแล้วกี่เล่ม แล้วรายได้เป็นยังไง ใครเป็นนักเขียนทำเงินบ้าง” ซันดาสั่งพลางนั่งลงที่เดิม

“ได้ค่ะ”สาวน้อยรับคำเสียงใส ขณะที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น

เลขาฯสาวของปรัชญ์นั่นเองที่เปิดประตูเข้ามา “คุณปรัชญ์เชิญบอกอซันที่ห้องตอนนี้ค่ะ”

ซันดารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันใด เธอแยกจากเขามาได้เมื่อครู่ เพิ่งจะหายใจหายคอโล่งขึ้น นี่ชายหนุ่มกลับส่งเลขาฯมาเชิญให้ไปพบอีกแล้ว ‘ซันเอ๊ย เจอแบบนี้จะทำงานได้สักกี่วันวะเนี่ย’

“ฉันยังคุยงานกับน้องๆไม่จบเลยนะ” เธอแย้งอย่างไม่ใส่ใจนัก

อีกฝ่ายจึงกล่าวยิ้มๆ “คุณปรัชญ์บอกว่าเรื่องด่วนค่ะ อีกครึ่งชั่วโมงบอกอซันจะต้องไปพบนักเขียนพร้อมคุณปรัชญ์ อ้อ ส่วนน้องๆเนี่ย คุณดาให้ไปพบที่ห้องด้วยนะคะ”

“โอเค บอกเจ้านายคุณว่า เดี๋ยว...ฉัน...จะไป” ซันดาตอบอย่างเซ็งๆ

อีกฝ่ายจึงยิ้มสวยส่งมา “ได้ค่ะ เดี๋ยวพัชเรียนคุณปรัชญ์ให้”

เมื่อเลขาฯสาวเดินออกไปแล้ว ซันดาจึงลอบถอนใจออกมาเบาๆ ‘เข้มแข็งเอาไว้นะซันดา อดีตเป็นสิ่งที่ตายไปแล้ว วันนี้เธอเป็นคนใหม่ที่มีเพียงปัจจุบันและอนาคต’


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


“นี่กะว่าจะกระด้างกระเดื่องตั้งแต่วันแรกเลยเหรอ”เสียงทุ้มทำลายความเงียบขึ้น หลังจากที่ปรัชญ์เข้ามายืนตรงข้ามโต๊ะทำงานของซันดาอยู่ครู่ใหญ่ แต่เธอกลับทำเหมือนเขาไร้ตัวตน

ไม่ถึงอึดใจผู้เป็นเจ้าของห้องจึงเงยหน้าขึ้นยิ้มคล้ายจะเยาะ “อคติเกินไปปะ ฉันกำลังทำงานอยู่เห็นไหมเนี่ย”
ปรัชญ์เลิกคิ้ว “ทำงาน ทั้งๆที่ผมเชิญไปปรึกษางานก่อนที่จะไปพบนักเขียนเนี่ยนะ”

“จะไปพบนักเขียนแต่ฉันยังไม่รู้ข้อมูลอะไรเลย แล้วจะคุยอะไรกัน ฉันเป็นบอกอของจริงนะ จะให้มาทำงานเหลาะๆแหละๆเหมือนพวกอยากทำเล่นๆ เอาความสนุกสนานได้ยังไง”

“ตกลงวันนี้คุณจะไม่ไป..”

“เปล๊า” ซันดาตอบเสียงสูงลิ่ว “ฉันจะขัดคำสั่งคุณได้ไง ฉันกำลังศึกษางานเขียนของสองคนนั้นอยู่ก็เท่านั้นเอง”

“โอเค งั้นก็ลุกขึ้นได้ละ เหลือเวลาอีกแค่ 15 นาที ผมนัดนักเขียนเอาไว้ที่ร้านกาแฟข้างสำนักพิมพ์”

บรรณาธิการสาวปิดแฟ้มแล้วจึงลุกขึ้นยืน “ฉันพร้อมละ”

หลังจากนั้นปรัชญ์จึงพาเธอลงลิฟต์ไปยังจุดนัดพบ ทว่าหลังจากลิฟต์เปิดออก ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาวัยยี่สิบตอนปลายในชุดสูทที่กำลังเดินเข้ามาก็ทำให้เขาต้องชะงัก

“ไปไหนพี่”

“ก็ไปหานายนั่นแหละ คุณลุงให้เลขาฯโทร.ไปตาม นายก็ไม่รับสาย” คำตอบของพี่ชายกึ่งๆบ่น ตรงข้ามกับหน้าตาที่ยังดูอารมณ์ดี

“ผมยังไม่ว่าง มีนัด” ปรัชญ์ตอบโดยไม่ยอมขยายความ

สายตาคมของแดนตรัยจึงตวัดไปทางซันดานิดหนึ่ง พลางกระเซ้า “อ้อ มีนัดกับคุณ...”

ถึงตอนนี้ปรัชญ์จึงเบี่ยงตัวให้บรรณาธิการของสำนักพิมพ์ได้เข้าร่วมวงสนทนา “ผมนัดนักเขียนไว้ แล้วนี่บอกอซัน บอกอคนใหม่ของสำนักพิมพ์”

“สวัสดีครับคุณซัน ผมแดนตรัยครับ เรียกแดนเฉยๆก็ได้” ชายหนุ่มแนะนำตนเองเสร็จสรรพ

“สวัสดีค่ะ” ซันดาตอบเจือยิ้ม ใจนึกสงสัยว่าอีกฝ่ายเป็นใครกัน

“พี่แดนเป็นหลานรักของคุณนาถลดาครับคุณบอกอ” น้ำเสียงของปรัชญ์ดูสุภาพ แต่ซันดารู้สึกว่าเขากำลังยียวนเธอในท้ายประโยค

“หือ...” แดนตรัยฟังแล้วย่นคิ้ว มองน้องชายนิ่ง “พูดจาห่างเหินเหมือนพี่ไม่ใช่พี่ชายของนาย แล้วนายไม่ใช่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของอาดาอย่างนั้นแหละ”

“อะไรนะ” เสียงดังขึ้นในใจของหญิงสาว เธออยากถามซ้ำออกมาดังๆเหมือนกัน แต่ที่ทำได้คือหันไปมองปรัชญ์อย่างเคืองๆ

‘นี่ปรัชญ์เป็นลูกชายเจ้าของสำนักพิมพ์ที่เธอทำงานอยู่อย่างนั้นหรือ’

“พูดมากน่าพี่แดน พี่กลับไปบอกพ่อทีสิ ว่าบ่ายๆผมถึงจะเข้าไปพบ ตอนนี้ติดธุระอยู่” เขาแก้ไขสถานการณ์ด้วยการเปลี่ยนเรื่อง

“อืม ก็ได้ รีบหน่อยนะ บริษัทเราจะประมูลสร้างตึกกระทรวง กำลังระดมสมอง” แดนตรัยทิ้งท้ายก่อนจะหันไปยิ้มให้ซันดาอีกครั้ง “ขอตัวก่อนนะครับคุณซัน ไว้พบกันใหม่ครับ”

“ค่ะ คุณแดน” หญิงสาวรับคำขณะที่สายตามองตามร่างสูงผึ่งผายลับหายเข้าไปในตัวอาคารคูหาข้างๆ ทำให้เธอเข้าใจได้เองว่า เขาคงทำอยู่ในบริษัทรับเหมาก่อสร้างซึ่งตั้งอยู่ในตัวอาคารหลังเดียวกันนั่นเอง

“ผมว่าคุณไม่ใช่ทอมแน่ๆ ดูสิมองตามพี่แดนตาละห้อย” รัฐชาติทำเสียงขรึม

ซันดาหันขวับไปจ้องเขาตาแข็ง “ทำไมถึงไม่มีใครบอกฉันว่านายเป็นลูกชายคุณนาถลดา”

ผู้ถูกถามยักไหล่ ตอบยียวน “ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมใครๆถึงไม่บอกคุณ”

“ฉันหมายถึงนาย” นี่ถ้าเธอเอานิ้วชี้จิ้มหน้าผากเขาได้คงทำไปแล้วละ

ปรัชญ์หัวเราะ “อ้าว ผมไม่รู้ว่าคุณสนใจเรื่องผม จะได้รายงานทุกอย่างก่อนที่ทำงานร่วมกัน จริงๆคุณสนใจใช่ปะ...”

ซันดาเบะปาก “ตลกฝืด ที่ฉันคิดว่าตัวเองควรรู้เรื่องนี้เพราะมันเกี่ยวกับงาน ฉันจะได้รู้ว่านายเป็นทั้งหัวหน้าและเจ้านาย”

“ตกสถานะเก่าๆของเราไปหรือเปล่าซัน” เขาย้อนถามสีหน้าจริงจัง

แววตาของคนฟังไหวเล็กน้อย “อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง ฉันกำลังไม่พอใจนายที่นายทำเหมือนจงใจปิดบังอยู่”

“เอาน่า อย่าขี้บ่น ไปร้านกาแฟกันได้แล้ว ป่านนี้นักเขียนรอแย่ละ” ตัดบทแล้วเขาจึงคว้าข้อมือเธอข้างหนึ่ง ลากหลุนๆเดินไปตามทางเดินอย่างเร่งรีบ

+++++++++++++++++++++++++++++++++

ร้านกาแฟ “ที่รัก” เป็นร้านกาแฟที่ดูหรูหราในพื้นที่กว้างขวาง ตัวร้านอยู่ห่างจากสำนักพิมพ์ไปไม่เกิน 50 เมตร ตั้งอยู่บนพื้นที่อันร่มรื่นไปด้วยแมกไม้ยืนต้นนานาชนิด

ปรัชญ์เดินนำหญิงสาวเข้าไปในร้านซึ่งตกแต่งได้อย่างเก๋ไก๋ลงตัว เขาพาเธอเดินไปยังระเบียงร้านซึ่งบัดนี้มีแขกนั่งอยู่เพียงโต๊ะเดียวทั้งๆที่มีพื้นที่กว้างขวาง

“สวัสดีครับพี่รัมภา,เอเธ็นส์”ชายหนุ่มทักทายหญิงวัยปลายกลางคนในชุดเดรสสีเขียวหยกก่อนจึงหันไปพยักหน้าให้ชายหนุ่มผมยาวใบหน้าหล่อเหลาที่นั่งอยู่ด้วยกัน

“นี่บอกอคนใหม่ของเรานะครับ บอกอซัน” เขาแนะนำง่ายๆหลังทุกคนนั่งลงแล้ว

ซันดายกมือไหว้นักเขียนทั้งสองคน ซึ่งอีกฝ่ายก็ยกมือรับไหว้ทันทีทันใดเช่นเดียวกัน

“นี่พี่รัมภา นามปากการัมภาลัย ส่วนนายฐิติ จะเรียกเอเธ็นส์ก็ได้ เขานามปากกา กุหลาบเที่ยงคืน” ปรัชญ์แนะนำต่อ

“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ซันเคยอ่านงานของทั้งสองคนมาบ้างแล้วค่ะ ดีใจที่ได้ร่วมงานกัน”บรรณาธิการสาวเอ่ยอย่างเป็นมิตร

รัมภามองอีกฝ่ายอย่างประเมินแล้วจึงเอ่ยขึ้นลอยๆ “กว่าจะรู้มือก็คงอีกนาน”

ฐิติเหลือบมองผู้พูดอย่างเอือมๆก่อนหันมองซันดา “ผมเองก็เคยอ่านผมงานของรัศมิ์จันทร์เหมือนกันฮะ เสียดายไม่ค่อยมีผลงานใหม่ๆวางแผง”

“ช่วงนี้ลุยงานบอกอมากกว่าค่ะ ก็เลยไม่ค่อยมีผลงานออกมา”บรรณาธิการสาวตอบ

“แต่ต่อไปคงมีผลงานของบอกอซันออกกับเลิฟไลน์บุ๊คส์บ้าง” ปรัชญ์มัดมือชกหน้าตาเฉย แต่เมื่อซันดาเหลือบไปมอง กลับรู้สึกว่าเขาทำหน้าคล้ายจะยั่วเย้าแปลกๆ หรือเธออคติเกินไปก็ไม่รู้

“แล้วที่คุณปรัชญ์เชิญเราสองคนมานี่ เพราะแค่จะแนะนำบอกอคนใหม่ให้รู้จักหรือมีอะไรมากกว่านี้คะ” รัมภาถาม

“ผมจะคุยเรื่องโปรเจคครับพี่รัมภา งานชุดนี้ผมอยากให้วางแผงงานหนังสือปีหน้า” ปรัชญ์ไม่อ้อมค้อม จากนั้นจึงอธิบายแผนงานให้ฟังอย่างคร่าวๆ

รัมภาจ้องหน้าผู้พูดเขม็ง “พี่ไม่ชอบทำงานที่มีคนบังคับคุณปรัชญ์ก็รู้ งานเขียนมันเป็นศิลปะจะต้องออกมาจากอารมณ์ไม่ใช่ตามคำสั่งการตลาดนะคุณ”

“แหม ใจเย็นๆ ฟังให้จบก่อนสิครับพี่รัมภา พูดเหมือนไม่อยากร่วมงานกับผมงั้นแหละ” ฐิติยิ้มมุมปาก

ปรัชญ์มองหน้าหนุ่มรุ่นน้องอย่างปรามๆแล้วจึงอธิบายต่อไปว่า “งานนี้ทางสำนักพิมพ์ไม่บังคับใดๆทั้งสิ้นครับ ให้ทางนักเขียนตกลงกันเองว่าอยากเขียนแนวไหน”

“แล้วคุณคิดว่าพี่กับนายเอเธ็นส์จะเขียนแนวเดียวกันได้รึ” รัมภาย้อนถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

“ขออนุญาตนะคะ” ซันดาแทรกขึ้น “งานชุดเนี่ย ไม่จำเป็นที่จะออกมาแนวเดียวกันนะคะ แค่มีความเชื่อมโยงกัน มีสัมพันธภาพท่ามกลางความต่างจะน่าอ่านกว่าถอดแบบกันมาเป๊ะๆ คนอ่านจะได้ไม่เบื่อ เพราะถ้าแนวเดียวกัน อ่านเล่มแรกจบแล้วก็จะเดาทิศทางในเล่มสองออกหมดเลย”

ฐิติดีดนิ้ว “ชักสนใจแล้วสิ เอาเป็นว่าผมตกลงนะ แต่ตอนนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของป้าเขาแล้วละ”

รัมภาหันไปถลึงตาใส่คนเรียกป้า “ฉันไม่ใช่พี่สาวแม่เธอนะเอเธ็นส์”

คนถูกดุหัวเราะ “ถ้าไม่อยากให้เรียกแบบนี้ก็อย่าทำตัวเป็นมนุษย์ป้าสิฮะพี่รัมภา หรือถ้ากลัวยอดขายน้อยกว่าของผมก็บอกมาตรงๆเลยดีกว่า”

นักเขียนรุ่นใหญ่เบะปาก “ฉันไม่กลัวหรอกย่ะ เอาล่ะ บอกอทั้งสอง ฉันตกลงรับงานนี้ ส่วนจะแนวไหน พล็อตยังไงขอไปคิดก่อน”

เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้น คนฟังทั้งสามจึงลอบยิ้มให้แก่กันอย่างพึงพอใจ


[จบตอน ]



ณฤดี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 พ.ย. 2558, 06:01:09 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 พ.ย. 2558, 06:01:09 น.

จำนวนการเข้าชม : 1046





<< บทที่ ๑ ทางเดินที่เปลี่ยนสาย   บทที่ ๓ คำถามที่ค้างคาใจ >>
Zephyr 19 พ.ย. 2558, 22:11:40 น.
เคอ่ะ น่าติดตาม


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account