เสน่ห์รักคล้องใจ
Tags: แต่งงาน,คลุมถุงชน,พ่อแง่แม่งอน
ตอน: ตอนที่ 12
สวัสดีวันอังคารค่า ^^ ฝากติดตามวินกับแพรกันต่อนะคะ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามเข้ามาอ่านรวมถึงกดชอบและคอมเม้นท์ แล้วเจอกันวันศุกร์ค่า ^_<
เสน่ห์รักคล้องใจ ตอน 12
เกือบตีหนึ่งแล้ว...แต่พิชชาภาก็ยังคงนอนไม่หลับ กระสับกระส่ายพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงใหญ่ในห้องสวีทโรงแรมของอัศวิน
เธอเด้งตัวลุกขึ้นมานั่ง เอื้อมมือไปเปิดไฟที่หัวเตียง แล้วถอนหายใจพรืดยาว “เมื่อไรเธอจะหลับได้สักทียัยแพร ฉันเบื่อที่จะนั่ง ๆ นอน ๆ แล้วนะ” เธอบ่นกับตัวเองด้วยความหงุดหงิด พรุ่งนี้เป็นวันแต่งงานของเธอกับอัศวิน พิธีหมั้นจะเริ่มจัดตั้งแต่เช้า แล้วเธอมีนัดช่างแต่งหน้าทำผมตอนตีสี่ แต่นี่ตีหนึ่งเข้าไปแล้วเธอยังตื่นแต้นจนนอนไม่หลับและพรุ่งนี้เธอจะมีแรงรับแขกตั้งแต่เช้าถึงเย็นได้ยังไงกัน
พิชชาภาถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นไปเปิดไฟในห้อง เดินไปที่ตู้เย็นหยิบน้ำมาดื่มดับกระหาย จากนั้นก็กลับไปนั่งแปะที่ปลายเตียงอย่างเซ็ง ๆ เธอจ้องทีวีที่ติดบนผนังกำแพงตรงหน้า คิดว่าถ้าลองเปิดทีวีดูไปด้วยนอนไปด้วยเสียงทีวีอาจจะทำให้หลับก็เป็นได้
ยังไม่ทันที่เธอจะหยิบรีโมทเปิดทีวี เสียงเคาะประตูเบา ๆ จากห้องที่ติดอยู่ข้างกันก็ทำเอาหัวใจเธอเต้นตึกตัก เธอเดินออกไปที่ห้องนั่งเล่น เปิดไฟกลางห้อง แล้วก็ได้ยินเสียงของอัศวินดังผ่านประตูเข้ามา
“แพร...แพรยังไม่นอนอีกเหรอ...”
พิชชาภาเดินกลับไปกลับมา คิดอยู่ว่าจะตอบกลับเขาไปดีไหม แล้วดึกดื่นอย่างนี้ทำไมเขายังไม่นอนอีก
“แพรจ๋า...แพรก็นอนไม่หลับเหมือนพี่ใช่ไหม...”
เธอเม้มปาก กอดอก จ้องประตูอย่างลังเล ทำปากอ้า ๆ หุบ ๆ จะพูดก็ไม่กล้าพูด
“พี่รู้นะว่าแพรอยู่ตรงนั้น ถ้าแพรยังไม่หลับ...ขอพี่เข้าไปคุยด้วยได้ไหม...”
พิชชาภารีบตอบกลับไปทันที “แต่นี่มันดึกแล้วนะคะ อีกอย่างแม่รุ้งบอกว่าเราไม่ควรเจอกันจนกว่าจะถึงพิธีหมั้นพรุ่งนี้เช้า พี่วินกลับไปนอนเถอะค่ะ” พูดจบ เธอก็ได้ยินเสียงโอดครวญมาจากอีกฟากประตู
“พรุ่งนี้เราก็จะแต่งงานกันอยู่แล้ว พี่ไม่ถือเรื่องนั้นหรอกจ้ะ แพรให้พี่เข้าไปหน่อยนะ ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้เจอแพรตั้งหลายวัน พี่คิดถึงแพรจะแย่อยู่แล้ว” น้ำเสียงอ้อนวอนเต็มที่
หญิงสาวอมยิ้มให้ประตู “ขี้โม้..”
“แพรไม่ตอบพี่ถือว่าแพรอนุญาตน้า...” เขาทำเสียงลากยาว “พี่เข้าไปล่ะนะ”
“เดี๋ยวค่ะ!” เธอร้องห้าม และวิ่งไปที่ประตูเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเธอยังไม่ได้ล็อค แต่ก็ไม่ทันเสียงคลิ๊กของลูกบิด ก่อนที่ประตูเชื่อมห้องจะเปิดออก และร่างใหญ่ในชุดนอนของอัศวินก็เดินเข้ามาข้างใน
อัศวินยิ้มเผล่เมื่อได้เข้ามาในห้องหญิงสาว แต่แล้วร่างทั้งร่างก็เกร็งขึง ดวงตาเบิกกว้าง อ้าปากค้าง เมื่อมองร่างสมส่วนของพิชชาภาในชุดนอนผ้าซานตินสายเดี่ยวสีฟ้ากับกางเกงขาสั้น ผมเป็นลอนของเธอแผ่สยายกลางหลัง แสงไฟส่องกระทบผิวขาวนวลเนียนจนเขาเผลอไผลมองกวาดขึ้นลงไปทั่วร่าง
แล้วหัวใจเขาก็แทบหยุดเต้นเมื่อสายตาเลื่อนมาหยุดตรงที่หน้าอกอวบอิ่มเผยให้เห็นเนินอกภายใต้ชุดนอนผ้าบาง ๆ...เธอไม่ได้ใส่เสื้อชั้นใน!
หญิงสาวหน้าแดงซ่านไปถึงใบหู ความร้อนแผ่กระจายไปทั่วร่างเมื่อสายตาคมเข้มที่กำลังตกตะลึงพรึงเพริดมองเธอฉายแววพึงพอใจ
พิชชาภาที่เพิ่งหายมึนงงรีบยกมือขึ้นปิดบังร่างกาย นึกขึ้นได้ว่าตัวเองนั้นแต่งตัวไม่เรียบร้อยจึงรีบหมุนตัวกลับทำท่าจะวิ่งเข้าห้องนอน
“เดี๋ยวก่อนแพร!” เท้าก้าวเข้าไปหาเธอหนึ่งก้าว “พี่ขอโทษ พี่ไม่รู้ว่าแพร...” ริมฝีปากเขายิ้มเคลิบเคลิ้ม “จะสวยขนาดนี้....เอ่อ...” เขากระแอมเล็กน้อย “จะอยู่ในชุดนอนวาบหวิวแบบนี้...” เสียงแหบพร่า ประกายตาร้อนแรงแม้จะมองเธอจากทางด้านหลัง
“พะ แพร...ไปเอาเสื้อคลุมก่อนนะคะ อุ๊ย!” เธอร้องอุทานเมื่อวงแขนของอัศวินโอบรอบเอวบาง ร่างใหญ่แนบแผ่นหลัง ศีรษะของเขาโน้มลงมาจนคางวางอยู่บนหัวไหล่กลมกลึงของเธอ
หญิงสาวได้แต่ยืนนิ่งเป็นหิน ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ
“พี่แทบจะรอให้ถึงเช้านี้ไม่ไหวแล้วรู้ไหม...อยากข้ามขั้นไปถึงตอนส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวเลยได้ยิ่งดี” เขาพูดเสียงต่ำชิดลำคอ จมูกโด่งปัดผ่านใบหูสะอาดแล้วกดเบา ๆ ที่หลังใบหูนั่น
พิชชาภาขนลุกซู่ ย่นคอหนีแล้วหมุนตัวหันมาประชันหน้าเขา มือยันแผงอกกว้างเขาเอาไว้ “อย่าทำแบบนี้เลยนะคะ พี่วินกลับห้องไปดีกว่าค่ะ” แต่เสียงสั่นสะท้าน ลมหายใจติดขัด
“พี่ทำอะไร...พี่แค่อยากกอดแพร อยากจูบแพรให้ชื่นใจบ้างเท่านั้นเอง” เขายื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มเธอฟอดใหญ่ มือคว้าเอวหญิงสาวเข้ามาประชิดตัว ระหว่างเขาและเธอมีแค่เพียงมือเล็ก ๆ กางกั้น
“ไหนพี่วินบอกว่าอยากจะคุยกับแพรแค่นั้นไงคะ” เธอเบี่ยงหน้าหนีจูบเขาที่กำลังประทับลงมาบนริมฝีปาก
อัศวินเหมือนคนไม่ได้สติ เมื่อจูบริมฝีปากไม่ได้ เขาก็เลื่อนไปตามเชิงกราน ไล่ลงต้นคอหอมกรุ่น ผ่านไปตามลาดไหล่ “ก็ใครให้แพรสวยยั่วยวนใจพี่แบบนี้กันล่ะ พี่ก็อดใจไม่ไหวไม่คงไม่คุยมันแล้วน่ะสิ”
คำชมกลาย ๆ นั่นทำเอาขาของเธออ่วนปวกเปียกเป็นขี้ผึ้งจนเขาต้องประคองร่างเธอเอาไว้แนบอก ชีพจรเต้นแรงแข่งกับทรวงอกของเธอที่สะท้อนหอบขึ้นลงขณะที่ริมฝีปากของอัศวินยังคงไล่จูบไปทั่วใบหน้าและลาดไหล่ตนเอง แต่เธอก็พยายามกัดฟันบอกเขาด้วยเสียงอ้อแอเต็มที
“อีกวันเดียวเท่านั้นค่ะ...อีกวันเดียวพี่วินก็จะได้อยู่กับแพรทุกวันทุกคืน...แต่คืนนี้...แพรขอนะคะ”
อัศวินพ่นลมหายใจยาว แนบหน้าผากตนเองกับของหญิงสาว จังหวะหายใจเขายังหอบกระชั้นขณะพยายามตัดใจอย่างสุดความสามารถที่จะไม่ทำตามความต้องการของตัวเอง
ชายหนุ่มหลับตาเพียงครู่ ก่อนจะลืมตาอีกครั้งพลางใช้สองมือประคองแก้มนวลที่กำลังแดงปลั่ง “แพรร่ายมนต์อะไรใส่พี่ หืมม...อีกไม่นานแพรคงจะทำเอาพี่เสียศูนย์กลายเป็นแมวเซาให้แพรเกาคางเล่นแน่ ๆ”
พิชชาภายิ้มกลั้วหัวเราะกับคำเปรียบเปรยของอัศวิน “แพรจะคอยดูค่ะ ว่าพี่วินจะเป็นแมวเซาแบบนี้ไปได้นานสักเท่าไรกันเชียว”
“นานตราบเท่าที่แพรต้องการเลยจ้ะ” เขายิ้มกว้าง สบตาเขินอายของเธอพลางใช้นิ้วโป้งลูบไล้แก้มนวลไปด้วย จากนั้น เขาก็ดึงเธอเข้ามากอด แล้วก็ถอดถอนใจ
“ทำไมต้องมีงานแต่งด้วยนะ จดทะเบียนสมรสอย่างเดียวก็สิ้นเรื่อง”
“งานแต่งงานจัดขึ้นก็เพื่อให้ผู้ใหญ่และทุกคนรับรู้ มีน่ะดีแล้วค่ะ ใครต่อใครจะได้รู้ว่าตอนนี้พี่วินไม่ได้โสดอีกต่อไปแล้ว” น้ำเสียงติดจะหวง
อัศวินคลายอ้อมกอด ยิ้มหน้าบานแฉ่ง “แพรจ๋า แพรไม่ต้องห่วงหรือหึงพี่หรอกนะจ๊ะ พี่บอกแพรแล้วไงพี่น่ะมีแพรคนเดียว ไม่มีผู้หญิงอื่นคนไหนมาทำให้พี่หวั่นไหวได้หรอกจ้ะ”
พิชชาภาหน้าร้อนผ่าวที่เขารู้ทันความคิด เธอผลักอกเขาออกห่างอย่างอาย ๆ “ไม่เอาแล้วค่ะ แพรไม่คุยกับพี่วินแล้ว พี่วินกลับห้องไปดีกว่า แพรง่วงนอนแล้ว” พูดไม่เต็มเสียง ก้มหน้าหลุบซ่อนนัยน์ตา
ชายหนุ่มหัวเราะร่า “โอเค ๆ พี่ไปก็ได้...แต่ก่อนจะไป” เขาเชยคางเธอขึ้นเพื่อให้สบตากับเขา “ขอจูบมัดจำสักหน่อยแล้วกันนะ” พูดเสร็จ เขาก็ไม่รอให้เธอคัดค้าน ก้มลงสัมผัสริมฝีปากกับเธอแผ่วเบา เขาอ้อยอิ้งคลึงเคล้าริมฝีปากบางที่ตอบรับจูบของเขาอยู่พักใหญ่ ก่อนจะค่อย ๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย
“หลังจากส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวคืนนี้...พี่จะไม่ยอมอยู่ห่างแพรแม้แต่วินาทีเดียว...” เขากระซิบเสียงพร่า แววตาทอประกายหมายมั่น คล้ายกับหมาป่าใจร้ายกำลังมองหนูน้อยหมวกแดงตาเป็นมัน จากนั้นเขาก็เดินตรงไปที่ประตูเชื่อม แล้วออกจากห้องไปโดยที่ไม่ได้หันกลับมามอง ทิ้งให้พิชชาภายืนแข็งเป็นรูปปั้น ร่างกายร้อนวูบวาบกับประโยคทิ้งท้ายของเขา จากที่นอนไม่หลับอยู่แล้ว คืนนี้เธอคงได้นอนตาค้างทั้งคืนจนเช้าแน่ ๆ
หลังจากแขกผู้ใหญ่กลุ่มสุดท้ายถ่ายรูปกับคู่บ่าวสาวและครอบครัวทั้งสองฝ่ายที่ด้านหน้าสถานที่จัดงานแต่งงานในสวนของโรงแรมเสร็จเรียบร้อยแล้ว อัศวินก็แทบจะร้องโอดครวญหมดแรงเดินลากขาไปนั่งแปะที่เก้าอี้แล้วบ่นพึมพำกับมารดา
“นี่แม่เชิญแขกจากทั่วประเทศมาหรือเปล่าครับเนี่ยถึงได้มากันเยอะแยะขนาดนี้”
“ไม่ได้สิ งานแต่งงานวินกับหนูแพรทั้งทีก็ต้องประกาศให้คนเขารู้กันทั่ว นี่แม่ยังจะให้นิตยสารเว็ดดิ้งเขามาสัมภาษณ์เรากับหนูแพรอาทิตย์หน้านี้อีกนะ วันนี้เขาก็เลยให้ช่างภาพมาเก็บบรรยากาศงานแต่งไปก่อน”
“ห๊า!” อัศวินร้องเสียงหลง “แล้วทำไมแม่ไม่ปรึกษาผมกับแพรก่อนล่ะครับ บางทีแพรอาจจะไม่อยากให้สัมภาษณ์ก็ได้” เขาทำหน้าเหนื่อย
“แหม แม่รู้หรอกว่าวินต้องบ่น แม่ก็เลยคุยกับหนูแพรไว้เรียบร้อยแล้ว และหนูแพรก็โอเคแล้วด้วย” อมลวรรณยิ้มอย่างคนเหนือกว่า
“แพรเขาตอบตกลงเพราะเกรงใจแม่หรือเปล่า” เขาเลิกคิ้วข้างหนึ่งเป็นเชิงสงสัย
“ไม่ใช่สักหน่อย หนูแพรทั้งยินดีและเต็มใจเลยต่างหากจ้ะ” พูดเสร็จก็ทำเสียงจุ๊ปาก บุ้ยหน้า “วินนี่ชอบขัดใจแม่จังเลย นี่ถ้าแม่ไม่พาวินไปเจอหนูแพร วันนี้วินจะได้แต่งงานมีความสุขแบบนี้ไหม” หล่อนสะบัดหน้าพรืด
อัศวินคลี่ยิ้ม เห็นอาการงอนกระเง้ากระงอดของมารดาเป็นเรื่องขำ เขาเดินเข้าไปหาแล้วโอบกอดร่างท้วมของหล่อนไว้ แล้วหอมแก้มยุ้ยของหล่อนฟอดใหญ่ “ขอบคุณครับแม่ที่หาผู้หญิงถูกใจมาให้ผม ถ้าผมไม่เชื่อแม่ ผมก็คงไม่มีความสุขเหมือนอย่างตอนนี้” เขาพูดพลางเลื่อนสายตาไปมองพิชชาภาที่กำลังคุยออกรสชาติอยู่กับกลุ่มเพื่อน ๆ ของเธอ แล้วเขาก็เผลอยิ้ม จังหวะนั้นเหมือนหญิงสาวจะรู้ตัวว่าถูกมอง เธอหันหน้ามาทางเขา ส่งยิ้มน้อย ๆ มาให้...สองสายตาประสานสบกันนิ่งราวกับไม่สามารถถอนสายตาจากกันและกันได้
“วิน...แม่มีเรื่องอยากจะสารภาพ” อมลวรรณโพล่งขึ้นมา อัศวินจึงละสายตาจากเจ้าสาว หันมายิ้มให้มารดา
“ถึงกับต้องสารภาพกันเลยเหรอครับ”
หล่อนทำหน้ารู้สึกผิด “อืม...มันก็...เกี่ยวกับเรื่องแต่งงานของวินด้วยนี่แหล่ะ”
อัศวินยังคงยิ้ม ไม่ได้แปลกใจอะไรมากนัก “แล้วแม่มีเรื่องอะไรจะสารภาพกับผมเหรอครับ”
“ก็เรื่อง...” หล่อนอึกอักเล็กน้อย ก่อนตอบ “เรื่องที่แม่ป่วยเป็นมะเร็งน่ะ”
พอได้ฟังว่าเรื่องอะไร อัศวินก็ต้องร้อง “อ๋ออ...” ริมฝีปากได้รูปยิ้มกว้าง เข้าใจในสิ่งที่มารดาจะบอกทันที
อมลวรรณขมวดคิ้ว “วินยิ้มอะไร ทำอย่างกับรู้ว่าแม่จะบอกอะไรอย่างนั้นแหล่ะ”
เขาหัวเราะลงคอ “ก็รู้น่ะสิครับ ผมเป็นลูกแม่มาตั้งสามสิบห้าปี มีเหรอที่ผมจะไม่รู้ว่าแม่คิดอะไร”
เมื่อเห็นว่ามารดายังทำหน้าไม่เข้าใจ เขาจึงต้องขยายความ “วันที่แม่บอกผมว่าป่วยเป็นมะเร็งและอยากให้ผมรีบแต่งงานเพราะอาจจะอยู่ได้ไม่นาน ตอนนั้นบอกตรง ๆ ว่าผมกลัวมากเลยยอมทำตามใจแม่ แต่หลังจากวันประกาศหมั้นที่บ้านของแพร ผมก็รู้สึกว่าอาการของแม่ดีขึ้นเหมือนกับคนไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงอะไรเลย”
อมลวรรณยิ้มแห้ง ๆ “นี่ลูกสังเกตเห็นด้วยเหรอ”
“ผมก็เป็นห่วงแม่น่ะสิครับ เลยคอยสังเกตอาการของแม่ตลอด แต่พอเห็นแม่ดูเหมือนไม่มีอาการอะไรเลย ดูปกติเสียจนผิดสังเกต ผมก็เลยรู้สึกสงสัยและหาโอกาสไปคุยกับอาหมออีกครั้งโดยที่ไม่ได้บอกแม่ พอผมเค้นถามหนัก ๆ เข้าอาหมอก็ดูพิรุทจนในที่สุดก็ยอมบอกความจริงทุกอย่าง” อัศวินยิ้มพราวกับแผนการจับลูกชายแต่งงานของมารดา
“แม่ขอโทษนะ วิน...ไม่โกรธแม่ใช่ไหมลูก...” น้ำเสียงอ่อนระโหย
“เพราะแม่โกหก ผมถึงได้ผู้หญิงดี ๆ มาเป็นศรีภรรยา อย่างนี้แล้วจะให้ผมโกรธแม่ลงอีกเหรอครับ” เขาก้มลงหอมที่แก้มมารดาอีกฟอด ก่อนจะตีสีหน้าเครียด “แต่แม่อย่าโกหกผมแบบนี้อีกนะครับ เรื่องเจ็บป่วยกับเรื่องความตายผมไม่อยากให้แม่เอามาล้อเล่น”
หล่อนยิ้มแหย ๆ สีหน้าสำนึกผิด “แม่ขอโทษนะ ต่อไปแม่จะไม่โกหกวินแบบนี้อีกแล้ว” ขอโทษขอโพย แต่ก็ไม่วายเย้าแหย่ลูกชาย
“ก็วินเองนั่นแหล่ะ เล่นตัวเสียเหลือเกินนี่นา ถ้าแม่ไม่โกหกวิน ปานนี้วินก็คงยังอยู่กับแม่จีสตริงปลิงดูดเลือดนั่น”
“แต่ตอนนี้ผมก็เป็นฝั่งเป็นฝาแล้ว แล้วผู้หญิงคนนั้นก็เป็นคนที่แม่ถูกใจ แม่มีความสุขหรือยังครับ” เขาถามพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น โอบไหล่มารดา
“จ้ะ มีความสุข แต่ถ้าจะให้แม่มีความสุขที่สุด วินกับหนูแพรต้องรีบมีหลานให้แม่เร็ว ๆ นะ”
อัศวินยิ้มกรุ้มกริ่ม สายตาเหลือบไปมองพิชชาภาด้วยแววตามีความหมายพลางกระซิบบอกมารดา “ผมไม่ทำให้แม่ต้องรอนานแน่นอนครับ”
พิชชาภาที่ยังอยู่ในชุดเจ้าสาวกำลังนั่งตัวเกร็งที่หน้ากระจกในห้องนอนใหญ่เพนท์เฮ้าส์ของอัศวินหลังจากเสร็จสิ้นพิธีส่งตัวบ่าวสาวได้สักพักใหญ่ และตอนนี้อัศวินกำลังล่ำลาส่งเพื่อน ๆ อยู่ที่หน้าห้องและคงจะกลับเข้ามาในอีกไม่ช้า
หญิงสาวสูดหายใจเข้าออกลึก ๆ เพื่อพยายามข่มอาการตื่นเต้น มืออันเย็นเฉียบของเธอบิดกันไปมาบนหน้าตัก หูก็คอยระแวงพลางสะดุ้งทุกครั้งที่ได้ยินเสียงก๊อกแก๊กที่หน้าประตู
“ใจเย็น ๆ ยัยแพร ไม่เห็นมีอะไรต้องตื่นเต้นเลย” เธอพึมพำปลอบตัวเองอยู่หน้ากระจก แต่ในใจกลับไม่ได้สงบเหมือนคำปลอบใจที่พูดเมื่อครู่ ถึงแม้จะเตรียมตัวเตรียมใจมาหลายอาทิตย์ แต่พอเอาเข้าจริง เธอทั้งหวาดหวั่น ประหม่า ตื่นเต้นจนไม่เป็นอันทำอะไร ยิ่งพอนึกถึงว่าต้องอยู่กินฉันสามีภรรยากับอัศวินแล้ว.....
พิชชาภาหลับตาแน่น ส่ายหน้าเร็ว ๆ ราวกับต้องการเอาความคิดหวาบหวามนั้นออกไปจากหัว
เสียงหมุนลูกบิดประตูทำเอาหญิงสาวสะดุ้ง เบิกตาโต หันไปทางต้นเสียง เมื่อเห็นบานประตูแง้มเปิดช้า ๆ เธอก็รีบหันหน้าเข้าหากระจก นั่งหลังตรง ทำทีเป็นดึงเอากิ๊บดำออกจากผม สายตาก็ไม่วายเหลือบมองเขาผ่านกระจก
อัศวินปิดประตูห้องนอน เขายิ้มกว้างเมื่อเห็นเจ้าสาวของเขานั่งอยู่และไม่ได้หลบหนีหายไปไหนเหมือนอย่างที่กังวล เขาถอดพวงมาลัย ถอดเสื้อสูทและปลดหูกระต่ายออกไปวางไว้บนเตียง จากนั้นก็ปลดกระดุมเสื้อที่คอและข้อมือ เดินไปหยุดที่ด้านหลังหญิงสาว
“ให้พี่ช่วยนะ...” เขาสบตาเธอในกระจกแล้วยิ้มให้ ก่อนจะช่วยเธอดึงกิ๊บดำที่ติดอยู่บนผมเธอออก
“วันนี้แพรเหนื่อยไหม เมื่อคืนก็ไม่ค่อยได้นอน แถมยังต้องตื่นแต่เช้าวุ่นวายทั้งวัน” น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย
พิชชาภาสะดุ้งเมื่อนิ้วมืออุ่นของเขาสัมผัสผ่านใบหูเธอ รู้สึกถึงสายตาของเขาที่มองเธอในกระจก แต่เธอหลุบตาลงต่ำมองที่มือตนเอง “กะ..ก็นิดหน่อยค่ะ พี่วินล่ะคะ เหนื่อยหรือเปล่า” เสียงติดจะสั่น
อัศวินจับช่อผมของเธอที่หลุดออกมาไปวางไว้บนไหล่ข้างหนึ่ง จังหวะนั้นมือของเขาก็เผลอลูบไล้ผิวบริเวณลาดไหล่และต้นคอของเธอไปด้วย “พี่ก็เหนื่อย...เหนื่อยที่ต้องรอให้ทุกคนกลับกันไปหมดก่อนถึงจะได้อยู่กับแพรตามลำพัง”
แก้มของเธอร้อนวูบวาบกับคำตอบแฝงนัยของเขา มือใหญ่ที่ยังคงสัมผัสปัดผ่านผิวเธอทำเอาเธอนั่งไม่ติด พิชชาภาลุกขึ้นยืนกะทันหัน “แพรว่าแพรทำเองดีกว่า...” เธอสบตาเขาในกระจก ยิ้มประหม่า “พี่วินไปอาบน้ำก่อนเถอะค่ะ...”
“ไม่เอาหรอก เดี๋ยวพี่ไปอาบน้ำแพรก็เผลอหลับก่อนน่ะสิ นี่ก็เกือบห้าทุ่มแล้วด้วย”
“ไม่หรอกค่ะ แพรจะเผลอหลับไปทั้งชุดนี้ได้ยังไงกัน” พูดเสร็จเธอก็เดินเบี่ยงเขาไปที่ตู้เสื้อผ้า “ผ้าขนหนูพี่วินอยู่ไหนคะเดี๋ยวแพรหยิบให้ พี่วินไปอาบน้ำให้สบายตัวก่อนดีกว่าค่ะ เพราะกว่าแพรจะทำธุระของแพรเสร็จพี่วินก็อาบน้ำเสร็จพอดี ว๊าย...”
พิชชาภาร้องอุทานเมื่อวงแขนของอัศวินโอบกอดเธอจากด้านหลัง ใบหน้าของเขาซุกไซ้อยู่ตรงลำคอ “แพรตัวหอมจังเลย หอมจนพี่แทบอดใจไม่ไหวแล้วรู้ไหม...” เขากดจมูกที่ซอกคอเธอ หญิงสาวย่นคอหนี ขนของเธอลุกซู่ พยายามดึงตัวออกห่างแต่วงแขนดั่งปลอกเหล็กของเขากลับรัดแน่นขึ้นไม่ให้เธอไปไหน
“พี่วินคะ...ปล่อยแพรก่อนเถอะค่ะ” เสียงเธออ่อนแรงเต็มที
อัศวินยังคงไล่ริมฝีปากและจมูกไปทั่วแผ่นหลังและต้นคอเธอ ลมหายใจเขาติดขัด เมื่อจู่ ๆ ความต้องการในตัวหญิงสาวก็ระเบิดพลุ่งพล่าน เธอเหมือนกับปรอทร้อน ๆ ในอ้อมแขนเขา ทำให้ความยับยั้งช่างใจเขาขาดผึง
“ให้พี่ช่วยถอดชุดให้นะ...” พูดเสียงแหบพร่าแทบจะเป็นขาดหาย มือเขาเลื่อนไปที่ซิบกลางหลังกำลังจะรูดซิบลง
พิชชาภารีบหันหน้ากลับมา ลมหายใจหอบถี่ไม่แพ้ชายหนุ่ม “ไม่เป็นไรค่ะ แพรทำเองได้”
“แต่พี่อยากช่วย...”
“แต่แพร...”
คำพูดของเธอถูกกลืนหายในลำคอเมื่ออัศวินประกบริมฝีปากเข้ากับเธอ ร่างบางสั่นสะท้านราวกับโดนสายฟ้าฟาดขณะริมฝีปากของเขาบดเคล้าคลอเคลีย กลิ่นกายของเขาช่างเย้ายวนใจจนเธอต้านทานเขาไม่ไหว ปล่อยตัวเองให้เคลิบเคลิ้มกับจูบอันแสนหวานน่าพึงใจ ความต้องการที่จะหยุดการกระทำของเขาปลิวหายไปจากความรู้สึกเมื่อมือใหญ่เฝ้าคอยลูบไล้ต้นแขนและแผ่นหลังเปล่าเปลือย
“พี่รักแพรนะ...” อัศวินกระซิบแนบชิดริมฝีปาก “พี่ไม่เคยคิดเลยว่าจะรักใครได้มากเท่านี้....เพียงแค่เวลาไม่กี่เดือนที่เราคบกัน” เขายังคงจูบเธอไม่ยอมห่างหาย จมูกโด่งและริมฝีปากปัดป่ายไปทั่วใบหน้านวล
ร่างทั้งร่างของพิชชาภาแทบอ่อนระทวยในวงแขนแข็งแรงหลังจากได้ยินคำรักจากปากชายหนุ่ม เธอไม่แน่ใจว่าคำรักนั่นกลั่นออกมาจากใจจริงของเขาหรือเป็นเพียงแค่ความต้องการทางร่างกายที่ผลักดันให้เขาพูดออกมา แต่มันก็ทำให้หัวใจดวงน้อย ๆ ของเธอเต้นระส่ำ เรียกเลือดฉีดแก้มเธอจนร้อนวูบวาบ ไม่คาดคิดว่าวันหนึ่งผู้ชายที่เธอเคยแอบรักแต่เขาไม่เคยสนใจ มาวันนี้ กลับมอบคำรักให้เธอได้อย่างง่ายดาย
“พี่วิน...รักแพรจริง ๆ เหรอคะ” เธอถามไม่เต็มเสียง
อัศวินถอนริมฝีปาก สบตาเธอมั่น “พี่รักแพร รักอย่างที่ไม่เคยรักใครมาก่อน พี่แพ้ความน่ารักและความจริงใจของแพร ผู้หญิงคนอื่นที่ผ่านมาในชีวิตพี่ไม่มีใครทำให้ใจพี่หวั่นไหวได้เท่านี้...“ เขาทำท่าจะก้มลงจูบเธออีกครั้งแต่หญิงสาวกลับเบี่ยงหนีแล้วซบลงที่อกกว้างเขาแทน
เธอหลับตาพริ้ม รอยยิ้มแตะแต้มบนเรียวปากบางขณะแนบหูฟังเสียงหัวใจของเขาที่เต้นรัวแรง เธอถอนหายใจอย่างเป็นสุขเมื่อความรักที่เธอโอบอุ้มปกป้องเอาไว้ผลิบานพร่างพรายขึ้นในใจเธออีกครั้ง
“พี่รักแพร แล้วแพรล่ะ รักพี่บ้างไหม...”
“ถึงขั้นนี้แล้วพี่วินยังไม่รู้อีกเหรอคะว่าแพรรู้สึกยังไง” น้ำเสียงน้อยใจ แต่ก็ไม่ได้ถอยห่าง
อัศวินเชยคางเธอขึ้นเพื่อสบตา “พี่แค่อยากแน่ใจ ว่าเราสองคน มีความรู้สึกตรงกัน...” คลี่ยิ้มพลางใช้นิ้วโป้งไล้แก้มเธอแผ่วเบา
เธอยิ้มตอบเขา แววตาประกายสดใส “แพรก็รักพี่วินค่ะ รักตั้งแต่ได้เห็นหน้าพี่วินครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน พอได้เจอกันอีกครั้ง แม้ปากจะบอกว่าเกลียด แต่ในใจลึก ๆ แล้ว แพรก็รู้ตัวเองดีว่าความรู้สึกนั้นไม่เคยเปลี่ยนไปเลย...”
ริมฝีปากหนาขยับยิ้มกว้างเมื่อได้ฟังคำสารภาพหวานหู ความรักในตัวหญิงสาวล้นปรี่จนแน่นอก
“พี่ขอสัญญา ว่าพี่จะรักและดูแลแพรอย่างดี ไม่ทำให้แพรต้องเสียใจ และจะไม่ทำให้พ่อกับแม่ของแพรต้องผิดหวัง” น้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง ให้เธอรับรู้ถึงความสัตย์จริงในคำพูดของเขา
“แค่พี่วินรักและทำตัวเป็นสามีที่ดี แค่นี้แพรก็ดีใจแล้วค่ะ” พิชชาภาอมยิ้มอาย ๆ เมื่อเธอใช้คำว่า สามี
“และในเมื่อแพรตัดสินใจแต่งงานกับพี่วินแล้ว แพรก็ต้องเชื่อใจ มั่นใจในตัวพี่วิน...ถูกไหมคะ”
ดวงตาของเขาพราวแสงด้วยความรักใคร่ ก่อนจะรวบร่างหญิงสาวเข้ามากอด “ขอบใจนะที่แพรให้โอกาสพี่”
พิชชาภายกสองมือโอบรอบตัวเขา ซึมซับความอบอุ่นที่ส่งผ่านจากตัวเขามาถึงเธอ มีความสุขเหลือเกินที่ได้อยู่ในอ้อมแขนของผู้ชายคนนี้
เธอคลายอ้อมกอด ยิ้มให้เขา “แพรว่าพี่วินไปอาบน้ำเถอะค่ะ แพรยังต้องเช็ดเครื่องสำอางค์อีกนาน”
“ถ้าอย่างนั้นพี่รอแพรก่อนแล้วกัน” เขาตอบพร้อมรอยยิ้มพราย
“รอทำไมคะ” เลิกคิ้วสงสัย
“ก็...” อัศวินก้าวเข้าไปใกล้ กระซิบชิดใบหูเธอ “ก็เราจะได้อาบน้ำด้วยกันไง”
พิชชาภาผงะหนี หน้าแดงปลั่งด้วยความอาย “บ้า ใครบอกว่าแพรจะอาบน้ำกับพี่วิน” เธอทำเป็นเดินหนีไปที่โต๊ะหน้ากระจก หยิบอุปกรณ์ทำความสะอาดเครื่องสำอางค์ ครีมบำรุงต่าง ๆ เอาเข้าไปไว้ในห้องน้ำ โดยที่อัศวินก็ยังเดินตามเธอไม่ลดละความตั้งใจ
“ไม่เห็นต้องอายเลย เราสองคนเป็นสามีภรรยากันแล้วนะ”
“แต่แพรอายหนิคะ ไม่เอาด้วยหรอกค่ะ ถ้าพี่วินไม่อาบงั้นแพรอาบก่อนแล้วกัน” เธอบอกปัดพร้อมกับผลักเขาที่ยืนกันท่าอยู่หน้าประตูห้องน้ำให้ถอยออกไป อัศวินรีบยกมือดันประตูเอาไว้
“น่า นะ อาบน้ำด้วยกันนะ” เขาหรี่ตาออดอ้อน
“ไม่เอาค่ะ แพรอาย พี่วินออกไปสิคะ” เธอพยายามผลักประตูปิดแต่ก็ต้องยื้อกับแรงดันจากอีกฝ่าย
“อาบด้วยกันพี่จะได้ขัดหลังให้แพรด้วยไง โรแมนติกดีออกน้า...” เขาเม้มริมฝีปากสนิทราวกับหมายมั่นปั้นมือ
พิชชาภาถึงกับขนลุกเกรียว เธอใช้แรงเฮือกสุดท้ายผลักประตูดันเขาให้พ้นหน้าห้องน้ำ พอประตูปิดสนิท เธอก็รีบกดล็อคประตูทันที
เธอถอนหายใจดังเฮือก พิงหลังกับบานประตู แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งกับเสียงแปร่งพร่าของเขาที่กระซิบลอดผ่านประตูเข้ามา
“อย่าคิดนะว่าแพรจะหนีพี่พ้น...เดี๋ยวพี่จะนอนเล่นรอแพรอยู่บนเตียง...แพรออกมาจากห้องน้ำเมื่อไรล่ะก็...” เขาหยุดคำพูดไว้แค่นั้น แววตาประกายขบขันเมื่อได้ยินเสียงอุทานดังออกมาจากด้านใน เขาหัวเราะเบา ๆ แล้วเดินไปเก็บเสื้อผ้าที่วางอยู่บนเตียงไปใส่ตะกร้า ปัดเศษกลีบกุหลาบสีแดงลงบนถังขยะก่อนจะเอนกายนอนลงบนเตียง ใช้สองมือรองศีรษะเป็นพนักพิง สายตาจับจ้องไปที่ประตูห้องน้ำแล้วก็เผลอยิ้ม
“เฮ้อ...ถ้ารู้ว่าแต่งงานแล้วมันดีอย่างนี้ เชื่อแม่ไปตั้งนานแล้ว”
พิชชาภาจับปมผ้าขนหนูที่หน้าอกไว้แน่นขณะค่อย ๆ เปิดประตูห้องน้ำออกช้า ๆ เห็นไฟในห้องนอนยังเปิดสว่าง เธอจึงชะโงกหน้าแล้วมองไปบนเตียงหลังใหญ่ ร่างของอัศวินที่ยังอยู่ในชุดแต่งงานกำลังนอนตะแคงทำให้เธอมองไม่เห็นใบหน้าเขาว่ากำลังหลับอยู่หรือไม่
เธอพยายามเดินให้เงียบที่สุด ย่องเบา ๆ ไปที่กระเป๋าเสื้อผ้าที่วางอยู่ปลายเตียง สายตาก็คอยมองอัศวินไปด้วย เธอรีบหยิบชุดนอนออกมาแล้วเดินกลับเข้าไปห้องน้ำเพื่อแต่งตัวให้เรียบร้อย สิบห้านาทีให้หลัง เธอก็ค่อย ๆ แง้มประตู มองไปที่เตียง เธอถอนหายใจโล่งอกที่เห็นว่าเขายังคนนอนอยู่ท่าเดิม ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอทำให้เธอเธอมั่นใจว่าเขาหลับสนิทและจะไม่ลุกขึ้นมากวนใจเธออีก
หญิงสาวทำทุกอย่างด้วยความรวดเร็วและเงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ พอเธอจัดแจงแขวนชุดแต่งงานกับไม้แขวนเสื้อแล้ว เธอก็หันไปมองดูตำแหน่งเตียงว่าเธอควรจะเดินไปนอนตรงไหน จากนั้นก็ปิดไฟ ภายในห้องมืดสนิทจนเธอต้องรอปรับสายตาให้มองเห็น แล้วพยายามคลำหาทางเดินไปที่เตียง พอมือสัมผัสกับผ้าห่ม เธอก็ค่อย ๆ ก้าวขาขึ้นมาบนเตียงสายตาก็คอยจับจ้องร่างใหญ่ที่ยังนอนนิ่ง เมื่อเห็นว่าเขายังนอนไม่ขยับ เธอก็ผ่อนลมหายใจคลายกังวล ล้มตัวลงนอนด้วยความสบายใจ
ตาของเธอหรี่ปรือกำลังจะเคลิ้มหลับ แต่แล้วก็ต้องตกใจลืมตาตื่นเมื่อมือใหญ่ของใครคนหนึ่งที่ยื่นมาพาดอยู่บนเอวแล้วดึงเธอเข้าไปกอด ร่างทั้งร่างเกร็งขืนขึ้นมาทันที
“ทำไมอาบน้ำช้าจัง พี่รอแพรตั้งนานแน่ะ” อัศวินกระซิบพึมพำ ขยับตัวเข้าไปแนบชิดแผ่นหลังของเธอ กระชับอ้อมกอดแน่น
“แพรนึกว่าพี่วินนอนแล้วเสียอีก” น้ำเสียงตื่นตระหนก
เขาหัวเราะเบา ๆ พลางสูดกลิ่นหอมจากตัวหญิงสาว “พี่บอกแพรแล้วใช่ไหม ว่าหลังจากงานแต่งงาน พี่จะไม่ยอมห่างแพรแม้แต่วินาทีเดียว...”
พิชชาภางอตัวหนีเมื่ออัศวินจูบขมับเธอแผ่วเบา “แต่นี่ดึกมากแล้วนะคะ แพรก็ง่วงแล้วด้วย พี่วินก็ยังไม่ได้อาบน้ำ..”
อัศวินทำเสียงจุ๊ปากไม่ให้เธอพูดต่อ แล้วหมุนร่างเธอให้หันมาทางเขา ยื่นมือไปปัดปอยผมหยักศกสลวยที่ละใบหน้าออกพลางไร้แก้มนวลของเธอไปมา เลื่อนไปที่ลาดไหล่และไล่ไปตามแขนเปล่าเปลือยไล้ขึ้นลงอย่างห้ามใจไม่อยู่ “แพรกลัวพี่เหรอ...” เขาถามอย่างรำพัน
พิชชาภาสูดหายใจเข้าลึก พยักหน้าเบา ๆ ยิ่งเขาสัมผัสแตะต้องยิ่งสร้างความหวั่นไหวหวาบหวามเหมือนกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นปราดไปทั่วทุกอนูเรือนกาย ยิ่งแนบสนิทใกล้ชิดกันบนเตียงแบบนี้ เธอยิ่งอ่อนไหวคอยจะผ่อนอารมณ์ตามเขาอยู่ร่ำไป
อัศวินพยายามค่อยเป็นค่อยไปกับเธอ แม้ร่างกายเขาตอนนี้แทบจะร้อนรุ่มแผดเผาเพราะไฟปรารถนาดิบเถื่อนที่กำลังเดือดพล่านรอการปลดปล่อยออกมา
“แพรไม่ต้องกลัวพี่นะ...แค่ไว้ใจพี่ แล้วปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามความรู้สึก ความต้องการ...” เขาบอกเธอเสียงแหบพร่า โน้มน้าวใจให้คนฟังยินยอมผ่อนตาม
“แต่แพร...” เสียงเธอแปร่งพร่าไม่แพ้กัน “แต่แพรยังไม่พร้อม...”
มือใหญ่ของอัศวินยังคงสัมผัสลูบไล้ไปตามแผ่นหลังผ่านชุดนอนเนื้อบาง เขาลากมือลงไปเรื่อย ๆ จนถึงต้นขานวลเนียนก่อนจะสอดมือเข้าไปสัมผัสเนื้อแท้จนร่างบางที่สะดุ้งน้อย ๆ มือของเธอคว้ามือเขาเอาไว้
“พี่วิน...”
อัศวินรู้ดีว่าตอนนี้เธอกำลังกลัวแต่ก็อยู่ในอารมณ์ต้องการเขาเช่นกัน และเขาจะไม่ปล่อยให้คืนแต่งงานคืนแรกต้องเสียเปล่า “ขอให้พี่ได้รักแพรนะคนดี อย่าห้าม อย่าฝืนพี่อีกเลยนะ...” เลือดในกายที่เดือดพล่านทำให้เขาหมดความยับยั้งช่างใจอีกต่อไป เขาพลิกตัวเองให้อยู่เหนือร่างเธอ เห็นสีหน้าตกตะลึงและกำลังเผยอริมฝีปากร้องห้าม แต่เขาปิดกั้นคำพูดนั้นไว้ด้วยจูบหวานล้ำที่จะทำให้เธอจดจำคืนนี้ไปอีกนานแสนนาน
<><><><><><><><><><><><><><><><>
คุณ Zephyr ขอบคุณที่เข้ามาคอมเม้นท์ให้ทุกตอนเลยนะคะ จีน่าจะหาเรื่องทำอะไรอีกอย่าลืมติดตามนะค้า
คุณ lamyong มาดูกันค่ะว่าสองคนนี้ใครจะคิดได้ร้ายกาจกว่ากัน หุหุหุ
เสน่ห์รักคล้องใจ ตอน 12
เกือบตีหนึ่งแล้ว...แต่พิชชาภาก็ยังคงนอนไม่หลับ กระสับกระส่ายพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงใหญ่ในห้องสวีทโรงแรมของอัศวิน
เธอเด้งตัวลุกขึ้นมานั่ง เอื้อมมือไปเปิดไฟที่หัวเตียง แล้วถอนหายใจพรืดยาว “เมื่อไรเธอจะหลับได้สักทียัยแพร ฉันเบื่อที่จะนั่ง ๆ นอน ๆ แล้วนะ” เธอบ่นกับตัวเองด้วยความหงุดหงิด พรุ่งนี้เป็นวันแต่งงานของเธอกับอัศวิน พิธีหมั้นจะเริ่มจัดตั้งแต่เช้า แล้วเธอมีนัดช่างแต่งหน้าทำผมตอนตีสี่ แต่นี่ตีหนึ่งเข้าไปแล้วเธอยังตื่นแต้นจนนอนไม่หลับและพรุ่งนี้เธอจะมีแรงรับแขกตั้งแต่เช้าถึงเย็นได้ยังไงกัน
พิชชาภาถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นไปเปิดไฟในห้อง เดินไปที่ตู้เย็นหยิบน้ำมาดื่มดับกระหาย จากนั้นก็กลับไปนั่งแปะที่ปลายเตียงอย่างเซ็ง ๆ เธอจ้องทีวีที่ติดบนผนังกำแพงตรงหน้า คิดว่าถ้าลองเปิดทีวีดูไปด้วยนอนไปด้วยเสียงทีวีอาจจะทำให้หลับก็เป็นได้
ยังไม่ทันที่เธอจะหยิบรีโมทเปิดทีวี เสียงเคาะประตูเบา ๆ จากห้องที่ติดอยู่ข้างกันก็ทำเอาหัวใจเธอเต้นตึกตัก เธอเดินออกไปที่ห้องนั่งเล่น เปิดไฟกลางห้อง แล้วก็ได้ยินเสียงของอัศวินดังผ่านประตูเข้ามา
“แพร...แพรยังไม่นอนอีกเหรอ...”
พิชชาภาเดินกลับไปกลับมา คิดอยู่ว่าจะตอบกลับเขาไปดีไหม แล้วดึกดื่นอย่างนี้ทำไมเขายังไม่นอนอีก
“แพรจ๋า...แพรก็นอนไม่หลับเหมือนพี่ใช่ไหม...”
เธอเม้มปาก กอดอก จ้องประตูอย่างลังเล ทำปากอ้า ๆ หุบ ๆ จะพูดก็ไม่กล้าพูด
“พี่รู้นะว่าแพรอยู่ตรงนั้น ถ้าแพรยังไม่หลับ...ขอพี่เข้าไปคุยด้วยได้ไหม...”
พิชชาภารีบตอบกลับไปทันที “แต่นี่มันดึกแล้วนะคะ อีกอย่างแม่รุ้งบอกว่าเราไม่ควรเจอกันจนกว่าจะถึงพิธีหมั้นพรุ่งนี้เช้า พี่วินกลับไปนอนเถอะค่ะ” พูดจบ เธอก็ได้ยินเสียงโอดครวญมาจากอีกฟากประตู
“พรุ่งนี้เราก็จะแต่งงานกันอยู่แล้ว พี่ไม่ถือเรื่องนั้นหรอกจ้ะ แพรให้พี่เข้าไปหน่อยนะ ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้เจอแพรตั้งหลายวัน พี่คิดถึงแพรจะแย่อยู่แล้ว” น้ำเสียงอ้อนวอนเต็มที่
หญิงสาวอมยิ้มให้ประตู “ขี้โม้..”
“แพรไม่ตอบพี่ถือว่าแพรอนุญาตน้า...” เขาทำเสียงลากยาว “พี่เข้าไปล่ะนะ”
“เดี๋ยวค่ะ!” เธอร้องห้าม และวิ่งไปที่ประตูเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเธอยังไม่ได้ล็อค แต่ก็ไม่ทันเสียงคลิ๊กของลูกบิด ก่อนที่ประตูเชื่อมห้องจะเปิดออก และร่างใหญ่ในชุดนอนของอัศวินก็เดินเข้ามาข้างใน
อัศวินยิ้มเผล่เมื่อได้เข้ามาในห้องหญิงสาว แต่แล้วร่างทั้งร่างก็เกร็งขึง ดวงตาเบิกกว้าง อ้าปากค้าง เมื่อมองร่างสมส่วนของพิชชาภาในชุดนอนผ้าซานตินสายเดี่ยวสีฟ้ากับกางเกงขาสั้น ผมเป็นลอนของเธอแผ่สยายกลางหลัง แสงไฟส่องกระทบผิวขาวนวลเนียนจนเขาเผลอไผลมองกวาดขึ้นลงไปทั่วร่าง
แล้วหัวใจเขาก็แทบหยุดเต้นเมื่อสายตาเลื่อนมาหยุดตรงที่หน้าอกอวบอิ่มเผยให้เห็นเนินอกภายใต้ชุดนอนผ้าบาง ๆ...เธอไม่ได้ใส่เสื้อชั้นใน!
หญิงสาวหน้าแดงซ่านไปถึงใบหู ความร้อนแผ่กระจายไปทั่วร่างเมื่อสายตาคมเข้มที่กำลังตกตะลึงพรึงเพริดมองเธอฉายแววพึงพอใจ
พิชชาภาที่เพิ่งหายมึนงงรีบยกมือขึ้นปิดบังร่างกาย นึกขึ้นได้ว่าตัวเองนั้นแต่งตัวไม่เรียบร้อยจึงรีบหมุนตัวกลับทำท่าจะวิ่งเข้าห้องนอน
“เดี๋ยวก่อนแพร!” เท้าก้าวเข้าไปหาเธอหนึ่งก้าว “พี่ขอโทษ พี่ไม่รู้ว่าแพร...” ริมฝีปากเขายิ้มเคลิบเคลิ้ม “จะสวยขนาดนี้....เอ่อ...” เขากระแอมเล็กน้อย “จะอยู่ในชุดนอนวาบหวิวแบบนี้...” เสียงแหบพร่า ประกายตาร้อนแรงแม้จะมองเธอจากทางด้านหลัง
“พะ แพร...ไปเอาเสื้อคลุมก่อนนะคะ อุ๊ย!” เธอร้องอุทานเมื่อวงแขนของอัศวินโอบรอบเอวบาง ร่างใหญ่แนบแผ่นหลัง ศีรษะของเขาโน้มลงมาจนคางวางอยู่บนหัวไหล่กลมกลึงของเธอ
หญิงสาวได้แต่ยืนนิ่งเป็นหิน ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ
“พี่แทบจะรอให้ถึงเช้านี้ไม่ไหวแล้วรู้ไหม...อยากข้ามขั้นไปถึงตอนส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวเลยได้ยิ่งดี” เขาพูดเสียงต่ำชิดลำคอ จมูกโด่งปัดผ่านใบหูสะอาดแล้วกดเบา ๆ ที่หลังใบหูนั่น
พิชชาภาขนลุกซู่ ย่นคอหนีแล้วหมุนตัวหันมาประชันหน้าเขา มือยันแผงอกกว้างเขาเอาไว้ “อย่าทำแบบนี้เลยนะคะ พี่วินกลับห้องไปดีกว่าค่ะ” แต่เสียงสั่นสะท้าน ลมหายใจติดขัด
“พี่ทำอะไร...พี่แค่อยากกอดแพร อยากจูบแพรให้ชื่นใจบ้างเท่านั้นเอง” เขายื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มเธอฟอดใหญ่ มือคว้าเอวหญิงสาวเข้ามาประชิดตัว ระหว่างเขาและเธอมีแค่เพียงมือเล็ก ๆ กางกั้น
“ไหนพี่วินบอกว่าอยากจะคุยกับแพรแค่นั้นไงคะ” เธอเบี่ยงหน้าหนีจูบเขาที่กำลังประทับลงมาบนริมฝีปาก
อัศวินเหมือนคนไม่ได้สติ เมื่อจูบริมฝีปากไม่ได้ เขาก็เลื่อนไปตามเชิงกราน ไล่ลงต้นคอหอมกรุ่น ผ่านไปตามลาดไหล่ “ก็ใครให้แพรสวยยั่วยวนใจพี่แบบนี้กันล่ะ พี่ก็อดใจไม่ไหวไม่คงไม่คุยมันแล้วน่ะสิ”
คำชมกลาย ๆ นั่นทำเอาขาของเธออ่วนปวกเปียกเป็นขี้ผึ้งจนเขาต้องประคองร่างเธอเอาไว้แนบอก ชีพจรเต้นแรงแข่งกับทรวงอกของเธอที่สะท้อนหอบขึ้นลงขณะที่ริมฝีปากของอัศวินยังคงไล่จูบไปทั่วใบหน้าและลาดไหล่ตนเอง แต่เธอก็พยายามกัดฟันบอกเขาด้วยเสียงอ้อแอเต็มที
“อีกวันเดียวเท่านั้นค่ะ...อีกวันเดียวพี่วินก็จะได้อยู่กับแพรทุกวันทุกคืน...แต่คืนนี้...แพรขอนะคะ”
อัศวินพ่นลมหายใจยาว แนบหน้าผากตนเองกับของหญิงสาว จังหวะหายใจเขายังหอบกระชั้นขณะพยายามตัดใจอย่างสุดความสามารถที่จะไม่ทำตามความต้องการของตัวเอง
ชายหนุ่มหลับตาเพียงครู่ ก่อนจะลืมตาอีกครั้งพลางใช้สองมือประคองแก้มนวลที่กำลังแดงปลั่ง “แพรร่ายมนต์อะไรใส่พี่ หืมม...อีกไม่นานแพรคงจะทำเอาพี่เสียศูนย์กลายเป็นแมวเซาให้แพรเกาคางเล่นแน่ ๆ”
พิชชาภายิ้มกลั้วหัวเราะกับคำเปรียบเปรยของอัศวิน “แพรจะคอยดูค่ะ ว่าพี่วินจะเป็นแมวเซาแบบนี้ไปได้นานสักเท่าไรกันเชียว”
“นานตราบเท่าที่แพรต้องการเลยจ้ะ” เขายิ้มกว้าง สบตาเขินอายของเธอพลางใช้นิ้วโป้งลูบไล้แก้มนวลไปด้วย จากนั้น เขาก็ดึงเธอเข้ามากอด แล้วก็ถอดถอนใจ
“ทำไมต้องมีงานแต่งด้วยนะ จดทะเบียนสมรสอย่างเดียวก็สิ้นเรื่อง”
“งานแต่งงานจัดขึ้นก็เพื่อให้ผู้ใหญ่และทุกคนรับรู้ มีน่ะดีแล้วค่ะ ใครต่อใครจะได้รู้ว่าตอนนี้พี่วินไม่ได้โสดอีกต่อไปแล้ว” น้ำเสียงติดจะหวง
อัศวินคลายอ้อมกอด ยิ้มหน้าบานแฉ่ง “แพรจ๋า แพรไม่ต้องห่วงหรือหึงพี่หรอกนะจ๊ะ พี่บอกแพรแล้วไงพี่น่ะมีแพรคนเดียว ไม่มีผู้หญิงอื่นคนไหนมาทำให้พี่หวั่นไหวได้หรอกจ้ะ”
พิชชาภาหน้าร้อนผ่าวที่เขารู้ทันความคิด เธอผลักอกเขาออกห่างอย่างอาย ๆ “ไม่เอาแล้วค่ะ แพรไม่คุยกับพี่วินแล้ว พี่วินกลับห้องไปดีกว่า แพรง่วงนอนแล้ว” พูดไม่เต็มเสียง ก้มหน้าหลุบซ่อนนัยน์ตา
ชายหนุ่มหัวเราะร่า “โอเค ๆ พี่ไปก็ได้...แต่ก่อนจะไป” เขาเชยคางเธอขึ้นเพื่อให้สบตากับเขา “ขอจูบมัดจำสักหน่อยแล้วกันนะ” พูดเสร็จ เขาก็ไม่รอให้เธอคัดค้าน ก้มลงสัมผัสริมฝีปากกับเธอแผ่วเบา เขาอ้อยอิ้งคลึงเคล้าริมฝีปากบางที่ตอบรับจูบของเขาอยู่พักใหญ่ ก่อนจะค่อย ๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย
“หลังจากส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวคืนนี้...พี่จะไม่ยอมอยู่ห่างแพรแม้แต่วินาทีเดียว...” เขากระซิบเสียงพร่า แววตาทอประกายหมายมั่น คล้ายกับหมาป่าใจร้ายกำลังมองหนูน้อยหมวกแดงตาเป็นมัน จากนั้นเขาก็เดินตรงไปที่ประตูเชื่อม แล้วออกจากห้องไปโดยที่ไม่ได้หันกลับมามอง ทิ้งให้พิชชาภายืนแข็งเป็นรูปปั้น ร่างกายร้อนวูบวาบกับประโยคทิ้งท้ายของเขา จากที่นอนไม่หลับอยู่แล้ว คืนนี้เธอคงได้นอนตาค้างทั้งคืนจนเช้าแน่ ๆ
หลังจากแขกผู้ใหญ่กลุ่มสุดท้ายถ่ายรูปกับคู่บ่าวสาวและครอบครัวทั้งสองฝ่ายที่ด้านหน้าสถานที่จัดงานแต่งงานในสวนของโรงแรมเสร็จเรียบร้อยแล้ว อัศวินก็แทบจะร้องโอดครวญหมดแรงเดินลากขาไปนั่งแปะที่เก้าอี้แล้วบ่นพึมพำกับมารดา
“นี่แม่เชิญแขกจากทั่วประเทศมาหรือเปล่าครับเนี่ยถึงได้มากันเยอะแยะขนาดนี้”
“ไม่ได้สิ งานแต่งงานวินกับหนูแพรทั้งทีก็ต้องประกาศให้คนเขารู้กันทั่ว นี่แม่ยังจะให้นิตยสารเว็ดดิ้งเขามาสัมภาษณ์เรากับหนูแพรอาทิตย์หน้านี้อีกนะ วันนี้เขาก็เลยให้ช่างภาพมาเก็บบรรยากาศงานแต่งไปก่อน”
“ห๊า!” อัศวินร้องเสียงหลง “แล้วทำไมแม่ไม่ปรึกษาผมกับแพรก่อนล่ะครับ บางทีแพรอาจจะไม่อยากให้สัมภาษณ์ก็ได้” เขาทำหน้าเหนื่อย
“แหม แม่รู้หรอกว่าวินต้องบ่น แม่ก็เลยคุยกับหนูแพรไว้เรียบร้อยแล้ว และหนูแพรก็โอเคแล้วด้วย” อมลวรรณยิ้มอย่างคนเหนือกว่า
“แพรเขาตอบตกลงเพราะเกรงใจแม่หรือเปล่า” เขาเลิกคิ้วข้างหนึ่งเป็นเชิงสงสัย
“ไม่ใช่สักหน่อย หนูแพรทั้งยินดีและเต็มใจเลยต่างหากจ้ะ” พูดเสร็จก็ทำเสียงจุ๊ปาก บุ้ยหน้า “วินนี่ชอบขัดใจแม่จังเลย นี่ถ้าแม่ไม่พาวินไปเจอหนูแพร วันนี้วินจะได้แต่งงานมีความสุขแบบนี้ไหม” หล่อนสะบัดหน้าพรืด
อัศวินคลี่ยิ้ม เห็นอาการงอนกระเง้ากระงอดของมารดาเป็นเรื่องขำ เขาเดินเข้าไปหาแล้วโอบกอดร่างท้วมของหล่อนไว้ แล้วหอมแก้มยุ้ยของหล่อนฟอดใหญ่ “ขอบคุณครับแม่ที่หาผู้หญิงถูกใจมาให้ผม ถ้าผมไม่เชื่อแม่ ผมก็คงไม่มีความสุขเหมือนอย่างตอนนี้” เขาพูดพลางเลื่อนสายตาไปมองพิชชาภาที่กำลังคุยออกรสชาติอยู่กับกลุ่มเพื่อน ๆ ของเธอ แล้วเขาก็เผลอยิ้ม จังหวะนั้นเหมือนหญิงสาวจะรู้ตัวว่าถูกมอง เธอหันหน้ามาทางเขา ส่งยิ้มน้อย ๆ มาให้...สองสายตาประสานสบกันนิ่งราวกับไม่สามารถถอนสายตาจากกันและกันได้
“วิน...แม่มีเรื่องอยากจะสารภาพ” อมลวรรณโพล่งขึ้นมา อัศวินจึงละสายตาจากเจ้าสาว หันมายิ้มให้มารดา
“ถึงกับต้องสารภาพกันเลยเหรอครับ”
หล่อนทำหน้ารู้สึกผิด “อืม...มันก็...เกี่ยวกับเรื่องแต่งงานของวินด้วยนี่แหล่ะ”
อัศวินยังคงยิ้ม ไม่ได้แปลกใจอะไรมากนัก “แล้วแม่มีเรื่องอะไรจะสารภาพกับผมเหรอครับ”
“ก็เรื่อง...” หล่อนอึกอักเล็กน้อย ก่อนตอบ “เรื่องที่แม่ป่วยเป็นมะเร็งน่ะ”
พอได้ฟังว่าเรื่องอะไร อัศวินก็ต้องร้อง “อ๋ออ...” ริมฝีปากได้รูปยิ้มกว้าง เข้าใจในสิ่งที่มารดาจะบอกทันที
อมลวรรณขมวดคิ้ว “วินยิ้มอะไร ทำอย่างกับรู้ว่าแม่จะบอกอะไรอย่างนั้นแหล่ะ”
เขาหัวเราะลงคอ “ก็รู้น่ะสิครับ ผมเป็นลูกแม่มาตั้งสามสิบห้าปี มีเหรอที่ผมจะไม่รู้ว่าแม่คิดอะไร”
เมื่อเห็นว่ามารดายังทำหน้าไม่เข้าใจ เขาจึงต้องขยายความ “วันที่แม่บอกผมว่าป่วยเป็นมะเร็งและอยากให้ผมรีบแต่งงานเพราะอาจจะอยู่ได้ไม่นาน ตอนนั้นบอกตรง ๆ ว่าผมกลัวมากเลยยอมทำตามใจแม่ แต่หลังจากวันประกาศหมั้นที่บ้านของแพร ผมก็รู้สึกว่าอาการของแม่ดีขึ้นเหมือนกับคนไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงอะไรเลย”
อมลวรรณยิ้มแห้ง ๆ “นี่ลูกสังเกตเห็นด้วยเหรอ”
“ผมก็เป็นห่วงแม่น่ะสิครับ เลยคอยสังเกตอาการของแม่ตลอด แต่พอเห็นแม่ดูเหมือนไม่มีอาการอะไรเลย ดูปกติเสียจนผิดสังเกต ผมก็เลยรู้สึกสงสัยและหาโอกาสไปคุยกับอาหมออีกครั้งโดยที่ไม่ได้บอกแม่ พอผมเค้นถามหนัก ๆ เข้าอาหมอก็ดูพิรุทจนในที่สุดก็ยอมบอกความจริงทุกอย่าง” อัศวินยิ้มพราวกับแผนการจับลูกชายแต่งงานของมารดา
“แม่ขอโทษนะ วิน...ไม่โกรธแม่ใช่ไหมลูก...” น้ำเสียงอ่อนระโหย
“เพราะแม่โกหก ผมถึงได้ผู้หญิงดี ๆ มาเป็นศรีภรรยา อย่างนี้แล้วจะให้ผมโกรธแม่ลงอีกเหรอครับ” เขาก้มลงหอมที่แก้มมารดาอีกฟอด ก่อนจะตีสีหน้าเครียด “แต่แม่อย่าโกหกผมแบบนี้อีกนะครับ เรื่องเจ็บป่วยกับเรื่องความตายผมไม่อยากให้แม่เอามาล้อเล่น”
หล่อนยิ้มแหย ๆ สีหน้าสำนึกผิด “แม่ขอโทษนะ ต่อไปแม่จะไม่โกหกวินแบบนี้อีกแล้ว” ขอโทษขอโพย แต่ก็ไม่วายเย้าแหย่ลูกชาย
“ก็วินเองนั่นแหล่ะ เล่นตัวเสียเหลือเกินนี่นา ถ้าแม่ไม่โกหกวิน ปานนี้วินก็คงยังอยู่กับแม่จีสตริงปลิงดูดเลือดนั่น”
“แต่ตอนนี้ผมก็เป็นฝั่งเป็นฝาแล้ว แล้วผู้หญิงคนนั้นก็เป็นคนที่แม่ถูกใจ แม่มีความสุขหรือยังครับ” เขาถามพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น โอบไหล่มารดา
“จ้ะ มีความสุข แต่ถ้าจะให้แม่มีความสุขที่สุด วินกับหนูแพรต้องรีบมีหลานให้แม่เร็ว ๆ นะ”
อัศวินยิ้มกรุ้มกริ่ม สายตาเหลือบไปมองพิชชาภาด้วยแววตามีความหมายพลางกระซิบบอกมารดา “ผมไม่ทำให้แม่ต้องรอนานแน่นอนครับ”
พิชชาภาที่ยังอยู่ในชุดเจ้าสาวกำลังนั่งตัวเกร็งที่หน้ากระจกในห้องนอนใหญ่เพนท์เฮ้าส์ของอัศวินหลังจากเสร็จสิ้นพิธีส่งตัวบ่าวสาวได้สักพักใหญ่ และตอนนี้อัศวินกำลังล่ำลาส่งเพื่อน ๆ อยู่ที่หน้าห้องและคงจะกลับเข้ามาในอีกไม่ช้า
หญิงสาวสูดหายใจเข้าออกลึก ๆ เพื่อพยายามข่มอาการตื่นเต้น มืออันเย็นเฉียบของเธอบิดกันไปมาบนหน้าตัก หูก็คอยระแวงพลางสะดุ้งทุกครั้งที่ได้ยินเสียงก๊อกแก๊กที่หน้าประตู
“ใจเย็น ๆ ยัยแพร ไม่เห็นมีอะไรต้องตื่นเต้นเลย” เธอพึมพำปลอบตัวเองอยู่หน้ากระจก แต่ในใจกลับไม่ได้สงบเหมือนคำปลอบใจที่พูดเมื่อครู่ ถึงแม้จะเตรียมตัวเตรียมใจมาหลายอาทิตย์ แต่พอเอาเข้าจริง เธอทั้งหวาดหวั่น ประหม่า ตื่นเต้นจนไม่เป็นอันทำอะไร ยิ่งพอนึกถึงว่าต้องอยู่กินฉันสามีภรรยากับอัศวินแล้ว.....
พิชชาภาหลับตาแน่น ส่ายหน้าเร็ว ๆ ราวกับต้องการเอาความคิดหวาบหวามนั้นออกไปจากหัว
เสียงหมุนลูกบิดประตูทำเอาหญิงสาวสะดุ้ง เบิกตาโต หันไปทางต้นเสียง เมื่อเห็นบานประตูแง้มเปิดช้า ๆ เธอก็รีบหันหน้าเข้าหากระจก นั่งหลังตรง ทำทีเป็นดึงเอากิ๊บดำออกจากผม สายตาก็ไม่วายเหลือบมองเขาผ่านกระจก
อัศวินปิดประตูห้องนอน เขายิ้มกว้างเมื่อเห็นเจ้าสาวของเขานั่งอยู่และไม่ได้หลบหนีหายไปไหนเหมือนอย่างที่กังวล เขาถอดพวงมาลัย ถอดเสื้อสูทและปลดหูกระต่ายออกไปวางไว้บนเตียง จากนั้นก็ปลดกระดุมเสื้อที่คอและข้อมือ เดินไปหยุดที่ด้านหลังหญิงสาว
“ให้พี่ช่วยนะ...” เขาสบตาเธอในกระจกแล้วยิ้มให้ ก่อนจะช่วยเธอดึงกิ๊บดำที่ติดอยู่บนผมเธอออก
“วันนี้แพรเหนื่อยไหม เมื่อคืนก็ไม่ค่อยได้นอน แถมยังต้องตื่นแต่เช้าวุ่นวายทั้งวัน” น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย
พิชชาภาสะดุ้งเมื่อนิ้วมืออุ่นของเขาสัมผัสผ่านใบหูเธอ รู้สึกถึงสายตาของเขาที่มองเธอในกระจก แต่เธอหลุบตาลงต่ำมองที่มือตนเอง “กะ..ก็นิดหน่อยค่ะ พี่วินล่ะคะ เหนื่อยหรือเปล่า” เสียงติดจะสั่น
อัศวินจับช่อผมของเธอที่หลุดออกมาไปวางไว้บนไหล่ข้างหนึ่ง จังหวะนั้นมือของเขาก็เผลอลูบไล้ผิวบริเวณลาดไหล่และต้นคอของเธอไปด้วย “พี่ก็เหนื่อย...เหนื่อยที่ต้องรอให้ทุกคนกลับกันไปหมดก่อนถึงจะได้อยู่กับแพรตามลำพัง”
แก้มของเธอร้อนวูบวาบกับคำตอบแฝงนัยของเขา มือใหญ่ที่ยังคงสัมผัสปัดผ่านผิวเธอทำเอาเธอนั่งไม่ติด พิชชาภาลุกขึ้นยืนกะทันหัน “แพรว่าแพรทำเองดีกว่า...” เธอสบตาเขาในกระจก ยิ้มประหม่า “พี่วินไปอาบน้ำก่อนเถอะค่ะ...”
“ไม่เอาหรอก เดี๋ยวพี่ไปอาบน้ำแพรก็เผลอหลับก่อนน่ะสิ นี่ก็เกือบห้าทุ่มแล้วด้วย”
“ไม่หรอกค่ะ แพรจะเผลอหลับไปทั้งชุดนี้ได้ยังไงกัน” พูดเสร็จเธอก็เดินเบี่ยงเขาไปที่ตู้เสื้อผ้า “ผ้าขนหนูพี่วินอยู่ไหนคะเดี๋ยวแพรหยิบให้ พี่วินไปอาบน้ำให้สบายตัวก่อนดีกว่าค่ะ เพราะกว่าแพรจะทำธุระของแพรเสร็จพี่วินก็อาบน้ำเสร็จพอดี ว๊าย...”
พิชชาภาร้องอุทานเมื่อวงแขนของอัศวินโอบกอดเธอจากด้านหลัง ใบหน้าของเขาซุกไซ้อยู่ตรงลำคอ “แพรตัวหอมจังเลย หอมจนพี่แทบอดใจไม่ไหวแล้วรู้ไหม...” เขากดจมูกที่ซอกคอเธอ หญิงสาวย่นคอหนี ขนของเธอลุกซู่ พยายามดึงตัวออกห่างแต่วงแขนดั่งปลอกเหล็กของเขากลับรัดแน่นขึ้นไม่ให้เธอไปไหน
“พี่วินคะ...ปล่อยแพรก่อนเถอะค่ะ” เสียงเธออ่อนแรงเต็มที
อัศวินยังคงไล่ริมฝีปากและจมูกไปทั่วแผ่นหลังและต้นคอเธอ ลมหายใจเขาติดขัด เมื่อจู่ ๆ ความต้องการในตัวหญิงสาวก็ระเบิดพลุ่งพล่าน เธอเหมือนกับปรอทร้อน ๆ ในอ้อมแขนเขา ทำให้ความยับยั้งช่างใจเขาขาดผึง
“ให้พี่ช่วยถอดชุดให้นะ...” พูดเสียงแหบพร่าแทบจะเป็นขาดหาย มือเขาเลื่อนไปที่ซิบกลางหลังกำลังจะรูดซิบลง
พิชชาภารีบหันหน้ากลับมา ลมหายใจหอบถี่ไม่แพ้ชายหนุ่ม “ไม่เป็นไรค่ะ แพรทำเองได้”
“แต่พี่อยากช่วย...”
“แต่แพร...”
คำพูดของเธอถูกกลืนหายในลำคอเมื่ออัศวินประกบริมฝีปากเข้ากับเธอ ร่างบางสั่นสะท้านราวกับโดนสายฟ้าฟาดขณะริมฝีปากของเขาบดเคล้าคลอเคลีย กลิ่นกายของเขาช่างเย้ายวนใจจนเธอต้านทานเขาไม่ไหว ปล่อยตัวเองให้เคลิบเคลิ้มกับจูบอันแสนหวานน่าพึงใจ ความต้องการที่จะหยุดการกระทำของเขาปลิวหายไปจากความรู้สึกเมื่อมือใหญ่เฝ้าคอยลูบไล้ต้นแขนและแผ่นหลังเปล่าเปลือย
“พี่รักแพรนะ...” อัศวินกระซิบแนบชิดริมฝีปาก “พี่ไม่เคยคิดเลยว่าจะรักใครได้มากเท่านี้....เพียงแค่เวลาไม่กี่เดือนที่เราคบกัน” เขายังคงจูบเธอไม่ยอมห่างหาย จมูกโด่งและริมฝีปากปัดป่ายไปทั่วใบหน้านวล
ร่างทั้งร่างของพิชชาภาแทบอ่อนระทวยในวงแขนแข็งแรงหลังจากได้ยินคำรักจากปากชายหนุ่ม เธอไม่แน่ใจว่าคำรักนั่นกลั่นออกมาจากใจจริงของเขาหรือเป็นเพียงแค่ความต้องการทางร่างกายที่ผลักดันให้เขาพูดออกมา แต่มันก็ทำให้หัวใจดวงน้อย ๆ ของเธอเต้นระส่ำ เรียกเลือดฉีดแก้มเธอจนร้อนวูบวาบ ไม่คาดคิดว่าวันหนึ่งผู้ชายที่เธอเคยแอบรักแต่เขาไม่เคยสนใจ มาวันนี้ กลับมอบคำรักให้เธอได้อย่างง่ายดาย
“พี่วิน...รักแพรจริง ๆ เหรอคะ” เธอถามไม่เต็มเสียง
อัศวินถอนริมฝีปาก สบตาเธอมั่น “พี่รักแพร รักอย่างที่ไม่เคยรักใครมาก่อน พี่แพ้ความน่ารักและความจริงใจของแพร ผู้หญิงคนอื่นที่ผ่านมาในชีวิตพี่ไม่มีใครทำให้ใจพี่หวั่นไหวได้เท่านี้...“ เขาทำท่าจะก้มลงจูบเธออีกครั้งแต่หญิงสาวกลับเบี่ยงหนีแล้วซบลงที่อกกว้างเขาแทน
เธอหลับตาพริ้ม รอยยิ้มแตะแต้มบนเรียวปากบางขณะแนบหูฟังเสียงหัวใจของเขาที่เต้นรัวแรง เธอถอนหายใจอย่างเป็นสุขเมื่อความรักที่เธอโอบอุ้มปกป้องเอาไว้ผลิบานพร่างพรายขึ้นในใจเธออีกครั้ง
“พี่รักแพร แล้วแพรล่ะ รักพี่บ้างไหม...”
“ถึงขั้นนี้แล้วพี่วินยังไม่รู้อีกเหรอคะว่าแพรรู้สึกยังไง” น้ำเสียงน้อยใจ แต่ก็ไม่ได้ถอยห่าง
อัศวินเชยคางเธอขึ้นเพื่อสบตา “พี่แค่อยากแน่ใจ ว่าเราสองคน มีความรู้สึกตรงกัน...” คลี่ยิ้มพลางใช้นิ้วโป้งไล้แก้มเธอแผ่วเบา
เธอยิ้มตอบเขา แววตาประกายสดใส “แพรก็รักพี่วินค่ะ รักตั้งแต่ได้เห็นหน้าพี่วินครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน พอได้เจอกันอีกครั้ง แม้ปากจะบอกว่าเกลียด แต่ในใจลึก ๆ แล้ว แพรก็รู้ตัวเองดีว่าความรู้สึกนั้นไม่เคยเปลี่ยนไปเลย...”
ริมฝีปากหนาขยับยิ้มกว้างเมื่อได้ฟังคำสารภาพหวานหู ความรักในตัวหญิงสาวล้นปรี่จนแน่นอก
“พี่ขอสัญญา ว่าพี่จะรักและดูแลแพรอย่างดี ไม่ทำให้แพรต้องเสียใจ และจะไม่ทำให้พ่อกับแม่ของแพรต้องผิดหวัง” น้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง ให้เธอรับรู้ถึงความสัตย์จริงในคำพูดของเขา
“แค่พี่วินรักและทำตัวเป็นสามีที่ดี แค่นี้แพรก็ดีใจแล้วค่ะ” พิชชาภาอมยิ้มอาย ๆ เมื่อเธอใช้คำว่า สามี
“และในเมื่อแพรตัดสินใจแต่งงานกับพี่วินแล้ว แพรก็ต้องเชื่อใจ มั่นใจในตัวพี่วิน...ถูกไหมคะ”
ดวงตาของเขาพราวแสงด้วยความรักใคร่ ก่อนจะรวบร่างหญิงสาวเข้ามากอด “ขอบใจนะที่แพรให้โอกาสพี่”
พิชชาภายกสองมือโอบรอบตัวเขา ซึมซับความอบอุ่นที่ส่งผ่านจากตัวเขามาถึงเธอ มีความสุขเหลือเกินที่ได้อยู่ในอ้อมแขนของผู้ชายคนนี้
เธอคลายอ้อมกอด ยิ้มให้เขา “แพรว่าพี่วินไปอาบน้ำเถอะค่ะ แพรยังต้องเช็ดเครื่องสำอางค์อีกนาน”
“ถ้าอย่างนั้นพี่รอแพรก่อนแล้วกัน” เขาตอบพร้อมรอยยิ้มพราย
“รอทำไมคะ” เลิกคิ้วสงสัย
“ก็...” อัศวินก้าวเข้าไปใกล้ กระซิบชิดใบหูเธอ “ก็เราจะได้อาบน้ำด้วยกันไง”
พิชชาภาผงะหนี หน้าแดงปลั่งด้วยความอาย “บ้า ใครบอกว่าแพรจะอาบน้ำกับพี่วิน” เธอทำเป็นเดินหนีไปที่โต๊ะหน้ากระจก หยิบอุปกรณ์ทำความสะอาดเครื่องสำอางค์ ครีมบำรุงต่าง ๆ เอาเข้าไปไว้ในห้องน้ำ โดยที่อัศวินก็ยังเดินตามเธอไม่ลดละความตั้งใจ
“ไม่เห็นต้องอายเลย เราสองคนเป็นสามีภรรยากันแล้วนะ”
“แต่แพรอายหนิคะ ไม่เอาด้วยหรอกค่ะ ถ้าพี่วินไม่อาบงั้นแพรอาบก่อนแล้วกัน” เธอบอกปัดพร้อมกับผลักเขาที่ยืนกันท่าอยู่หน้าประตูห้องน้ำให้ถอยออกไป อัศวินรีบยกมือดันประตูเอาไว้
“น่า นะ อาบน้ำด้วยกันนะ” เขาหรี่ตาออดอ้อน
“ไม่เอาค่ะ แพรอาย พี่วินออกไปสิคะ” เธอพยายามผลักประตูปิดแต่ก็ต้องยื้อกับแรงดันจากอีกฝ่าย
“อาบด้วยกันพี่จะได้ขัดหลังให้แพรด้วยไง โรแมนติกดีออกน้า...” เขาเม้มริมฝีปากสนิทราวกับหมายมั่นปั้นมือ
พิชชาภาถึงกับขนลุกเกรียว เธอใช้แรงเฮือกสุดท้ายผลักประตูดันเขาให้พ้นหน้าห้องน้ำ พอประตูปิดสนิท เธอก็รีบกดล็อคประตูทันที
เธอถอนหายใจดังเฮือก พิงหลังกับบานประตู แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งกับเสียงแปร่งพร่าของเขาที่กระซิบลอดผ่านประตูเข้ามา
“อย่าคิดนะว่าแพรจะหนีพี่พ้น...เดี๋ยวพี่จะนอนเล่นรอแพรอยู่บนเตียง...แพรออกมาจากห้องน้ำเมื่อไรล่ะก็...” เขาหยุดคำพูดไว้แค่นั้น แววตาประกายขบขันเมื่อได้ยินเสียงอุทานดังออกมาจากด้านใน เขาหัวเราะเบา ๆ แล้วเดินไปเก็บเสื้อผ้าที่วางอยู่บนเตียงไปใส่ตะกร้า ปัดเศษกลีบกุหลาบสีแดงลงบนถังขยะก่อนจะเอนกายนอนลงบนเตียง ใช้สองมือรองศีรษะเป็นพนักพิง สายตาจับจ้องไปที่ประตูห้องน้ำแล้วก็เผลอยิ้ม
“เฮ้อ...ถ้ารู้ว่าแต่งงานแล้วมันดีอย่างนี้ เชื่อแม่ไปตั้งนานแล้ว”
พิชชาภาจับปมผ้าขนหนูที่หน้าอกไว้แน่นขณะค่อย ๆ เปิดประตูห้องน้ำออกช้า ๆ เห็นไฟในห้องนอนยังเปิดสว่าง เธอจึงชะโงกหน้าแล้วมองไปบนเตียงหลังใหญ่ ร่างของอัศวินที่ยังอยู่ในชุดแต่งงานกำลังนอนตะแคงทำให้เธอมองไม่เห็นใบหน้าเขาว่ากำลังหลับอยู่หรือไม่
เธอพยายามเดินให้เงียบที่สุด ย่องเบา ๆ ไปที่กระเป๋าเสื้อผ้าที่วางอยู่ปลายเตียง สายตาก็คอยมองอัศวินไปด้วย เธอรีบหยิบชุดนอนออกมาแล้วเดินกลับเข้าไปห้องน้ำเพื่อแต่งตัวให้เรียบร้อย สิบห้านาทีให้หลัง เธอก็ค่อย ๆ แง้มประตู มองไปที่เตียง เธอถอนหายใจโล่งอกที่เห็นว่าเขายังคนนอนอยู่ท่าเดิม ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอทำให้เธอเธอมั่นใจว่าเขาหลับสนิทและจะไม่ลุกขึ้นมากวนใจเธออีก
หญิงสาวทำทุกอย่างด้วยความรวดเร็วและเงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ พอเธอจัดแจงแขวนชุดแต่งงานกับไม้แขวนเสื้อแล้ว เธอก็หันไปมองดูตำแหน่งเตียงว่าเธอควรจะเดินไปนอนตรงไหน จากนั้นก็ปิดไฟ ภายในห้องมืดสนิทจนเธอต้องรอปรับสายตาให้มองเห็น แล้วพยายามคลำหาทางเดินไปที่เตียง พอมือสัมผัสกับผ้าห่ม เธอก็ค่อย ๆ ก้าวขาขึ้นมาบนเตียงสายตาก็คอยจับจ้องร่างใหญ่ที่ยังนอนนิ่ง เมื่อเห็นว่าเขายังนอนไม่ขยับ เธอก็ผ่อนลมหายใจคลายกังวล ล้มตัวลงนอนด้วยความสบายใจ
ตาของเธอหรี่ปรือกำลังจะเคลิ้มหลับ แต่แล้วก็ต้องตกใจลืมตาตื่นเมื่อมือใหญ่ของใครคนหนึ่งที่ยื่นมาพาดอยู่บนเอวแล้วดึงเธอเข้าไปกอด ร่างทั้งร่างเกร็งขืนขึ้นมาทันที
“ทำไมอาบน้ำช้าจัง พี่รอแพรตั้งนานแน่ะ” อัศวินกระซิบพึมพำ ขยับตัวเข้าไปแนบชิดแผ่นหลังของเธอ กระชับอ้อมกอดแน่น
“แพรนึกว่าพี่วินนอนแล้วเสียอีก” น้ำเสียงตื่นตระหนก
เขาหัวเราะเบา ๆ พลางสูดกลิ่นหอมจากตัวหญิงสาว “พี่บอกแพรแล้วใช่ไหม ว่าหลังจากงานแต่งงาน พี่จะไม่ยอมห่างแพรแม้แต่วินาทีเดียว...”
พิชชาภางอตัวหนีเมื่ออัศวินจูบขมับเธอแผ่วเบา “แต่นี่ดึกมากแล้วนะคะ แพรก็ง่วงแล้วด้วย พี่วินก็ยังไม่ได้อาบน้ำ..”
อัศวินทำเสียงจุ๊ปากไม่ให้เธอพูดต่อ แล้วหมุนร่างเธอให้หันมาทางเขา ยื่นมือไปปัดปอยผมหยักศกสลวยที่ละใบหน้าออกพลางไร้แก้มนวลของเธอไปมา เลื่อนไปที่ลาดไหล่และไล่ไปตามแขนเปล่าเปลือยไล้ขึ้นลงอย่างห้ามใจไม่อยู่ “แพรกลัวพี่เหรอ...” เขาถามอย่างรำพัน
พิชชาภาสูดหายใจเข้าลึก พยักหน้าเบา ๆ ยิ่งเขาสัมผัสแตะต้องยิ่งสร้างความหวั่นไหวหวาบหวามเหมือนกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นปราดไปทั่วทุกอนูเรือนกาย ยิ่งแนบสนิทใกล้ชิดกันบนเตียงแบบนี้ เธอยิ่งอ่อนไหวคอยจะผ่อนอารมณ์ตามเขาอยู่ร่ำไป
อัศวินพยายามค่อยเป็นค่อยไปกับเธอ แม้ร่างกายเขาตอนนี้แทบจะร้อนรุ่มแผดเผาเพราะไฟปรารถนาดิบเถื่อนที่กำลังเดือดพล่านรอการปลดปล่อยออกมา
“แพรไม่ต้องกลัวพี่นะ...แค่ไว้ใจพี่ แล้วปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามความรู้สึก ความต้องการ...” เขาบอกเธอเสียงแหบพร่า โน้มน้าวใจให้คนฟังยินยอมผ่อนตาม
“แต่แพร...” เสียงเธอแปร่งพร่าไม่แพ้กัน “แต่แพรยังไม่พร้อม...”
มือใหญ่ของอัศวินยังคงสัมผัสลูบไล้ไปตามแผ่นหลังผ่านชุดนอนเนื้อบาง เขาลากมือลงไปเรื่อย ๆ จนถึงต้นขานวลเนียนก่อนจะสอดมือเข้าไปสัมผัสเนื้อแท้จนร่างบางที่สะดุ้งน้อย ๆ มือของเธอคว้ามือเขาเอาไว้
“พี่วิน...”
อัศวินรู้ดีว่าตอนนี้เธอกำลังกลัวแต่ก็อยู่ในอารมณ์ต้องการเขาเช่นกัน และเขาจะไม่ปล่อยให้คืนแต่งงานคืนแรกต้องเสียเปล่า “ขอให้พี่ได้รักแพรนะคนดี อย่าห้าม อย่าฝืนพี่อีกเลยนะ...” เลือดในกายที่เดือดพล่านทำให้เขาหมดความยับยั้งช่างใจอีกต่อไป เขาพลิกตัวเองให้อยู่เหนือร่างเธอ เห็นสีหน้าตกตะลึงและกำลังเผยอริมฝีปากร้องห้าม แต่เขาปิดกั้นคำพูดนั้นไว้ด้วยจูบหวานล้ำที่จะทำให้เธอจดจำคืนนี้ไปอีกนานแสนนาน
<><><><><><><><><><><><><><><><>
คุณ Zephyr ขอบคุณที่เข้ามาคอมเม้นท์ให้ทุกตอนเลยนะคะ จีน่าจะหาเรื่องทำอะไรอีกอย่าลืมติดตามนะค้า
คุณ lamyong มาดูกันค่ะว่าสองคนนี้ใครจะคิดได้ร้ายกาจกว่ากัน หุหุหุ
เปลวหอม
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 พ.ย. 2558, 10:23:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 พ.ย. 2558, 10:49:56 น.
จำนวนการเข้าชม : 1281
<< ตอนที่ 11-2 | ตอนที่ 13 >> |
Zephyr 18 พ.ย. 2558, 00:06:32 น.
หื่นจิงวุ้ยเฮีย
รอฟังคนอื่นบ้างสิ
จับปล้ำๆๆๆ อย่างเดียวเลยอ่ะ
อาบน้ำก่อนด้วย เหม็นตุ
หื่นจิงวุ้ยเฮีย
รอฟังคนอื่นบ้างสิ
จับปล้ำๆๆๆ อย่างเดียวเลยอ่ะ
อาบน้ำก่อนด้วย เหม็นตุ
lamyong 18 พ.ย. 2558, 16:53:58 น.
ไม่ยอมให้แพรหายใจหายคอเลยนะพี่วิน
ไม่ยอมให้แพรหายใจหายคอเลยนะพี่วิน