เล่ห์รักพรางแค้น วางแผงแล้ว สนพ ทัช
ใครจะไปคิดว่าการทำภารกิจให้ปู่ กลับกลายเป็นถูกโชคชะตากลั่นแกล้งให้เขาถูกสลัดลงจากคาน ยัยซื่อบื้อนั่นน่ะหรือคือไก่วัดที่ทำให้เขากลายเป็นสมภาร
Tags: ความรัก ความหลัง

ตอน: ตอนที่ 5 ครึ่งแรก

ภายในรถเงียบกริบ มีเพียงเสียงโทรศัพท์ที่คนงานโทรมาบอกความคืบหน้า เพลิงใกล้ดับหมดแล้ว แต่ความเสียหายเป็นอย่างไร ยังไม่มีใครตอบได้ มาลินจับมือพัชนีไว้แล้วเป็นคนสั่งงานแทน จากเด็กธรรมดาๆ กลายเป็นผู้ใหญ่ในพริบตาเมื่อต้องเป็นที่พึ่งให้แม่ในเวลาเกิดปัญหา
รถเลี้ยวสู้ทางเข้าไร่ขวัญชีวา คราวก่อนไม่มีใครอยากต้อนรับ คราวนี้ดีขึ้นมาหน่อย แต่ถ้าไม่เกิดเรื่องคงดีไม่น้อย
“คุณวัตขับรถไปรออยู่ที่บ้านก่อนนะคะ เดี๋ยวลินจะไปดูที่โรงเก็บเครื่องมือกับแม่ก่อน” มาลินบอกเมื่อใกล้จะถึงบ้านแล้ว
“ไปด้วยกันนี่แหละ มีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน”
เรียวปากบางกำลังจะทัดทาน แต่ไม่ทันเมื่อภาวัตขับรถไปตามแสงไฟที่สว่าง ไม่ใช่เพราะเพลิงแต่มาจากรถดับเพลิงที่ลุงหมายโทรเรียกมาก่อนหน้านี้
รถจอดห่างออกมา ภาวัตลงจากรถแล้วช่วยมาลินประคองพัชนีที่ยืนกรานจะเข้าไปดูให้เห็นกับตาว่ามีอะไรเสียหายไปบ้าง กลิ่นเหม็นไหม้ยังอบอวล พอๆ กับไอร้อน แม้ว่าไฟจะดับหมดแล้วก็ตาม น้ำนองไปทั่วบริเวณ ไฟฟ้าที่โรงเก็บถูกตัดกันไฟดูด จึงมีแต่แสงสปอร์ตไลท์ห่างออกไปพอให้เห็นว่าอะไรอยู่ตรงไหน
“เพลิงดับได้แล้วครับ กำลังให้คนเข้าไปดูว่าเครื่องมือเสียหายมากน้อยแค่ไหนนะคุณพัช”
มาลินยกเก้าอี้มาตรงที่สว่าง “แม่พักตรงนี้นะคะ เดี๋ยวลินไปดูเอง ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้วนะ”
ดวงตาหม่นเศร้ามองลูกสาวพลางพยักหน้า มาลินยกเก้าอี้มาให้ภาวัตอีกตัวก่อนจะเดินแกมวิ่งตามลุงหมายที่ถือไฟฉุกเฉินติดมือไป แต่พอหันมาเจ้านายกลับอยู่ข้างหลังใกล้ๆ
“อ้าว! คุณวัตตามมาทำไมคะ ในนี้มีแต่เขม่าควันไฟ”
เสื้อเชิ้ตของภาวัตเลอะคราบสีดำ แต่เจ้าตัวคงไม่ทันเห็น เขามองมาแล้วแลเลยไปยังส่วนต่างๆ ที่ได้รับความเสียหาย คนงานกำลังช่วยกันเซาะร่องเพื่อระบายน้ำที่ขังออกไป เขม่าเต็มผนัง ไอร้อนยังอยู่ โชคดีว่าไม่วอดทั้งหลังเพราะมีห้องกั้นกึ่งกลาง
“ทั่วๆ ไปเสียหายไม่มากนะ แต่ในเรื่องโครงสร้างฉันคิดว่าน่าห่วงอยู่ เสาต้นนั้นร้าวมาก่อนหรือหลังไฟไหม้ แล้วยังเหล็กที่หลังคาบิดงอแบบนั้นอาจรับน้ำหนักได้ไม่เหมือนเดิม” ภาวัตชี้ไปตามจุดต่างๆ
“น่าจะเป็นหลังไฟไหม้ ใช่ไหมคะลุงหมาย”
ลุงหมายมองตาม “ครับ หนูลิน เดี๋ยวพรุ่งนี้ลุงให้คนงานเอาปูนมาโบกเสากับซ่อมที่หลังคาก็น่าจะพอได้อยู่”
“พรุ่งนี้ฉันจะให้วิศวกรที่โรงงานมาดูเรื่องโครงสร้าง ทำให้แน่ใจดีกว่านะ” ภาวัตเอ่ยแล้วเพิ่งนึกได้ว่าที่นี่ไม่ใช่โรงงานของเขา “ลุงคงไม่ว่าอะไร อย่าคิดว่าผมยุ่งไม่เข้าเรื่องนะครับ ผมแค่อยากช่วยอีกคนเท่านั้นเอง”
“จะว่าทำไม ช่วยกันหลายๆ คนสิครับดีแล้ว ว่าแต่คุณเป็นใคร หน้าคุณๆ เคยมาที่นี่มาก่อนหรือเปล่า”
ภาวัตพยักหน้าอย่าให้ต้องเล่าเลยว่ามาคราวก่อนเจออะไร
“เจ้านายของลินเองค่ะลุงหมาย” มาลินแนะนำสั้นๆ ก่อนจะสั่งเป็นการเป็นงาน “เบิกโอทีให้คนงานมานะคะ เกรงใจมาช่วยกันขนาดนี้”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ที่คุณธรรมให้คนงานยังมากกว่านี้เลย”
มาลินไหว้ลุงหมาย ภาวัตมองแล้วละมุนอยู่ในใจ ไม่ใช่เรื่องแปลกกระมังที่เธอจะไหว้ใครต่อใครที่ทำสิ่งดีๆ ให้ ไม่ใช่เพราะถูกมองว่าแก่กว่า
“ขอบคุณนะคะ เดี๋ยวลินไปดูแม่ก่อนนะ เมื่อกี้หน้าซีดจัง”
ภายนอกคนงานทยอยกลับบ้านพักกันไปแล้วเช่นเดียวกับรถดับเพลิง ความเงียบเข้ามาแทนที่ ร่างบางนั่งลงข้างเก้าอี้กอดเอวหนาๆ ไว้
“กลับกันก่อนนะคะแม่ เดี๋ยวลินมาดูอีกทีตอนเช้า”
พัชนีพยักหน้ามองลูกสาว แต่ว่าตาก็ลายเสียจนเวียนหัวหน้าเอียงพับไปกับไหล่ มาลินเรียกแม่อยู่หลายคำแต่ยังเงียบ ภาวัตรีบอุ้มร่างอ่อนปวกเปียกไปที่รถ
“ตรงนี้ค่ะ” เบาะหลังกลายเป็นเตียงจำเป็นให้พัชนีนอนซบกับตักลูกสาว “แม่เป็นยังไงบ้างคะ แม่ตอบลินหน่อย”
“คุณแม่ของเธอมีโรคประจำตัวบ้างหรือเปล่า” ภาวัตถามพลางขับรถหมายใจจะไปโรงพยาบาล ลุงหมายขับรถตามมาด้วยความเป็นห่วงอีกคน
“ไม่มีค่ะ เราไปโรงพยาบาลกันดีไหมคะ”
“ไม่ต้องหรอกลิน แม่...” พัชนีลืมตาพอจะได้สติกลับคืนมาบ้างแล้ว “แม่แค่เหนื่อยน่ะ วันนี้ยุ่งเลยไม่กินข้าวกลางวัน ข้าวเย็นด้วยก็เลยเป็นลมเท่านั้นเอง อย่าไปรบกวนเจ้านายของลินเลย กลับบ้านเรากันดีกว่า”
ปลายทางใกล้ขึ้นภาวัตจอดรถหน้าบ้านที่เขายังไม่มีโอกาสได้เข้าเพราะเคยถูกไล่เสียก่อน มาลินประคองแม่ลงมาจากรถ แต่เพียงวินาทีต่อมาร่างสูงกว่าก็ช่วยอุ้มขึ้นไปบนบ้าน ลุงหมายเห็นไม่มีอะไรแล้วก็ขอตัวกลับ มาลินรีบตามขึ้นมาบนบ้าน แม่นอนอยู่ที่เก้าอี้ไม้ตัวยาวมีหมอนรองเรียบร้อย แถมเจ้านายยังช่วยรมยาหม่องให้ เรียวปากบางค่อยยิ้มออก มืออวบอูมไม่เย็นเฉียบอย่างเมื่อครู่แล้วด้วย
“แม่ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะลิน นอนพักประเดี๋ยวเดียวก็หายแล้ว”
“ถ้างั้นลินไปทำอะไรให้กินก่อนนะคะ จะได้มีแรง”
“ทำเผื่อคุณเค้าด้วยนะลูก” พัชนีชักเกรงใจกลายเป็นพาเจ้านายของลูกมาเหนื่อยไปด้วย “ขอโทษที่ทำให้ลำบากนะคะ จนป่านนี้แล้วยังไม่ได้ทานข้าวมาวุ่นกับเรื่องของพวกเรา ขอโทษจริงๆ ค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณป้า ผมดีใจที่ได้ช่วย”
ใบหน้าคร้ามยิ้มพราว ตรงไหนที่เรียกว่าลำบาก เขายังไม่รู้สึกสักนิด ตอนไปแข่งรถที่เมืองกลางทะเลทรายนั่นต่างหากที่เรียกว่าลำบากของจริง

มาลินทำอาหารง่ายๆ ที่ใช้เวลาไม่นานอย่างข้าวผัดจากข้าวที่ยังพอมีอยู่ในหม้อ จะรอหุงข้าวใหม่อีกรอบอาจมีคนเป็นลมเพราะหิวก็ได้ แล้วทำต้มจืดอีกอย่าง ภาวัตไม่บ่นอะไรแถมยังชมว่าอร่อยซึ่งอาจจะเพราะเขาหิวมากก็ได้ เธอขอตัวมาเตรียมห้อง ซึ่งก็ไม่ยากอะไรเพราะมีห้องว่างอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องปัดฝุ่นก่อนเท่านั้น
ภาวัตเข้ามาในห้องพร้อมกระเป๋าใบเล็กที่มีติดรถเพราะชินเวลาไปแข่งรถต้องมีของใช้ส่วนตัวไว้เสมอ มาลินเคาะประตูก่อนเข้ามาในห้องพร้อมของพะรุงพะรังทั้งเครื่องนอนและของใช้ที่จำเป็น
“เสื้อผ้าอาจเก่าหน่อยนะคะ แต่สะอาด คุณวัตคงพอใส่ได้ค่ะ”
เขารับของมาวางไว้ปลายเตียงปากหนักไม่อยากบอกว่ามีแล้วให้เสียน้ำใจ ดวงตากลมโตมองมาอย่างสำรวจว่าขาดอะไรอีกไหม ไม่ใช่หิวกระหายอย่างที่ชายหนุ่มเคยเห็นบ่อยๆ จากผู้หญิง
“ที่นี่อยู่กันแค่นี้เองหรือ เธอกับแม่ แล้วก็ตา”
“ค่ะ เมื่อก่อนมีมากกว่านี้ แต่ตอนนี้เหลือเท่านี้ ห้องน้ำอยู่ตรงนั้นนะคะ” เธอชี้ไปตามทางเดินเล็กๆ ที่นี่ใช้ห้องน้ำรวม “ส่วนเสื้อผ้าของคุณวัตใส่ในตะกร้าไว้นะคะ เดี๋ยวลินมาเอาไปซักให้”
ภาวัตหันมามองเพราะได้ยินเสียงก้าวขาก็เลยได้เห็นแม่บ้านแม่เรือนถอยไปเกือบถึงประตู ชื่อเสียงของเขาคงไม่ใช่ย่อยในหมู่พนักงานช่างเมาท์กระมัง
“กลัวฉันหรือไง ไปยืนเสียไกล”
มาลินทำหน้าเหมือนจะไม่ผ่านการฝึกงานอีกแล้ว “ก็...คุณวัตเป็นเจ้านาย”
แล้วยังไม่ทันที่แขกรายล่าสุดจะพูดอะไร คนกลัวเจ้านายก็ผลุบหายไปห้องแล้ว ภาวัตหัวเราะ ตอนที่อายุเท่าเด็กนั่นเขาแข่งรถอย่างเอาเป็นตาย จนเกือบจะตายจริงๆ ในขณะที่เธอเจอแต่ปัญหา จะไปรอดได้สักเท่าไหร่ก็ไม่รู้

พัชนีถูกลูกสาวพาเข้าห้องนอนตั้งแต่ยังไม่ 4 ทุ่ม ส่วนแขกนั่งดูทีวีเรื่อยเปื่อยอยู่ที่ห้องนั่งเล่น ปกติแล้วเวลาแบบนี้ถ้าไม่ไปเที่ยวก็คงนั่งทำงานอยู่ แต่วันนี้ไม่มีอะไรทำ เสียงเปิดประตูดังพอให้หันไปมอง มาลินถือตะเกียงเจ้าพายุออกไป เขามองตามไม่นึกว่าสมัยนี้ยังมีคนใช้ตะเกียงแบบนี้อยู่
ร่างเล็กเดินลงบันไดไป มืออีกข้างถือสมุดเล่มใหญ่ ภาวัตรู้ดีมันไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ถ้ามันไม่ใช่เวลามืดค่ำแบบนี้เขาคงไม่ตามลงมา คำพูดของแพรมนยังก้องอยู่ในหัว ‘สมภารกินไก่วัด’ ไม่ใช่สักหน่อย
“จะไปไหนหรือมาลิน มันดึกป่านนี้แล้ว” เข้าเดินไม่กี่ก้าวก็มายืนเคียงคนสูงเพียงแค่ไหล่
“ไปที่โรงเก็บค่ะ” แสงไฟจากตะเกียงส่องมา สีหน้าคนถือดูแปลกใจ
“ไม่ต้องถามหรอกนะว่าตามมาทำไม ฉันไปเป็นเพื่อน ถึงที่นี่จะเป็นถิ่นของเธอ แต่ก็ควรระวังเอาไว้บ้าง ผู้หญิงอย่างไรก็อ่อนแอกว่าผู้ชาย แล้วจะไปที่โรงเก็บทำไมอีก รอตอนเช้าไม่ได้หรือไง”
เรียวปากยิ้มเขินๆ ไม่ใช่เขาหรอก ภาวัตรู้ แต่เป็นเหตุผลที่เธอลงมาเดิมท่อมๆ ในเวลานี้ต่างหาก เด็กทำอะไรไม่มีเหตุผลไม่ผิดตรงไหน
“ลินนอนไม่หลับค่ะ ก็เลยไปจะไปตรวจบัญชีของที่เสียหาย ตอนนี้องุ่นใกล้ได้นำมาผลิตแล้ว เครื่องมือที่ขาดจะได้ไปหาซื้อไว้เนิ่นๆ”
“ถ้าขายที่ดินไม่ได้ ตาของเธอจะทำยังไง” อย่างนี้ไม่เรียกว่าล้วงความลับ แค่ถามไถ่เท่านั้น
“ยังไม่รู้เลยค่ะ แต่ไม่ว่าปัญหาจะเข้ามาเท่าไหร่ มันต้องมีทางออกเสมอ ถ้าเราไม่ยอมแพ้ที่จะหา ตอนนี้ลินกับตาก็แค่ยังหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเราไม่พบเท่านั้นเอง”
ภาวัตเลิกคิ้วมองเด็กที่คิดอย่างผู้ใหญ่ทึ่งนิดๆ มั่นใจเสียด้วย เขาเดินตามไปเงียบๆ ไฟส่องทางที่มีอยู่ห่างๆ ทำให้ไม่เปลี่ยวนัก จนกระทั่งมาถึงโรงเก็บที่ไฟถูกตัดออกไปชั่วคราว มาลินหันมามองเพื่อนร่วมทาง รู้สึกอุ่นใจวาบ ตอนที่คิดว่าจะมาไม่คิดว่ามันเปลี่ยวเลยสักนิด

แสงไฟจากสปอร์ตไลท์ยังเปิดสว่าง ตะเกียงเจ้าพายุช่วยส่องภายในห้องเก็บเครื่องมือที่เสียหาย มาลินวางมันลงที่เคาน์เตอร์เหล็กซึ่งยังอยู่ดีมีเพียงเขม่าดำเกาะ สมุดที่ถือมากางออกให้เห็นบัญชีเครื่องมือต่างๆ ภาวัตมองรอยร้าวของเสาและผนังอย่างไม่วางใจนัก ถ้าตรวจบัญชีเร็วๆ แล้วรีบไปคงไม่มีอะไรน่าห่วงกระมัง
เครื่องมือใหญ่ซึ่งมีราคาแพงอยู่อีกห้อง ส่วนห้องที่เสียหายมีอุปกรณ์เล็กๆ อย่างกรรไกรตัดแต่ง จอบ เสียม รถเข็น บันไดต่างๆ ซึ่งมีมูลค่าไม่มากเกินกว่าที่จะหาซื้อใหม่ในวันพรุ่งนี้ มือเล็กๆ หยิบนั่นจดนี่จนเกือบลืมไปแล้วว่ามีเพื่อนมาด้วยกัน สายตาที่เคยเป็นเสือร้ายมองอย่างเอ็นดู
บางสิ่งต้องแสงไฟ ฝุ่นเล็กๆ หล่นใส่ตัวราวกับใครโปรยลงมา ภาวัตเงยหน้ามองหลังคาพร้อมๆ คว้าแขนของมาลินไว้
“ระวัง!?!”
โครม...!!!
ประตูทางเข้าถูกขวางไว้ด้วยเสาที่เอียงเอนลงมาตามด้วยผนังปูนที่แตกร้าว ภาวัตคว้าเอวให้มาลินถอยออกมาพร้อมๆ กับหาทางรอดก่อนที่หลังคาจะหล่นลงมา ขายาวก้าวเร็วๆ ร่างเล็กวิ่งตามก่อนจะถูกดันเข้าไปอีกห้องก่อนที่ร่างสูงกว่าจะตามติดมา หลังคาร่วงพรูแตกกระจายกลายเป็นกองซากขนาดใหญ่ที่บังประตูที่เพิ่งเข้ามาไว้ แสงไฟจากตะเกียงถูกบัง ห้องสว่างกลายเป็นสลัวรางจากหลอดไฟที่กระจายผ่านเหล็กดัดเข้ามา
มาลินล้มกระแทก แต่ไม่เจ็บนักเมื่อภาวัตเอาตัวเองรองแล้วกอดร่างของเธอไว้ ใบหน้าแนบกับอกหนารู้สึกกลัวระคนปลอดภัย จนกระทั่งทุกสรรพเสียงหายไปกลายเป็นความเงียบ ทว่าหัวใจยังเต้นระรัวเมื่อรอดตายมาอย่างฉิวเฉียด
“เป็นอะไรไหมมาลิน”
“ไม่ค่ะ แล้วคุณวัตล่ะ เป็นอะไรหรือเปล่า” เธอพยายามองหน้าภาวัตแต่ก็เห็นอะไรไม่ชัดนัก
“สบายมาก” ร่างสูงขยับลุกพร้อมกับรั้งร่างเล็กขึ้นมายืนด้วยกัน “ค่อยๆ เดินมานะ ฉันไม่แน่ใจว่าตรงนี้จะถล่มลงมาซ้ำอีกหรือเปล่า มีแสงจากข้างนอก เผื่อใครจะผ่านมาบ้าง เราจะได้ตะโกนขอความช่วยเหลือ”
ทั้งสองมองผ่านช่องเหล็กดัดออกไป น่าเสียดายที่ไม่ได้หยิบโทรศัพท์ติดมาด้วย
“มีใครอยู่แถวๆ นี้ไหมเราสองคนติดอยู่ในนี้” ภาวัตตะโกนออกไปสุดเสียง
รออยู่ครู่หนึ่ง ทว่าไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เวลานี้คนงานที่เหนื่อยล้าคงหลับกันหมดแล้ว มาลินหายกลัวแล้วก็รู้สึกผิดที่กลายเป็นทำให้เขาเดือดร้อนเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
“ขอโทษนะคะ มืดไปหมดเลย ลินลืมตะเกียงไว้ข้างนอก”
เรียกว่าลืมคงไม่ได้ ตอนนั้นใครจะไปคว้าอะไรทัน ภาวัตส่ายหน้าถอนใจเบาๆ จะโทษใครได้ล่ะ ในเมื่อไม่มีใครบังคับให้เขามาที่นี่สักหน่อย

แล้วจะมา up ต่อนะคะ
อัมราน_บรรพตี



บรรพตี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 พ.ย. 2558, 09:49:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 พ.ย. 2558, 09:49:10 น.

จำนวนการเข้าชม : 1118





<< ตอนที่ 4 ครึ่งหลัง   ตอนที่ 5 ครึ่งหลัง >>
konhin 29 พ.ย. 2558, 06:54:43 น.
เวรกรรมโดนขังซะแล้วววว


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account