รักอุ้มบุญ
...ความรักของเธอมันแท้ง! กี่ครั้งก็แท้ง! คราวนี้จึงต้องมีเขามาอุ้มบุญ รักครั้งนี้จะได้เป็นตัวเป็นตน...รักอุ้มบุญ
Tags: รักอุ้มบุญ,ปลากัด

ตอน: บทนำ

สวัสดีค่ะ...ห่างหายจากที่นี่ไปสักระยะ ด้วยเหตุผลหลายประการ วันนี้นำเรื่องใหม่มาอัพค่ะ

ต้องย้อนไปนิดถึงเรื่อง 'รุ้งฤดูร้อน' ว่าต้องขอพักเรื่องนั้นไว้ก่อนค่ะ เพราะอาจต้องแก้ไขใหม่หลายจุด

แต่สำหรับเรื่องนี้...รักอุ้มบุญ รับรองว่าอัพจนจบแน่นอน

หวังไม่มากไม่น้อยค่ะว่าผู้อ่านน่ารักๆ ที่นี่จะยังยินดีต้อนรับและเป็นกำลังใจกันนะคะ

สวัสดีวันอังคารที่อากาศยังสดใสในช่วงสายค่ะ ^^

ปลากัด

*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*

บทนำ


ร่างโปร่งกระวีกระวาดลงจากรถ คว้ากระเป๋าขึ้นสะพาย หันมาล็อกรถรีบร้อนแล้ววิ่งจากลานจอดรถเข้าสู่ห้างสรรพสินค้าชื่อดังย่านใจกลางเมือง หรูหราโอ่อ่า

เธอวิ่งไปด้วยกดโทรศัพท์หาคนที่นัดไว้บ่ายสามแต่ ณ ขณะนี้ สี่โมงเย็นแล้วไปด้วย กำลังจะวิ่งเลี้ยวตัดมุมตรงร้านเสื้อผ้าสตรียี่ห้อดังพอดี สายตาเห็นว่าผู้ชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งเดินคุยโทรศัพท์ออกมาจากร้านนั้นพอดี ‘มธุริน’ พยายามเบรกเท้าแล้ว แต่ห้างหรูขนาดนี้ขัดพื้นเสียมันวับ ความเร็วบวกความลื่นจึงเบรกไม่ทันจริงๆ

“คุณ! ถอย!” ถึงจะร้องบอก แต่ลักษณะหันมาอย่างไม่มีทีท่าว่าตกใจของชายหนุ่มคนนั้นทำให้เธอแน่ใจว่าเขาหลบไม่ทันเช่นกัน

จากแรงกระแทกแบบเต็มๆ ส่งผลให้โทรศัพท์ในมือเธอกระเด็น กระเป๋าสะพายคว่ำจนข้าวของกระจัดกระจาย ตัวเองหงายหลังลงก้นจ้ำเบ้ากับพื้น หากกับร่างสูงหนานั้นแทบไม่สะทกสะท้านใดๆ เขาแค่เซไปด้านข้างนิดๆ และโทรศัพท์หลุดร่วงจากมือเท่านั้นเอง

“ขอโทษค่ะ ขอโทษ ฉันไม่ทันระวัง อย่าเพิ่งโมโหนะคะ ฉันไม่ทันระวังจริงๆ” ปากก็พร่ำขอโทษขอโพย มือก็หยิบคว้าของยัดลงกระเป๋า ไม่เงยมองสักนิดว่าคนถูกชนมีสีหน้าอย่างไร ซึ่งฝ่ายนั้นก็ยังคงยืนมองเธอเงียบๆ

อาการลุกลี้ลุกลน ทำให้มือที่หยิบของสั่นระรัว พอหยิบชิ้นนั้นขึ้น ชิ้นนี้ก็ร่วง ยิ่งรีบดูเหมือนจะยิ่งช้า คนยืนมองถอนหายใจแรง ส่ายหัวเบาๆ ก่อนย่อตัวหวังจะช่วยเก็บ แต่ดันเป็นจังหวะเดียวกับที่คนก่อเรื่องเด้งตัวลุกยืนพอดี

หัวกลมมนของมธุรินจึงเสยคางชายหนุ่มเข้าเต็มแรง เสียงฟันเขากระทบกันดัง...กึก!

เท่านั้นคงไม่ทำให้ ‘ภัทริศ’ เจ็บนักหนา แต่ก่อนฟันจะกระทบกันดังกึกนั้นมันงับลิ้นไปสุดแรงด้วยนั่นสิถึงทำให้เขาแทบร้องจ๊ากออกมาลั่นห้าง ดีที่ยังมีจิตสำนึกระลึกได้ว่าต้องอับอายแน่ถ้าร้องออกมา ชายหนุ่มจึงกลืนเสียงร้องพลางหลับตาระงับความเจ็บ

“ตายโหง! เฮ้ย! ไม่ดีๆ คำนี้ไม่สุภาพยายได้ยินเข้าโดนหยิกเนื้อเขียวแน่” แม้ยามรีบร้อนยังมีแก่ใจนึกถึงคำสุภาพอีก ช่างดีเสียจริง “เอ่อ...ฉันรีบน่ะค่ะ ขอโทษด้วยจริงๆ อย่าหาว่าฉันไม่รับผิดชอบ ชนแล้วหนีเลยนะคะ ไม่ต้องเรียกประกัน ไม่ต้องเรียกค่าเสียหายกันเนอะ นี่โทรศัพท์ของคุณค่ะ” มือเรียวคว้ามือใหญ่มายัดโทรศัพท์ใส่ แล้วหมุนตัวตั้งท่าจะโกยอ้าว แต่เหมือนนึกอะไรได้จึงหันกลับมา ยกมือขึ้นลูบคางเขาเร็วๆ สองสามครั้งพลางบอก “เพี้ยง! หายเจ็บนะคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” แล้วเธอก็วิ่งจากไปไม่รีรอให้อีกฝ่ายเอาเรื่อง

ภัทริศยืนมองตาค้าง ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนเขาตั้งตัวไม่ทัน...หากเมื่อร่างโปร่งนั้นลับตา สิ่งที่ยังหลงเหลือคือใบหน้าขาวสะอาด เครื่องหน้าสวยทุกส่วน แม้เห็นเพียงไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำแต่ใบหน้านั้นตรึงตา และชัดเจนที่สุดคือ...ความนิ่มของมือที่ยังเหมือนติดอยู่ปลายคาง

“เกิดอะไรขึ้นคะริศ ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร” ยศยาถามกึ่งไม่พอใจกึ่งสงสัย เธอหันมาเห็นเหตุการณ์ผ่านกระจกร้าน จะวิ่งออกมาหา พนักงานก็ชักช้ากว่าจะรูดบัตรเครดิตเสร็จ ผู้หญิงคนนั้นก็วิ่งหนีไปแล้ว

“ไม่รู้สิครับ เขาวิ่งมาชนผม ชนแล้วหนี สงสัยไม่มีประกัน” ถึงจะยังรู้สึกเจ็บลิ้นเจ็บคางเขาก็ยังมีแก่ใจพูดติดตลก สายตาจับจ้องไปทางที่ร่างโปร่งลับหายราวกับจะจ้องให้เธอกลับมารับผิดชอบ

“แหม...ขนาดไม่รู้ว่าเป็นใครยังมองตามตาละห้อยขนาดนี้ ถ้าไม่ชิ่งหนีไปก่อนคุณคงอยากทำความรู้จักสินะ” ฝ่ายหญิงประชดหน้าง้ำ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างไม่สบอารมณ์

ภัทริศเลิกคิ้วมอง ประเมินมากกว่าจะโกรธ ผู้หญิงคนนี้ไม่เคยรู้จักเขาดีพอ หรือเธอไม่พยายามจะรู้จักตัวตนของเขากันแน่...ชายหนุ่มไม่ใส่ใจนัก

“จะกลับเลยไหมครับ หรือคุณจะซื้ออะไรอีกหรือเปล่า” น้ำเสียงสบายๆ ชวนเปลี่ยนเรื่อง

หญิงสาวในชุดเดรสสีสันฉูดฉาดอย่างเจ้าแม่แฟชั่นเรียกพี่ แทบจะกระทืบเท้าขัดใจ เขาไม่รู้หรือไงว่าผู้หญิงไม่ชอบให้คาใจ เธออ้าปากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่แล้วก็ตัดใจ รู้ดี ภัทริศไม่ใช่คนเจ้าชู้ และเขาไม่ชอบการถูกปรักปรำ เขาเป็นสุภาพบุรุษ แต่ไม่ใช่คนเอาใจอย่างไร้เหตุผล อยู่กับเขาไม่สมควรเอาแต่ใจจนเกินงาม

“แยมหิวแล้วล่ะค่ะ ชั้นบนสุดมีร้านอาหารญี่ปุ่น เราไปทานมื้อเย็นก่อนกลับดีกว่านะคะ” ยศยาข่มความไม่พอใจไว้สุดลึก งัดเอารอยยิ้มแสนเฝื่อนออกมาเรียกร้องความสนใจจากเขา ภัทริศยิ้มตอบ

“ผมอยากอยู่ทานข้าวกับคุณนะ แต่เมื่อกี้เพิ่งรับปากพี่มนไว้ว่าจะไปทานข้าวด้วย วันนี้เธออยู่บ้านคนเดียว หรือคุณจะไปทานกับพี่มนด้วยกันไหมครับ” น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยพร้อมรอยยิ้มละมุน ทว่ายศยาไม่ชอบรอยยิ้มนั้น มันคือรอยยิ้มปลอบจากการถูกขัดใจ

ถ้าเขาไม่ยิ้มแต่ยอมตามใจ เธอจะพอใจเสียกว่า!

“ไม่ดีกว่าค่ะ วันนี้แยมอยากทานอาหารญี่ปุ่น” หญิงสาวเอียงข้างหนี ริมฝีปากสวยเบะอย่างไม่พอใจ...ยศยาไม่ชอบพี่สาวของภัทริศ!

“แต่คุณไม่ได้เอารถมานี่ครับ” ชายหนุ่มยังเอ่ยนุ่มนวลแม้พอจับกระแสเสียงประชดประชันได้

“ก็นั่นนะสิคะ” เธอหลิ่วตามองเขา จุดรอยยิ้มมุมปากอย่างเป็นต่อ ยังไงเขาไม่มีทางยอมให้เธอกลับแท็กซี่แน่

ภัทริศยิ้มนัยน์ตาพราว คว้ามือบางข้างที่ไม่ถือถุงข้าวของมากุมไว้ ยศยายิ้มสวยจนเห็นฟันขาว ต้องอย่างนี้สิ เธอไม่ชอบการถูกขัดใจ...แต่แล้วต้องหุบยิ้มฉับเมื่อมืออีกข้างของชายหนุ่มวางบางสิ่งลงบนมือเธอ

“งั้นคุณขับรถผมกลับแล้วกัน เดี๋ยวผมกลับแท็กซี่เอง” มือหนาตบเบาๆ ลงบนมือบางที่กำกุญแจรถแน่น “ไม่ต้องเหยียบแรงมากนะครับ รถผมเครื่องแรงอยู่แล้ว” เขาขยิบตาให้เธอได้มีเสน่ห์นัก หากต้องไม่ใช่ยามที่ยศยากำลังโกรธอย่างนี้!

“ริศ!” ถึงจะเรียกเสียงดังขนาดไหน ร่างสูงที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งก็ไม่หันกลับมา “เฮงซวย! คู่หมั้นเฮงซวย!”

คิ้วโก่งขมวดเป็นปมบ่งบอกความหงุดหงิด หญิงสาวล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋าขึ้นกดหาชื่อของใครบางคน ก่อนจะกดโทรออกโดยไม่ลังเล...



มธุรินหยุดยืนกระหืดกระหอบหน้าร้านอาหารญี่ปุ่น สายตาแลปราดไปทั่วร้าน แล้วก็พบคนที่นัดไว้กำลังชูมือส่งสัญญาณมาจากโต๊ะมุมด้านในสุด โดยไม่ส่งเสียงเรียก เพราะจากที่เห็นเขากำลังคุยโทรศัพท์อยู่ หญิงสาวพยักหน้าแล้วส่งยิ้ม ก้าวไปตามทางเดินเล็กๆ อย่างคล่องแคล่ว

พอถึงโต๊ะก็พอดีกับที่อีกฝ่ายลดโทรศัพท์ลงหมายถึงว่าเขาคุยเสร็จพอดี

“รอนานเลยสิคะ หวานขอโทษด้วย เอางานไปให้เจ้านายที่บ้านแล้วคุยยาว นี่ก็รีบมาจนวิ่งชนคนแล้วหนี ดีนะคะ ที่ตัวหวานไม่มีป้ายทะเบียน ไม่งั้นเขาคงถ่ายรูปจากกล้องวงจรปิดส่งไปที่บ้านแหงเลย” คำแก้ตัวรัวยาวติดตลกสามารถทำให้คนรอเป็นชั่วโมงหัวเราะได้จริงๆ

“ให้อภัย เพราะนี่ไม่ใช่การสายครั้งแรกของหวาน” คนพูดๆ ด้วยอาการกลั้นยิ้มล้อเลียน

“เอ๊ะ พี่ภัตว่าหวานสายประจำเหรอคะ” น้ำเสียงขุ่น แต่สีหน้าแววตารู้ว่าแสร้งโกรธ

“หรือไม่จริง?”

“จริงค่ะ!” ตอบรับหน้าตาเฉย จนอีกฝ่ายหลุดหัวเราะ “ถ้าคราวหน้ารอไม่ไหว ก็สั่งมากินให้เสร็จวางเงินไว้แล้วกลับได้เลยนะคะ อ้อ แต่อย่าลืมวางเกินไว้พร้อมกับบอกพนักงานด้วยล่ะ ว่าหวานจะตามมากินทีหลัง”

“อ้าว แล้วถ้าพนักงานมุบมิบเงินไว้ล่ะ”

“หวานก็จะกินให้หมดร้านแล้วส่งบิลไปเก็บกับพี่ภัตนั่นละ” คนพูดเชิดหน้าตอบ สายตาอีกฝ่ายรักใคร่ปนเอ็นดู ทำพูดดีอย่างนี้ พอเอาเข้าจริงหญิงสาวไม่เคยยอมให้เขาเลี้ยง มื้อไหนดื้อดึงเลี้ยงสำเร็จ มื้อหลังเธอเป็นต้องเลี้ยงคืน โดยให้เหตุผลว่า

‘กลัวติดหนี้ไปชาติหน้า’

‘ไม่ดีหรือ?’

‘ถ้าเป็นคนเหมือนกันท่าจะดี แต่ถ้าพี่ภัตเป็นคนแล้วเกิดหวานเป็นหมาท่าจะไม่ดี’

‘ยังไง?’

‘ต้องไปรอกินกระดูกที่พี่ภัตกินเนื้อหมดแล้วน่ะสิ แย่ไหมละ’

นี่กระมัง ‘เสน่ห์’ ที่ทำให้บริภัตตกหลุมรักผู้หญิงคนนี้ วิธีใช้ชีวิตเรียบง่ายสบายๆ ไม่คิดคิดมาก มองโลกแง่ดี แต่ไม่ใช่คนหัวอ่อน หรืออ่อนแอ เก่งและดี หากไม่เรียบร้อยจนน่ารำคาญ

อยู่ใกล้แล้วโลกสดใส...ยิ้มได้ตลอดเวลา

“พี่น่าจะเจอหวานเร็วกว่านี้” น้ำเสียงทอดเบา สายตาอ่อนหวานสื่อความหมาย อีกฝ่ายรู้สึกหน้าร้อนผ่าว หากคุมสติได้ดี

“แล้วตอนนี้เจอช้าตรงไหนคะ” ใบหน้าเรียวเอียงถาม อีกฝ่ายเสหลบสายตาก่อนตอบ

“ตั้งสิบสองปี ไม่ช้าหรือไง” เพราะอายุห่างกันถึงหนึ่งรอบ ทำให้หลายคนใกล้ตัวมธุรินตั้งข้อสังเกตว่า บริภัตอายุไม่น้อยแล้ว จริงหรือที่เขายังโสด?

โดยเฉพาะกังสดาล เพื่อนสนิทของมธุริน รายนั้นค่อนข้างไม่ชอบหน้าบริภัตอย่างไร้เหตุผล จริงๆ เหตุผลน่ะมี แต่มธุรินไม่นับ เพราะกังสดาลบอกว่าเธอเคยเห็นบริภัตกับผู้หญิงคนอื่น แต่พอถามว่าใช่แน่หรือ กังสดาลกลับตอบว่าไม่แน่ใจ เห็นไม่ชัด ทว่าหญิงสาวก็ยังเชื่อมั่นว่าต้องเป็นเขา

ซึ่งพอกังสดาลปากไวถามชายหนุ่ม เขาก็หัวเราะสบายๆ ไม่มีพิรุธใดๆ ตอบว่า จริง...แต่ผู้หญิงคนนั้นเป็นน้องสาว หนำซ้ำยังพาตัวมาให้รู้จักอีกต่างหาก มธุรินจึงเชื่ออย่างสนิทใจ ส่วนกังสดาลนั้นกลับฝังใจมาตลอดหนึ่งปีที่มธุรินคบกับบริภัต

“แต่พี่ภัตเจอหวานช้าแค่ครั้งเดียว หวานสิ...” คนพูดขยักคำพูดไว้ พลางเหลือกตาขึ้นบนทำท่าใคร่ครวญ “เจอพี่ภัตช้านับครั้งไม่ถ้วน รวมครั้งนี้ด้วย!”

คนรอฟังอย่างตั้งใจ อึ้งไปครู่ก่อนจะแกล้งค้อนให้

“งั้นรีบสั่งอาหารเถอะ ไม่งั้นกระเพาะเราคงเจออาหารช้ากันทั้งคู่ เดี๋ยวได้พิการกระเพาะกันพอดี”

พอเขาว่าอย่างนั้น เสียงท้องเธอร้องโครกครากทันที ร่างโปร่งรีบเปิดเมนูเร็วๆ ก่อนสั่งรวดเดียว

“พี่ภัตน่ะ แกล้งให้หวานได้กินช้า จะสั่งให้กระเป๋าฉีกเลย ดูสิ จะเลี้ยงไหวไหม”

“กินหมดร้านพี่ก็เลี้ยงไหว หรือให้เลี้ยงทั้งชีวิต...พี่ก็ไม่กลัว” ดวงตาระยิบระยับนั่นทำใจหญิงสาวหวั่นไหว หากเธอแกล้งเบะปากย่นจมูกกลบเกลื่อนความเก้อเขิน

เมื่อเลือกวางใจไว้กับเขา เธอจึงต้องขจัดความ ‘ระแวง’ อันเป็นไวรัสตัวร้ายที่บั่นทอนความสัมพันธ์ แล้วฉีดวัคซีนความ ‘เชื่อใจ’ ให้ตัวเอง ทุกอย่างระหว่างเขากับเธอคือ ‘ความรัก’ ไม่ใช่การหลอกลวงอย่างที่กังสดาลปักใจ

บริภัตทอดสายตามองหญิงสาวตรงหน้า...ผู้หญิงคนนี้มัดหัวใจเขาไว้แน่นหนา ไม่มีวันที่เขาจะแก้มัดครั้งนี้ได้...เพราะหัวใจมันยินยอม



“วันนี้ทำไมริศมาหาพี่ได้” ภัทรมนถามน้องชายที่นั่งอยู่สุดโซฟาตัวยาวตัวเดียวกัน ฝ่ายถูกถามยกน้ำที่เด็กรับใช้นำมาวางขึ้นดื่มรวดเดียวหมดก่อนตอบโดยไม่หันสบตา

“ก็เบื่ออาหารญี่ปุ่น อาหารอิตาเลี่ยน อาหารฝรั่งเศส กินของพวกนั้นจนลิ้นทรยศประเทศเสียแล้ว” พูดเรียบเรื่อย เอนพิงพนักโซฟาสบายๆ สีหน้าไม่ได้เคร่งเครียดอะไรนักหนา

พี่สาวทอดมองรักใคร่ หัวเราะเบาๆ ก่อนถาม

“ทรยศยังไง พี่ไม่เข้าใจ”

“ก็กินของนอกซะบ่อย พอมากินอาหารไทยลิ้นรับไม่ได้ แสบจะเป็นจะตายทุกที”

“เกินไป” ภัทรมนบอกกลั้วหัวเราะ สังเกตสีหน้าน้องชาย วันนี้ดูรื่นรมย์จนปิดไม่มิด ทั้งที่ออกปากบ่น “คนอย่างริศมีใครบังคับได้บ้าง ไอ้ที่ไปไหนต่อไหนกับน้องแยมน่ะ ก็เต็มใจไปเองไม่ใช่หรือ?”

เสียงถอนหายใจแรงอย่างรู้ว่าแกล้ง ก่อนล้มตัวหนุนตักพี่สาวแล้วลืมตาจ้องตอบ

“เมื่อก่อนเต็มใจ เพราะเขาเป็นอีกอย่าง อะไรก็ได้ ไม่เรื่องมาก แต่พอหมั้นกันปุ๊บ กลายเป็นคนเจ้าอารมณ์ หงุดหงิดง่าย จู้จี้ เปลี่ยนเป็นคนละคน” มือบางลูบเส้นผมหนาดกดำไม่ผิดกับของตนแผ่วเบา

“คนเรามันก็ต้องเปลี่ยนกันบ้าง สถานะยังเปลี่ยนแล้วเลย ริศเองก็ต้องเปลี่ยนสิ เป็นคู่หมั้นกันแล้วต้องเอาใจกันมากขึ้นสิ” พี่สาวแนะ

คนฟังทำหน้าแหยง

“เอาใจกว่านี้ไม่เป็นหรอก เลี่ยน” ว่าแล้วทำท่าขนลุกจนพี่สาวอดค้อนไม่ไหว “ทีพี่มนยังไม่เห็นเปลี่ยนเลย ก่อนแต่งงานเป็นยังไง ผมก็เห็นว่าพี่มนยังเป็นยังงั้น หรือแยมเขาเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่ทีแรก เพียงแต่ ‘แอ๊บ’ ไว้ ผมเลยไม่รู้”

ภัทรมนตีแขนหนาด้วยมัดกล้ามเบาๆ เสียทีหนึ่ง

“เอ๊ะ ริศนี่ยังไงนะ พูดถึงผู้หญิงอย่างนี้ได้ไง หนำซ้ำยังเป็นผู้หญิงที่เป็นคู่หมั้นนะ”

“อย่าย้ำบ่อยสิครับ ผมรู้แล้วล่ะว่าตัวเองพลาด หาห่วงมาผูกคอแท้ๆ เชียว” พี่สาวส่ายหัวระอา

“งั้นแสดงว่าที่มานั่งทำหน้าทำตาเหม่อลอยเมื่อกี้นี้ไม่ได้คิดถึงน้องแยมสิ...แล้วคิดถึงใคร ไม่ดีนะนอกใจน่ะ”

พอพี่สาวถามอย่างนั้น ภัทริศเผลอยกมือขึ้นลูบคางอย่างลืมตัว เหมือนความนิ่มจากมือนั้นยังตามติดปลายคางมาจนถึงบ้านภัทรมนทีเดียว

“สงสัยวันนี้ทานอาหารไทยรสจัดฝีมือพี่มนไม่อร่อยแน่เลย”

“แวะมาทานกับพี่บ่อยๆ สิ ลิ้นจะได้ชิน” พี่สาวกึ่งชวนจริงจังกึ่งประชด น้องชายยิ้มกริ่มก่อนตอบ

“คราวนี้ลิ้นไม่ได้ทรยศ แต่ลิ้นเจ็บ!” คนเป็นพี่คร้านจะถาม ลองอมพะนำอย่างนี้คาดคั้นไปมีแต่จะทำให้พ่อคุณสนุก เลยแกล้งผลักให้ลุก

“ไปไป๊ ลุกไปเลยถ้าไม่ยอมบอก พี่จะไปจัดโต๊ะอาหาร รับรองเมนูวันนี้แสบลิ้นจนพูดไม่ออกแน่!” ร่างบางลุกยืน ค้อนควักให้น้องชายแล้วเดินหายเข้าครัว

“พี่อะไรใจร้าย” เขาแกล้งโอด หากแล้วก็ลุกตามไปช่วยยกกับข้าวมาจัดโต๊ะ ดีกว่านั่งรอเฉยๆ



โต๊ะอาหารบ้านภัทรมนวันนี้มีแค่เธอกับน้องชาย ผู้เป็นสามีโทร.มาบอกว่าวันนี้มีงานติดค้างยาวและต้องเลยเลี้ยงรับรองลูกค้าที่มาจากเมืองนอก อาจจะค้างคอนโดฯ ที่ซื้อไว้ย่านใจกลางเมือง เธอไม่ต้องรอทานข้าวหรือรอรับตอนกลับมา

แม้ภัทรมนพยายามจะยิ้มจะหัวเราะอย่างไร ภัทริศก็ยังสังเกตเห็นแววหม่นหมองในดวงตาพี่สาว ส่วนหนึ่งคงเพราะความอ่อนแอจากร่างกายที่ป่วยบ่อยๆ สุขภาพไม่แข็งแรง แต่อีกส่วนคงมาจากสาเหตุของคนใกล้ตัวที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี

หรือข่าวที่เขาแว่วได้ยินมาจะเป็นจริง...พี่เขยเขามีบ้านเล็ก

“พี่มนอยู่บ้านคนเดียวอย่างนี้บ่อยหรือเปล่าครับ” ขณะถามก็ตักอาหารใส่จานพี่สาวด้วยท่าทางปกติ บังคับน้ำเสียงให้เหมือนถามเรื่อยเปื่อย ไม่ได้สนใจจริงจัง

มือที่กำลังถือช้อนอยู่ชะงักไปนิด สีหน้าสลดวูบแล้วรีบประดับด้วยรอยยิ้ม

“เปล่าจ้ะ นานๆ ที ถ้างานไม่ยุ่งจริงๆ คุณภัตเขาก็จะรีบกลับมาทานข้าวเย็นด้วยทุกครั้งแหละจ้ะ” คนเป็นน้องพยักหน้าว่าเข้าใจ “ริศถามทำไมเหรอ อย่าบอกนะว่า จะย้ายมาอยู่กับพี่ ไม่เอาหรอก…” ท่าทางร่าเริงค้านกับดวงตานั้นทำให้ภัทริศนึกไม่อยากถามหรือคาดคั้นอะไรมาก หากพร้อมจะเล่า ชายหนุ่มเชื่อว่า เขาต้องเป็นคนแรกที่พี่สาวคนเดียวคนนี้จะนึกถึง

“อ้าว ทำไมล่ะครับ ถ้าผมจะขอมาอยู่ด้วยจริงๆ พี่มนรังเกียจน้องตัวเองหรือไง” ชายหนุ่มเบิกตาโตโวยวาย “หรือกลัวไม่มีเวลาส่วนตัวกับหวานใจ?”

“ไม่ใช่ทั้งสองอย่างนั่นแหละ” ภัทรมนทำหน้าลำบากใจ อึกอักไม่กล้าตอบ พอน้องชายชะโงกหน้ามาใกล้อย่างรอคำตอบหญิงสาวจึงเอ่ยเสียงเบาว่า “พี่กลัวน้องแยมจะไม่พอใจต่างหากล่ะ” ไม่รู้เพราะอะไร เวลาอยู่ใกล้คู่หมั้นของน้องชายภัทรมนมักจะรู้สึกว่าหญิงสาวคนนั้นไม่ชอบเธอ ทั้งๆ ที่เธอเองออกจะเอ็นดู ลองนึกหาเหตุผลก็ไม่เจอ จึงคิดอย่างตัดใจว่าบางทีอาจเป็นเพราะภัทริศสนิทสนมกับคนเป็นพี่อย่างเธอมากเกินไป ผู้หญิงบางคนก็ไม่อยากให้คนรักตัวเองติดแม่ หรือญาติคนไหนมากกว่าตัวเอง

“ทำไมต้องไม่พอใจล่ะครับ” ถามพลางตักแกงส้มเข้าปากแล้วต้องทำหน้าเบ้เมื่อลิ้นเจ็บสัมผัสความเผ็ด

“ไม่รู้สิ พี่อาจจะรู้สึกไปเองว่าเวลาเจอพี่ดูน้องแยมเขาไม่ค่อยชอบหน้าพี่สักเท่าไหร่” ภัทรมนยักไหล่คล้ายจะบอกว่าไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก

“อ้อ...” เขาเอนตัวกลับมานั่งกอดอกหลังตรง พยักหน้าช้าๆ ประกอบคำว่า ‘อ้อ’ ที่ลากเสียงยาว

“อ้อ อะไร?” พี่สาวมองอย่างไม่วางใจ

ภัทริศไม่ตอบ ลุกยืนเต็มความสูงแล้วค่อยเดินอ้อมโต๊ะไปหาพี่สาว สวมกอดจากทางด้านหลังอย่างรักใคร่ หอมแก้มฟอดใหญ่พลางโคลงร่างบางไปมาเบาๆ

“ก็อ้อว่าพี่มนคิดเหมือนผม”

“เหมือนยังไง?” คนเป็นพี่เอียงหน้าถามด้วยความสงสัยจริงๆ

“คิดเหมือนกันว่า...แยมน่ะแอ๊บมาตลอด!”

“บ้าสิ! พี่ยังไม่ได้พูดอย่างนั้นสักคำ” ภัทรมนตีแขนน้องชายอย่างหมั่นไส้ “อย่ามาโมเมเอาพี่เป็นพวกนะ”

“โมเมที่ไหนกัน เมื่อกี้พี่มนพูดเองนะว่าแยมน่ะทำเหมือนไม่ชอบหน้าพี่ ซึ่งผมบอกเลยว่าพี่สาวแสนดีสุดน่ารักของผมคนนี้ ไม่มีใครเกลียดลงแน่ๆ ถ้าใครเกลียดพี่มนแสดงว่า...ไม่ธรรมดา” ขนาดทำหน้าม่อย ปากก็ยังจะเถียง คนเป็นพี่ได้แต่ส่ายหน้าระอา ชวนเปลี่ยนเรื่อง

“แล้วคืนนี้ค้างกับพี่ไหม หรือจะขับรถพี่กลับก็ได้ ตามใจริศละ” ใบหน้าขาวจนแทบซีดเอียงมองใบหน้าคม ฝ่ายนั้นกลอกตาทำท่าลังเลจนน่าหมั่นไส้ มือบางจึงหยิกเข้าให้อย่างมันเขี้ยว

“โอ๊ย! เดี๋ยวตี เดี๋ยวหยิก เนื้อหนุ่มหอมๆ ช้ำหมดแล้วนะครับ” คนตัวยักษ์ร้องลั่นกับความเจ็บเท่ามดกัด “ค้างที่นี่ดีกว่าครับ ขี้เกียจขับรถละ ว่าแต่เสื้อผ้าผมยังพอมีบ้างใช่ไหมครับ”

“มีจ้ะ อยู่ในตู้ในห้องที่ริศเคยนอนนั่นละ พี่ให้ส้มซักรีดไว้อย่างดีเลย ไปสิไปอาบน้ำให้เย็นตัวเย็นใจ” น้ำเสียงพี่สาวยินดี ภัทริศแอบวาบลึกในใจ...ดูเหมือนพี่สาวจะเหงา พี่เขยเขาเล่า ไปอยู่ไหน ไยทิ้งให้ภรรยาเหงาอยู่ที่บ้านลำพัง

“ดีจริง มีพี่สาวน่ารักขนาดนี้ น่าจะมาอยู่ให้ดูแล ไม่น่าวู่วามยอมหมั้นตามใจคุณแม่เล้ย” ร่างสูงใหญ่แกล้งบ่นเสียงดังขณะเดินออกจากห้องอาหารเลยขึ้นไปยังชั้นบนของตัวบ้าน

ภัทรมนส่ายหน้าระอาปนเอ็นดู ความห่วงหาอาทรของน้องชายเธอรับรู้...เรื่องใดทำให้เธอทุกข์ใจ ภัทริศเป็นต้องเข้ามาจัดการทุกครั้ง โดยไม่สนว่าตัวเองจะพลอยเดือดร้อนด้วยหรือไม่ ตั้งแต่เล็กจนโต เธอแทบไม่เคยได้ทำหน้าที่ของความเป็น ‘พี่’ เลยด้วยซ้ำ เพราะความอ่อนแอทั้งร่างกายและจิตใจ

และนั่นทำให้ภัทริศซึ่งเป็นผู้ชายเข้มแข็งอยู่แล้ว ยิ่งเพิ่มความเข้มแข็งขึ้นเป็นเท่าตัวเพื่อปกป้องพี่สาวจากทุกปัญหา...จนบางครั้ง ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง บางเรื่องทุกข์ใจ ภัทรมนก็ไม่ได้เอ่ยเล่าให้น้องชายฟัง



ตอนอาบน้ำเสร็จภัทริศเดินออกจากห้องน้ำโดยนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว หยดน้ำเกาะพราวตามเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม ไร้ไขมันส่วนเกิน ชายหนุ่มออกกำลังกายเป็นประจำ พยายามพาพี่สาวไปหมั่นออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรงด้วยกัน ชวนคุยให้อารมณ์รื่นเริงเสมอ...

...หากข่าวที่ได้ยินมาเกี่ยวกับพี่เขยเป็นจริง เขาควรทำอย่างไร เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัว จะเข้ามาช่วยเหลือเหมือนทุกครั้งคงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากปล่อยไปเฉยๆ พี่สาวเขาคงทำอะไรไม่ได้ ชีวิตนี้เธอไม่เคยร้ายกับใคร โวยวายไม่เป็น ถนัดแต่ยิ้มและดีต่อคนอื่นเสมอ

ถอนหายใจเฮือกใหญ่...บางทีเขาอาจคิดมากไป ถ้ามีอะไรร้ายแรงจริง ภัทรมนคงไม่ปิดปากเงียบขนาดนี้แน่ ชายหนุ่มตัดใจเลิกคิดเรื่องนี้

“โทรศัพท์ทำไมเงียบแปลกๆ หัวหน้าผู้คุมไม่ยักกะโทรตามแฮะ” บ่นงึมงำกับตัวเอง ‘หัวหน้าผู้คุม’ หมายถึงมารดา ส่วนลูกน้องผู้คุมก็มี เจี๊ยบกับดาว สาวใช้ที่คอยสอดส่องเรื่องเขาไปรายงานมารดาเป็นประจำ

แล้วเขาก็นึกได้ว่าตอนผู้หญิงคนนั้นเดินชนโทรศัพท์กระเด็นเขายังไม่ได้สำรวจความเสียหายเลย ไอโฟนสี่อันแสนบอบบางจะเป็นอย่างไรบ้างหนอป่านนี้

“ไหนดูซิ” เขามีทีท่าตกใจทันที รีบหยิบกางเกงขึ้นล้วงลงในกระเป๋าคว้าโทรศัพท์ออกมาพิจารณา และแล้วต้องเบิกตากว้าง “เฮ้ย! แค่ร่วงกระแทกพื้นจากไอโฟนสี่แปลงร่างเป็นโนเกียสามสามหนึ่งศูนย์เลยเรอะ!”

ชายหนุ่มพลิกไปพลิกมาดูราวกับเจอของพิศวงที่สุดในชีวิต

“ยังมีคนใช้อีกเหรอรุ่นนี้?” สีหน้าฉงนแท้จริง นิ้วเรียวหนาลองกดปุ่มดูแต่ไม่ติด “สงสัยแบ็ตหมด แล้วจะมีที่ชาร์จไหมละเนี่ยรุ่นยายขนาดนี้” เขาหมุนตัวไปเปิดตู้เสื้อผ้า จัดการสวมชุดนอนของตัวเองที่นำมาทิ้งไว้ เผื่อเวลามาค้าง เสร็จเรียบร้อยแล้วถือโทรศัพท์ที่คาดว่าน่าจะเป็นของผู้หญิงคนนั้นลงไปด้านล่าง

“อ้าว คุณริศลงมาหาคุณมนหรือคะ คุณมนเข้านอนไปแล้วล่ะค่ะ จะเอาอะไรคะ ส้มจะจัดการให้” สาวใช้เดินผ่านมาพอดีเอ่ยถาม

ภัทริศทำหน้าลำบากใจก่อนตัดสินใจถาม

“ส้มมีที่ชาร์จแบ็ตโทรศัพท์รุ่นนี้ไหม” เขาชูให้ดู ส้มมองโทรศัพท์สลับมองใบหน้าคม แล้วเกือบหัวเราะออกมา ดีทียั้งได้ทัน “มันไม่ใช่ของฉันนะส้ม เฮ่ย เอาเถอะน่า ขี้เกียจอธิบาย สรุปว่ามีไหม”

“มีค่ะ”

“มี?” ชายหนุ่มอุทานด้วยความแปลกใจ ส้มยิ้มแหยพยักหน้าตอบซ้ำ “แล้วมาหาว่าฉันเชยนะส้ม ไปเอามายืมหน่อยเลย” ส้มพยักหน้าแล้ววิ่งกลับไปยังห้องตัวเอง สักพักก็กลับมาพร้อมกับยื่นที่ชาร์จแบ็ตส่งให้

“พรุ่งนี้เช้าหนูขอคืนเลยนะคะ เอ่อ คือแบ็ตเครื่องหนูมันเสื่อมแล้ว ต้องชาร์จบ่อยค่ะ” ชายหนุ่มทำหน้าเหวอ พยักหน้ารับเร็วๆ แล้วกลับขึ้นห้อง

ขณะชาร์จแบ็ตภัทริศก็กดหมายเลขไปยังเบอร์ของตัวเอง เขาไม่อาจรอให้แบ็ตเต็ม มันชักช้าไม่ทันใจ หรือถ้ารอเต็ม อาจคุยได้ไม่กี่คำต้องชาร์จใหม่เพราะแบ็ตเสื่อมอย่างเครื่องของส้มก็เป็นได้ ชาร์จไปคุยไปแหละดี

รอสายจนตัดไปหลายรอบ ปลายทางก็ไม่มีทีท่าว่าจะรับเสียที ชายหนุ่มเบื่อจะโทรจึงเปลี่ยนใจมาส่งข้อความแทน กว่าจะเข้าเมนู กว่าจะกดได้สักตัวล่อเข้าไปเกือบสิบนาที พอกดส่งเสร็จร่างหนาก็ขยับตัวล้มนอน วางเครื่องมือสื่อสารรุ่น ‘ใหม่ล่าสุด’ เมื่อเกือบสิบปีที่แล้วไว้หัวเตียง

“หน้าตาก็ดี ทำไมล้าหลังนัก!”

ชายหนุ่มพึมพำก่อนหลับไปเพราะความง่วงงุน



“ฮัดเช้ย! ฮาดๆ ฮัดเช้ย!”

คนมีความสุขอาบน้ำนานเป็นชั่วโมง ร้องเพลงหมดเป็นอัลบั้มเห็นจะได้กว่าจะขัดสีฉวีวรรณเสร็จ จึงไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ที่ร้องอยู่ด้านนอก

“อากาศก็ไม่หนาว ทำไมจามเยอะจัง หรือมีคนคิดถึงนะเนี่ย” พอคิดอย่างนั้น ภาพของบริภัตก็ลอยวนมาในห้วงคิดจนส่งผลให้ใบหน้าร้อนวูบวาบ

ตอนแยกย้ายกับบริภัตจนกระทั่งมาถึงบ้านตอนเกือบค่ำนั่นแหละ มธุรินถึงได้รู้ตัวว่า โนเกียสามสามหนึ่งศูนย์ของตัวเองแปลงร่างเป็นไอโฟนสี่สุดหรู หนำซ้ำแบ็ตยังหมดอีก ร้อนถึงเด็กสาวข้างบ้านที่เธอเคยเห็นว่าใช้โทรศัพท์สุดหรูรุ่นนี้ทั้งๆ ที่ฐานะไม่ได้ดีอะไรนัก แถมอยู่ในวัยเรียน ตอนนั้นนึกค่อนขอดในใจว่าไม่รู้จักประหยัด แต่คราวนี้ เห็นว่าเป็นเรื่องดีเพราะให้ยืมที่ชาร์จแบ็ตมานั่นเอง

พอชาร์จแบ็ตปุ๊บ เปิดเครื่องปั๊บ สายเรียกเข้าก็ดังขึ้นทันที มธุรินเห็นรูปผู้หญิงสูงวัยโชว์หรา ขึ้นชื่อว่า...พระมารดา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใคร มธุรินปล่อยให้เงียบไปเองหลายครั้ง นั่งเฝ้าหาจังหวะให้สายว่างเพื่อโทรกลับไปยังเบอร์ของตัวเอง ก็ไม่ว่างสักที

ดังนั้นแล้วหญิงสาวจึงตัดใจไปอาบน้ำก่อน คาดว่าออกมาค่อยโทร

พอหยิบไอโฟนสี่หน้าจอทัชสกรีนขึ้นดู ใช้ปลายนิ้วสไลด์ดูหน้าจอก็พบกับสิบห้ามิสคอล

“ไม่ได้ละลาบละล้วงน้า แต่ต้องดูเผื่อคุณเอาเบอร์ฉันโทร.มา” มธุรินพูดกับโทรศัพท์ราวกับพูดกับเจ้าของมัน และก็จริงดังคาด ห้ามิสคอลเป็นเบอร์ของเธอ และหนึ่งข้อความที่เธอจะไม่เปิดดูไม่ได้ เผื่อเขาส่งถึงเธออีก

‘คุณรู้หรือยังว่านอกจากคุณจะชนท้าย เสยกันชนหน้าแล้วชิ่งหนีไปดื้อๆ คุณยังสลับโทรศัพท์เก่าครำคร่าของผมกับโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดของคุณอีกด้วย!’

“ชิ! ผู้ชายขี้ประชด ตัวใหญ่ยังกะรถบรรทุกสิบแปดล้อ ชนแค่นั้นจะไปเจ็บอะไร้”

ความจริงถ้ามธุรินจะซื้อของใช้ดีๆ กว่านี้หน่อยเธอก็ทำได้ แต่เพราะนิสัยประหยัดมาตั้งแต่เด็กทำให้ไม่เคยใช้จ่ายฟุ่มเฟือย อะไรใช้ได้ก็ใช้ ไม่จำเป็นต้องทันสมัยหรือหรูหรา ถ้าไม่รู้จักเก็บออม เด็กกำพร้าที่อาศัยอยู่กับยายมาตั้งแต่ห้าขวบจะเติบโตจนเรียนจบปริญญาตรีมีงานทำ มีเงินผ่อนทาวเฮ้าท์ราคาล้านกว่าบาทอย่างนี้หรือ รถก็มีให้ขับ แม้อาจเป็นแค่มือสองไม่แพงนักก็ตาม แต่นั่นล้วนมาจากน้ำพักน้ำแรงทั้งนั้น

บริภัตเคยเสนอหลายสิ่งหลายอย่างให้เธอ หากหญิงสาวไม่เคยรับ อย่างที่บอก ไม่อยากติดหนี้ไปชาติหน้า และแม้บริภัตจะอ้างความเป็น ‘แฟน’ ว่าให้ด้วยสิเน่หา มธุรินก็ดื้อดึงไม่รับ ย้ำกับเขาอีกด้วยว่า ถ้ารักจะคบกัน ต้องไม่ให้เกินกว่าที่ควรให้ ตราบเท่าที่ยังไม่แต่งงานกันก็ยังเป็นคนละคนกันอยู่ดี

นี่อาจเป็นอีกอย่างที่ย้ำให้บริภัตรักเธอมากขึ้นไปอีก การเป็นคนไม่เรียกร้องสิ่งใดแม้มีโอกาส รักในศักดิ์ศรี เข้มแข็ง และแกร่งได้ด้วยตัวเอง ทว่าไม่หยิ่งผยองจนเกินงาม

นิ้วเรียวสไลด์หาเมนูข้อความจนเจอแล้วจัดการพิมพ์ส่งกลับบ้าง ครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ได้คำพูดที่ต้องการ ริมฝีปากสวยยิ้มพอใจขณะเลื่อนนิ้วไปตามอักษรง่ายดาย ใช้เวลาแค่ประมาณสองนาทีเท่านั้นก็จัดส่งเสร็จสรรพ

“ใช้ง่ายดีแฮะ สะดวกดี นอกจากท่าทางดีแล้วยังทันสมัยอีกแน่ะ”

มธุรินพูดกับตัวเอง หวนนึกถึงภาพผู้ชายตัวโตสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดตา ไม่มีเนคไทและปลดกระดุมเม็ดบนอย่างผ่อนคลาย สีหน้าเขาตอนนั้นดูก็รู้ว่ากำลังเก็บกลั้นความเจ็บไว้สุดความสามารถ

“เอ๊ะ! ทำไมเราจำเขาได้ติดตาขนาดนี้นะ สงสัยตามมาหลอกหลอนค่าเสียหาย”

ร่างบางทิ้งตัวลงนอน เลื่อนโทรศัพท์ที่ชาร์จแบ็ตค้างอยู่ไว้บนหัวเตียง รอยยิ้มน้อยๆ ผุดขึ้นตรงริมฝีปากเมื่อคิดถึงใบหน้าของคนที่ได้ทานข้าวด้วยวันนี้

“ราตรีสวัสดิ์นะคะพี่ภัต”

คืนนั้นมธุรินฝันดีหรือฝันร้ายหญิงสาวก็แยกแยะไม่ออก...ในภาพดูม่านหมอกมัวสลัว เลือนรางจนแทบมองอะไรไม่เห็น แล้วจู่ๆ ก็มีหญิงสาวไม่คุ้นหน้าคนหนึ่งถือลูกแก้วกลมโตวาววาม สะท้อนแสงงดงามมายื่นให้ ใบหน้าขาวจนซีด เผยรอยยิ้มขณะยื่นลูกแก้วมาตรงหน้าเธอ มธุรินลังเล

‘รับสิ’ เสียงทุ้มลึกของใครสักคนดังมาจากมุมใดสักมุม หากไม่ปรากฏกาย หญิงสาวยื่นมือไปรับง่ายดาย หญิงสาวผู้นั้นลูบมือเธอทั้งสองข้างเบาๆ ดวงตารื้นหยาดน้ำคลอเบ้า แต่ไม่พูดอะไรสักคำ

มธุรินก้มมองแก้วงามในมือ พอเงยหน้าจะถามหญิงผู้นั้นก็หายไปเสียแล้ว เธอฉงนงงงวย อยู่เป็นนาน และแล้วก็มีบุรุษร่างสูงใหญ่เดินตัดม่านหมอกมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ

‘คืนมาให้ผม’ ไม่พูดเปล่า มือใหญ่ทั้งสองข้างยืดยาวมาขอแก้วในมือเธอ

เสียงทุ้มลึกนั้นแน่แล้วว่าเป็นเสียงเดียวกับเมื่อกี้...ทว่าใบหน้าเขาทำไมคลับคล้ายคลับคลาเหมือนเคยเห็นที่ไหน หญิงสาวนึกไม่ออก เพ่งพินิจอย่างจะจำให้ได้

ขณะนั้นมือหนาทั้งสองที่ไม่อยากรั้งรอก็คว้าแก้วในมือไปสุดแรง

‘นั่นมันของฉัน’ มธุรินบอก

‘หึ! นี่ไม่ใช่ของคุณ!’ แล้วเขาก็พาลูกแก้วใบโตนั้นหายลับไปกับม่านหมอกที่ปกคลุมหนาขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งภาพทุกภาพเลือนหายจนสิ้น



ยังไม่ถึงเวลาที่ตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ เสียงบางอย่างก็กรีดร้องแหวกความเงียบสงัดตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางทะลุโสตประสาทคนที่กำลังหลับสบาย แขนเรียวยาวยืดคว้าปัดป่ายหาต้นเสียง ซึ่งก็คือไอโฟนสี่เจ้าปัญหานั่นเอง โดยไม่รู้ตัวปลายนิ้วสไลด์แถบล็อกจนกลายเป็นว่ารับสายไปเรียบร้อยแล้ว

พอเสียงเงียบมธุรินจึงวาดแขนกลับมาเพื่อหลับต่อ แต่นิ้วดันไปเกี่ยวกับสายชาร์จแบ็ตเข้า ไอโฟนสี่เครื่องเป้งจึงร่วงลงบนหัวดังปึก!

“โอ๊ย! อูย...อือ…” เสียงครางอย่างละเมอนั้นเล็ดลอดริมฝีปากมาแผ่วเบาแล้วเลือนหาย เมื่อคนง่วงเลือกที่จะหลับต่อ หารู้ไม่ว่าคนโทร.มานั้นแทบลุกเป็นไฟ!

“ตาริศ! ตาริศ! แกอยู่กับใครน่ะ บอกแม่มานะ ตาริศ!”

เรียกจนเจ็บลำคอแต่ไม่มีเสียงตอบกลับมา ‘พระมารดา’ จึงกดวางสายไปด้วยอารมณ์เดือดพล่าน

หกโมงเช้าเสียงนาฬิกาปลุกตัวจริงส่งเสียงตามหน้าที่ทุกวัน เช้านี้มธุรินค่อนข้างขี้เกียจลุก เนื่องจากเมื่อคืนฝันสะเปะสะปะ แถมโดนปลุกไปก่อนหน้านี้รอบนึงแล้วด้วย หากเธอก็ต้องตัดใจลุกทั้งยังหลับตา เมื่อเช้านี้ไม่ใช่วันหยุด ก็ต้องรีบออกไปทำงานก่อนรถจะติดแล้วไปสาย

อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเดินลงมาด้านล่างโจ๊กร้อนควันกรุ่นส่งกลิ่นหอมไปแตะจมูกตั้งแต่ยังก้าวไม่พ้นบันได

“โอ้โฮ เช้านี้โจ๊กห้อมหอมจ้ะยาย ต้องเป็นโจ๊กหมูกะไข่ไม่สุกแน่เลย” คนส่งเสียงมาก่อนตัว ทำจมูกฟุดฟิด ร่างอวบของหญิงชราเดินถือถ้วยน้ำเต้าหู้ออกมาจากครัว

“ทำยังกะแปลกกว่าทุกวัน ก็เหมือนเดิม ของโปรดไม่ใช่รึ”

“แปลกกว่าทุกวัน ดีกว่าทุกวันจ้ะยาย” ว่าแล้วร่างโปร่งก็เดินไปสวมกอดคนเป็นยายหอมแก้มซ้ายแก้มขวาเสียหลายที “เพราะโจ๊กของยาย น้ำเต้าหู้ของยาย ทำให้หวานมีลมหายใจเพิ่มขึ้นอีกวันไงจ๊ะ”

“อย่าประจบ ถ้ายายดีจริงทำไมมื้อเย็นเมื่อวานปล่อยให้ยายกินข้าวคนเดียว” เดือนเพ็ญแสร้งน้อยใจหลานสาว สีหน้าไม่มีเค้าโกรธเคืองสักนิด

“โอ๋...ยายงอนเหรอจ๊ะ หวานขอโทษ เมื่อวานหวานกินข้าวกับพี่ภัต ยายก็รู้พี่ภัตไม่ค่อยว่าง นานๆ ได้กินข้าวด้วยกันสักที” พูดพลางทรุดนั่งลงตรงเก้าอี้ตัวประจำ ลงมือคนโจ๊กในถ้วยไปเรื่อยๆ อีกมือกางหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าออกอ่าน โดยไม่ทันสังเกตสีหน้าคนเป็นยาย

“ทำไมไม่ชวนพ่อภัตมากินข้าวที่บ้านล่ะ”

“เมื่อวานเขารีบน่ะจ้ะ หวานเลยชวนเขาหาอะไรกินข้างนอก เร็วดี” ตอบโดยไม่ละสายตาขึ้นมองผู้สูงวัยกว่า ด้วยรู้ว่าท่านกำลังคิดสิ่งใดอยู่

“เขาพูดเรื่องแต่งงานบ้างหรือยัง”

“โธ่ ยายจ๋า เราเพิ่งคบกันปีเดียวเองนะจ๊ะ ยายจะรีบผลักไสหวานไปให้เขาแล้วงั้นหรือ” ใบหน้าเรียวทำเป็นเศร้าสลด น้ำเสียงออดอ้อน

“เปล่า ยายไม่ได้ว่ายังงั้น แค่คิดว่าคบกันตั้งปี เขาน่าจะมีอะไรชัดเจนกว่านี้ ไม่ต้องแต่งงานก็ได้ แต่ควรเปิดเผย พาไปพบผู้ใหญ่ หรือมาคุยกับยายให้เป็นทางการก็ยังดีนะยายว่า โตๆ กันแล้วทั้งคู่” น้ำเสียงท่อนสุดท้ายทอดอ่อนไม่ให้ดูเป็นการบีบบังคับจนเกินไป

“อย่างนี้ก็ดี หวานจะได้พิสูจน์ใจเขาไงคะ ว่าเขาใช่คู่แท้ของหวานหรือเปล่า” ริมฝีปากเปิดยิ้มสวยเป็นอันจบประเด็นนั้นไป “เอ้อ เมื่อคืนหวานฝันแปลกจ้ะย้าย ไม่รู้ดีหรือไม่ดี”

จู่ๆ ก็เปลี่ยนไปเรื่องฝัน ปกติมธุรินไม่ค่อยใส่ใจเรื่องความฝันอะไรพวกนี้ แต่ฝันเมื่อคืนมันแปลกจริง เธอไม่เคยฝันอย่างนี้มาก่อน หนำซ้ำคนในฝันก็นึกไม่ออกว่าเป็นใครบ้าง คุ้นหน้าแต่เหมือนไม่รู้จัก

“ฝันว่าอะไร” ร่างอวบทรุดนั่งตรงเก้าอี้ใกล้หลานสาว

คนจะเล่าฝันตักโจ๊กเข้าปากเสียคำหนึ่งก่อน กลืนแล้วนั่นล่ะถึงเริ่มเล่า

“ฝันว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งเอาลูกแก้วซ้วยสวย ลูกใหญ่มากมาให้หวานจ้ะ”

“หือ?” คนเป็นยายคราง “หวาน ไม่...ไม่ได้ชิงสุกก่อนห่ามใช่ไหมลูก”

คำถามเดือนเพ็ญทำเอาคนที่เพิ่งยกน้ำเต้าหูขึ้นดื่มสำลักขึ้นจมูก ไอแค่กๆ จนหน้าดำหน้าแดง คว้าทิชชู่มาเช็ดเสร็จแล้วจ้องหน้าเหี่ยวย่นของยายนิ่ง

“หวานไม่มีทางทำอย่างนั้นแน่จ้ะ ทำไมยายถามอย่างนั้นล่ะจ๊ะ ไม่เชื่อใจหวานหรือ?”

สีหน้าคุณเดือนเพ็ญครุ่นคิด บางทีนางคงคิดมากไปเอง มธุรินรักในศักดิ์ศรีตัวเองมากพอ

“ไม่มีอะไรหรอก ยายไว้ใจหวานเสมอแหละ แค่ถามไปอย่างนั้นเอง อย่าคิดมากเลย ฝันก็คงแค่ฝันนั่นละ” ถึงจะพูดอย่างนั้นสีหน้าของคนเป็นยายก็ดูเหมือนจะไม่คลายกังวลเสียทีเดียว “รีบกินเข้า เดี๋ยวไปทำงานสายหรอก”

พอคนเป็นหลานจ้อง คุณเดือนเพ็ญจึงเร่ง

มธุริน สังหรณ์ใจบางอย่าง แต่ก็ตัดใจ คงไม่มีอะไรอย่างยายว่านั่นแหละ ฝันก็คือฝัน





โปรดติดตามตอนต่อไป
น้อมรับทุกคำติ-ชมค่ะ ^^



ปลากัด
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 ก.ค. 2554, 11:35:53 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ก.ค. 2554, 11:35:53 น.

จำนวนการเข้าชม : 3321





   บทที่ 1 >>
แว่นใส 26 ก.ค. 2554, 13:18:40 น.
พี่เขยก็เป็นคนเดียวกับแฟนนางเอกใช่ไหม ผู้ชายชั่วร้าย


คิมหันตุ์ 26 ก.ค. 2554, 14:53:07 น.
แอบคิดเหมือนคุณแว่นใส เลยค่ะ


ann 26 ก.ค. 2554, 17:52:17 น.
จะรอตอนต่อไปนะคะ ชอบแนวนี้จังเลยอ่ะ


ลูกขนไก่ 26 ก.ค. 2554, 18:18:56 น.
คิดเหมือนกันเลยว่าอีตาพี่ภัตเนี้ยต้องมีนอกมีใน


dedy 26 ก.ค. 2554, 18:32:12 น.
รอตอนต่อไปนะคะ


anOO 26 ก.ค. 2554, 22:18:20 น.
เอ เรื่องมันยังไงแน่ รอตอนต่อไปดีกว่า


ใบบัวน่ารัก 27 ก.ค. 2554, 08:10:46 น.
คบกันได้ไง ไม่เคยสงสัยเลยหรือไงว่า
ยังไม่มีเมีย
เด็กหนอเด็ก


แล่นแต๊ 27 ก.ค. 2554, 08:13:56 น.
น่าติดตามค่ะ


บัวขาว 27 ก.ค. 2554, 10:56:36 น.
ความรักทำให้คนตาบอด :(


ปูสีน้ำเงิน 28 ก.ค. 2554, 00:50:55 น.
สงสัยจะได้ลูกสาว


วิรัตต์ยา 31 ก.ค. 2554, 09:11:39 น.
กรี๊ดดด มาลงละเหรอ อิอิ แวบมาส่งกำลังใจจ้า อิอิอิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account