แก้วซ่อนลาย
ลายรักจะโชนแสง...ดับรอยแค้นในหัวใจ
Tags: #ทีมบุ้ง #ทีมจ้า #ทีมกลิ่นแก้ว #สืบสวนสอบสวน #โรม๊านซ์ #ดราม่า #ผี

ตอน: บทที่ ๒




“คุณเล็ก...คุณเล็กเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เสียงเรียกชื่อจิตต์เอื้อ พร้อมร่างกายถูกเขย่า ทำให้นักธุรกิจสาวค่อยๆ ลืมตา สองมือที่ยกขึ้นปิดหูตกลงข้างตัวอย่างสิ้นเรี่ยวแรง ตอนนี้รอบตัวหล่อนกลับคืนสภาพปกติแล้ว ราวกับภาพที่เห็นเมื่อครู่เป็นเพียงแค่ฝันตื่นหนึ่ง จิตต์เอื้อกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเฝือ เอ่ยขอบคุณทีมงานที่เข้ามาดูแลเสียงแผ่ว แต่อาการหล่อนคงดูไม่ดีนัก ทีมงานคนเดิมจึงถามไถ่อีกครั้งเพื่อให้แน่ใจจนหล่อนต้องย้ำบอก


“ไม่...ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว...ไปดูจ้า ใครก็ได้ไปดูจ้าที”


“ผมว่าตอนนี้คุณเล็กอย่างเพิ่งขึ้นไปจะดีกว่านะครับ” เสียงตุลธรเอ่ยขึ้นจากทางด้านหลัง สาวใหญ่หันขวับมองทันควัน รู้สึกใจชื้นขึ้นมาเมื่อเห็นเลขาฯคนสนิทของแสงฉาน


“ได้อะไรบ้างไหม”


ตุลธรไม่ตอบคำถามจิตต์เอื้อในทันที อาจเพราะเสียงหวีดร้องอย่างตกใจจากผู้คนรอบด้านดังเรียกความสนใจเขาเสียก่อน ตอนนี้แสงฉานถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว นักธุรกิจหนุ่มยังสงบเยือกเย็น แม้มีดคัตเตอร์ในมือหญิงสาวตัวก่อเรื่องจะตวัดเฉียดร่างสูงไปเพียงคืบเดียว แสงฉานอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายมัวแต่อึ้งตะลึงกับการกระทำอันผิดพลาดของตัวเองก้าวเข้าไปรวบข้อมือผอมไว้ด้วยความรวดเร็ว จับบิดนิดเดียว มือนั้นก็คลายด้ามคัตเตอร์ออกจนเขาสามารถดึงอาวุธอันตรายในมืออีกฝ่ายมาถือไว้ได้


คนถูกจับข้อมือไว้โดยไร้อาวุธต่อกรเงยหน้าขึ้นมองคนก้าวเข้าประชิดตัว แววตาตระหนกตื่นตระหนกเพราะผิดคาด ความคิดแรกที่ผ่านเข้ามาคือผู้ชายคนนี้เป็นเจ้าของบริษัทจิเวลรี่ คนที่หล่อนดูรูปแล้วดูรูปอีก หลังถูกสั่งให้มาทำลายงานเปิดตัวสินค้าใหม่ โดยมีค่าตอบแทนเป็นเงินก้อนใหญ่ถูกโอนเข้าบัญชีมาให้ก่อนครึ่งหนึ่ง ความคิดต่อมาคือผู้ชายคนนี้เป็นบุคคลอันตรายที่ผู้ว่าจ้างไม่ได้บอกไว้ ว่าหล่อน ‘ไม่ควร’ เผชิญหน้าใกล้ๆ เพียงลำพังเด็ดขาด


“ปล่อยนะ! ปล่อยสิ! อยากตายหรือไงหา” หญิงสาวตะคอกขู่ ทั้งหยิกทั้งข่วนเพื่อหนีจากการเกาะกุมแต่ร่างสูงกลับยืนนิ่งไม่ไหวติง ร่างบอบบางเลยได้แต่ดิ้นพล่าน เนื้อตัวเย็นเฉียบด้วยความกลัวเมื่อเห็นเงามัจุราชฉายชัดอยู่ในดวงตาคู่คม


“ใช่ อยากตาย...เรามาตายพร้อมกันเลยไหมล่ะ”


คนถูกถามเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของคำถามด้วยสีหน้าหวาดหวั่น เสียงทุ้มดูเชื้อเชิญคล้ายชายหนุ่มกำลังชวนหล่อนเดินไปซื้อของหน้าปากซอยอย่างไรอย่างนั้น ไหนจะรอยยิ้มกว้างทั้งสีหน้าไม่เปลี่ยนนั่นอีก ทำเอาหญิงสาวเจ้าของเรื่องตัวสั่นขึ้นมาอีกระลอก


“ไม่นะไม่...จะทำอะไรน่ะ ถ้าอยากตายก็ตายไปคนเดียวสิ ปล่อยฉันนะปล่อย!” หญิงสาวร้องเสียงหลง แทบอยากกระโจนหนีลงจากเวทีเดี๋ยวนั้น แต่ติดตรงที่ว่าสองเท้ากลับก้าวไม่ออก ร่างบางถูกฉุดกระชากท่ามกลางเสียงฮือฮารอบตัว ใบหน้าคล้ำเข้มบิดเบี้ยวเหยเก ทำไมถึงไม่มีใครเข้ามาห้ามแสงฉาน ปล่อยให้หล่อนเผชิญหน้ากับความตายเช่นนี้ได้อย่างไร


“อ้าว...เมื่อกี้ยังประกาศเหยงๆ ว่าใครเข้ามาจะฆ่าตัวตายให้ดู แล้วทำไมตอนนี้ถึงเหลือแค่ฉันคนเดียวล่ะ”


คำต่อว่าต่อขานของแสงฉานทำให้คนขู่อาฆาตมาแต่แรกหวาดกลัวมากกว่าเดิม ไม่รู้เลยว่าท่าทางของหล่อนทำนักธุรกิจหนุ่มฉีกยิ้มกว้าง ถ้านี่เป็นละคร...มันก็สมจริงเสียจนคนดูเลือกตอนจบไม่ถูก แต่เพราะนี่ไม่ใช่...แสงฉานเลยตัดสินใจเลือกตอนจบให้เอง


“ไม่...มันต้องไม่ใช่แบบนี้”


“ไม่ใช่แบบนี้ แล้วแบบไหน ไม่ต้องกลัวนะเธอ ฉันยินดีตายเป็นเพื่อนเธอแน่” แสงฉานปลอบด้วยน้ำเสียงอบอุ่น เสียงทุ้มของเขาดังก้องไปทั่วผ่านไมโครโฟนตัวจิ๋วตรงสาบเสื้อ มือซ้ายข้างที่ว่างหมุนมีดคัตเตอร์ในมือเล่นอย่างเห็นเป็นของสนุก ทำเอาทุกคนที่มองอยู่เดาทางไม่ถูกว่าเขากำลังคิดทำอะไร แต่แล้วจู่ๆ แสงฉานก็ปล่อยข้อมือหญิงสาวออก ร่างบางแทบเผ่นผึงลงจากเวทีทันทีที่ได้รับอิสระ แต่ก็นั่นล่ะ...หล่อนก้าวไปได้แค่สองก้าว ผู้ชายตัวสูงใหญ่ ใบหน้าเหมือนสวมหน้ากากไว้ก็กระโจนขึ้นมาขวาง อีกฝ่ายไม่ได้มาคนเดียว แต่ยังพาทีมงานอีกสามสี่คนมายืนกั้นเป็นกำแพงตั้งฉาก ต้อนให้หล่อนจนตรอกต้องหันกลับมาเผชิญหน้ากับแสงฉานตามเดิม


“คุณ...คุณปล่อยฉันไปเถอะนะ ปล่อยฉันไปเถอะ”


หญิงสาวตัวก่อเรื่องยกมือไหว้ปลก ทรุดตัวลงกองกับพื้นอย่างคนสิ้นท่า ผิดกับแสงฉานซึ่งย่างสามขุมเข้าหา ก้มตัวมองเจ้าของร่างบางที่ถูกจ้างวานมาด้วยแววตาว่างเปล่าเฉยชา


“จะรีบไปไหนล่ะ ยังไม่มีผลงานกลับไปให้เจ้านายเธอดูเลยไม่ใช่เหรอ”


ไม่พูดเปล่า ชายหนุ่มใช้มือซ้ายเลื่อนใบมีดคัตเตอร์ขึ้นแช่มช้า พร้อมชูมือขวาข้างที่ว่างขึ้นสูงระดับอก ความคมของใบมีดสะท้อนแสงไฟวาววับ จากนั้นไม่กี่อึดใจปลายมีดคัตเตอร์ขนาดใหญ่ก็จรดลงบนฝ่ามือข้างซ้าย แสงฉานกดน้ำหนักลงไปเล็กน้อย เลือดสีแดงสดก็ไหล่ปริ่มออกมา แสงฉานแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม ร่างสูงย่อตัวลง ก่อนใช้มือข้างที่เปื้อนเลือดแนบข้างแก้มหญิงสาวประคองใบหน้านั้นให้เงยขึ้นสบตาเขาด้วยสีหน้าอ่อนโยน


“แค่นี้พอไหมหรือน่าจะกดให้ลึกอีกสักหน่อยดี”


“พอแล้ว...พอแล้ว! ฉันยอมบอกแล้ว มีคนจ้างฉันมา...จ้างมาให้ทำลายคุณกับงานของคุณ”


เป็นหญิงสาวเองที่ทนไม่ไหวต้องปัดมือแสงฉานออก กลิ่นคาวเลือดลอยคละคลุ้งจนหล่อนแทบอาเจียนออกมา แต่ที่ทำได้คือฟุบหน้าลงกับฝ่ามือหนีภาพหยดเลือดที่กำลังหลั่งออกมาจากมือเรียวหยดลงบนพื้นสีขาวบนเวทีเนื้อตัวสั่นเทา นี่มันบ้าชัดๆ หล่อนคิดว่าตัวเองต้องตายเพราะความกลัวเสียแล้ว แสงฉานทำให้หล่อนรู้สึกกลัวความตายขึ้นมาฉับพลัน


“พูดอีกครั้งสิ ใคร-จ้าง-เธอ-มา” แสงฉานถามง่ายๆ มือข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บรับไมโครโฟนจากตุลธรซึ่งเข้ามายื่นให้อย่างรู้หน้าที่ จ่อไปยังริมฝีปากหญิงสาว


ปกติ...กับคนประเภทนี้แสงฉานไม่แม้แต่จะลดตัวลงพูดจาด้วย แต่ครั้งนี้แตกต่าง ชายหนุ่มเกลียดคำพูดพล่อยๆ ที่อีกฝ่ายหลุดปากพูดออกมามากถึงมากที่สุด ถ้าคนเราสามารถตายกันได้ง่ายๆ ขนาดนั้น เขาคงตายวันละหลายรอบไปแล้ว แต่ผู้หญิงตรงหน้ากลับเอ่ยคำว่า ‘ตาย’ ออกมาง่ายดาย คนที่พูดแบบนี้ได้แสดงว่าเป็นคนไม่เคยสัมผัสความตายมาก่อน


แสงฉานเลยอยากสั่งสอน ในเมื่ออีกฝ่ายอยากตาย เขาเลยไม่คิดขัดขวาง จะตายตรงนี้หรือไปตายที่ไหนเขาไม่สนใจ ชายหนุ่มถือว่าชีวิตใครชีวิตมัน เพียงแต่คนอื่นยังไม่รู้เลยว่า เหตุการณ์ครั้งนี้เขาไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อเรียกร้องความสนใจจากผู้คน ไม่ได้เป็นไวรัลโฆษณา แต่มี ‘ตัวการใหญ่’ อยู่เบื้องหลัง ในฐานะผู้บริหารสูงสุดของพิทักษ์กรุ๊ปและยังเป็นประธานบริษัทจิเวลรี่ แสงฉานปล่อยให้เรื่องนี้จบลงอย่างคลุมเครือไม่ได้เด็ดขาด


“มีคนจ้างฉันให้มาทำลายคุณ พอใจหรือยัง! ถ้าอยากรู้นักว่าใคร ฉันบอกให้ก็ได้ คู่แข่งของคุณไงล่ะคุณจ้า!” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นตะคอก น้ำเสียงกระโชกโฮกฮาก ดวงตาแดงก่ำ กลิ่นคาวเลือดจากมือแสงฉานลอยวนอยู่ตรงปลายจมูกจนหล่อนพะอืดพะอมปั่นป่วนในท้องไปหมด “ทีนี้ปล่อยฉันไปได้หรือยัง เลิกฆ่าฉันด้วยการกระทำบ้าๆ ของคุณสักที”


หญิงสาวร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น กลัวการกระทำบ้าดีเดือดของชายหนุ่มจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ ยิ่งมองหยดเลือดบนพื้นจากมือข้างซ้าย หล่อนยิ่งซาบซึ้งกับคำว่า ‘นรกอยู่ตรงหน้า’ ผู้ชายคนนี้กรีดข้อมือตัวเองจนเป็นแผลได้โดยไม่แสดงสีหน้าเจ็บปวด แถมยังยืนยิ้มได้หน้าตาเฉย ที่เขาว่ากันว่าเห็นแสงฉานก็เหมือนเห็นนรก แต่ถ้าทำให้ชายหนุ่มโกรธเท่ากับตกนรกทั้งเป็นนี่น่าจะจริงเสียยิ่งกว่าจริง


คนได้รับคำตอบจนเป็นที่พอใจแล้วยืดตัวขึ้น รับผ้าสะอาดจากตุลธรมาพันข้อมือซ้ายไว้อย่างลวกๆ ดวงตาคมทอดต่ำ มองหญิงสาวตัวก่อเรื่องนั่งพับเพียบร้องไห้โฮ หมดทางแก้ตัวด้วยสีหน้าชาเฉย ชายหนุ่มขยับปากเพื่อเอ่ยคำหนึ่งที่ทำให้คนก้มหน้าอยู่ต้องเงยหน้าขึ้นมองมาอีกครั้ง


“ทีนี้อยากตายก็ตายได้แล้ว เลือกเอาแล้วกันว่าจะตายเอง หรืออยากให้ฉันฆ่าให้ตาย”


คล้ายมีใครกดปุ่ม ‘เพลย์’ เพื่อเล่นภาพต่อเนื่อง แสงแฟลชรอบตัวเริ่มทำหน้าที่ของมันอีกครั้ง ร่างสูงสง่าก้าวผ่านหญิงสาวซึ่งนั่งตัวแข็งตาค้างไปอย่างไม่ไยดี ทิ้งตุลธรให้รับหน้าที่ตะโกนบอกนักข่าวซึ่งกรูกันขึ้นมาบนเวทีเหมือนสุนัขล่าเนื้อให้หยุดฟังเรื่องที่กำลังชี้แจงต่อจากนี้เพียงลำพัง ส่วนตัวเขาก้าวลงจากเวทีมาเผชิญหน้ากับจิตต์เอื้อ ร่างโปร่งระหงซึ่งกระสับกระส่ายยืนรออยู่ข้างเวทีพร้อมกับพิธีกรสาว คนสูงวัยกว่าทำท่าจะโผเข้าหาเขาทันทีที่เห็นหน้ากันชัด แต่แสงฉานเบี่ยงตัวหลบเสียก่อน อีกฝ่ายเลยชะงักเปลี่ยนเป็นบอกให้เขารีบไปทำแผลตรงฝ่ามือแล้วรีบเดินนำออกไป


ร่างสูงขยับตัวตาม ดวงตาคมเป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่ง งานนี้...ถ้าเขาต้องตาย ก็ต้องคว้าคอไอ้คนอยากให้เขาตายลงนรกไปด้วยกัน นรกขุมที่ชื่อว่าแสงฉาน…นั่นเอง








ห้องทำงานของจิตต์เอื้อตั้งอยู่บนชั้นสี่สิบแปดของตึกพิทักษ์กรุ๊ปซึ่งมีทั้งหมดรวมห้าสิบชั้น เป็นการย้ายสถานที่ทำงานจากตึกเก่าที่มีเพียงยี่สิบชั้นมายังสถานที่แห่งใหม่ซึ่งเพียบพร้อมมากกว่า เดินทางสะดวกสบายกว่า โดยชั้นดาดฟ้ายังถูกสร้างให้เป็นลานจอดเฮลิคอปเตอร์ เนื่องจากก่อนสร้างตึก แสงฉานเล็งเห็นแล้วว่าพื้นที่ตรงส่วนนี้สามารถใช้ทำธุรกิจได้เพราะอยุ่ในย่านใจกลางเมือง เลยสร้างลานจอดเฮลิคอปเตอร์ขึ้นมาเพื่อให้ ‘ลูกค้า’ ระดับวีไอพีได้ใช้บริการลานจอดของพิทักษ์กรุ๊ป ถือเป็นตัวเลือกเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทางยามเร่งด่วน ทั้งยังถือเป็นการทำธุรกิจในเชิงพาณิชย์อีกรูปแบบที่สามารถเก็บกินผลได้ในระยะยาว


แต่ถึงจะมีพื้นที่กว้างขวางเป็นของตัวเองบนตึกสูง ทว่าสองน้าหลานกลับมีความชอบเหมือนกันอยู่อย่างคือ ไม่ต้องการห้องทำงานใหญ่โตเกินความจำเป็น ขอเพียงมีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งทำงาน มีตู้ลิ้นชักไว้เก็บเอกสารสำคัญ มีหน้าต่างบานใหญ่ไว้สำหรับมองวิวเบื้องล่างซึ่งเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา แค่เท่านี้ทั้งสองคนก็พอใจแล้ว แต่ในขณะที่ห้องทำงานแสงฉานค่อนข้างโล่ง สะอาด ทั้งผนังห้องทั้งพื้นที่ใช้สอยรอบตัวไร้การตกแต่งใดๆ ห้องทำงานของจิตต์เอื้อกลับแตกต่าง สาวใหญ่ใช้สอยพื้นที่ทำงานอย่างคุ้มค่า แม้แต่ผนังซึ่งควรโล่งว่างยังมีกรอบรูปใส่ใบประกาศเกียรติคุณต่างๆ ที่ทางพิทักษ์กรุ๊ปได้รับมาตั้งแต่รางวัลแรกไปจนถึงครั้งล่าสุดแขวนประดับไว้ แต่ดูเหมือนรูปถ่ายในกรอบไม้ขนาดใหญ่ด้านหลังจิตต์เอื้อนั้นจะดึงดูดใจผู้คนได้มากกว่า รูปของสองสามีภรรยาผู้ก่อตั้งพิทักษ์บดินทร์ตัวจริงเสียงจริง


พิทักษ์ในวัยต้นสามสิบกับงามเคื้อผู้เป็นภรรยาในชุดแต่งงานแบบไทยดูสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก ชายหนุ่มในรูปถ่ายกำลังก้มลงมองเจ้าสาวที่นั่งตัวตรงนิ่งอยู่บนเก้าอี้มุกด้วยแววตาชื่นชมหลงใหล ผิดกับงามเคื้อผู้เป็นภรรยา สีหน้าหญิงสาวนั้นไม่ถึงกับบึ้งตึง แต่ก็เฉยเมยจนไม่อาจรับรู้ถึงความสุขสมหวังในชีวิตคู่ที่กำลังเริ่มต้น


“ตอนนี้ทางทีมออร์แกไนเซอร์บางส่วนถูกประกันตัวออกไปแล้วครับ เหลือก็แต่ผู้หญิงคนนั้นที่ยังอยู่บนสน. ถ้าวันนี้ยังไม่มีคนมายื่นขอประกันตัวก็คงได้นอนในคุก” ตุลธรรายเริ่มต้นรายงาน หลังทุกคนจับจองที่นั่งกันเรียบร้อย เลขาฯแสงฉานวางกระดาษเอสี่หลายแผ่นลงบนโต๊ะให้จิตต์เอื้อได้อ่านก่อน ส่วนที่เหลือยื่นให้แสงฉานซึ่งทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานน้าสาว ทั้งหมดเป็นประวัติส่วนตัวคร่าวๆ ของหญิงสาวตัวก่อเรื่องกับทีมออร์แกไนเซอร์เท่าที่พอจะหาได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง


“ที่หายไปตอนนั้นก็เพราะไปหาข้อมูลพวกนี้สินะ”


ตุลธรตอบรับคำถามของจิตต์เอื้อ ก่อนเอ่ยต่อว่า “แค่ส่วนหนึ่งครับคุณเล็ก จริงๆ แล้วผมตั้งใจเดินดูรอบๆ ด้วยว่ามีคนอื่นอีกหรือเปล่าที่ถูกจ้างให้มาก่อกวนจิเวลรี่ ซึ่งเรา...ไม่พบคนอื่น”


“ไม่พบคนอื่น แต่พบว่าคนใกล้ชิดเรานี่แหละทำ” แสงฉานต่อท้ายประโยคให้ และตุลธรก็น้อมรับคำพูดของผู้เป็นนายทันที


“ครับ ทีมออแกไนเซอร์ที่ทำงานกับเรามานานรู้เห็นเป็นใจกับเรื่องนี้”


“ไม่อยากเชื่อเลย” จิตต์เอื้อคราง สีหน้าผิดหวังอย่างที่สุด “ยอมเอาชื่อเสียงตัวเองมาเสี่ยงเพราะเรื่องแค่นี้น่ะเหรอ”


“ผลประโยชน์มันไม่เข้าใครออกใครหรอกครับน้าเล็ก” แสงฉานเอ่ยเยาะๆ ก่อนถามเรื่องที่เขาสั่งให้ตุลธรจัดการ


“เรื่องฟ้องร้อง ทนายความประจำบริษัทเรากำลังเดินเรื่องให้ครับ และตามที่คุณจ้าต้องการ...เราจะไม่ได้เห็นออร์แกไนเซอร์ทีมนี้ในวงการนี้อีก”


“ดีมาก”


ไม่ผิดไปจากที่คิดไว้ ตุลธรสามารถจัดการเรื่องนี้ได้โดยเขาไม่ต้องลงมือเอง ห้าปีที่ล้มลุกคลุกคลานปลุกปั้นแบรนด์จิเวลรี่ด้วยกันมา ข้อบกพร่องของคนตรงหน้าถือว่ามีน้อยมาก ถ้าไม่นับเรื่องที่เข้าทำงานในพิทักษ์กรุ๊ปด้วยเส้นสายบิดา กับเรื่องที่อีกฝ่ายมักเมินไม่สบตาเขา นอกนั้นถือว่าใช้ได้ทีเดียว


“ว่าแต่จ้ารู้ได้ยังไงว่านอกจากผู้หญิงคนนั้นแล้ว ยังมีทีมออร์แกไนเซอร์ร่วมด้วย?” จิตต์เอื้อยังสงสัย แสงฉานรู้ได้อย่างไร ทั้งที่ไม่มีวี่แววมาก่อนด้วยซ้ำ


“รู้ได้ยังไง รู้ได้ตรงที่ไม่มีใครช่วยเราเลยไงครับน้าเล็ก ทุกคนหลบอยู่หลังฉากกันหมด สั่งให้ทำอะไรก็เงอะงะ ไม่ก็ยืนเฉย จะบอกว่าตกใจ...ทุกคนก็ตกใจเหมือนกันหมด แต่ปฏิกิริยาตอบสนองหลังจากนั้นต้องไม่ใช่แค่ยืนดูอยู่เฉยๆ แทบทุกคนแบบนี้”


แสงฉานเล่าไปยิ้มเยาะไป อยากบอกเหลือเกินว่าเขาสังเกตเห็นมากกว่านั้น สายตาทีมงานแต่ละคนเหมือนรู้อยู่แล้วว่าเรื่องจะลงเอยแบบไหน


“อีกอย่าง...แค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียว ผลักเบาๆ ก็น่าจะล้ม แต่กลับไม่มีใครลากลงจากเวทีได้เลยสักคน”


“แต่ผู้หญิงคนนั้นมีมีด ถืออาวุธส่ายไปส่ายมาแบบนั้น เป็นใครก็ต้องกลัว” จิตต์เอื้อชี้ให้เห็นจุดสำคัญที่แสงฉานอาจลืมไปแล้ว อีกฝ่ายมีอาวุธถืออยู่บวกกับอารมณ์ไม่มั่นคงดูอันตรายจนไว้ใจไม่ได้


“มีมีดแล้วยังไงครับน้าเล็ก มีมีดแล้วเราควรยืนเฉย ช่วยกันส่งกระแสจิตให้ผู้หญิงคนนั้นวางมีดลงเหรอครับ ทำไมเราไม่จัดการทำอะไรสักอย่าง ทำยังไงก็ได้ให้ผู้หญิงคนนั้นวางมีดลงให้เร็วที่สุด เพื่อที่เราจะได้ปลอดภัยโดยเร็วที่สุด” แสงฉานว่ายิ้มๆ ออกจะเป็นยิ้มหยันอย่างที่เจ้าตัวทำจนเคยชินเสียมากกว่า ทว่ารอยยิ้มแบบนี้ถ้าฉายอยู่บนใบหน้าคนอื่นคงดูร้ายกาจจนไม่น่ามอง แต่เมื่อมันปรากฏบนใบหน้าขาวจัด โครงหน้าสมส่วนดูดีรับกันไปหมดเหมือนช่างฝีมือบรรจงปั้นแต่งให้งดงามเกินมนุษย์ มันเลยกลับดูน่ามองจนเรียกว่าไม่อาจละสายตาได้


“จ้ารู้อยู่แล้วว่ามันคือละคร”


“เรียกว่ารู้ว่าจะต้องเกิดเรื่องน่าจะถูกกว่าครับ”


“จ้าก็เลยปล่อยให้เกิดเรื่อง?” จิตต์เอื้อถามราบเรียบ จนคนฟังเดาอารมณ์ไม่ถูกไปเหมือนกัน กระนั้นแสงฉานยังตอบอย่างใจเย็น


“เราได้ประโยชน์ทั้งขึ้นทั้งล่องนี่ครับน้าเล็ก ผมได้เป็นฮีโร่ สินค้าใหม่ของจิเวลรี่เปิดตัวอย่างฮือฮาในหนังสือพิมพ์ คอยดูสิครับ หนังสือพิมพ์กรอบเช้าวันพรุ่งนี้ต้องลงข่าวงานเปิดตัวสินค้าเราทุกฉบับแน่ แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือคนร้ายถูกจับพร้อมคำรับสารภาพ”


จิตต์เอื้อสูดลมหายใจเข้าปอดลึก คนอย่างแสงฉานลงทุนทำอะไรแล้วทุกอย่างต้องคุ้มค่าเสมอ เสียเลือดเสียเนื้อขนาดนี้ ผลตอบแทนที่ได้รับคงมากพอให้อีกฝ่ายคิดเสี่ยง ไม่แปลกใจเลยที่จะได้ยินนักธุรกิจหลายรายพูดถึงแสงฉานลับหลังด้วยประโยคคล้ายๆ กันว่าเป็นคนหนุ่มที่น่ากลัว เป็นนักธุรกิจที่มีคนอยากร่วมงานด้วยมากที่สุด แต่ในขณะเดียวกันก็อยากถอยห่างมากที่สุดเช่นกัน ถ้าไม่ได้เป็นคู่ค้า…ก็ไม่ควรหาญกล้าขึ้นมาเป็นคู่แข่ง


ถามว่าหลานชายหล่อนเกลียดการมีคู่แข่งไหม กลัวหรือเปล่ากับการต้องลุกมาฟาดฟันปัญหาเดิมๆ ซ้ำๆ เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นแสงฉาน จิตต์เอื้อก็ตอบให้ได้ คนอ่อนวัยกว่าไม่เคยกลัว ตรงกันข้าม เจ้าตัวกลับชอบใจเสียอีก เพราะนั่นหมายถึงสินค้าของจิเวลรี่ดีจริง ดังจริง ได้รับความนิยมและเป็นที่ยอมรับจริงจนมีคนคิดเลียนแบบทำตาม อีกอย่าง...แสงฉานมั่นใจในคุณภาพของสินค้า มั่นใจในกระบวนการผลิต การเลือกวัตถุดิบมาเป็นส่วนประกอบทำเครื่องสำอาง มากเสียจน…ต่อให้มีอีกสิบคู่แข่งผุดขึ้นมาก็ไม่หวั่นไหว


“เธอก็รู้เรื่องนี้ด้วยเหรอต้น” จิตต์เอื้อคาดคั้นเอากับผู้ชายร่างสูงในชุดสูทสีดำรีดเรียบกริบ ซึ่งยืนอยู่ด้านหลังแสงฉาน สงบปากสงบคำเงียบ สมกับตำแหน่งช้างเท้าหลังของแสงฉาน เป็นเลขาฯ ‘ภาคปฏิบัติ’ ที่ไม่ชอบพูด แต่ชอบ ‘ลงมือ’ ทำให้เห็นกันไปเลยมากกว่า


“ไม่ครับคุณเล็ก ตอนแรกไม่รู้...แต่พอเห็นปฏิกิริยาของคุณจ้า ก็พอจับทางได้ว่าคงไม่ใช่แค่การก่อเรื่องธรรมดา” ตุลธรตอบตามตรง ทุกครั้งที่มีการเปิดตัวสินค้าใหม่ ทางจิเวลรี่มักวางแผนป้องกันปัญหาต่างๆ เอาไว้ล่วงหน้าเสมอ เพียงแต่คาดไม่ถึงว่า ‘ปัญหา’ จะปรากฏตัวออกมาพร้อมอาวุธในมือแบบนั้น


“ดีนะ...ทุกคนรู้ มีแต่ฉันเท่านั้นที่ไม่รู้อะไรเลย” หางเสียงจิตต์เอื้อตัดพ้อ ไม่มีใครปริปากบอกรายละเอียดเรื่องนี้กับหล่อนเลยสักคน โดยเฉพาะแสงฉาน คนในครอบครัวหล่อนแท้ๆ แต่กลับมีเรื่องปิดบังมากมาย “นี่ถ้าไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย คิดบ้างไหมว่าน้าจะเอาอะไรไปตอบคำถามกับหุ้นส่วนของเรา แต่ละคนร้ายกาจกันทั้งนั้น ป่านนี้คงเตรียมพูดกันแล้วว่าจ้าทำอะไรไม่คิด ทำให้ภาพลักษณ์พิทักษ์กรุ๊ปเสียหาย เผลอๆ คงได้ยกเรื่องการเปลี่ยนมือผู้บริหารมาเป็นประเด็นอีก”


จิตต์เอื้ออยากกุมขมับนัก หล่อนกับแสงฉานถือหุ้นรายใหญ่ก็จริง แต่ใช่ว่าจะมีอะไรแน่นอน อย่างน้อยในเวลานี้สองน้าหลานยังสามารถคานอำนาจหุ้นส่วนทั้งหมดเอาไว้ได้ด้วยหุ้นที่มีร่วมกัน ว่ากันตามตรงจิตต์เอื้อเดินหมากเกมนี้ผิดตั้งแต่ครั้งอดีต จะย้อนกลับไปแก้ไขอะไรตอนนี้ก็ไม่ทันเสียแล้ว


“รู้ไหม ถ้าไม่นับเรื่องมือวันนี้ น้าคงคิดว่าจ้าวางแผนทุกอย่างไว้หมดแล้ว คิดไว้ล่วงหน้าแล้วว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้ แต่คราวหน้าช่วยกระซิบบอกน้าสักนิดนึงก็ดีนะ อย่าเห็นน้าเป็นหัวหลักหัวตอแบบนี้อีก” น้ำเสียงคนเป็นน้ายิ่งกว่าตัดพ้อ การที่แสงฉานไม่บอกอะไร ตีความได้อย่างเดียวว่าเขาไม่ไว้ใจหล่อนนั่นเอง


“คราวหน้าผมจะบอกละกันนะครับ” คราวหน้างั้นหรือ…แสงฉานคงไม่ปล่อยให้มีคราวหน้าอีกแน่ ใจคิดแต่ปากถามตุลธรอีกอย่าง “แล้วพอจะรู้หรือยังว่าเป็นใครในจิเวลรี่ ใช่คนที่เราคิดหรือเปล่า”


แม้จะพอเดาได้ว่าใคร แต่เขายังอยากได้หลักฐานชัดเจนอยู่ดี ของอย่างนี้ถ้าอยากเล่นงานกลับ ต้องตีจุดอ่อนของอีกฝ่ายให้จั๋งหนับ แล้วค่อยจัดการเชือดทิ้งให้ยืนอยู่ในวงการนี้ไม่ได้อีก คนอย่างแสงฉานไม่ยอมเจ็บตัวฟรีอยู่แล้ว


“ครับ เป็นอย่างที่เราคาดกันเอาไว้ เป็นคนของจิเวลรี่เอง”


“เดี๋ยว...คนของจิเวลรี่ไปเกี่ยวอะไรด้วย” จิตต์เอื้อแทรกขึ้น น้ำเสียงตื่นตระหนกไม่ต่างจากสีหน้า หล่อนหันมองคนนั้นทีคนนี้ที ตกใจที่รู้ว่าแสงฉานสืบสาวราวเรื่องได้ ‘ลึก’ โดยหล่อนไม่ระแคะระคายเลยสักนิด และตกใจมากกว่า เมื่อแสงฉานกำลังบอกว่า นอกจากทีมออแกไนซ์เซอร์ที่ร่วมงานกันมานาน ยังมีคนในบริษัทรู้เห็นเป็นใจอีกต่อหนึ่ง


“เราก็จับได้ว่า คุณลดาหัวหน้าทีมฝ่ายการตลาดของเราเป็นคนทำเรื่องทั้งหมดครับ” สีหน้าตุลธรไม่เปลี่ยนเลยสักนิดหลังบอกความจริงที่รู้มาให้จิตต์เอื้อฟัง เป็นสาวใหญ่เสียอีกที่ละล่ำละลักถาม


“ทำทั้งหมด...หมายความว่ายังไง” จากตกใจเปลี่ยนเป็นงงงัน ความรู้สึกจิตต์เอื้อตอนนี้คือหล่อนจับต้นชนปลายไม่ถูกแล้ว


“ก็หมายความตามที่ตุลธรบอกแหละครับน้าเล็ก” คำตอบมาจากแสงฉาน คนถูกเอ่ยชื่อเป็นลูกน้องเก่าของจิตต์เอื้อที่ถูกส่งมาช่วยชายหนุ่มเรื่องการตลาด เป็นคนเก่าแก่ที่อยู่กับคนทั้งคู่มานาน ตั้งแต่พิทักษ์กรุ๊ปเริ่มต้นทำธุรกิจอาหารแช่แข็งเพื่อการส่งออกเล็กๆ น้อยๆ ก็ว่าได้ กระทั่งสาวใหญ่คิดสร้างโรงแรมเป็นของตัวเอง อีกฝ่ายก็ยังเป็นเรี่ยวแรงสำคัญช่วยปลุกปั้นโรงแรมในมือจิตต์เอื้อให้เป็นรูปเป็นร่าง กระทั่งประสบความสำเร็จเป็นที่ยอมรับ พอแสงฉานคิดสร้างจิเวลรี่ จิตต์เอื้อเลยส่งลดามาคอยช่วยเหลือวางแผนการตลาด นำพาธุรกิจแรกในมือชายหนุ่มก้าวหน้าเติบโตจนติดอันดับแบรนด์เครื่องสำอางของคนไทยที่มียอดผู้ใช้มากเป็นอันดับหนึ่ง


ตอนชายหนุ่มรู้เรื่องนี้จากปากตุลธร เขายังแทบไม่เชื่อเลย นับประสาอะไรกับจิตต์เอื้อ คนที่ไว้ใจอีกฝ่ายมากกว่าใครทั้งหมด แสงฉานถึงต้องใช้เวลารวบรวมหลักฐานหลายเดือนจนแน่ใจว่าไม่ผิดพลาดแล้ว ถึงได้กล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าคนของน้าสาวเป็นหนอนบ่อนไส้


“ไม่น่าเชื่อใช่ไหมครับ”


หลายปัญหาที่จิเวลรี่ประสบในระยะหลัง ทั้งปัญหาจุกจิกกวนใจไปจนถึงปัญหาใหญ่อย่างการขโมยไอเดียสินค้าที่กำลังออกใหม่ ล้วนมาจากฝีมือฝ่ายการตลาดสาวทั้งสิ้น


“ไม่อยากเชื่อจริงๆ นั่นแหละจ้า ปากบอกว่ารักเรา กอดเราเอาไว้ ที่ไหนได้...” จิตต์เอื้อพึมพำสีหน้าเจ็บช้ำน้ำใจ แล้วเงียบไปเพราะพูดอะไรไม่ออก


“บางคนเขาก็กอดเราเอาไว้เพื่อจะได้แทงเราให้ถนัดไงครับน้าเล็ก” แสงฉานว่าเสียงเอื่อย แต่แววตากลับครุ่นคิดบางอย่าง


“แล้วจ้าจะทำยังไงต่อไป คนของน้าก็จริง แต่ตอนนี้ถือว่าอยู่ในความปกครองของจ้าแล้ว น้าอนุญาตให้จ้าตัดสินใจเรื่องนี้เอง”


จิตต์เอื้อยอมยกหน้าที่ทั้งหมดให้แสงฉานเป็นฝ่ายตัดสินใจ ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูงเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าคนสูงวัยกว่าที่ขึ้นเรื่องรักลูกน้องหนักหนาจะยอมปล่อยคนของตัวเองให้เขาจัดการจนต้องถามซ้ำอีกครั้ง


“น้าเล็กจะไม่จัดการเองเหรอครับ”


“ไม่...น้ารู้จุดอ่อนตัวเองดี เพราะฉะนั้นจ้าจัดการเถอะ น้าอนุญาต” ออกปากอนุญาตอีกครั้งแล้วจิตต์เอื้อก็หลับตาลง ส่งสัญญาณบอกว่าหล่อนอยากอยู่คนเดียวตามลำพัง แสงฉานเลยไม่เอ่ยอะไรอีก ไม่มีแม้แต่คำปลอบโยนส่งให้ดั่งเช่นคนในครอบครัวสมควรกระทำต่อกันด้วยซ้ำ ร่างสูงลุกขึ้นยืนเตรียมตัวก้าวออกจากห้อง ทว่าตอนมือเรียวแตะลูกบิดประตู ชายหนุ่มกลับอดใจไม่อยู่หันมองรูปถ่ายพิทักษ์กับงามเคื้อในกรอบไม้หนา คนทั้งคู่ทำให้เขานึกถึงใครบางคนซ้อนทับขึ้นมา


กลิ่นแก้ว...ทันทีที่นึกถึงชายหนุ่มก็คลับคล้ายได้กลิ่นหอมหวานกำจายกรุ่น กลิ่นประจำตัวของโสเภณีจากซ่องบุษบา ซ่องท้ายซอยลึกอยู่ไม่ไกลจากบ้านหลังเก่าของงามเคื้อ สถานที่โสมมแห่งนั้นเคยปิดตัวลงเพราะถูกไฟไหม้ครั้งใหญ่ ก่อนปีถัดมาจะถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้เปลี่ยนมือผู้เป็นเจ้าของไป ทุกอย่างคลับคล้ายจบลงเพียงแค่นั้นเนื่องจากหลายชีวิตแตกกระสานซ่านเซ็นกันไปตามยถากรรม แต่อีกหนึ่งชีวิตกลับได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้งในพิทักษ์บดินทร์


“มีอะไรเหรอครับคุณจ้า”


เสียงถามของตุลธรปลุกแสงฉานตื่นจากภวังค์ ใบหน้าขาวฉายรอยเศร้าเพียงวูบเดียว ก่อนสวมหน้ากากเย็นชาขณะผลักบานประตูห้องทำงานจิตต์เอื้อให้เปิดออก แสงฉานก้าวออกจากห้องด้วยฝีเท้ามั่นคงมากกว่าเดิม พร้อมใจมุ่งมั่น พิทักษ์บดินทร์ต้องเดินไปข้างหน้า ต่อให้มีคำสาปร้ายคอยตามหลอกหลอน เขาก็จะจำกำจัดมันให้สิ้นซาก เปิดเผยความจริงให้ทุกคนได้ประจักษ์ ทุกอย่างจะต้องไม่ซ้ำรอยเดิมกับเมื่อในอดีต แสงฉานจะต้องทำให้ได้...เพื่อคนที่เขารักจะได้นอนตายตาหลับ เพื่อพิทักษ์บดินทร์ที่อีกฝ่ายรัก แสงฉานจะรักษามันเอาไว้ด้วยมือของเขาเอง!


TBC...


---------------------------------------

สวัสดีนักอ่านทุกคนค่ะ

กวิตาเองค่ะ ^^

ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะคะ ถึงคนอ่านจะน้อยมว๊ากกก แต่เราก็จะลงจนจบค่ะ ><

เรื่องแก้วซ่อนลาย ยังมีจุดปรับปรุงอีกเยอะเลย

เพราะเป็นการเขียนเรื่องราวซับซ่อนซ่อนเงื่อนแบบ 'เต็มที่' ครั้งนี้เป็นครั้งแรก

ถ้ามีข้อผิดพลาดประการใด ไม่สมเหตุสมผลตรงไหนชี้แนะได้เลยนะคะ

ยินดีน้อมรับทุกคำติชมค่ะ ฝากนิยายเรื่องนี้ไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ

ปล. ระหว่างนี้จะพยายามเกลาสำนวนตัวเองให้ดียิ่งขึ้นด้วยค่ะ มีคำตกคำผิดตรงไหนบอกได้เลยนะคะ




กวิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ธ.ค. 2558, 21:10:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ธ.ค. 2558, 21:36:24 น.

จำนวนการเข้าชม : 818





<< บทที่ ๑   บทที่ ๓ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account