แก้วซ่อนลาย
ลายรักจะโชนแสง...ดับรอยแค้นในหัวใจ
Tags: #ทีมบุ้ง #ทีมจ้า #ทีมกลิ่นแก้ว #สืบสวนสอบสวน #โรม๊านซ์ #ดราม่า #ผี

ตอน: บทที่ ๓





จิตต์เอื้อลืมตาขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงประตูห้องทำงานปิดลง หล่อนหันมองไปทางมุมห้อง จ้องเขม็งกดดันใส่ความว่างเปล่า กลิ่นหอมของดอกแก้วยังลอยอวลอยู่ในอากาศ บ่งบอกให้รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นยังอยู่ไม่ไปไหน รอคอยให้หล่อนลืมตาเรียกหาอย่างใจเย็น


“ออกมาสิแก้ว...ออกมา” จิตต์เอื้อเค้นเสียงสั่ง ไม่อาจกักเก็บความรู้สึกหวาดหวั่นในใจได้อีกต่อไป สาวใหญ่กวาดตามองรอบห้อง ค้นหาบางสิ่งผ่านความว่างเปล่า อารมณ์หล่อนเกรี้ยวกราดขึ้นตามลำดับเมื่อสิ่งที่ได้รับคือความเงียบชวนให้หายใจติดขัด นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่กลิ่นแก้วทำแบบนี้กับหล่อน แต่อีกฝ่ายคอยหลอกหลอนสร้างภาพลวงว่าทำร้ายแสงฉานให้เห็นนับครั้งไม่ถ้วน จิตต์เอื้อต้องคอยหวาดระแวงกลัวว่าสักวัน สิ่งที่วิญญาณสาวแกล้งทำนั้นจะกลายเป็นจริงขึ้นมา


‘จุ๊ๆ’ เสียงจุปากดังกระซิบตรงข้างหู จิตต์เอื้อหันขวับมองทางขวามืออย่างตกใจเพราะไม่ทันตั้งตัว แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่าชวนให้ขนแขนลุกชันขึ้นมาทันใด ‘เรียกเบาๆ สิคะคุณเล็กเจ้าขา เดี๋ยวคนข้างนอกก็หาว่าคุณเล็กเป็นอีบ้าพูดคนเดียวหรอกค่ะ’


จิตต์เอื้อลุกขึ้นยืนทันที เมื่อเสียงโต้ตอบของอีกฝ่ายสะท้อนก้องสลับซ้ายขวา นักธุรกิจสาวก้าวออกมายืนกลางห้อง หมุนตัวกวาดตามองหาเจ้าของเสียงเนื้อตัวสั่นระริก


“ออกมา! ออกมาเดี๋ยวนี้แก้ว!”


‘อีบ้า...อีบ้า...อีบ้า...อีบ้า’


ถ้อยคำหยอกเย้าของวิญญาณสาวทำเส้นความอดทนจิตต์เอื้อขาดผึง นักธุรกิจสาวตะโกนแข่งเสียงหัวเราะแหลมซึ่งดังขึ้นรอบทิศทาง เพียงครู่เดียวห้องทั้งห้องก็ตลบอบอวลด้วยกลิ่นดอกแก้วผสมปนเปกับกลิ่นเหม็นเน่าชวนให้อาเจียน ขนคอจิตต์เอื้อลุกชัน รอบตัวหล่อนคล้ายมีไอเย็นแผ่ซ่าน พาให้เย็นเยือกตั้งแต่ศรีษะจรดปลายเท้า อึดใจเดียวร่างโปร่งใสในชุดผ้าฝ้ายแขนกระบอกสีขาว นุ่งซิ่นสีแดงครั่งก็ปรากฏกายชัดเจนขึ้นทีละน้อย กระทั่งกลายเป็นโครงร่างสมบูรณ์แบบ มีเลือดเนื้อ มีลมหายใจ เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกอันหลากหลายเฉกเช่นจิตต์เอื้อทุกประการ


หากสิ่งเดียวที่แตกต่างกับเมื่อครั้งอดีตก็คือ ใบหน้างดงามซึ่งผู้ชายทุกคนต่างลุ่มหลงในฐานะโสเภณีขึ้นชื่อแห่งซ่องบุษบา บัดนี้กลับแหลกเละไปครึ่งแถบอันเนื่องจากมาจากผลของน้ำกรด ทุกครั้งที่วิญญาณสาวขยับเขยื้อนใบหน้า ทั้งเลือด หนอน น้ำหนอง เป็นต้องเยิ้มออกมาชวนให้สะอิดสะเอียน จิตต์เอื้อต้องเบือนสายตาหนี ระงับอาการขยักขย้อนที่พุ่งพรวดขึ้นมาจ่อรออยู่ตรงลำคออย่างยากเย็น


‘ใจเย็นๆ สิคะ คุณเล็ก’ วิญญาณสาวยื่นหน้าเข้ามาใกล้ จนได้กลิ่นลมหายใจเหม็นเน่า จิตต์เอื้อรีบขยับตัวหลบ ปฏิกิริยาของหล่อนทำวิญญาณกลิ่นแก้วหัวเราะร่วน วางมือบนไหล่บางบังคับให้อีกฝ่ายหันมองหล่อนให้เต็มตา “ถึงรังเกียจแต่ก็ต้องทนหน่อยนะคะ เพราะอีแก้วคนนี้สาบานว่าจะไม่ยอมไปไหน จนกว่าจะได้เห็นคุณเล็กกระอักเลือดตาย!”


“ไม่ต้องมาออกนอกเรื่อง” จิตต์เอื้อปัดมือที่จับไหล่หล่อนออก มองอดีตเพื่อนเล่นวัยเด็กด้วยแววตาขึ้งโกรธ “ฉันขอเตือนเธออีกครั้งนะแก้ว อย่าทำร้ายจ้า จ้าไม่ใช่คุณพี่พิทักษ์ ปล่อยจ้าไปซะ”


‘ทำอย่างนั้นมันจะสนุกอะไรล่ะคะคุณเล็ก อย่าคิดว่าแก้วโง่ไม่รู้นะว่าคุณคิดอะไรอยู่’ วิญญาณสาวผละออกห่างจากจิตต์เอื้อ เดินไปหยุดอยู่ตรงรูปถ่ายงามเคื้อกับพิทักษ์ แหงนเงยขึ้นมองภาพหวานชื่นของคนทั้งคู่อย่างชิงชัง ‘แก้วไม่มีวันปล่อยคนที่แก้วรักไปแน่ คุณพี่ต้องเป็นของแก้วคนเดียวเท่านั้น ไอ้อีหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์แย่งคุณพี่ของแก้วไป’


“ถ้าอย่างนั้นเธอคงลืมไปว่าตัวเองเป็นผี ไม่ใช่คน”


อดีตโสเภณีสาวแห่งซ่องบุษบาหันขวับจนน่ากลัวว่าคอจะหลุดจากร่าง วิญญาณสาวพุ่งปราดเข้ามาบีบคอจิตต์เอื้อ ก่อนยกร่างโปร่งระหงลอยอยู่เหนือพื้นด้วยมือข้างเดียว ดวงตาซึ่งยามมีชีวิตสดใสวาววับเปลี่ยนเป็นสีดำตามอารมณ์อันขุ่นข้นด้วยแรงริษยา ไม่เห็นแม้กระทั่งนัยน์ตาขาว ร่างกายบอบบางเปลี่ยนเป็นสีม่วงช้ำเลือดช้ำหนอง เส้นเลือดผุดริ้วขึ้นตามใบหน้าจนไม่เหลือพื้นที่ว่างใดๆ เหลืออยู่อีก กลิ่นแก้วมองจิตต์เอื้ออย่างเคืองแค้น ประสานดวงตากับสาวใหญ่ที่จ้องมองไม่หลบ ทั้งที่ตัวเองกำลังพยายามดิ้นรนงัดมืออีกฝ่ายออกลำคอตนอย่างยากเย็น


‘งั้นมึงก็คงลืมว่ากูทำให้มึงกลายเป็นผีได้เหมือนกัน!’


มือผอมบีบบริเวณลำคอจิตต์เอื้อแน่นเข้า จิกเล็บลงจนหยดเลือดซึมออกมาตามลำคอขาว นักธุรกิจสาวเริ่มทุรนทุรายตาเหลือก พยายามอ้าปากออกกว้างเพื่อสูดอากาศหายใจ


“อ่อก...อะ...อ่อก”


สองมือจิตต์เอื้อปัดป่ายสะเปะสะปะ ขีดข่วนใบหน้าเละเทะของกลิ่นแก้วจนเนื้อหนังของอีกฝ่ายหลุดลุ่ยติดเล็บหล่อนออกมา ได้ยินเสียงวิญญาณสาวหัวเราะลั่น ราวกับพออกพอใจกับการได้เห็นอาการดิ้นพล่าน หาหนทางให้ตัวเองมีชีวิตรอดของจิตต์เอื้อ


วินาทีหนึ่ง...จิตต์เอื้อรู้สึกราวกับตัวเองขาดใจตายไปแล้ว หากวินาทีต่อมาหล่อนกลับถูกฉุดกระชากด้วยแรงบางอย่างจนรู้สึกทรมานกับอาการหายใจไม่ออก ในขณะที่สติสัมปชัญญะเริ่มรางเลือน...ภาพความหลังเก่าๆ ค่อยๆ ไหลย้อนเข้ามาในสมอง ตั้งแต่วันแรกที่พบกลิ่นแก้วจากการแนะนำของงามเคื้อผู้เป็นพี่สาว จิตต์เอื้อได้รู้ว่างามเคื้อ ‘แอบ’ คบหาเป็นเพื่อนกับกลิ่นแก้วมาเนิ่นนาน โดยมีพิทักษ์…เด็กหนุ่มข้างบ้านที่ไปมาหาสู่กันเป็นประจำแนะนำให้งามเคื้อปิดบังเรื่องนี้กับบิดามารดาเอาไว้ เพราะชาติกำเนิดของกลิ่นแก้วนั้นมาจากซ่องบุษบา สถานที่อันต่ำชั้นเกินกว่าใครในสังคมจะรับได้


ถึงจะเป็นการแนะนำเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันให้รู้จักกันเอาไว้ แต่สุดท้ายแล้วงามเคื้อกับกลิ่นแก้วกลับตัวติดกันยิ่งกว่าใคร แม้แต่พิทักษ์ก็ยังดูเป็นคนอื่นไปเมื่อทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน จิตต์เอื้อเคยพูดเล่นๆ เป็นเชิงน้อยใจพี่สาวให้พิทักษ์ฟัง ทว่าชายหนุ่มหนึ่งเดียวกลับปลอบขวัญอย่างจริงจัง บอกว่าทั้งคู่คบหากันมานานหลายปีจนเป็นยิ่งกว่าเพื่อนรัก แถมส่วนหนึ่งที่งามเคื้อต้องคอยดูแลกลิ่นแก้วเป็นพิเศษเพราะอีกฝ่ายนั้นไร้เดียงสา ไม่เคยรู้ตัวเลยว่ารูปร่างหน้าตาของตนดึงดูดชายหนุ่มทุกเพศทุกวัยให้เข้าหา เหตุนี้งามเคื้อจึงต้องคอยอยู่ใกล้ คอยกางแขนปกป้องเอาไว้ ในขณะที่พิทักษ์เองก็คอยสนับสนุนและถึงแม้เขาจะสนิทสนมกับกลิ่นแก้วน้อยกว่างามเคื้อ แต่ก็เอ็นดูอีกฝ่ายไม่น้อยไปกว่ากัน มิตรภาพของคนทั้งสามในสายตาจิตต์เอื้อจึงแน่นแฟ้นยิ่งนัก


กระทั่งวันหนึ่งกลิ่นแก้วก้าวตัดสินใจเอ่ยคำลา ทุกคนถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายถูกนางบุษบา เแม่เล้าจากซ่องบุษบาเลี้ยงดูให้เติบโตขึ้นมาเพื่อรับแขก กลิ่นแก้วปิดบังเรื่องนี้ไว้เพราะไม่อยากให้ทุกคนเดือดร้อนใจไปกับหล่อน และตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่ต้องตอบแทนบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนที่อีกฝ่ายใช้อยู่ใช้กินมาตลอดหลายสิบปี


จิตต์เอื้อนั้นตกใจไม่น้อย นึกเวทนาในชะตากรรมของกลิ่นแก้วจับใจ ส่วนงามเคื้อนั้นทนรับเรื่องนี้ไม่ได้ พี่สาวหล่อนถึงขั้นวางแผนพาเพื่อนรักหนีโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน แต่จนแล้วจนรอดกลิ่นแก้วก็ไม่อาจฝืนชะตาชีวิตซึ่งถูกกำหนดเอาไว้ได้ ทั้งคู่ถูกตามตัวจนพบ งามเคื้อถูกส่งตัวไปเรียนต่อในเมืองหลวง ขณะที่กลิ่นแก้วกลายเป็นโสเภณีแห่งซ่องบุษบาเต็มตัว หนทางของคนทั้งหมดจึงแยกห่างจากกันไปโดยปริยาย


ราวกับเรื่องราวทุกอย่างถูกลิขิตไว้โดยมือที่มองไม่เห็น ในอีกสี่ปีต่อมาจิตต์เอื้อเดินทางกลับมาเยี่ยมบิดามารดาในช่วงปิดภาคเรียนพร้อมกับงามเคื้อ ก่อนหน้านั้น...จิตต์เอื้อเคยได้ยินข่าวประปรายจากเพื่อนฝูงรุ่นเดียวกันซึ่งนิยมรับน้องด้วยการ ‘ขึ้นครู’ มาบ้าง ว่าซ่องบุษบาเล็กแคบในอดีต บัดนี้ใหญ่โตโอ่อ่ารุ่งเรือง เพราะโสเภณีสาวชื่อกลิ่นแก้วจากห้องดอกแก้วเป็นตัวทำเงินให้ทางซ่อง นักเที่ยวทั้งขาจรและขาประจำต่างแวะเวียนไปชื่นชมความงดงามดั่งสาวบริสุทธิ์ของอีกฝ่ายจนเป็นที่โจษจันไปทั่ว กลายเป็นว่านักเที่ยวทั้งหลายในยุคนั้นไม่มีใครไม่รู้จักซ่องบุษบา


ในวันที่สองพี่น้องกลับมา พิทักษ์พาทั้งหล่อนและงามเคื้อไปพบกลิ่นแก้ว เป็นการพบกันอีกครั้งหลังอำลาจากกันไปเนิ่นนาน ทว่าระยะเวลาหนึ่งปีที่ไม่ได้พบหน้า การเขียนจดหมายส่งถึงกันไม่ได้ทำให้ทั้งหล่อนและพี่สาวรับรู้ความจริงใดๆ มากไปกว่าต่างฝ่ายต่างสบายดี การกลับมาพบกันอีกครั้งในวันนั้นทำให้จิตต์เอื้อค้นพบว่าสายสัมพันธ์ของคนในกลุ่มเริ่มแปรเปลี่ยนไป ความรู้สึกในใจทุกคนกำลังผันแปร กระนั้นกลับไม่มีใครยอมหยุดยั้ง…แม้ความริษยาจะก้าวเข้ามาครอบครองเป็นเจ้าเรือนทีละน้อยก็ตาม


ตึง! ตึง!


ร่างของจิตต์เอื้อถูกสะบัดจนกระแทกเข้ากับชั้นเก็บของ แฟ้มเอกสารหลายแฟ้มร่วงพรูลงมาทับถม ก่อนร่างโปร่งระหงจะถูกสะบัดไปมุมนั้นทีมุมนี้ที แล้วแต่ความพอใจของวิญญาณสาว การทรมานของกลิ่นแก้วหยุดลงเมื่อร่างกายจิตต์เอื้อถูกดึงมาหมอบอยู่แทบเท้า มือผอมแต่แข็งแกร่งด้วยฤทธิ์เดชหลังความตายของโสเภณีแห่งซ่องบุษบาขยุ้มผมของจิตต์เอื้อแล้วจิกกระชากให้หล่อนแหงนเงยขึ้นสบตา สาวใหญ่สำลักไอออกมาเป็นอากาศว่างเปล่า เนื้อตัวสั่นเทาไปหมด


“ถึงเธอจะพยายามแค่ไหน ก็ไม่มีทางได้สมหวังกับคุณพี่หรอก เพราะคุณพี่เขารักพี่สาวฉัน เขารักคุณใหญ่ ไม่ใช่เธอ!” จิตต์เอื้ออ้างชื่องามเคื้อ น้ำตาอุ่นซึมลงตรงปลายหางตา รู้สึกเจ็บหนึบไปทั่วร่าง แต่ถึงอย่างนั้นนักธุรกิจสาวยังไม่ยอมปริปากร้องขอความเมตตาจากร่างไร้ลมหายใจตรงหน้า “จะทำอะไร...ก็ให้เห็นแก่หัวใจคนที่ครั้งหนึ่งเธอเคยรักบ้าง”


‘อีงามเคื้อ อีสารเลว มันแย่งของรักของกู มันทำกูเจ็บช้ำหัวใจ มันไม่มีค่าคู่ควรกับผู้ชายแสนดีอย่างคุณพี่เลยสักนิด ต้องกู ต้องกูนี่’ วิญญาณสาวยื่นหน้าเข้ามาใกล้จิตต์เอื้อ ดวงตาดำปูดโปนจนแทบถลนออกนอกเบ้า พิษรักในอดีตยังฝังใจ ความริษยายังไหลเวียนปะทุแน่นอยู่ในอก ‘กู...คนที่ไม่เคยทรยศต่อความรักของคุณพี่ แล้วทำไมถึงมีแต่มันที่ได้หัวใจของคุณพี่ไป ทำมั้ย!...’


วิญญาณสาวปล่อยมือจากจิตต์เอื้อ หันมากรีดร้องคร่ำครวญเหมือนคนบ้า สองมือดึงทึ้งผมตัวเองจนหลุดติดมือมาพร้อมเศษเนื้อบนหนังศีรษะ จิตต์เอื้อถอยหลังกรูด อารมณ์แปรปรวนในฉับพลันของวิญญาณสาวก่อเกิดสายลมรุนแรงกวาดเอาทุกสิ่งในห้องทำงานนักธุรกิจสาวหมุนคว้าง ก่อนตกลงมาแตกกระจายต่อหน้าต่อตา จิตต์เอื้อหวีดร้องลั่น รีบคู้ตัวหลบเศษกระจกที่พุ่งมาจากทุกทิศทุกทาง ร่างโปร่งระหงคลานเข่ามุดเข้าไปอยู่ใต้โต๊ะทำงานด้วยสัญชาตญาณ แต่ไม่ได้ผล เมื่อวิญญาณสาวมองเห็นแล้วย่างสามขุมเข้าหา จับข้อมือหล่อนกระชากทีเดียวก็ดึงออกจากที่ซ่อนได้


“หยุดนะ กลิ่นแก้ว หยุดเดี๋ยวนี้!” จิตต์เอื้อตะโกนก้อง กลิ่นดอกแก้วหอมอวลแปรเปลี่ยนเป็นกลิ่นเหม็นเน่าฟุ้งตลบ ใบหน้ากลิ่นแก้วบิดเบี้ยวทีละน้อย ร่างบอบบางกำลังกลับคืนสู่สภาพที่แท้จริง เนื้อตัวโป่งพองจนแทบระเบิด เสียงที่เปล่งออกมาขยายใหญ่คล้ายลำโพงแตก


‘จำเอาไว้ ไม่ว่าคุณเล็กจะพยายามไล่แก้วไปด้วยวิธีไหน แก้วก็จะอยู่…อยู่จองเวรพิทักษ์บดินทร์ไปจนกว่าจะล่มจม ไม่มีใครหนีคำสาปแช่งของแก้วได้ ใครที่มันยุ่งกับคุณพี่พิทักษ์ แก้วจะกำจัดมันให้หมด คุณพี่ต้องรักแต่แก้วคนเดียว...คนเดียวเท่านั้น!’


“ถ้าเธอจะทำอย่างนั้นก็ต้องข้ามศพฉันไปก่อน” จิตต์เอื้อรู้ดีว่าหล่อนไม่ควรเอ่ยคำท้าทายออกไป แต่ให้ทำอย่างไรได้ หน้าที่หล่อนคือปกป้องแสงฉานจากภยันตรายทั้งปวง ปกป้องลูกชายอันเป็นที่รักของบุคคลที่หล่อนรักให้ได้


กลิ่นแก้วแสยะยิ้ม ใช้มือข้างที่ว่างทะลุผ่านหน้าอกจิตต์เอื้อเข้าไปตรงตำแหน่งหัวใจ จิตต์เอื้อนิ่วหน้า รู้สึกได้ว่าหัวใจตัวเองถูกบีบแน่น ตัวสาวใหญ่กระตุกเกร็งทุกครั้งที่วิญญาณสาวขยับมือ ลมหายใจจิตต์เอื้อเริ่มสะดุด ค่อยๆ แผ่วลงจนรับรู้ได้อย่างเจือจาง มือทั้งสองข้างของนักธุรกิจสาวตกลงข้างตัว และอีกไม่ช้าหัวใจหล่อนคงหยุดเต้นด้วยฝีมืออีกฝ่าย


“คุณเล็ก...คุณเล็กคะ...คุณเล็กเกิดอะไรขึ้นคะ...ถ้าคุณเล็กไม่ตอบ ดิฉันขออนุญาตเปิดประตูเข้าไปนะคะ”


เสียงเคาะประตูเรียกจากทางหน้าห้องทำให้วิญญาณสาวหันขวับมองอย่างขัดใจ กลิ่นแก้วดึงมือกลับคืน ร่างบางเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว เป็นเวลาเดียวกับเจ้าของเสียงเรียกถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามา จิตต์เอื้อมองเลขาฯหน้าห้อง ได้ยินเสียงหวีดร้องของอีกฝ่ายดังก้องอยู่ในหูเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนสติสัมปชัญญะทุกอย่างจะดับวูบลง








ร่างเล็กผอมในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว สวมทับด้วยผ้ากันเปื้อนสีแดงมีลูกไม้ระบายรอบตัว แหงนคอตั้งบ่ามองดูโรงแรมสูงหลายสิบชั้นอย่างพยายามเก็บอาการตื่นตาตื่นใจเอาไว้สุดฤทธิ์ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่บุญรักษาได้มาเหยียบคอนโดหรูระดับหกดาว ในเครือพิทักษ์บดินทร์ ยิ่งพอย่างเท้าเข้าไปในส่วนล็อบบี้ของโรงแรมพร้อมกล่องขนมเค้กในมือ หญิงสาวยิ่งรู้สึกประหม่า รู้สึกว่าตัวเองช่างแต่งกายไม่เข้ากับสถานที่และผู้คนข้างในเอาเสียเลย


“ไม่ทราบว่ามีอะไรให้ช่วยไหมคะ” พนักงานสาวประจำหน้าฟร้อนท์เอ่ยถามอย่างมีมารยาท ส่งยิ้มเอ็นดูให้บุญรักษาที่แจ้งความจำนงว่าแขกคนหนึ่งของโรงแรมสั่งเค้กกับทางร้านหล่อนเอาไว้ พนักงานสาวพยักหน้าเข้าใจ ขอชื่อหล่อนและร้านขนมเค้กก่อนต่อสายแจ้งขึ้นไป ให้เจ้าของห้องได้ทราบว่าของที่สั่งไว้มาถึงแล้วจะให้ฝากไว้ที่หน้าเคาน์เตอร์หรือให้อีกฝ่ายขึ้นไปส่งให้ถึงห้อง


“เชิญขึ้นไปได้เลยค่ะ ลิฟต์ตัวที่สองทางซ้ายมือนะคะ กดชั้นยี่สิบสี่ออกจากลิฟต์แล้วรอตรงห้องรับแขกสักครู่นะคะ จะมีพนักงานจากทางเรามาพาขึ้นไปค่ะ”


บุญรักษาขอบคุณเสียงแผ่ว รู้สึกตื่นเต้นแปลกๆ จนต้องแวะเข้าห้องน้ำเพื่อสำรวจสภาพตัวเองให้แน่ใจอีกครั้งว่ามันไม่ได้ดูแย่ไปนัก หลังหล่อนรีบวิ่งเอาเค้กมาส่งตามคำสั่ง หญิงสาวใช้น้ำลูบผมซอยสั้นยุ่งๆ จนเหมือนกับเด็กหนุ่มให้ลู่ลงเป็นระเบียบ ก้มหน้าดมตามเสื้อผ้าตัวเองอย่างโล่งใจที่กลิ่นนมเนยกลบกลิ่นเหงื่อไปจนหมดสิ้น ตรวจดูความเรียบร้อยจนแน่ใจว่าใช้ได้แล้วร่างเล็กผอมถึงได้เดินมากดลิฟต์ไปยังชั้นที่พนักงานสาวบอกมา เอาล่ะ...อย่างน้อยหล่อนก็ได้รักษาหน้าเจ้าของร้านขนม ไม่ให้เสียชื่อว่ามีพนักงานแต่งกายเลอะมอมไม่รู้กาลเทศะ ในขณะที่คนถูกพูดถึงนั้นเป็นถึงพ่อค้าแซ่บบอกต่อด้วย อย่างไรก็ตามเมื่อหล่อนทำงานในร้าน บุญรักษาเองก็ได้รับเสียงกรี๊ดจากลูกค้าสาวๆ ไม่ต่างกันนัก ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วหล่อนเป็นผู้หญิง แถมกำลังย่างเข้ายี่สิบห้าเต็มในปีนี้ ไม่ใช่หนุ่มน้อยวัยกำลังสับสนระหว่างเพศที่อยากเป็นกับเพศที่แท้จริงแต่ประการใด


แต่ก็นั่นละ...ขนาดตัวหล่อนเองยังพออกพอใจกับการที่ใครต่อใครเข้าใจผิดว่าเป็นผู้ชายอกสามศอก นับประสาอะไรกับคนภายนอกที่จะมองภาพหล่อนเป็นเช่นนั้น บุญรักษาเชื่อว่าภาพลักษณ์ตัวเองที่ ‘ค่อน’ ไปทางผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ช่วยให้หล่อนสามารถทำงานที่ผู้หญิงทำไม่ได้ แม้ผู้เป็นบิดาจะส่ายหน้าแล้วแย้งว่านั่นเป็นความเชื่อผิดๆ แต่บุญรักษาก็ยังมั่นอกมั่นใจว่าความคิดหล่อนถูกต้อง เพราะผลลัพธ์ของมันทำให้หญิงสาวได้งานทุกที่ที่สมัครไป


“มาส่งของหรือคะ”


บุญรักษาถูกทัก ระหว่างแหงนคอมองตัวเลขบนลิฟต์ที่ไต่ระดับลงมา เมื่อหันไปมองถึงได้พบว่าเป็นหนึ่งในลูกค้าวัยนักศึกษาที่มาอุดหนุนน้ำและขนมในร้านบ่อยๆ บุญรักษาเลยรีบยิ้มให้อย่างดีใจก่อนตอบ


"ฮะ แล้วนี่...”


“หนูฝึกงานอยู่ที่นี่ค่ะ พี่จะไปชั้นพิเศษเหรอคะ” นักศึกษาสาวถามเขินๆ ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาบุญรักษาด้วยซ้ำ คนถูกหลบสายตาเลยเป็นฝ่ายหัวเราะอายๆ ออกมาบ้าง ใช่ว่าจะไม่รู้เลยว่าลูกค้าส่วนใหญ่พูดถึงตัวเองยังไงยามเข้ามาอุดหนุนขนมในร้าน ยิ่งเวลาหล่อนยืนคู่กับเจ้านายที่มีชื่ออยู่ในโลกโซเชียลแล้วล่ะก็ บุญรักษาแทบไปไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ อันที่จริงหญิงสาวไม่ค่อยเข้าใจปฏิกิริยาเหล่านั้นนัก ถ้าเจ้าของร้านจะไม่กระซิบบอกว่าเขากับหล่อนเป็น ‘คู่จิ้น’ ในจินตนาการ เป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์สำหรับผู้ชอบกระแสชายรักชาย ก็สมัยนี้มีเยอะไปที่ผู้ชายจะเหมือนผู้หญิงขนาดนี้


ดังนั้น ถึงจะมั่นใจในฝีมือทำขนมและเครื่องดื่มของร้านขนาดไหน แต่ถ้าการอยู่คู่กันทำให้ร้านขายของดีขึ้นได้ ทั้งหล่อนกับเจ้านายก็ยินดีตกเป็นเป้าสายตาของลูกค้าสาวๆ ไหลไปตามกระแส ‘บอกต่อด้วย’ อย่างเต็มใจ ว่าแต่...ต่อนี่ใครกันเป็นดาราหรือนักร้องหรือเป็นบุคคลสำคัญของโลก อา...เดี๋ยวต้องกลับไปถามเจ้าของร้านว่าคนชื่อต่อนี่ใคร พอสงสัยแล้วต้องรู้ให้ได้ ไม่อย่างนั้นคืนนี้หล่อนเป็นอันนอนไม่หลับแน่นอน


"ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นชั้นพิเศษ ว่าแต่มันพิเศษยังไงเหรอ” บุญรักษาไม่รู้จริงๆ พนักงานสาวบอกอะไรมาหล่อนก็ทำตามอย่างนั้น


“เป็นชั้นสำหรับแขกที่ต้องการความเป็นส่วนตัวแบบมากๆ ค่ะ ถ้าใครไม่ได้รับอนุญาตก็ห้ามขึ้นไปเด็ดขาด รู้สึกชั้นบนสุดจะเป็นเพนต์เฮาส์นะคะ แล้วตามที่พี่เขาเล่าให้ฟัง ชั้นนั้นเป็นห้องของผู้บริหารสูงสุดของที่นี่ค่ะ” นักศึกษาสาวเล่าคล่อง ก่อนบอกเขินๆ ว่า “แต่หนูก็ไม่เคยเห็นหรอกนะคะว่าห้องเป็นยังไง สวยไหม ส่วนใหญ่จะมีลิฟต์อีกตัวแยกออกไปพร้อมกับมีพนักงานประจำชั้นคอยดูแลไม่ให้คนนอกเข้าไปยุ่มย่าม”


“พนักงานประจำชั้นยี่สิบสี่คงต้องเก็บความลับเก่งมากเลยสินะ” บุญรักษาว่ายิ้มๆ และนักศึกษาสาวก็พยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงว่าเห็นด้วย บทสนทนาของทั้งคู่หยุดลงเมื่อลิฟต์ตัวที่บุญรักษารออยู่เปิดออก หญิงสาวเลยโบกมือลานักศึกษาสาวก่อนก้าวเข้าไปในกล่องเหล็กสี่เหลี่ยมด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ


ไม่รู้ทำไมถึงได้ตื่นเต้นขนาดนี้ หรือเป็นเพราะชื่อชั้นของพิทักษ์บดินทร์จะข่มให้ตัวหล่อนรู้สึกกังวลใจ ถึงอย่างนั้นบุญรักษาก็ไม่มีเวลาให้คิดอะไรมาก ความตื่นเต้นกลบความกังวลทุกอย่างเมื่อลิฟต์เปิดออกที่ชั้นยี่สิบสี่ พนักงานประจำชั้นเป็นหญิงสาวร่างโปร่ง ใบหน้าสวยเนียนกริบด้วยเครื่องสำอาง พาบุญรักษาไปยังลิฟต์อีกตัวซึ่งแยกห่างออกไปและดูแทบไม่ออกเลยว่าเป็นลิฟต์เพราะทางโรงแรมตกแต่งจนคล้ายประตูห้องแบบโบราณมากกว่า แถมมันยังสวยจนบุญรักษาตะลึงลืมก้าวเท้าเข้าไปตามคำเชิญ


ร่างเล็กผอมกอดกล่องเค้กแน่น มองตัวเลขที่ไต่ระดับขึ้นไปหลายสิบชั้นพลางคิดในใจอย่างขบขัน ดูเหมือนทุกอย่างจะลึกลับซับซ้อนสมกับเป็นพื้นที่ส่วนตัวสำหรับบุคคลสำคัญ ชักอยากรู้แล้วล่ะสิว่าใครกันที่สั่งเค้กก้อนนี้จากร้านเล็กๆ ที่หล่อนทำงานอยู่


“ทางนี้ค่ะ”


พนักงานสาวเดินนำบุญรักษามาจนเกือบสุดทางเดิน อีกฝ่ายไม่ได้เคาะประตู แต่กดปุ่มเล็กๆ ใกล้กับตัวเลขสิบหลักเพื่อรายงานให้คนข้างในรับรู้ว่าของที่สั่งมาส่งแล้ว แน่นอนว่าระบบรักษาความปลอดภัยหน้าห้องนั้นดีเยี่ยม บุญรักษาลอบผ่อนลมหายใจยาว หัวใจเต้นโครมครามขึ้นมาอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ หลังได้ยินเสียงตอบรับจากภายใน พร้อมกับพนักงานสาวถอยฉากออกไปเพื่อให้หล่อนส่งของให้ถึงมือผู้รับ บุญรักษาอยากเรียกอีกฝ่ายไว้ให้อยู่เป็นเพื่อนกันก่อน แต่ดูเหมือนพนักงานสาวจะเข้าใจว่าหล่อนเป็นคนพิเศษถึงขนาดได้รับอนุญาตให้ขึ้นมาถึงชั้นวีไอพีบนนี้ได้ จึงมอบความเป็นส่วนตัวด้วยการทิ้งบุญรักษาให้ยืนรับหน้ากับคนที่มาเปิดประตูตามลำพัง


ทันทีที่ประตูเปิด บุญรักษาเตรียมฉีกยิ้มกว้าง แต่รอยยิ้มของหญิงสาวมีอันต้องจางลงเมื่อพบว่า คนมาเปิดประตูเป็นคนที่หล่อนไม่คาดคิดว่าจะได้พบ ใบหน้าขาวจัด รับกับคิ้วเข้มขมวดมุ่น เจ้าของผมหยักศกสะบัดปลายนิดๆ ดูตกใจไม่แพ้กันเมื่อเห็นบุญรักษายืนอยู่ แต่แล้วจากตกใจ ประหลาดใจ คาดไม่ถึง คนตรงหน้าค่อยเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้างขวาง ยิ้มที่...บุญรักษาไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะได้เห็นมันอีกครั้ง


“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ เป็นนายนี่เองที่มาส่งเค้กให้พี่”


“คือ...เอ่อ...คือนี่ฮะเค้กที่สั่งไว้”


บุญรักษาไม่รู้จะทำยังไงดีนอกจากยื่นกล่องเค้กไปตรงหน้า หากชายหนุ่มเจ้าของห้องนอกจากไม่ยื่นมือออกมารับแล้วยังเปลี่ยนเป็นเปิดประตูให้กว้างออก พร้อมพยักพเยิดให้หล่อนก้าวเท้าเข้ามา และเมื่อเห็นบุญรักษายังยืนนิ่งไม่ขยับ ชายหนุ่มก็เป็นฝ่ายดึงมือหล่อนซึ่งขืนตัวไว้มั่นให้ก้าวเข้ามาเสียเอง


“เอาอะไรดี เหล้า บรั่นดี หรือไวน์”


คนก้าวเข้ามาก่อนตะโกนถาม หญิงสาวมองพื้นสะอาดแล้วไม่กล้าย่ำเท้าเหยียบเข้าไป ได้แต่เหลียวหารองเท้าสำหรับใส่อยู่ในห้อง ชายหนุ่มที่เดินกลับออกมาอีกครั้งเพราะนึกว่าอีกฝ่ายหนีออกจากห้องไปแล้วเลยบุ้ยใบ้บอกว่า


“ชั้นไม้ขวามือ คู่ไหนก็ได้เลือกเอาเลย”


บุญรักษากุลีกุจอเปิดชั้นเล็กตามคำบอกหยิบสลิปเปอร์ที่ใหญ่กว่าเท้าตัวเองออกมาก่อนรีบถอดรองเท้าผ้าใบเลอะฝุ่นหลบวางให้เรียบร้อย หญิงสาวเดินตัวลีบเข้ามายืนเคว้ง มองร่างสูงหลบเข้าไปอยู่หลังเคาน์เตอร์บาร์เล็กๆ ซึ่งถัดไปคือส่วนครัวซึ่งดูยังไงก็สะอาดเอี่ยมเหมือนเจ้าของห้องไม่เคยแตะ มองดูมือเรียวหยิบแก้วทรงสวยซึ่งแขวนอยู่เหนือศรีษะวางลงบนโต๊ะ เจ้าของห้องหนุ่มดูลังเลใจอยู่ครู่ขณะไล่เรียงนิ้วมือไปตามขวดเหล้ามากมายที่ตั้งเรียงรายให้เลือกสรร ผิดกับบุญรักษาซึ่งเสหลบสายตามองกล่องเค้กที่ตัวเองกอดเอาไว้ ไม่กล้าสำรวจอะไรมากไปกว่านั้น แน่นอนว่าหญิงสาวกำลังคิดทบทวนคำสั่งของเจ้านายที่บอกให้อย่าลืมเก็บเงินค่าขนมเค้กกลับมาด้วย แต่ตอนนี้ดูเหมือนทุกอย่างจะผิดวัตถุประสงค์ไปหมดแล้ว


“อายุถึงแล้วนี่ ดื่มแอลกอฮอลส์ได้อยู่หรอกใช่ไหม” หางเสียงคนพูดมีแววจดจำได้ หากบุญรักษาได้แต่ก้มมองกล่องเค้กในมือ ให้ตายสิ...อยู่ๆ หัวใจก็เต้นรัวขึ้นมา อาจเพราะไม่ได้เตรียมใจไว้ก่อน หล่อนเลยไม่รู้จะวางตัวยังไงกับสถานการณ์ไม่คาดคิดแบบนี้


“ว่ายังไง เบียร์สักกระป๋องไหม”


“ไม่ฮะ ไม่ดื่มฮะ คือว่า...บุ้งแค่มาส่งของ ถ้ายังไงทั้งหมดก็...” ถ้าไม่รีบตอบ เชื่อเถอะว่าชายหนุ่มคงยิ่งเซ้าซี้ถาม ไม่แน่หรอกว่าอาจเสนอเครื่องดื่มอีกหลายรายการให้หญิงสาวตัดสินใจเลือกจนได้


“พี่จ่ายเงินให้นายแน่ไม่ต้องกลัว” เสียงทุ้มตัดบท บุญรักษารับรู้ได้ถึงหางเสียงเยาะๆ แต่พอเงยหน้าขึ้นมอง...ได้เห็นรอยยิ้มเต็มสีหน้าของชายหนุ่มหลังเคาน์เตอร์ หล่อนถึงคิดว่าตัวเองคงหูฝาดไป “เป็นนายก็ดีแล้ว พี่กำลังมีปัญหาพอดี อยากให้นายช่วยนิดหน่อย”


เจ้าของห้องก้าวออกมาประจันหน้าบุญรักษา ชายหนุ่มไม่ได้ถือแก้วเหล้าหรือกระป๋องเบียร์ออกมาอย่างที่บุญรักษาคิด แต่เลือกชูมือข้างซ้าย...ข้างที่พันผ้าพันแผลสีขาวตุ่นเอาไว้ เดิมทีมันคงเรียบร้อยกว่านี้ แต่ตอนนี้มันดูยุ่งเหยิงคล้ายคนพูดกำลังรื้อมันออกแต่ทำไม่สำเร็จสักที ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนยากหยั่งถึงทอดมองหญิงสาว รอคอยคำตอบอย่างคาดหวัง


“ช่วยพันแผลให้ใหม่หน่อยสิ พี่พยายามทำเองแล้วแต่มันไม่ถนัด”


บุญรักษาอึกอัก หน้าที่หล่อนแค่มาส่งขนมเท่านั้น แถมใช่ว่าความสัมพันธ์ของหล่อนกับแสงฉานจะดีถึงขั้นพูดคุยกันได้อย่างปกติ กับคนที่เคยทะเลาะกันถึงขั้นประกาศตัดเพื่อนตัดพี่ตัดน้องกันมาครั้งหนึ่ง จะให้ทุกอย่างกลับเป็นเหมือนเดิมในหนึ่งนาทีที่พบหน้า แค่คิดบุญรักษายังไม่กล้าคิดด้วยซ้ำ เอาเป็นว่า...แค่หล่อนได้ยืนอยู่ในห้องแสงฉาน ไม่ถูกอีกฝ่ายไล่ตะเพิดออกไปเหมือนเมื่อครั้งอดีตก็นับว่าดีถมไป


“นะ...ไม่ได้เหรอ...แค่พันแผลให้ใหม่เอง ถ้าพี่ทำได้เองล่ะก็...คงไม่ต้องรบกวนนายให้อึดอัดใจหรอก” เสียงทุ้มตัดพ้อ บุญรักษาลังเลอยู่ครู่ก่อนใจอ่อนพยักหน้าตกลง


แสงฉานคลี่ยิ้มอย่างยินดี เขาจับร่างผอมให้เดินมานั่งรอตรงโซฟา ส่วนตัวเองหายเข้าไปในห้องเล็กๆ ก่อนกลับออกมาอีกทีพร้อมกล่องปฐมพยาบาลขนาดย่อม พอชายหนุ่มมาถึงนั่งลงบนโซฟาข้างกัน เจ้าของร่างเล็กผอมก็ไถลตัวลงมานั่งกับพื้นข้างล่าง ให้เหตุผลว่าทำแผลได้ถนัดกว่านั่งบนโซฟาตรงข้ามกัน


“ไปโดนอะไรมาเหรอฮะ” บุญรักษาถามทันทีเมื่อเห็นบาดแผลถูกเย็บ ตกใจเล็กน้อยเพราะแผลยังสดใหม่ หญิงสาวไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองคนที่นั่งอยู่ด้วยซ้ำ รู้แต่ว่าแสงฉานกำลังก้มมองหล่อนอย่างใกล้ชิด เพราะสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนจากคนตัวสูงกว่า


“อุบัติเหตุ...นิดหน่อยน่ะ” เสียงทุ้มตอบกลับมาแผ่วหวิว ฟังดูรุ่มร้อนแบบแปลกๆ บุญรักษาได้กลิ่นน้ำหอมจางๆจากตัวอีกฝ่าย หญิงสาวต้องเขยิบถอยออกมาเมื่อรู้สึกว่าตัวเองใกล้ชิดกับแสงฉานเกินไป การขยับตัวเองออกห่างเรียกเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ จากเจ้าของร่างซึ่งอยู่สูงกว่า แต่บุญรักษาไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองสบตา เพราะแค่เท่านี้หล่อนก็ไม่รู้จะทำสีหน้ายังไงแล้ว


“ว่าแต่ตอนที่ได้ยินชื่อจากพนักงานข้างล่าง พี่ไม่ได้คิดว่าเป็นนายด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะมีคนชื่อซ้ำ”


เพราะอย่างนั้นถึงได้ให้หล่อนขึ้นมาส่งเค้กถึงบนห้องสินะ ไม่ใช่ว่าได้สิทธิพิเศษหรือเป็นคนสำคัญแต่อย่างใด แสงฉานคงแค่สงสัยว่าใช่หรือไม่ใช่หล่อนหรือเปล่าเท่านั้นเอง


บุญรักษาเลือกพันแผลเงียบๆ โดยไม่โต้ตอบ แผลแบบนี้หล่อนคงทำอะไรไม่ได้มากนอกจากใช้ผ้าสะอาดทบพันให้ใหม่ แสงฉานชวนหล่อนคุยอีกสองสามประโยค พอหล่อนไม่ตอบอะไร คนชวนคุยเลยเป็นฝ่ายเงียบไปบ้าง เพียงแต่บุญรักษารู้...หล่อนถูกคนนั่งอยู่บนโซฟาจับจ้องตลอดเวลาที่ทำแผล


“เสร็จแล้วฮะ”


หญิงสาวดึงมือตัวเองออก หลังแน่ใจว่าพันแผลให้แสงฉานเรียบร้อยตามคำขอแล้ว ร่างผอมลุกขึ้นยืนเตรียมขอตัวกลับบ้าน แต่ข้อมือผอมกลับถูกอีกฝ่ายรั้งไว้


“นายนี่เก่งจังเลยนะ ใช้เวลานานไหมล่ะกว่าจะตามหาพี่พบ หนึ่งปี สองปี หรือตลอดชีวิตที่ผ่านมาของนาย”


“ตามหา?” บุญรักษาย้อนถามงุนงง มองเจ้าของมือหนาที่จับมือหล่อนไว้อย่างไม่เข้าใจ “บุ้งแค่มาส่งเค้ก”


“เหอะ เค้กนั่น...” แสงฉานเงยหน้าขึ้นมอง เขาชี้มือไปยังกล่องเค้กบนโต๊ะหน้าโซฟา “มันก็แค่ข้ออ้างเพื่อมาเจอพี่ไม่ใช่เหรอ” หางเสียงแสงฉานหยันเยาะ ใช่ บุญรักษาแน่ใจว่าตัวเองฟังไม่ผิดหรอก ชายหนุ่มตรงหน้ากำลังหัวเราะเยาะใส่หน้าหล่อนจริงๆ


“คงมีการเข้าใจอะไรผิดไป” บุญรักษาข่มน้ำเสียงตัวเองให้เรียบนิ่ง ใบหน้าร้อนวูบวาบไปหมดเมื่อสบสายตาดูถูกของคนที่หล่อนคิดว่าครั้งหนึ่งจะสามารถกลับเป็นเหมือนเดิมได้ เพียงแค่หล่อนพยายามมากพอ แต่อคติในใจแสงฉานไม่เคยเปลี่ยน ไม่ว่าจะเป็นเมื่อสิบปีที่แล้วหรือวันนี้ที่ได้พบกันอีกครั้ง แถมตอนนี้เขายังจงใจใช้มันทำร้ายหล่อนอีกต่างหาก


“ฉันว่าฉันเข้าใจถูกมากกว่านะ” แสงฉานเปลี่ยนสรรพนามเรียกทันที ขณะที่บุญรักษาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองคุยกับอีกฝ่ายไม่รู้เรื่องแล้วตอนนี้


“ค่าขนมเค้กถ้ายังไงติดต่อไปที่เบอร์ทางร้านได้เลยนะฮะ บุ้งขอตัวก่อน”


หญิงสาวกระชากแขนตัวเองออกจากการเกาะกุม แต่มือแสงฉานเหมือนคีมเหล็ก นอกจากกระชากไม่หลุดแล้ว ร่างผอมยังถูกเขาดึงกลับจนล้มปะทะแผ่นอกกว้าง นักธุรกิจหนุ่มโอบกอดบุญรักษาไว้ทั้งตัว แววตาสีน้ำผึ้งคุ้นตาว่างเปล่า แสงฉานมองหล่อนกลับมาด้วยสีหน้าเฉยเมย


“จะรีบไปไหนล่ะ สิ่งที่นายต้องการ...ไม่ใช่แบบนี้เหรอ”


ร่างเล็กผอมถูกผลักลงบนโซฟาโดยไม่ทันตั้งตัว แสงฉานตามขึ้นคร่อม ใช้มือข้างเดียวรวบแขนผอมของอีกฝ่ายไว้แล้วชูขึ้นเหนือศีรษะ บุญรักษาทั้งตกใจ ทั้งหวาดหวั่น มันเป็นสถานการณ์ที่ไม่ทันตั้งตัวและไม่คาดคิดว่าคนตรงหน้าจะทำ


“คุณจ้าจะทำอะไร จะทำอะไร...ปล่อยบุ้งเดี๋ยวนี้นะฮะ!” บุญรักษาตะโกนก้อง ดิ้นรนขัดขืนเต็มกำลัง แต่เพราะร่างกายหนาหนักทาบทับเอาไว้ ทำให้การขัดขืนของหล่อนไม่สัมฤทธิ์ผล พอหันมาสะบัดแขนเพื่อให้หลุดจากการเกาะกุม แสงฉานยิ่งบีบข้อมือหล่อนแน่นขึ้น บุญรักษารู้ตัวในตอนนั้นเองว่าหล่อนยิ่งกว่าเสียเปรียบ นอกจากสู้แรงอีกฝ่ายไม่ได้แล้ว เผลอๆ อาจเพลี่ยงพล้ำเอาง่ายๆ จากดิ้นรนต่อสู้สุดกำลัง หญิงสาวเลยเปลี่ยนแผนใหม่ แกล้งทำเป็นยินยอมพร้อมใจ แล้วค่อยรวบรวมเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายผลักชายหนุ่มออกเพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นจากสถานการณ์ย่ำแย่นี้เสียที


แต่คนมองหล่อนอยู่กลับเห็นต่าง แสงฉานคิดว่าบุญรักษากำลังโอนอ่อนเพราะห้ามใจตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ ชายหนุ่มเลยยิ่งแกล้งโน้มใบหน้าลงต่ำ ใกล้ชิดจนลมหายใจสัมผัสรดผิวแก้มเนียน แสงฉานได้กลิ่นหอมของนมและเนยจางๆ เป็นกลิ่นหอมแบบที่เขารู้สึกว่าหอมกว่าน้ำหอมของผู้หญิงทุกคนที่เขาเคยพา ‘ขึ้นเตียง’ เคยใช้เสียอีก ชายหนุ่มแทบไม่รู้ตัวเลยตอนใช้มือข้างที่ว่างไล้ลงตามใบหน้าและลำคอบุญรักษาแผ่วช้า ก่อนหยุดนิ่งยังริมฝีปากบาง ชายหนุ่มใช้นิ้วโป้งเกลี่ยเบาๆ จ้องมองมันราวกับต้องมนต์สะกด กระทั่งเจ้าของร่างเล็กผอมหลับตาปี๋ เบี่ยงใบหน้าหนีอย่างคนขี้ขลาด นั่นล่ะ ชายหนุ่มถึงได้รู้สึกว่าตัวเองเริ่ม ‘อยาก’ ทำอะไรมากเกินกว่าที่ตั้งใจไว้


“คิดว่าฉันจะทำอะไรนายเหรอ” แสงฉานกระซิบถาม ปล่อยข้อมือผอมให้เป็นอิสระ แล้วลุกขึ้นยืนกอดอกมองตรงมายังร่างผอม รอจนอีกฝ่ายลืมตามองด้วยสีหน้ายากอธิบาย เขาถึงได้เปล่งเสียงหัวเราะงอหงายออกมา “คิดว่าฉันจะจูบนายเหรอ หรือคิดว่า…ฉันจะปล้ำนาย”


คำถามของแสงฉานไม่ต้องการคำตอบ เพราะชายหนุ่มส่ายหน้าทันทีที่พูดจบ เขาหยุดเสียงหัวเราะตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำตอนเอ่ยประโยคต่อมาว่า


“ขอโทษด้วยที่ทำให้ผิดหวัง ฉันลืมไปว่านาย...” แสงฉานจงใจเว้นวรรคคำพูดต่อไป ก่อนประโยคต่อมาจะถูกเอ่ยเพื่อย้ำ…เตือนถึงเรื่องราวในความทรงจำที่คนทั้งคู่ต่างจดจำมันเอาไว้ได้ขึ้นใจ “ไม่ใช่แบบฉัน”


ดวงตาคมเฉยเมย มองคนอ่อนวัยกว่าเขาหลายปี อดีตน้องชายที่รัก…อดีตเพื่อนรักเพียงคนเดียวที่แสงฉานมี แต่คนตรงหน้านั่นล่ะที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป…ทำให้เรื่องราวระหว่างกันไม่มีวันหวนคืนกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้


“คุณจ้า...คือบุ้ง...คือบุ้ง....” บุญรักษาแทรกขึ้น แน่ใจว่าขาตัวเองไม่สั่นแล้วถึงได้ลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับแสงฉาน


“ทุกอย่างมันจบแล้ว เพราะฉะนั้นนายควรไสหัวออกจากห้องฉันไปได้แล้ว”


แสงฉานชี้นิ้วไล่ บุญรักษาสูดลมหายใจ ก่อนคว้ากระเป๋า ลากตัวเองให้ออกจากห้องแสงฉานโดยพยายามไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมา


แสงฉานยืนมองบานประตูปิดสนิท ถ้าจะถามว่ามีอะไรน่ารำคาญมากที่สุดในชีวิตเขา ก็คงเป็นบุญรักษานี่แหละที่ทำให้รู้สึกหงุดหงิดได้ทุกครั้งที่นึกถึง ไม่ว่าจะในอดีตหรือว่าปัจจุบัน อีกฝ่ายเป็นเหมือนวิญญาณคอยหลอกหลอนไม่ให้ชีวิตเขาได้พบกับความสุขสงบ แต่แสงฉานต้องวางความคิดทุกอย่างเกี่ยวกับบุญรักษาลง เมื่อเสียงโทรศัพท์ดังรบกวนความคิดเขา ชายหนุ่มถอนหายใจยาวก่อนกดรับ แว่วได้ยินเสียงสั่งงาน เสียงตอบรับจากบรรดาลูกน้องจากคนปลายสาย จากนั้นเสียงหวานใสถึงได้กรอกเสียงทักทายมา


“ไง คุณประธานเลือดร้อนได้ข่าวว่าเย็บไปหลายเข็มนี่”


“ถ้าคุณโทร.มาเพราะเรื่องไร้สาระแค่นี้ผมจะวาง”


“โอ้ย อย่าเพิ่งใจร้อนสิ เข้าเรื่องก็ได้ ฉันสั่งเค้กเจ้าอร่อยเอาไว้ไม่รู้ว่าทางร้านส่งไปให้คุณหรือยัง อยากให้ลองชิมดู ถ้าใช้ได้ฉันคิดว่าคุณน่าจะเอาเข้าส่วนเบอเกอรี่ของโรงแรมนะ”


“คุณเป็นคนสั่งเค้กเหรอ” แสงฉานไม่ตอบคำถาม แต่กลับย้อนถามเสียใหม่ให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ฟังผิดไป เค้กก้อนนั้นเป็นของเขาจริงๆ ไม่ใช่ข้ออ้างที่บุญรักษาเอามาใช้บังหน้าเพื่อให้เขาเปิดประตูต้อนรับแต่อย่างใด


“ก็ใช่น่ะสิ ก็คุณบอกให้ฉันช่วยหาร้านขนมอร่อยๆ ให้ ฉันก็หาให้แล้วไง อะไร...อย่าบอกนะว่าลืมไปแล้ว” เสียงหวานท้วงกลับมา ก่อนหัวเราะเยาะ “ทำไมฉันรู้สึกสงสารน้าเล็กขึ้นมาตงิดๆ มีหลานชายเลือดร้อนไม่พอ ยังความจำเสื่อ…”


ติ๊ด…


แสงฉานวางสายโทรศัพท์ทันที แน่นอนว่าคนปลายสายรีบโทร.กลับมาทันทีเช่นกัน


“นี่คุณกล้าวางโทรศัพท์ใส่ฉันเหรอ!” คนปลายสายตะโกนเข้ามาในโทรศัพท์ ขนาดเขากดรับพร้อมดึงมันออกห่างตัวแล้วเสียงอีกฝ่ายยังดังลอดออกมาให้ได้ยิน แสงฉานรอจนเสียงหวานหายใจหอบ ด่าอะไรเขาไม่ออกแล้วนั่นล่ะถึงได้กรอกเสียงเย็นๆ ของตัวเองลงไป


“คุณไม่มีสิทธิ์วางสายใส่ฉัน”


“ก็เรื่องที่คุณพูดมันไร้สาระ”


“ถ้าอย่างนั้นงานแถลงข่าวพรุ่งนี้เป็นอันยกเลิก ฉันไม่ไป จะอยู่ที่ห้องรอดูคนบางคนจบเห่ต่อหน้านักข่าวให้สะใจไปเลย”


ไม่ใช่เรื่องของความห่วงใย เลอมาลย์กับเขาเกี่ยวข้องกันด้วยผลประโยชน์ล้วนๆ ถ้าเขาเสียหาย สิ่งที่หล่อนวางแผนไว้ก็ต้องพังครืนตามไปด้วย


“ตามใจ”


นักธุรกิจหนุ่มวางสายลง ไม่มีเสียงโทรศัพท์กรีดร้องกลับมาเป็นรอบที่สอง ถ้าให้เขาเดา…เลอมาลย์คงปาโทรศัพท์ที่เพิ่งคุยกันทิ้งลงพื้นตกแตกกระจายไปแล้ว ชายหนุ่มเหลือบตามองประตูห้องที่ปิดอยู่ ความรู้สึกเสียใจในสิ่งที่ทำลงไปตีวูบขึ้นมาชั่ววินาที ก่อนเขาจะรีบปัดไล่มันออกไปจากความคิด ไม่ใช่ความผิดเขาสักหน่อย คนผิดคือเจ้าของร่างเล็กผอมนั่นต่างหากที่มาอยู่ผิดทาง ผิด…ที่เข้ามาทำให้เขาจดจำความหลังจนต้องทำแบบนั้นออกไป!








“จ๋า...พี่ขอร้องล่ะ เลิกอ่านข่าวบ้าๆ นั่น แล้วลุกไปถ่ายละครต่อได้แล้ว”

ผู้จัดการสาวถอนหายใจเป็นรอบที่สิบ ใช้ไม้อ่อนก็แล้วไม้แข็งก็แล้ว แต่เจนสินีก็ยังนั่งก้มหน้าจ้องจอสี่เหลี่ยมผืนผ้าบนตักตาไม่กระพริบ ตอนนี้ทั้งคู่อยู่ในกองถ่ายละครเรื่องล่าสุด นางเอกสาวได้มุมสงบสุดในกองถ่ายไว้ใช้ทำสมาธิเพื่อท่องบท แต่อีกฝ่ายกลับใช้เวลาที่ควรทำความเข้าใจกับบทบาทที่ได้รับ หมดไปกับการตามอ่านข่าวซุบซิบในอุปกรณ์สื่อสารบางเฉียบ


“จ๋า...พอเถอะ”


ผู้จัดการสาววางมือลงบนไหล่บางบีบเบาๆ ให้อีกฝ่ายรู้สึกตัวสักทีว่ากำลังทำอะไรอยู่ นอกจากไม่มีประโยชน์แล้วมันยังดูไร้ค่าอีกต่างหาก


“พอเหรอ? พี่จะให้จ๋ายอมแพ้ทั้งที่คนที่จ๋าเกลียดมันยังมีความสุขอยู่แบบนี้น่ะเหรอ”


หญิงสาวจิ้มนิ้วลงบนหน้าจอ ตวัดสายตามองผู้จัดการสาวเคร่งเครียด หล่อนไล่ตามอ่านข่าวแสงฉานกับเลอมาลย์ ตั้งแต่เช้า ทั้งคู่เพิ่งออกงานคู่กันไปเมื่อวาน ใช่...เมื่อวาน...วันเดียวกับที่แสงฉานสัญญาว่าจะมาหาหล่อนแต่กลับผิดสัญญา ทั้งที่ขอร้องแทบเป็นแทบตายแต่ชายหนุ่มก็ยังเมิน มันน่าสมน้ำหน้าตัวเองนักเจนสินี!


“อย่ามายุ่งกับจ๋า” เจนสินีย้ำทุกคำช้าชัด “เป็นแค่ผู้จัดการส่วนตัวไม่ใช่เจ้าชีวิต อย่าสะเออะเข้ามาแส่”


ผู้จัดการสาวไม่ได้ตกใจกับท่าทางเกรี้ยวกราดของนางเอกสาว เจนสินีมีภาพลักษณ์ที่ต้องรักษาไม่ว่าจะต่อหน้าประชาชนหรือแสงฉาน คนที่รู้จักตัวตนอีกฝ่ายจริงๆ คงมีแค่หล่อนกับครอบครัวเพื่อนฝูงอีกฝ่ายแค่ไม่กี่คนเท่านั้น คนที่รับกับความทะยานอยากในใจอีกฝ่ายได้


“งั้นก็ตามใจจ๋าแล้วกัน งานจะพังชีวิตจะล่มยังไงมันก็เรื่องของจ๋า แต่พี่ขอเตือนไว้อย่าง ในฐานะที่พี่มองเห็นจ๋าเป็นน้องสาวคนหนึ่ง ผู้ชายอย่างคุณจ้าก็เหมือนพระอาทิตย์นั่นล่ะ อยู่ใกล้ไปก็ร้อน อยู่ไกลไปก็หนาว ถ้าไม่ใช่คนที่เขารักเขาไม่มีวันอบอุ่นกับเราหรอก”


ผู้หญิงหลายคนพิสูจน์มาแล้ว และผู้จัดการสาวไม่เคยเห็นใครเหลือรอดสักคน ทุกคนตายทั้งเป็นหมด แสงฉานอาจเป็นความท้าทายสำหรับผู้หญิงบางคนที่ต้องการเอาชนะ แต่ความท้าทายที่มีความทรมานตามมาแบบนี้ น่ากลัวยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น ครั้นออกปากเตือน อีกฝ่ายก็ไม่ฟังหล่อนเลย คนสูงวัยกว่าเลยได้แต่หวังว่าสักวันเจนสินีจะรู้สึกตัวเสียที


“จะไปไหนก็ไปเถอะค่ะ ถ้ายังนับว่าจ๋าเป็นน้องพี่อยู่” เจนสินีออกปากไล่ ตอนนี้หญิงสาวเหมือนคนหูหนวกตาบอด คำพูดของผู้จัดการสาวคล้ายลมพัดผ่านหู นอกจากไม่ฟังแล้ว หญิงสาวยังคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากด ต่อหมายเลขไปยังปลายแล้วลุกเดินหงุดหงิดงุ่นง่านรอการตอบรับจากอีกฝั่ง


จากนั้นไม่นาน กองละครที่เตรียมพร้อมถ่ายทำก็มีอันต้องเลิกกองเก็บข้าวของกลับบ้าน เมื่อในอีกสิบนาทีต่อมาหลังผู้กำกับขอร้องให้ผู้จัดการส่วนตัวนางเอกสาวเข้าไปขอร้องให้อีกฝ่ายกลับมาทำงานต่อแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ กองถ่ายทั้งกองก็ได้ยินเสียงนางเอกสาวอันดับหนึ่งทุ่มเถียงทะเลาะกับคนปลายสาย พร้อมคำขู่อาฆาตที่ผู้จัดการสาวได้แต่ยืนฟังเฉยไม่เข้าไปห้ามปราม กระทั่งชื่อของแสงฉานหลุดปากออกมาเป็นคำสุดท้าย ก่อนร่างโปร่งระหงจะพุ่งตัวผ่านทุกคนไปยังรถยนต์ส่วนตัวที่จอดทิ้งเอาไว้ด้วยท่าทางโมโหสุดขีด โดยมีสายตาของพี่เลี้ยงสาวซึ่งคลุกคลีปลุกปั้นกันมาตั้งแต่เจนสินีย่างเท้าเข้าวงการบันเทิงมองตามไล่หลังไป คอยดูเถอะ...เรื่องวันนี้คงได้กลายเป็นข่าวซุบซิบในเว็บบอร์ดยอดนิยมวันพรุ่งนี้ และคราวนี้หล่อนก็คงช่วยอะไรเจนสินีไม่ได้แล้วจริงๆ...ไม่ได้จริงๆ



TBC.
--------------------------------------





กวิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ธ.ค. 2558, 21:16:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ธ.ค. 2558, 21:37:56 น.

จำนวนการเข้าชม : 909





<< บทที่ ๒   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account