ริษยาซ่อนรัก
ความเจ็บเปลี่ยนภูเขาน้ำแข็งให้เป็นภูเขาไฟ เธอจึงถือคติว่าเจ็บแล้วต้องจำ และหากถูกกระทำซ้ำๆต้องเอาคืน!
ไฟใดจะร้อนเท่าไฟในอก
ความริษยาคือเปลวไฟที่จะเผาไหม้ทุกอย่างให้เป็นจุณ
แล้วอำนาจใดเล่าที่จะยับยั้งอานุภาพแห่งไฟร้ายได้
หากมิใช่...ความรัก
ไฟใดจะร้อนเท่าไฟในอก
ความริษยาคือเปลวไฟที่จะเผาไหม้ทุกอย่างให้เป็นจุณ
แล้วอำนาจใดเล่าที่จะยับยั้งอานุภาพแห่งไฟร้ายได้
หากมิใช่...ความรัก
Tags: น้ำฟ้า,ริษยาซ่อนรัก,นิยายรัก
ตอน: บทที่ ๖ บนถนนสายความรัก
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่อ่านมาถึงตอนนี้ค่ะ ดูท่าทางนิยายเรื่องนี้คงยาวพอสมควร เพราะตัวละครแต่ละตัวมีความลับ ความหลังพอสมควร ยังไงก็เอาใจช่วยซันดาด้วยนะคะ ^_^
ต้องขอบคุณคุณ Zephyr มากๆเลยค่ะ คอยคอมเมนต์ให้กำลังใจทุกตอนเลย แอบหลุดหัวเราะตอนที่บอกให้น้องแพรถีบยายฟ้า ๕๕๕
บทที่ ๖
ไม่รู้ว่าเป็นความโชคดีหรือโชคร้าย ที่จู่ๆสาวโสดอย่างซันดาก็กลายเป็นคนมีแฟนไปอย่างไม่ทันตั้งตัว เพราะหลังจากที่ได้เผชิญหน้ากับแอนนาวันนั้น ปรัชญ์ก็ทำตามที่เขาได้ลั่นวาจาไว้ ด้วยการบอกกับทุกคนว่าซันดาเป็นคนรัก และหาว่าเธอทำเย็นชาเพราะงอนเรื่องความเจ้าชู้ของเขา ดังนั้นทั้งคนในคณะและนอกคณะที่หญิงสาวเรียนอยู่จึงให้ความสนใจเธอมากขึ้น ซันดารำคาญมากที่ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็มีแต่คนมอง บางคนไม่มองเปล่าแถมยังซุบซิบอีก ครั้นเธอไปโวยวายกับปรัชญ์ เขาก็เอาแต่ขำ ไม่สนใจว่าเธอได้รับผลกระทบมากแค่ไหน มิหนำซ้ำยังตอกย้ำข่าวด้วยการไปรอเธอที่คณะอยู่บ่อยๆ ยิ่งช่วงหลังๆแพรวาหันไปคบหาสาวหล่อจึงทำให้เธอเหินห่างจากพี่ๆไป ภาพที่ออกมาจึงส่งเสริมความหวานของปรัชญ์และซันดามากยิ่งขึ้น ด้วยความระอา ระยะหลังฝ่ายหญิงจึงได้แต่ปลง ไม่ต่อว่า ไม่ต่อต้าน ปล่อยให้ฝ่ายชายออกแอ๊คติ้งได้เต็มที่ จนทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง สองสาวหนุ่มได้เปิดอกคุยกันอย่างตรงไปตรงไปมา ทำให้เรื่องรักจอมปลอมกลายเป็นเรื่องจริงจังขึ้นมาในวันหนึ่ง
เหตุเกิดในวันสงกรานต์ ที่ทางมหาวิทยาลัยจะต้องส่งขบวนแห่ไปร่วมกับทางจังหวัดในการแห่พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองไปตามถนนเพื่อให้คนสักการะ ซึ่งดาวและเดือนแต่ละคณะจะต้องร่วมขบวนด้วย ปรัชญ์และแพรวาจึงร่วมมือกันผลักดันให้ซันดาได้เข้าร่วมขบวนแทนดาวคณะคนหนึ่งซึ่งป่วยกะทันหัน หญิงสาวจึงต้องรับหน้าที่แต่งชุดสาวล้านนาเดินถือสลุงคู่กับปรัชญ์ เช่นเดียวกับแอนนาที่ต้องเดินคู่หนุ่มคณะรัฐศาสตร์ และแพรวาเดินคู่หนุ่มคณะศึกษาศาสตร์โดยทั้งหมดจะต้องเดินตามหลังป้ายมหาวิทยาลัย และนำหน้าขบวนช่างฟ้อนซึ่งมาจากชมรมนาฏศิลป์
ขบวนแห่จะเริ่มเคลื่อนขบวนในเวลาบ่ายโมงตรง คณะผู้จัดงานจึงนัดหมายให้ทุกหน่วยงานมาตั้งขบวนตั้งแต่เที่ยงวัน ปรัชญ์มาถึงก่อนเวลานัดเล็กน้อย เขานุ่งผ้าหยักรั้งสีแดงเลือดนกตกแต่งให้มีรอยสักขาลายเลยมาถึงเหนือเข่า คาดทับด้วยเข็มขัดเงิน โดยปล่อยแผงอกกำยำเปลือยเปล่ามีเพียงสังวาลห้อยพาดอยู่เพียงเส้นเดียว และพันรอบศีรษะด้วยผ้าสีทองแล้วขมวดปมเอาไว้ด้านหนึ่ง
“ปรัชญ์ วันนี้หล่อจังเลย” แอนนาในชุดสไบกรองทองผ้าซิ่นสีแดงเข้มเอ่ยชมขณะเดินเข้ามาหา สองมือของเธอดึงชายผ้าถุงขึ้นเล็กน้อยขณะก้าวเท้า
“ขอบคุณครับ วันนี้พี่แอนนาก็สวยมากเหมือนกัน” เขาชมตอบ
แอนนาขยับเรียวปากซึ่งเคลือบลิปสติกสีแดงสดออกแย้มยิ้ม “สวยก็จีบสิจ๊ะ”
เจอไม้นี้ชายหนุ่มจึงนิ่งเสีย เขาปฏิเสธหญิงสาวรุ่นพี่มาหลายครั้งแล้ว แต่ดูเหมือนแอนนาจะไม่ใส่ใจ
“ได้ยินว่าแฟนปรัชญ์ก็มาเดินด้วยนี่ ชักอยากเห็นแล้วสิว่าแต่งตัวแล้วจะเป็นไงบ้าง นึกไม่ออกเลย เห็นปกติไม่ค่อยแต่งตัว” แอนนาเปรยยิ้มๆ พลางปรามาสอยู่ในใจ
“ผมก็อยากเห็นเหมือนกัน นั่นไง คงมากันละ” สายตาของปรัชญ์จับไปที่รถบัสคันใหญ่ซึ่งกำลังเคลื่อนเข้าไปจอดในที่จอดรถของสถานีรถไฟ
แอนนามองตาม มองเห็นประตูรถบัสกำลังเปิดออก หนุ่มสาวซึ่งบ้างก็อยู่ในชุดหม้อห้อม บ้างก็อยู่ในชุดล้านนาโบราณต่างก็ทยอยกันเดินลงมา
ส่วนปรัชญ์นั้นเผลอแป๊บเดียวเขาก็เดินเร็วๆไปยืนอยู่ข้างรถคันดังกล่าวแล้ว
‘หึ ทำตัวน่าหมั่นไส้’ แอนนาบ่นพึมพำด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
++++++++++++++++++++++++++++++++++
ผู้คนทยอยลงจากรถคนแล้วคนเล่าจนประตูรถปิดสนิทแต่กลับไม่เห็นซันดาและแพรวาเดินลงมา ชายหนุ่มจึงวิ่งอ้อมไปถามคนขับ “ข้างบนไม่มีคนแล้วหรือครับลุง”
คนขับสูงวัยส่ายหน้า “ทุกคนลงมาหมดแล้วครับ มารอเพื่อนหรือคุณ”
“ใช่ครับ” ชายหนุ่มตอบพลางหันหลังกลับ จังหวะนั้นสายตาของเขาก็ปะทะกับร่างของหญิงสาวหลายคนที่ยืนอยู่ใต้ต้นกัลปพฤกษ์ซึ่งกำลังออกดอกเหลืองอร่าม
“ทางนี้ค่ะพี่ปรัชญ์” แพรวากวักมือเรียกเขาหยอยๆ
สาวน้อยอยู่ในชุดเสื้อผ้าฝ้ายสีม่วง แขนยาว ผ่าหน้า โดยมีสไบสีครีมคลุมห่มทับอีกชั้นหนึ่ง ส่วนตัวผ้าซิ่นเป็นผ้าซิ่นตีนจกลายนาคกุมสีน้ำเงินแกมเทา เครื่องประดับมีเพียงพวงมาลัยดอกมะลิที่คล้องคอและดอกเอื้องผึ้งสีเหลืองอร่ามซึ่งตกแต่งมวยผมที่เกล้าขึ้นเผยให้เห็นดวงหน้าขาวผ่องลออตา
“ซันล่ะ” เขาถามทันทีที่เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าน้องสาว แล้วจึงหันไปโปรยยิ้มให้หญิงสาวคนอื่นๆที่ยืนอยู่ด้วยกันบ้าง
“พี่ซันกำลังมาค่ะ ตอนนี้น่าจะถึงแล้วนะ” แพรวาตอบพลางชะเง้อชะแง้หาพี่รหัสของตน
“ทำไมไม่มากับรถบัสมหา’ลัยล่ะ”
“เห็นว่าพี่แซ็คจะมาส่งมั้งคะ” คนตอบพาซื่อ ก่อนจะยิ้มและบุ้ยใบ้ไปยังประตูทางเข้า“นั่นไงคะรถพี่แซ็ค”
รถเก๋งสีบลอนด์ทองกำลังเลี้ยวเข้าไปจอดในที่จอดรถไม่ไกลจากที่ทั้งคู่ยืนอยู่นัก ครู่ใหญ่ชนพลซึ่งอยู่ในชุดเสื้อยืดสีดำ กางเกงยีนก็ก้าวลงจากรถ แล้วเดินอ้อมไปเปิดประตูรถฝั่งตรงข้ามคนขับ
ปรัชญ์และแพรวามองภาพนั้นตาไม่กะพริบ
เมื่อประตูรถเปิดออก หญิงสาวร่างระหงในชุดเสื้อผ้าเมืองสีชมพูอ่อน ทับด้วยสไบสีบานเย็น และสวมผ้าซิ่นไหมยกดอกสีน้ำตาล แต่งเชิงเป็นลวดลายโบราณด้วยดิ้นทองวาววับจึงก้าวลงมา ชนพลไม่รอช้ารีบกางร่มให้เธอ ก่อนจะพาเดินไปยังจุดที่คนอื่นๆยืนอยู่
“พี่แซ็คนี่ดูแลพี่ซันดีจริงๆ ยังกะเป็นแฟนกันเลยเนาะพี่ปรัชญ์” แพรวาจีบปากจีบคอพูด ดวงตาของสาวน้อยจ้องดูปฏิกิริยาของผู้ถูกถามเขม็ง ทว่าปรัชญ์นั้นไม่ทันได้สังเกต เนื่องจากเขามัวแต่จ้องคนรักกิตติมศักดิ์ของตนอยู่นั่นเอง
“ไม่เห็นจะเหมือนตรงไหนเลย”
ได้ยินคำตอบจากหนุ่มรุ่นพี่แพรวาขยับมุมปากขึ้นยิ้มเล็กน้อยแล้วหยั่งเชิงต่อ “แล้วถ้าเขาเป็นแฟนกันจริงๆล่ะ พี่จะทำไง”
คราวนี้ปรัชญ์หันมามองคนถามตรงๆ “ทำไมล่ะ”
แพรวาทำปากยื่น จ้องมองคนตัวโตตาแป๋ว ก่อนจะตอบ “พี่ปรัชญ์ชอบพี่ซันใช่ไหมล่ะ แพรดูออกนะ แล้วก็รู้ด้วยว่าพี่ซันก็ชอบพี่ปรัชญ์ ถ้าพี่มัวชักช้า ขอบอกเลย ม.ค.ป.ด.แน่”
พูดจบสาวน้อยก็หันไปโบกมือเรียกซันดาไหวๆ “พี่ซันทางนี้ค่ะ”
ผู้ถูกเรียกคงหันไปชวนชนพล เพราะหลังจากนั้นทั้งคู่ก็พากันเดินเข้ามาหยุดอยู่ใกล้ๆปรัชญ์และแพรวา
“วันนี้หล่อจังเลยนะปรัชญ์” ชนพลเอ่ยชมขึ้นก่อน
“ขอบคุณครับพี่แซ็ค ผมก็สงสัยอยู่ว่าทำไมซันไม่มากับรถมหา’ลัย พี่แซ็กมาส่งนี่เอง” ปรัชญ์ขอบคุณแล้วจึงชวนคุยต่อ ขณะที่สายตากำลังมองซันดานิ่ง วันนี้ผมของเธอถูกเกล้าขึ้นโดยมีดอกเอื้องสีเหลืองประดับอยู่อย่างสวยงาม ส่งผลให้ดวงหน้ารูปไข่ดูผุดผาดขึ้นผิดตา บวกกับรูปร่างสูงเพรียวของเธอแล้วทำให้ซันดาดูโดดเด่นกว่าคนอื่น
“เดี๋ยวพี่จะไปบ้านเพื่อนต่อน่ะ ก็เลยไปรับซันมาด้วยเสียเลย ซันจะได้ไม่ลำบาก” ชนพลตอบ ปรัชญ์เห็นสายตาของเขาทอดมองซันดาอย่างเอ็นดู สายตาแบบนี้ไม่น่าจะใช่สายตาที่พี่ชายมองน้องสาวเลยสักนิด
“เราเข้าไปในขบวนกันเถอะค่ะ พวกสต๊าฟเรียกละ” แพรวาตัดบทพลางดึงมือเรียวของพี่รหัสให้ก้าวตามไปโดยทันที ขืนปล่อยเอาไว้แบบนี้เดี๋ยวคงมีสงครามเย็นเกิดขึ้นบ้างละ
“ฝากซันด้วยนะปรัชญ์ ถ้าเดินเสร็จแล้วบอกให้โทร.หาพี่ด้วย จะวนรถกลับมารับ” ชนพลบอกแล้วจึงตบไหล่หนุ่มรุ่นน้องเบาๆ “ไปละ แล้วเจอกัน”
ปรัชญ์รับคำเพียงสั้นๆ จากนั้นจึงก้าวขาฉับๆเข้าไปยืนข้างซันดา ก่อนจะกางร่มกระดาษสาให้เธอ โดยมีคู่ของแอนนายืนอยู่ถัดไป
“พี่แซ็คบอกให้ผมไปส่งคุณที่บ้าน” ชายหนุ่มแปลงสาส์นหน้าตาเฉย
ซันดาเงยหน้าขึ้นมอง “ไหนพี่แซ็คบอกว่าจะกลับมารับไง”
“คงกลัวติดลมมั้ง เห็นว่าจะไปบ้านเพื่อนต่อนี่ เอาน่าผมไม่พาคุณไปขายหรอก” ปรัชญ์ตอบเสียงเข้ม
ซันดาไม่ตอบ เธอหันไปรับขันเงินจากสต๊าฟแล้วจึงเฉยเสีย ไร้ประโยชน์ที่เธอจะต่อปากต่อคำกับเขา เธอยอมรับว่าไม่เข้าใจความคิดของปรัชญ์เท่าใดนัก การที่เขาพยายามปลีกตัวออกมาจากแอนนาโดยใช้เธอเป็นเหตุผลบังหน้า อ้างว่าเธอกับเขาเป็นคนรักกัน หลังจากนั้นชายหนุ่มก็ไปมาหาสู่เธอราวกับเป็นเรื่องจริงจัง ทั้งๆที่มีสาวๆอีกหลายคนพร้อมจะทำหน้าที่นี้ บางคนเหมือนจะเคยชอบพอกับเขาเสียด้วยซ้ำ แต่ปรัชญ์กลับทำเฉย ไม่เลือกให้คนเหล่านั้นมาทำหน้าที่แฟนกิตติมศักดิ์ เขาเลือกเธอ ถ้าไม่เข้าข้างตัวเองเกินไปนัก คงเป็นเพราะเขาเห็นว่าเธอนั้นเข้าใจง่าย เธอรู้เหตุผลดี แล้วถ้าจะคิดอย่างเข้าข้างตัวเองบ้างล่ะ จะคิดเองเออเองมากไปไหม หากมองเห็นเค้าลางว่าเขาเองก็ชอบเธอเช่นเดียวกัน
“ซันยังไม่มีพวงมาลัยนี่” ปรัชญ์สังเกต ก่อนที่จะถอดพวงมาลัยดอกมะลิจากคอของตนออกมาพวงหนึ่ง แล้วบรรจงสวมมันให้กับเธอ
“แบ่งกันคนละพวง” เขาบอกยิ้มๆ พลางขยับตัวออกห่างเพื่อมองเธอให้ถนัดถนี่
“ซันแต่งตัวแบบนี้แล้วสวยจัง แต่งหน้าอ่อนๆ เกล้าผม ทัดดอกเอื้อง ใส่ชุดผ้าเมือง ถือขันเงิน แถมยังมีกลิ่นน้ำขมิ้นสมป่อยโชยมาฮ้อมหอม” ว่าพลางปรัชญ์ก็ทำจมูกฟุตฟิต
ซันดารู้สึกเขินจึงแก้เก้อด้วยการตีเผียะเขาที่ไหล่ทีหนึ่ง “อย่ามาทำเจ้าชู้ยักษ์กับเรานะนายปรัชญ์”
“ถึงจะเจ้าชู้ไปบ้าง แต่ถ้ารักใครแล้วรักจริงนะซัน” คนเจ้าชู้ยักษ์หัวเราะชอบใจ
แววตาที่ทอดมองมายังเธอดูพราวพราย ทำเอาคนถูกมองใจสั่นระรัว ซันดารีบหันหน้าไปทางอื่น ในขณะที่ปรัชญ์ยังกางร่มให้เธอ ก็มันเป็นหน้าที่ของเขานี่ ในวันนี้ผู้หญิงมีหน้าที่ถือสลุงเงิน โดยมีผู้ชายเป็นคนกางร่มให้ ขบวนมหาวิทยาลัยของเธอเป็นขบวนที่อยู่ท้ายๆ ขบวนแรกเป็นขบวนแห่พระพุทธสิหิงค์บนรถบุษบก ตามมาด้วยพระพุทธรูปประจำวัดต่างๆในตัวเมืองเชียงใหม่ แล้วจึงต่อด้วยขบวนของหน่วยงานอื่นๆ โดยมีสต๊าฟจัดแถวให้แก่ผู้ร่วมขบวนอย่างแข็งขัน แดดกำลังแรงกล้า เสียงฆ้องกลองดังเป็นจังหวะแสดงว่าขบวนช่างฟ้อนเริ่มฟ้อนเล็บกันแล้ว นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศต่างกรูกันเข้าไปถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอกันยกใหญ่ ทั่วบริเวณจึงมีแต่เสียงอื้ออึงฟังไม่ได้ศัพท์ กลิ่นน้ำอบ น้ำส้มป่อยลอยตามลมมาเป็นระยะๆ ให้ความรู้สึกอิ่มเอิบใจอย่างประหลาด หรือจะเป็นเพราะเวลานี้เธออยู่ใกล้ปรัชญ์กันนะ แล้วชายหนุ่มที่ยืนอยู่ห่างจากเธอไม่ถึงคืบจะรู้สึกเช่นเดียวกันไหมหนอ
ภาพแสนบาดตาระหว่างปรัชญ์กับซันดาทำให้แอนนาไม่อยากมองไปทางนั้นเลยสักนิด แต่เธอก็เผลอตัวหันมองปรัชญ์อยู่บ่อยๆ ความร้อนรุ่มจึงสุมใจแอนนาราวกับลาวาภูเขาไฟที่กำลังใกล้ระอุ เธอสอดส่ายสายตาหาคนของบิดาที่ส่งให้มาเฝ้าดูแล เมื่อพบว่ากลุ่มคนเหล่านั้นยืนอยู่ใกล้ๆ เธอจึงเดินแหวกฝูงชนเข้าไปหาและสั่งการอะไรบางอย่าง ชายร่างสูงที่เป็นหัวหน้าชุดบอดี้การ์ดพยักหน้าหงึกหงัก รับคำว่า ‘ครับๆ’ แล้วจึงเดินเลี่ยงออกไปยังจุดที่ร้างไร้ผู้คน จากนั้นเขาจึงกดโทรศัพท์เพื่อติดต่อใครบางคน แอนนามองภาพนั้นแล้วจึงยิ้มมุมปากด้วยความพึงพอใจ ‘อย่าคิดว่าฉันจะยอมให้ใครมาลูบคมง่ายๆนะซันดา’
+++++++++++++++++++++++++++++++++++
ขบวนเคลื่อนจากสถานีรถไฟออกไปอย่างช้าๆ และหยุดพักเป็นจุดๆเพื่อให้ผู้คนได้สรงน้ำพระพุทธรูป ตลอดเส้นทางเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งไทยและชาวต่างชาติ ที่บ้างก็สวมเสื้อหม้อห้อม บ้างก็สวมผ้าฝ้าย มีบ้างที่สวมเสื้อลายดอกและตามสมัยนิยม แต่ส่วนใหญ่จะแต่งตัวตามอย่างวัฒนธรรมล้านนา และแทบทุกคนจะมีปืนฉีดน้ำหรือขันน้ำถือไว้ในมือ สำหรับฉีดและสาดน้ำให้คนอื่นเปียกตามวิสัยของการเล่นน้ำสงกรานต์
เมื่อถึงบริเวณทางเข้าไนท์บาร์ซ่าเป็นอีกจุดหนึ่งที่ขบวนแห่พระพุทธรูปสำคัญหยุดให้คนสรงน้ำ ขบวนของซันดาและปรัชญ์จึงได้พักอยู่บริเวณเชิงสะพานนวรัฐ ปรัชญ์ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษคอยบังผู้คนที่จะฉีดน้ำใส่หญิงสาวได้เป็นอย่างดี ส่วนแอนนาก็ยืนอยู่กับคู่ของตนและใช้หางตามองภาพบาดใจอยู่ตลอด ครู่ใหญ่หญิงสาวจึงขอให้หนุ่มข้างตัวไปซื้อน้ำซึ่งขายอยู่ข้างทางให้ เขาจึงยื่นร่มให้เธอถือเองแล้วเดินออกไปในทันที แอนนายิ้มมุมปากพลางพยักหน้าเป็นสัญญาณให้บอดี้การ์ดของบิดาที่มายืนคุมเชิงอยู่ แล้วเรียกปรัชญ์ให้หันมา พลางยื่นขันเงินไปให้“ปรัชญ์ช่วยถือสลุงให้แอนนาหน่อย สายรองเท้าหลุดน่ะค่ะ”
ชายหนุ่มหันไปมอง ยื่นมือออกไปรับสลุงมาถือไว้ข้างหนึ่ง จังหวะเดียวกันนั้นใครบางคนซึ่งซ่อนตัวปะปนกับฝูงชนก็สาดน้ำเข้าใส่ซันดาเต็มหน้า หญิงสาวอ้าปากจะร้องว้ายแต่ดันมีน้ำกระเซ็นมาอีกระลอก เธอจึงยกสองมือขึ้นลูบหน้า และโดยไม่คาดฝันหญิงสาวผู้หนึ่งก้าวเร็วๆเข้ามาใกล้ซันดา ทว่าเธอผู้นั้นกลับลื่นล้มลง แล้วคว้าผ้าซิ่นของซันดาไว้แน่น แน่นจนซันดารู้สึกว่าอีกฝ่ายจงใจมือกระตุกสุดแรง หญิงสาวตกใจหวีดร้องลั่น ปรัชญ์ได้ยินจึงหันขวับกลับมาก่อนจะโยนของในมือทิ้งเพื่อกระชับผ้าถุงของหญิงสาวที่ตอนนี้กำลังจะหลุดแหล่มิหลุดแหล่เอาไว้
“เฮ้ย! อะไรเนี่ย” เขาโวยลั่น ตามองตัวการที่รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งหนีเข้าไปปะปนกับฝูงชน
ส่วนซันดาเวลานี้หน้าเสียรีบดึงผ้าถุงให้เข้าที่จ้าละหวั่น เธอไม่พูดไม่จาเอาแต่ยืนหน้าแดงก่ำ โกรธก็โกรธ อายก็อาย
“โชคดีที่คว้าเอาไว้ทัน เดี๋ยวผมจะพาคุณไปจัดการกับเสื้อผ้าให้เรียบร้อย” ปรัชญ์บอกเสียงเรียบ จากนั้นจึงดึงมือหญิงสาวให้ก้าวเดินออกไปจากขบวน ซันดายังไม่หายตกใจ ตอนนี้ใจเธอยังสั่น หน้าแดงเปลี่ยนเป็นซีด ขณะที่มือข้างหนึ่งนั้นกระชับผ้าถุงเอาไว้กับเอว ส่วนมืออีกข้างถูกปรัชญ์จับจูงนำทางออกไปจากผู้คนทั้งหลายที่มองมาอย่างสนใจ โดยมีสายตาเคียดขึงของแอนนามองตามอย่างหงุดหงิด
เสียงฆ้องกลองและเสียงจากขบวนแห่ยังคงดังกังวานไปทั่วบริเวณ เช่นเดียวกับผู้คนที่กำลังสนุกสนานกับการเล่นน้ำสงกรานต์และชมความงามจากการแต่งกายอันสวยงามหนุ่มสาวที่ร่วมเดินอยู่ในขบวนจากหน่วยงานต่างๆ แต่ปรัชญ์นั้นมิได้สนใจบรรยากาศรอบตัว เขาจูงมือซันดาเดินลิ่วตัดเข้าไปในสวนสาธารณะเพื่อให้เธอได้เข้าไปแต่งตัวใหม่ในห้องน้ำอย่างเร่งรีบ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“เป็นเพราะนายนั่นแหละ ถ้านายไม่หาเรื่อง ดึงฉันเข้ามาเดินขบวนด้วยก็คงไม่เกิดเรื่องน่าขายหน้า” ร่างระหงต่อว่าฉอดๆหลังจากเดินออกมาจากห้องน้ำเรียบร้อยแล้ว
ร่างสูงที่ยืนหันหลังรออยู่หมุนตัวกลับไปเผชิญหน้าคนค่อนขอดแล้วตีหน้าสลด เมื่อเห็นใบหน้าบึ้งตึงของเธอ “ผมขอโทษ ผมทำไปเพราะอยากให้พี่แอนนาเข้าใจว่าเรารักกันจริงๆ”
สายตาของซันดามองคนพูดอย่างขวางๆ นึกในใจว่า ถ้าเพียงแค่เรื่องราวต่างๆไม่ใช่เรื่องอุปโลกน์ขึ้น เธอคงจะรู้สึกดีกว่านี้ คนรักกันนั้นไม่ว่าจะต้องบุกน้ำลุยไฟ ถ้าได้อยู่เคียงข้างกัน ใจก็สู้ แต่นี่...
“นายมันเห็นแก่ตัว ทำอะไรไม่นึกถึงใจคนอื่น ไม่นึกถึงผลที่จะตามมา นายเป็นบ้าอะไรถึงสู้อุตส่าห์ไปขอร้องให้ทีมสต๊าฟเลือกฉันมาแทนดาวคณะที่ป่วย แถมยังขู่เขาว่าถ้าฉันไม่ได้ร่วมขบวน นายจะไม่ยอมเดินให้” พูดจบเธอก็ขยับเข้าไปใกล้ๆเขา ดวงตาเขียวปั๊ดสบตาอีกฝ่ายไม่หลบ แต่ถึงท่าทางจะบอกว่าไม่พอใจ ถึงคำพูดจะบ่งชัดว่าขัดเคือง แต่หัวใจเธอกลับหวิวไหวแปลกๆ ที่เคืองเนี่ยเพราะงอนหรอกนะ
ปรัชญ์ยืนฟังการต่อว่าต่อขานนิ่ง ครู่ใหญ่จึงส่งยิ้มให้เธอ พร้อมๆกับที่ถือวิสาสะจับข้อมือคู่สนทนาเอาไว้แน่น “ถ้าอยากรู้เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง”
โดยไม่รอคำตอบ ชายหนุ่มก็กึ่งลากกึ่งจูงหญิงสาวไปยังบันไดที่ทอดตัวลดหลั่นไปหาลำน้ำปิงที่ไหลเอื่อยๆอยู่ด้านล่าง “รออยู่นี่แป๊บนะ”
ซันดาสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของเขา ก่อนจะเชิดหน้าบอกความต้องการของตนเองเวลานี้ “ฉันจะกลับบ้าน ไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น”
“ฟังเถอะ ผมมีอะไรจะบอก นั่งรอก่อนนะ พอคุยกันเสร็จก็จะพากลับ ไม่ต้องห่วง”
ซันดาเม้มริมฝีปาก ทำท่าคิด
ปรัชญ์ตัดบทด้วยการยกมือเป็นสัญลักษณ์โอเค แล้วจึงเดินลิ่วๆออกไปทางถนนที่บัดนี้มีร้านรวงและผู้คนเล่นน้ำสงกรานต์กันอยู่เต็มสองข้างทาง
หญิงสาวมองตามร่างสูงจนเขาลับหายไปกับฝูงชนแล้วจึงนั่งลงตามที่เขาบอก สายตาคู่งามทอดมองสายน้ำสีขุ่นที่ไหลไปทางทิศใต้อย่างช้าๆ ใจกระหวัดไปยังครั้งแรกที่เธอได้เห็นแม่น้ำสายนี้ ซึ่งก็คือวันแรกที่เธอเดินทางมายังเมืองเชียงใหม่พร้อมกับมารดา
เดิมทีซันดากับครอบครัวอาศัยอยู่กรุงเทพฯซึ่งเป็นบ้านของบิดา แต่เมื่อซันดาอายุประมาณ 5 ขวบ บิดามารดาก็พาเธอย้ายมาพำนักอยู่ในตัวเมืองเชียงใหม่ ซันดาจึงได้แต่คิดถึงบ้านเก่า และปู่กับย่า โดยไม่รู้หรอกว่าเหตุใดรอยร้าวจึงเกิดขึ้นในครอบครัว จนเมื่อเธอโตพอที่จะเข้าใจนี่แหละ แม่รยาจึงยอมเล่าว่าต้นเหตุของการเปลี่ยนแปลงมาจากบิดาของซันดานั่นเอง
“คิดอะไรอยู่ เหม่อเชียว” ปรัชญ์นั่งลงข้างๆเธอ
ความคิดคำนึงของหญิงสาวหยุดชะงัก เธอเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงที่กำลังย่อตัวนั่งลงข้างกาย
“เปล่า” ขณะตอบเธอปรับทิศทางสายตาไปมองสายน้ำปิงเช่นเดิม
ใบหน้าที่ตกแต่งอย่างงดงามเป็นสีระเรื่อ เมื่อเขาขยับเข้ามาใกล้ เธอชายตามองเขาแวบหนึ่ง เห็นเพียงลำแขนและอกผึ่งผายของฝ่าย เธอจึงรีบละสายตาจ้องมองไปทางอื่นเสีย
“กินนี่ซะ แต่งตัวขนาดนี้คงยังไม่ได้กินข้าวเลยสิท่า” พูดพลาง ชายหนุ่มก็ยื่นต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในถ้วยแบบคัพมาให้ ตามด้วยน้ำอัดลมแก้วใหญ่
“ขอบคุณ แต่ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็กลับบ้านแล้ว” คนตอบสั่นหน้าประกอบ
“ก็ซื้อมาแล้ว เสียดายของ รับสิ” ชายหนุ่มยังคงยืนยันแถมยังยื่นถ้วยบะหมี่เข้ามาใกล้เธอกว่าเดิม ดูเอาเถอะหน้าเขาแทบจะชนหน้าเธออยู่แล้ว หญิงสาวจึงรีบรับถ้วยบะหมี่เอาไว้ขณะที่ตนเองหน้าแดงก่ำขึ้นอีกครั้ง
“เป็นอะไรหน้าแดง ร้อนเหรอซัน” เขาถามพลางชะโงกหน้ามาดูเธออย่างจงใจ
หญิงสาววางถ้วยบะหมี่ลงข้างตัวแล้วขยับหนี
ปรัชญ์หัวเราะ “เข้าใกล้ไม่ได้เลย หวงตัวจริงๆนะซันเนี่ย ถ้าสาวๆสมัยนี้เป็นแบบซันทุกคนก็คงจะดี”
คนฟังเบะปาก ความเขินอายเริ่มจางหาย ความหมั่นไส้จึงเข้ามาแทนที่ “อย่างนายเนี่ยนะชอบผู้หญิงหวงตัว นึกว่าชอบแบบไวไฟเสียอีก เห็นหยอดเขาไปทั่ว”
ถึงกระนั้นคนถูกตำหนิก็ยังดูอารมณ์ดี “มันเป็นธรรมดาของวัยรุ่นที่จะกิ๊กๆกั๊กๆ ผมไม่ใช่คนจริงจังกับทุกเรื่องเหมือนซันนี่”
“ฉันจริงจังแล้วมันผิดตรงไหน” ซันดาชักจะฉุน
“ไม่ได้ว่าผิด จริงจังแบบซันน่ะดีอยู่แล้ว แต่อยากให้เข้าใจคนแบบผมบ้างไง” ไม่พูดเปล่า ปรัชญ์ลุกขึ้น เดินลงบันไดไปหลายขั้นเพื่อยืนตรงหน้าเธอ และให้ระดับความสูงพอดีกับที่เธอนั่งอยู่
“ไม่จำเป็น นายจะเป็นไงก็เรื่องของนาย ฉันไม่ยุ่ง” เธอบอกน้ำเสียงจริงจังเช่นเดียวกับสายตาที่สบตาเขาเขม็ง
“จำเป็นสิ...”
“ทำไม” เธอสวนทันควันทั้งที่เขายังพูดไม่จบ
ปรัชญ์จึงใช้นิ้วชี้แตะปากเธอเบาๆพลางพูดเสียงนุ่ม “ฟังผมให้จบ ผมอยากบอก”
ซันดานิ่งอึ้งกับการกระทำของเขา มันแปลกๆ เขาทำตัวอ่อนโยน สนิทสนมจนใจเธอเต้นตุบๆไม่หยุดหย่อนในเวลานี้
“ผมชอบซันนะ ชอบแบบที่ซันเป็น จริงจัง ตรงไปตรงมา ไม่เสแสร้ง ผมถึงเลือกซันมาบังหน้าพี่แอนนา แต่รู้ไหมว่าเป็นเพราะผมอยากใกล้ชิดซัน อยากให้เราได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น” เขาเปิดเผยความในใจด้วยใบหน้านิ่งๆ ดวงตาคมจ้องเธออย่างค้นคว้า
ซันดารู้สึกได้ถึงความร้อนที่แล่นลิ่วจากช่องท้องขึ้นมาสู่อกข้างซ้าย คงเพราะเหตุนี้กระมังใจจึงเต้นถี่และรุนแรงขึ้นกว่าปกติหลายเท่าตัว
“ผมไม่อยากเอาซันมาเป็นแฟนบังหน้าใครอีกต่อไปแล้ว เรามาคบกันจริงๆได้ไหม” ปรัชญ์ถามเสียงอ้อนพลางจ้องหน้าเธอนิ่ง
ซันดาก้มหน้างุด ดูมือไม้มันเกะกะไปหมด จะเงยหน้าขึ้นมาตอบเขาก็กลัวสายตาคมกริบเจือแววหวานคู่นั้นจะจับความรู้สึกได้
ตาบ้า! ในช่วงเวลาที่ผู้หญิงเขินแบบนี้ยังมายืนจ้องหน้าอีก
สิ่งที่ซันดาทำได้ในเวลานี้คือพยายามเก็บอาการสุดฤทธิ์ ความรู้สึกตอนนี้มันแปลกๆ ทั้งช็อก เขิน ตื่นเต้น ดีใจ สับสน สารพัด ทว่าเขากลับไม่ยอมรอคำตอบนาน ครู่ใหญ่ชายหนุ่มจึงเอื้อมมือมาเชยคางมนให้เงยขึ้นและถามซ้ำ “ตกลงนะ”
ใบหน้าที่เงยขึ้นแดงก่ำ เธอช้อนสายตาขึ้นมองเขาตรงๆ พยายามขับไล่ความเขินอายและบังคับเสียงไม่ให้สั่น “แน่ใจเหรอ”
ปรัชญ์ฉีกยิ้ม พร้อมทั้งพยักหน้า “แน่สิ แน่ใจมาพักนึงละ”
ซันดายังคงมองเขาเงียบๆ แววตาของเธอจ้องเขาอย่างหาพิรุธ
“ซันคงยังไม่ไว้ใจผม ถ้างั้นต้องทำยังไง...” ไม่ถามเปล่า สองมือของปรัชญ์ดึงมือของอีกฝ่ายมากุมไว้
เธอพยักหน้า แล้วจึงเอ่ยตอบน้ำเสียงจริงจัง “ถ้านายแน่ใจ ฉันก็แน่ใจเหมือนกัน”
ดวงตาของปรัชญ์เบิกกว้าง มือที่กุมมือเธอไว้เขย่าแรงๆขณะถาม “จริงนะ สัญญานะ”
“ยังไม่สัญญา” เธอยังคงใจแข็ง
“ทำไมล่ะครับ”
“จำได้ไหมว่านายติดสัญญาฉันไว้ข้อหนึ่ง”
“จำได้สิ ซันจะให้ผมทำอะไรล่ะ บอกมาเลย”
ซันดาก้มหน้าลงมองขั้นไดก่อนตอบอ้อมแอ้ม“นายต้องรับปากว่าจะไม่ทำฉันเสียใจเป็นอันขาด”
คนฟังดีใจจนอยากจะดึงเธอเข้ามากอด แต่รู้ดีว่าไม่เหมาะเพราะทั้งสองคนอยู่ในสาธารณะ เขาจึงทำได้เพียงแค่ยิ้มและเอ่ยคำตอบด้วยความเต็มใจ “ผมสัญญา”
“พี่ซันขนมค่ะ” เสียงสิยาพรดังแทรกขึ้น ความทรงจำในอดีตของซันดาจึงค่อยๆเลือนหายไป หญิงสาวยื่นมือไปรับขนมขบเคี้ยวมาถือไว้ “ขอบใจจ้ะเก๋”
สาวน้อยหัวเราะเสียงใส “ไม่ใช่ของเก๋หรอกค่ะ โน่น คุณเอเธ็นส์เขาฝากมา”
ซันดาชะโงกไปมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้าม ยกซองขนมขึ้นแล้วทำปากขมุบขมิบว่าขอบคุณ ฐิติค้อมศีรษะรับและส่งยิ้มกลับมาโดยไม่ตอบว่ากระไร เนื่องจากเสียงเพลงในรถนั้นดังเกินกว่าที่จะตะเบ็งเสียงแข่งได้
“พี่เอเธ็นส์นี่ดูๆก็น่ารักดีนะคะ แต่ได้ยินว่าถ้าทำงานก็จะติสท์มาก” สิยาพรนินทาระยะเผาขน
“ติสท์ไม่ดีตรงไหนล่ะ” ซันดาถามอย่างไม่สนใจคำตอบมากนัก เป็นการหาประเด็นคุยเสียมากกว่า
“ก็ไม่เชิงว่าไม่ดี แต่เก๋ว่าคงทำงานด้วยลำบาก เพราะพวกติสท์ๆนี่จะเอาแต่ใจนะคะพี่ซัน พอใจก็ทำ ไม่พอใจก็ไม่ทำ”
ซันดายิ้มหลังได้ฟังคำตอบ “พี่ว่าเขาก็มีเหตุผลของเขามากกว่า เพียงแต่เราอาจจะไม่ค่อยเข้าใจเท่านั้นแหละ”
สิยาพรพยักหน้า “สงสัยจะจริงอย่างพี่ซันว่าค่ะ ถ้าพี่ซันยังไม่ทานขนม งั้นมาร้องเพลงเป็นเพื่อนเก๋ดีกว่าค่ะ”
ว่าแล้วสาวน้อยก็คว้าไมโครโฟนขึ้นมาถือไว้ให้อยู่ระหว่างตัวเธอกับซันดา หลังจากนั้นบทเพลงที่สองสาวประสานเสียงก็ดังขึ้นกลบเสียงพูดคุยที่ดังจอแจอยู่ตลอดเวลา
[จบตอน]
ต้องขอบคุณคุณ Zephyr มากๆเลยค่ะ คอยคอมเมนต์ให้กำลังใจทุกตอนเลย แอบหลุดหัวเราะตอนที่บอกให้น้องแพรถีบยายฟ้า ๕๕๕
บทที่ ๖
ไม่รู้ว่าเป็นความโชคดีหรือโชคร้าย ที่จู่ๆสาวโสดอย่างซันดาก็กลายเป็นคนมีแฟนไปอย่างไม่ทันตั้งตัว เพราะหลังจากที่ได้เผชิญหน้ากับแอนนาวันนั้น ปรัชญ์ก็ทำตามที่เขาได้ลั่นวาจาไว้ ด้วยการบอกกับทุกคนว่าซันดาเป็นคนรัก และหาว่าเธอทำเย็นชาเพราะงอนเรื่องความเจ้าชู้ของเขา ดังนั้นทั้งคนในคณะและนอกคณะที่หญิงสาวเรียนอยู่จึงให้ความสนใจเธอมากขึ้น ซันดารำคาญมากที่ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็มีแต่คนมอง บางคนไม่มองเปล่าแถมยังซุบซิบอีก ครั้นเธอไปโวยวายกับปรัชญ์ เขาก็เอาแต่ขำ ไม่สนใจว่าเธอได้รับผลกระทบมากแค่ไหน มิหนำซ้ำยังตอกย้ำข่าวด้วยการไปรอเธอที่คณะอยู่บ่อยๆ ยิ่งช่วงหลังๆแพรวาหันไปคบหาสาวหล่อจึงทำให้เธอเหินห่างจากพี่ๆไป ภาพที่ออกมาจึงส่งเสริมความหวานของปรัชญ์และซันดามากยิ่งขึ้น ด้วยความระอา ระยะหลังฝ่ายหญิงจึงได้แต่ปลง ไม่ต่อว่า ไม่ต่อต้าน ปล่อยให้ฝ่ายชายออกแอ๊คติ้งได้เต็มที่ จนทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง สองสาวหนุ่มได้เปิดอกคุยกันอย่างตรงไปตรงไปมา ทำให้เรื่องรักจอมปลอมกลายเป็นเรื่องจริงจังขึ้นมาในวันหนึ่ง
เหตุเกิดในวันสงกรานต์ ที่ทางมหาวิทยาลัยจะต้องส่งขบวนแห่ไปร่วมกับทางจังหวัดในการแห่พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองไปตามถนนเพื่อให้คนสักการะ ซึ่งดาวและเดือนแต่ละคณะจะต้องร่วมขบวนด้วย ปรัชญ์และแพรวาจึงร่วมมือกันผลักดันให้ซันดาได้เข้าร่วมขบวนแทนดาวคณะคนหนึ่งซึ่งป่วยกะทันหัน หญิงสาวจึงต้องรับหน้าที่แต่งชุดสาวล้านนาเดินถือสลุงคู่กับปรัชญ์ เช่นเดียวกับแอนนาที่ต้องเดินคู่หนุ่มคณะรัฐศาสตร์ และแพรวาเดินคู่หนุ่มคณะศึกษาศาสตร์โดยทั้งหมดจะต้องเดินตามหลังป้ายมหาวิทยาลัย และนำหน้าขบวนช่างฟ้อนซึ่งมาจากชมรมนาฏศิลป์
ขบวนแห่จะเริ่มเคลื่อนขบวนในเวลาบ่ายโมงตรง คณะผู้จัดงานจึงนัดหมายให้ทุกหน่วยงานมาตั้งขบวนตั้งแต่เที่ยงวัน ปรัชญ์มาถึงก่อนเวลานัดเล็กน้อย เขานุ่งผ้าหยักรั้งสีแดงเลือดนกตกแต่งให้มีรอยสักขาลายเลยมาถึงเหนือเข่า คาดทับด้วยเข็มขัดเงิน โดยปล่อยแผงอกกำยำเปลือยเปล่ามีเพียงสังวาลห้อยพาดอยู่เพียงเส้นเดียว และพันรอบศีรษะด้วยผ้าสีทองแล้วขมวดปมเอาไว้ด้านหนึ่ง
“ปรัชญ์ วันนี้หล่อจังเลย” แอนนาในชุดสไบกรองทองผ้าซิ่นสีแดงเข้มเอ่ยชมขณะเดินเข้ามาหา สองมือของเธอดึงชายผ้าถุงขึ้นเล็กน้อยขณะก้าวเท้า
“ขอบคุณครับ วันนี้พี่แอนนาก็สวยมากเหมือนกัน” เขาชมตอบ
แอนนาขยับเรียวปากซึ่งเคลือบลิปสติกสีแดงสดออกแย้มยิ้ม “สวยก็จีบสิจ๊ะ”
เจอไม้นี้ชายหนุ่มจึงนิ่งเสีย เขาปฏิเสธหญิงสาวรุ่นพี่มาหลายครั้งแล้ว แต่ดูเหมือนแอนนาจะไม่ใส่ใจ
“ได้ยินว่าแฟนปรัชญ์ก็มาเดินด้วยนี่ ชักอยากเห็นแล้วสิว่าแต่งตัวแล้วจะเป็นไงบ้าง นึกไม่ออกเลย เห็นปกติไม่ค่อยแต่งตัว” แอนนาเปรยยิ้มๆ พลางปรามาสอยู่ในใจ
“ผมก็อยากเห็นเหมือนกัน นั่นไง คงมากันละ” สายตาของปรัชญ์จับไปที่รถบัสคันใหญ่ซึ่งกำลังเคลื่อนเข้าไปจอดในที่จอดรถของสถานีรถไฟ
แอนนามองตาม มองเห็นประตูรถบัสกำลังเปิดออก หนุ่มสาวซึ่งบ้างก็อยู่ในชุดหม้อห้อม บ้างก็อยู่ในชุดล้านนาโบราณต่างก็ทยอยกันเดินลงมา
ส่วนปรัชญ์นั้นเผลอแป๊บเดียวเขาก็เดินเร็วๆไปยืนอยู่ข้างรถคันดังกล่าวแล้ว
‘หึ ทำตัวน่าหมั่นไส้’ แอนนาบ่นพึมพำด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
++++++++++++++++++++++++++++++++++
ผู้คนทยอยลงจากรถคนแล้วคนเล่าจนประตูรถปิดสนิทแต่กลับไม่เห็นซันดาและแพรวาเดินลงมา ชายหนุ่มจึงวิ่งอ้อมไปถามคนขับ “ข้างบนไม่มีคนแล้วหรือครับลุง”
คนขับสูงวัยส่ายหน้า “ทุกคนลงมาหมดแล้วครับ มารอเพื่อนหรือคุณ”
“ใช่ครับ” ชายหนุ่มตอบพลางหันหลังกลับ จังหวะนั้นสายตาของเขาก็ปะทะกับร่างของหญิงสาวหลายคนที่ยืนอยู่ใต้ต้นกัลปพฤกษ์ซึ่งกำลังออกดอกเหลืองอร่าม
“ทางนี้ค่ะพี่ปรัชญ์” แพรวากวักมือเรียกเขาหยอยๆ
สาวน้อยอยู่ในชุดเสื้อผ้าฝ้ายสีม่วง แขนยาว ผ่าหน้า โดยมีสไบสีครีมคลุมห่มทับอีกชั้นหนึ่ง ส่วนตัวผ้าซิ่นเป็นผ้าซิ่นตีนจกลายนาคกุมสีน้ำเงินแกมเทา เครื่องประดับมีเพียงพวงมาลัยดอกมะลิที่คล้องคอและดอกเอื้องผึ้งสีเหลืองอร่ามซึ่งตกแต่งมวยผมที่เกล้าขึ้นเผยให้เห็นดวงหน้าขาวผ่องลออตา
“ซันล่ะ” เขาถามทันทีที่เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าน้องสาว แล้วจึงหันไปโปรยยิ้มให้หญิงสาวคนอื่นๆที่ยืนอยู่ด้วยกันบ้าง
“พี่ซันกำลังมาค่ะ ตอนนี้น่าจะถึงแล้วนะ” แพรวาตอบพลางชะเง้อชะแง้หาพี่รหัสของตน
“ทำไมไม่มากับรถบัสมหา’ลัยล่ะ”
“เห็นว่าพี่แซ็คจะมาส่งมั้งคะ” คนตอบพาซื่อ ก่อนจะยิ้มและบุ้ยใบ้ไปยังประตูทางเข้า“นั่นไงคะรถพี่แซ็ค”
รถเก๋งสีบลอนด์ทองกำลังเลี้ยวเข้าไปจอดในที่จอดรถไม่ไกลจากที่ทั้งคู่ยืนอยู่นัก ครู่ใหญ่ชนพลซึ่งอยู่ในชุดเสื้อยืดสีดำ กางเกงยีนก็ก้าวลงจากรถ แล้วเดินอ้อมไปเปิดประตูรถฝั่งตรงข้ามคนขับ
ปรัชญ์และแพรวามองภาพนั้นตาไม่กะพริบ
เมื่อประตูรถเปิดออก หญิงสาวร่างระหงในชุดเสื้อผ้าเมืองสีชมพูอ่อน ทับด้วยสไบสีบานเย็น และสวมผ้าซิ่นไหมยกดอกสีน้ำตาล แต่งเชิงเป็นลวดลายโบราณด้วยดิ้นทองวาววับจึงก้าวลงมา ชนพลไม่รอช้ารีบกางร่มให้เธอ ก่อนจะพาเดินไปยังจุดที่คนอื่นๆยืนอยู่
“พี่แซ็คนี่ดูแลพี่ซันดีจริงๆ ยังกะเป็นแฟนกันเลยเนาะพี่ปรัชญ์” แพรวาจีบปากจีบคอพูด ดวงตาของสาวน้อยจ้องดูปฏิกิริยาของผู้ถูกถามเขม็ง ทว่าปรัชญ์นั้นไม่ทันได้สังเกต เนื่องจากเขามัวแต่จ้องคนรักกิตติมศักดิ์ของตนอยู่นั่นเอง
“ไม่เห็นจะเหมือนตรงไหนเลย”
ได้ยินคำตอบจากหนุ่มรุ่นพี่แพรวาขยับมุมปากขึ้นยิ้มเล็กน้อยแล้วหยั่งเชิงต่อ “แล้วถ้าเขาเป็นแฟนกันจริงๆล่ะ พี่จะทำไง”
คราวนี้ปรัชญ์หันมามองคนถามตรงๆ “ทำไมล่ะ”
แพรวาทำปากยื่น จ้องมองคนตัวโตตาแป๋ว ก่อนจะตอบ “พี่ปรัชญ์ชอบพี่ซันใช่ไหมล่ะ แพรดูออกนะ แล้วก็รู้ด้วยว่าพี่ซันก็ชอบพี่ปรัชญ์ ถ้าพี่มัวชักช้า ขอบอกเลย ม.ค.ป.ด.แน่”
พูดจบสาวน้อยก็หันไปโบกมือเรียกซันดาไหวๆ “พี่ซันทางนี้ค่ะ”
ผู้ถูกเรียกคงหันไปชวนชนพล เพราะหลังจากนั้นทั้งคู่ก็พากันเดินเข้ามาหยุดอยู่ใกล้ๆปรัชญ์และแพรวา
“วันนี้หล่อจังเลยนะปรัชญ์” ชนพลเอ่ยชมขึ้นก่อน
“ขอบคุณครับพี่แซ็ค ผมก็สงสัยอยู่ว่าทำไมซันไม่มากับรถมหา’ลัย พี่แซ็กมาส่งนี่เอง” ปรัชญ์ขอบคุณแล้วจึงชวนคุยต่อ ขณะที่สายตากำลังมองซันดานิ่ง วันนี้ผมของเธอถูกเกล้าขึ้นโดยมีดอกเอื้องสีเหลืองประดับอยู่อย่างสวยงาม ส่งผลให้ดวงหน้ารูปไข่ดูผุดผาดขึ้นผิดตา บวกกับรูปร่างสูงเพรียวของเธอแล้วทำให้ซันดาดูโดดเด่นกว่าคนอื่น
“เดี๋ยวพี่จะไปบ้านเพื่อนต่อน่ะ ก็เลยไปรับซันมาด้วยเสียเลย ซันจะได้ไม่ลำบาก” ชนพลตอบ ปรัชญ์เห็นสายตาของเขาทอดมองซันดาอย่างเอ็นดู สายตาแบบนี้ไม่น่าจะใช่สายตาที่พี่ชายมองน้องสาวเลยสักนิด
“เราเข้าไปในขบวนกันเถอะค่ะ พวกสต๊าฟเรียกละ” แพรวาตัดบทพลางดึงมือเรียวของพี่รหัสให้ก้าวตามไปโดยทันที ขืนปล่อยเอาไว้แบบนี้เดี๋ยวคงมีสงครามเย็นเกิดขึ้นบ้างละ
“ฝากซันด้วยนะปรัชญ์ ถ้าเดินเสร็จแล้วบอกให้โทร.หาพี่ด้วย จะวนรถกลับมารับ” ชนพลบอกแล้วจึงตบไหล่หนุ่มรุ่นน้องเบาๆ “ไปละ แล้วเจอกัน”
ปรัชญ์รับคำเพียงสั้นๆ จากนั้นจึงก้าวขาฉับๆเข้าไปยืนข้างซันดา ก่อนจะกางร่มกระดาษสาให้เธอ โดยมีคู่ของแอนนายืนอยู่ถัดไป
“พี่แซ็คบอกให้ผมไปส่งคุณที่บ้าน” ชายหนุ่มแปลงสาส์นหน้าตาเฉย
ซันดาเงยหน้าขึ้นมอง “ไหนพี่แซ็คบอกว่าจะกลับมารับไง”
“คงกลัวติดลมมั้ง เห็นว่าจะไปบ้านเพื่อนต่อนี่ เอาน่าผมไม่พาคุณไปขายหรอก” ปรัชญ์ตอบเสียงเข้ม
ซันดาไม่ตอบ เธอหันไปรับขันเงินจากสต๊าฟแล้วจึงเฉยเสีย ไร้ประโยชน์ที่เธอจะต่อปากต่อคำกับเขา เธอยอมรับว่าไม่เข้าใจความคิดของปรัชญ์เท่าใดนัก การที่เขาพยายามปลีกตัวออกมาจากแอนนาโดยใช้เธอเป็นเหตุผลบังหน้า อ้างว่าเธอกับเขาเป็นคนรักกัน หลังจากนั้นชายหนุ่มก็ไปมาหาสู่เธอราวกับเป็นเรื่องจริงจัง ทั้งๆที่มีสาวๆอีกหลายคนพร้อมจะทำหน้าที่นี้ บางคนเหมือนจะเคยชอบพอกับเขาเสียด้วยซ้ำ แต่ปรัชญ์กลับทำเฉย ไม่เลือกให้คนเหล่านั้นมาทำหน้าที่แฟนกิตติมศักดิ์ เขาเลือกเธอ ถ้าไม่เข้าข้างตัวเองเกินไปนัก คงเป็นเพราะเขาเห็นว่าเธอนั้นเข้าใจง่าย เธอรู้เหตุผลดี แล้วถ้าจะคิดอย่างเข้าข้างตัวเองบ้างล่ะ จะคิดเองเออเองมากไปไหม หากมองเห็นเค้าลางว่าเขาเองก็ชอบเธอเช่นเดียวกัน
“ซันยังไม่มีพวงมาลัยนี่” ปรัชญ์สังเกต ก่อนที่จะถอดพวงมาลัยดอกมะลิจากคอของตนออกมาพวงหนึ่ง แล้วบรรจงสวมมันให้กับเธอ
“แบ่งกันคนละพวง” เขาบอกยิ้มๆ พลางขยับตัวออกห่างเพื่อมองเธอให้ถนัดถนี่
“ซันแต่งตัวแบบนี้แล้วสวยจัง แต่งหน้าอ่อนๆ เกล้าผม ทัดดอกเอื้อง ใส่ชุดผ้าเมือง ถือขันเงิน แถมยังมีกลิ่นน้ำขมิ้นสมป่อยโชยมาฮ้อมหอม” ว่าพลางปรัชญ์ก็ทำจมูกฟุตฟิต
ซันดารู้สึกเขินจึงแก้เก้อด้วยการตีเผียะเขาที่ไหล่ทีหนึ่ง “อย่ามาทำเจ้าชู้ยักษ์กับเรานะนายปรัชญ์”
“ถึงจะเจ้าชู้ไปบ้าง แต่ถ้ารักใครแล้วรักจริงนะซัน” คนเจ้าชู้ยักษ์หัวเราะชอบใจ
แววตาที่ทอดมองมายังเธอดูพราวพราย ทำเอาคนถูกมองใจสั่นระรัว ซันดารีบหันหน้าไปทางอื่น ในขณะที่ปรัชญ์ยังกางร่มให้เธอ ก็มันเป็นหน้าที่ของเขานี่ ในวันนี้ผู้หญิงมีหน้าที่ถือสลุงเงิน โดยมีผู้ชายเป็นคนกางร่มให้ ขบวนมหาวิทยาลัยของเธอเป็นขบวนที่อยู่ท้ายๆ ขบวนแรกเป็นขบวนแห่พระพุทธสิหิงค์บนรถบุษบก ตามมาด้วยพระพุทธรูปประจำวัดต่างๆในตัวเมืองเชียงใหม่ แล้วจึงต่อด้วยขบวนของหน่วยงานอื่นๆ โดยมีสต๊าฟจัดแถวให้แก่ผู้ร่วมขบวนอย่างแข็งขัน แดดกำลังแรงกล้า เสียงฆ้องกลองดังเป็นจังหวะแสดงว่าขบวนช่างฟ้อนเริ่มฟ้อนเล็บกันแล้ว นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศต่างกรูกันเข้าไปถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอกันยกใหญ่ ทั่วบริเวณจึงมีแต่เสียงอื้ออึงฟังไม่ได้ศัพท์ กลิ่นน้ำอบ น้ำส้มป่อยลอยตามลมมาเป็นระยะๆ ให้ความรู้สึกอิ่มเอิบใจอย่างประหลาด หรือจะเป็นเพราะเวลานี้เธออยู่ใกล้ปรัชญ์กันนะ แล้วชายหนุ่มที่ยืนอยู่ห่างจากเธอไม่ถึงคืบจะรู้สึกเช่นเดียวกันไหมหนอ
ภาพแสนบาดตาระหว่างปรัชญ์กับซันดาทำให้แอนนาไม่อยากมองไปทางนั้นเลยสักนิด แต่เธอก็เผลอตัวหันมองปรัชญ์อยู่บ่อยๆ ความร้อนรุ่มจึงสุมใจแอนนาราวกับลาวาภูเขาไฟที่กำลังใกล้ระอุ เธอสอดส่ายสายตาหาคนของบิดาที่ส่งให้มาเฝ้าดูแล เมื่อพบว่ากลุ่มคนเหล่านั้นยืนอยู่ใกล้ๆ เธอจึงเดินแหวกฝูงชนเข้าไปหาและสั่งการอะไรบางอย่าง ชายร่างสูงที่เป็นหัวหน้าชุดบอดี้การ์ดพยักหน้าหงึกหงัก รับคำว่า ‘ครับๆ’ แล้วจึงเดินเลี่ยงออกไปยังจุดที่ร้างไร้ผู้คน จากนั้นเขาจึงกดโทรศัพท์เพื่อติดต่อใครบางคน แอนนามองภาพนั้นแล้วจึงยิ้มมุมปากด้วยความพึงพอใจ ‘อย่าคิดว่าฉันจะยอมให้ใครมาลูบคมง่ายๆนะซันดา’
+++++++++++++++++++++++++++++++++++
ขบวนเคลื่อนจากสถานีรถไฟออกไปอย่างช้าๆ และหยุดพักเป็นจุดๆเพื่อให้ผู้คนได้สรงน้ำพระพุทธรูป ตลอดเส้นทางเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งไทยและชาวต่างชาติ ที่บ้างก็สวมเสื้อหม้อห้อม บ้างก็สวมผ้าฝ้าย มีบ้างที่สวมเสื้อลายดอกและตามสมัยนิยม แต่ส่วนใหญ่จะแต่งตัวตามอย่างวัฒนธรรมล้านนา และแทบทุกคนจะมีปืนฉีดน้ำหรือขันน้ำถือไว้ในมือ สำหรับฉีดและสาดน้ำให้คนอื่นเปียกตามวิสัยของการเล่นน้ำสงกรานต์
เมื่อถึงบริเวณทางเข้าไนท์บาร์ซ่าเป็นอีกจุดหนึ่งที่ขบวนแห่พระพุทธรูปสำคัญหยุดให้คนสรงน้ำ ขบวนของซันดาและปรัชญ์จึงได้พักอยู่บริเวณเชิงสะพานนวรัฐ ปรัชญ์ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษคอยบังผู้คนที่จะฉีดน้ำใส่หญิงสาวได้เป็นอย่างดี ส่วนแอนนาก็ยืนอยู่กับคู่ของตนและใช้หางตามองภาพบาดใจอยู่ตลอด ครู่ใหญ่หญิงสาวจึงขอให้หนุ่มข้างตัวไปซื้อน้ำซึ่งขายอยู่ข้างทางให้ เขาจึงยื่นร่มให้เธอถือเองแล้วเดินออกไปในทันที แอนนายิ้มมุมปากพลางพยักหน้าเป็นสัญญาณให้บอดี้การ์ดของบิดาที่มายืนคุมเชิงอยู่ แล้วเรียกปรัชญ์ให้หันมา พลางยื่นขันเงินไปให้“ปรัชญ์ช่วยถือสลุงให้แอนนาหน่อย สายรองเท้าหลุดน่ะค่ะ”
ชายหนุ่มหันไปมอง ยื่นมือออกไปรับสลุงมาถือไว้ข้างหนึ่ง จังหวะเดียวกันนั้นใครบางคนซึ่งซ่อนตัวปะปนกับฝูงชนก็สาดน้ำเข้าใส่ซันดาเต็มหน้า หญิงสาวอ้าปากจะร้องว้ายแต่ดันมีน้ำกระเซ็นมาอีกระลอก เธอจึงยกสองมือขึ้นลูบหน้า และโดยไม่คาดฝันหญิงสาวผู้หนึ่งก้าวเร็วๆเข้ามาใกล้ซันดา ทว่าเธอผู้นั้นกลับลื่นล้มลง แล้วคว้าผ้าซิ่นของซันดาไว้แน่น แน่นจนซันดารู้สึกว่าอีกฝ่ายจงใจมือกระตุกสุดแรง หญิงสาวตกใจหวีดร้องลั่น ปรัชญ์ได้ยินจึงหันขวับกลับมาก่อนจะโยนของในมือทิ้งเพื่อกระชับผ้าถุงของหญิงสาวที่ตอนนี้กำลังจะหลุดแหล่มิหลุดแหล่เอาไว้
“เฮ้ย! อะไรเนี่ย” เขาโวยลั่น ตามองตัวการที่รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งหนีเข้าไปปะปนกับฝูงชน
ส่วนซันดาเวลานี้หน้าเสียรีบดึงผ้าถุงให้เข้าที่จ้าละหวั่น เธอไม่พูดไม่จาเอาแต่ยืนหน้าแดงก่ำ โกรธก็โกรธ อายก็อาย
“โชคดีที่คว้าเอาไว้ทัน เดี๋ยวผมจะพาคุณไปจัดการกับเสื้อผ้าให้เรียบร้อย” ปรัชญ์บอกเสียงเรียบ จากนั้นจึงดึงมือหญิงสาวให้ก้าวเดินออกไปจากขบวน ซันดายังไม่หายตกใจ ตอนนี้ใจเธอยังสั่น หน้าแดงเปลี่ยนเป็นซีด ขณะที่มือข้างหนึ่งนั้นกระชับผ้าถุงเอาไว้กับเอว ส่วนมืออีกข้างถูกปรัชญ์จับจูงนำทางออกไปจากผู้คนทั้งหลายที่มองมาอย่างสนใจ โดยมีสายตาเคียดขึงของแอนนามองตามอย่างหงุดหงิด
เสียงฆ้องกลองและเสียงจากขบวนแห่ยังคงดังกังวานไปทั่วบริเวณ เช่นเดียวกับผู้คนที่กำลังสนุกสนานกับการเล่นน้ำสงกรานต์และชมความงามจากการแต่งกายอันสวยงามหนุ่มสาวที่ร่วมเดินอยู่ในขบวนจากหน่วยงานต่างๆ แต่ปรัชญ์นั้นมิได้สนใจบรรยากาศรอบตัว เขาจูงมือซันดาเดินลิ่วตัดเข้าไปในสวนสาธารณะเพื่อให้เธอได้เข้าไปแต่งตัวใหม่ในห้องน้ำอย่างเร่งรีบ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“เป็นเพราะนายนั่นแหละ ถ้านายไม่หาเรื่อง ดึงฉันเข้ามาเดินขบวนด้วยก็คงไม่เกิดเรื่องน่าขายหน้า” ร่างระหงต่อว่าฉอดๆหลังจากเดินออกมาจากห้องน้ำเรียบร้อยแล้ว
ร่างสูงที่ยืนหันหลังรออยู่หมุนตัวกลับไปเผชิญหน้าคนค่อนขอดแล้วตีหน้าสลด เมื่อเห็นใบหน้าบึ้งตึงของเธอ “ผมขอโทษ ผมทำไปเพราะอยากให้พี่แอนนาเข้าใจว่าเรารักกันจริงๆ”
สายตาของซันดามองคนพูดอย่างขวางๆ นึกในใจว่า ถ้าเพียงแค่เรื่องราวต่างๆไม่ใช่เรื่องอุปโลกน์ขึ้น เธอคงจะรู้สึกดีกว่านี้ คนรักกันนั้นไม่ว่าจะต้องบุกน้ำลุยไฟ ถ้าได้อยู่เคียงข้างกัน ใจก็สู้ แต่นี่...
“นายมันเห็นแก่ตัว ทำอะไรไม่นึกถึงใจคนอื่น ไม่นึกถึงผลที่จะตามมา นายเป็นบ้าอะไรถึงสู้อุตส่าห์ไปขอร้องให้ทีมสต๊าฟเลือกฉันมาแทนดาวคณะที่ป่วย แถมยังขู่เขาว่าถ้าฉันไม่ได้ร่วมขบวน นายจะไม่ยอมเดินให้” พูดจบเธอก็ขยับเข้าไปใกล้ๆเขา ดวงตาเขียวปั๊ดสบตาอีกฝ่ายไม่หลบ แต่ถึงท่าทางจะบอกว่าไม่พอใจ ถึงคำพูดจะบ่งชัดว่าขัดเคือง แต่หัวใจเธอกลับหวิวไหวแปลกๆ ที่เคืองเนี่ยเพราะงอนหรอกนะ
ปรัชญ์ยืนฟังการต่อว่าต่อขานนิ่ง ครู่ใหญ่จึงส่งยิ้มให้เธอ พร้อมๆกับที่ถือวิสาสะจับข้อมือคู่สนทนาเอาไว้แน่น “ถ้าอยากรู้เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง”
โดยไม่รอคำตอบ ชายหนุ่มก็กึ่งลากกึ่งจูงหญิงสาวไปยังบันไดที่ทอดตัวลดหลั่นไปหาลำน้ำปิงที่ไหลเอื่อยๆอยู่ด้านล่าง “รออยู่นี่แป๊บนะ”
ซันดาสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของเขา ก่อนจะเชิดหน้าบอกความต้องการของตนเองเวลานี้ “ฉันจะกลับบ้าน ไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น”
“ฟังเถอะ ผมมีอะไรจะบอก นั่งรอก่อนนะ พอคุยกันเสร็จก็จะพากลับ ไม่ต้องห่วง”
ซันดาเม้มริมฝีปาก ทำท่าคิด
ปรัชญ์ตัดบทด้วยการยกมือเป็นสัญลักษณ์โอเค แล้วจึงเดินลิ่วๆออกไปทางถนนที่บัดนี้มีร้านรวงและผู้คนเล่นน้ำสงกรานต์กันอยู่เต็มสองข้างทาง
หญิงสาวมองตามร่างสูงจนเขาลับหายไปกับฝูงชนแล้วจึงนั่งลงตามที่เขาบอก สายตาคู่งามทอดมองสายน้ำสีขุ่นที่ไหลไปทางทิศใต้อย่างช้าๆ ใจกระหวัดไปยังครั้งแรกที่เธอได้เห็นแม่น้ำสายนี้ ซึ่งก็คือวันแรกที่เธอเดินทางมายังเมืองเชียงใหม่พร้อมกับมารดา
เดิมทีซันดากับครอบครัวอาศัยอยู่กรุงเทพฯซึ่งเป็นบ้านของบิดา แต่เมื่อซันดาอายุประมาณ 5 ขวบ บิดามารดาก็พาเธอย้ายมาพำนักอยู่ในตัวเมืองเชียงใหม่ ซันดาจึงได้แต่คิดถึงบ้านเก่า และปู่กับย่า โดยไม่รู้หรอกว่าเหตุใดรอยร้าวจึงเกิดขึ้นในครอบครัว จนเมื่อเธอโตพอที่จะเข้าใจนี่แหละ แม่รยาจึงยอมเล่าว่าต้นเหตุของการเปลี่ยนแปลงมาจากบิดาของซันดานั่นเอง
“คิดอะไรอยู่ เหม่อเชียว” ปรัชญ์นั่งลงข้างๆเธอ
ความคิดคำนึงของหญิงสาวหยุดชะงัก เธอเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงที่กำลังย่อตัวนั่งลงข้างกาย
“เปล่า” ขณะตอบเธอปรับทิศทางสายตาไปมองสายน้ำปิงเช่นเดิม
ใบหน้าที่ตกแต่งอย่างงดงามเป็นสีระเรื่อ เมื่อเขาขยับเข้ามาใกล้ เธอชายตามองเขาแวบหนึ่ง เห็นเพียงลำแขนและอกผึ่งผายของฝ่าย เธอจึงรีบละสายตาจ้องมองไปทางอื่นเสีย
“กินนี่ซะ แต่งตัวขนาดนี้คงยังไม่ได้กินข้าวเลยสิท่า” พูดพลาง ชายหนุ่มก็ยื่นต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในถ้วยแบบคัพมาให้ ตามด้วยน้ำอัดลมแก้วใหญ่
“ขอบคุณ แต่ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็กลับบ้านแล้ว” คนตอบสั่นหน้าประกอบ
“ก็ซื้อมาแล้ว เสียดายของ รับสิ” ชายหนุ่มยังคงยืนยันแถมยังยื่นถ้วยบะหมี่เข้ามาใกล้เธอกว่าเดิม ดูเอาเถอะหน้าเขาแทบจะชนหน้าเธออยู่แล้ว หญิงสาวจึงรีบรับถ้วยบะหมี่เอาไว้ขณะที่ตนเองหน้าแดงก่ำขึ้นอีกครั้ง
“เป็นอะไรหน้าแดง ร้อนเหรอซัน” เขาถามพลางชะโงกหน้ามาดูเธออย่างจงใจ
หญิงสาววางถ้วยบะหมี่ลงข้างตัวแล้วขยับหนี
ปรัชญ์หัวเราะ “เข้าใกล้ไม่ได้เลย หวงตัวจริงๆนะซันเนี่ย ถ้าสาวๆสมัยนี้เป็นแบบซันทุกคนก็คงจะดี”
คนฟังเบะปาก ความเขินอายเริ่มจางหาย ความหมั่นไส้จึงเข้ามาแทนที่ “อย่างนายเนี่ยนะชอบผู้หญิงหวงตัว นึกว่าชอบแบบไวไฟเสียอีก เห็นหยอดเขาไปทั่ว”
ถึงกระนั้นคนถูกตำหนิก็ยังดูอารมณ์ดี “มันเป็นธรรมดาของวัยรุ่นที่จะกิ๊กๆกั๊กๆ ผมไม่ใช่คนจริงจังกับทุกเรื่องเหมือนซันนี่”
“ฉันจริงจังแล้วมันผิดตรงไหน” ซันดาชักจะฉุน
“ไม่ได้ว่าผิด จริงจังแบบซันน่ะดีอยู่แล้ว แต่อยากให้เข้าใจคนแบบผมบ้างไง” ไม่พูดเปล่า ปรัชญ์ลุกขึ้น เดินลงบันไดไปหลายขั้นเพื่อยืนตรงหน้าเธอ และให้ระดับความสูงพอดีกับที่เธอนั่งอยู่
“ไม่จำเป็น นายจะเป็นไงก็เรื่องของนาย ฉันไม่ยุ่ง” เธอบอกน้ำเสียงจริงจังเช่นเดียวกับสายตาที่สบตาเขาเขม็ง
“จำเป็นสิ...”
“ทำไม” เธอสวนทันควันทั้งที่เขายังพูดไม่จบ
ปรัชญ์จึงใช้นิ้วชี้แตะปากเธอเบาๆพลางพูดเสียงนุ่ม “ฟังผมให้จบ ผมอยากบอก”
ซันดานิ่งอึ้งกับการกระทำของเขา มันแปลกๆ เขาทำตัวอ่อนโยน สนิทสนมจนใจเธอเต้นตุบๆไม่หยุดหย่อนในเวลานี้
“ผมชอบซันนะ ชอบแบบที่ซันเป็น จริงจัง ตรงไปตรงมา ไม่เสแสร้ง ผมถึงเลือกซันมาบังหน้าพี่แอนนา แต่รู้ไหมว่าเป็นเพราะผมอยากใกล้ชิดซัน อยากให้เราได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น” เขาเปิดเผยความในใจด้วยใบหน้านิ่งๆ ดวงตาคมจ้องเธออย่างค้นคว้า
ซันดารู้สึกได้ถึงความร้อนที่แล่นลิ่วจากช่องท้องขึ้นมาสู่อกข้างซ้าย คงเพราะเหตุนี้กระมังใจจึงเต้นถี่และรุนแรงขึ้นกว่าปกติหลายเท่าตัว
“ผมไม่อยากเอาซันมาเป็นแฟนบังหน้าใครอีกต่อไปแล้ว เรามาคบกันจริงๆได้ไหม” ปรัชญ์ถามเสียงอ้อนพลางจ้องหน้าเธอนิ่ง
ซันดาก้มหน้างุด ดูมือไม้มันเกะกะไปหมด จะเงยหน้าขึ้นมาตอบเขาก็กลัวสายตาคมกริบเจือแววหวานคู่นั้นจะจับความรู้สึกได้
ตาบ้า! ในช่วงเวลาที่ผู้หญิงเขินแบบนี้ยังมายืนจ้องหน้าอีก
สิ่งที่ซันดาทำได้ในเวลานี้คือพยายามเก็บอาการสุดฤทธิ์ ความรู้สึกตอนนี้มันแปลกๆ ทั้งช็อก เขิน ตื่นเต้น ดีใจ สับสน สารพัด ทว่าเขากลับไม่ยอมรอคำตอบนาน ครู่ใหญ่ชายหนุ่มจึงเอื้อมมือมาเชยคางมนให้เงยขึ้นและถามซ้ำ “ตกลงนะ”
ใบหน้าที่เงยขึ้นแดงก่ำ เธอช้อนสายตาขึ้นมองเขาตรงๆ พยายามขับไล่ความเขินอายและบังคับเสียงไม่ให้สั่น “แน่ใจเหรอ”
ปรัชญ์ฉีกยิ้ม พร้อมทั้งพยักหน้า “แน่สิ แน่ใจมาพักนึงละ”
ซันดายังคงมองเขาเงียบๆ แววตาของเธอจ้องเขาอย่างหาพิรุธ
“ซันคงยังไม่ไว้ใจผม ถ้างั้นต้องทำยังไง...” ไม่ถามเปล่า สองมือของปรัชญ์ดึงมือของอีกฝ่ายมากุมไว้
เธอพยักหน้า แล้วจึงเอ่ยตอบน้ำเสียงจริงจัง “ถ้านายแน่ใจ ฉันก็แน่ใจเหมือนกัน”
ดวงตาของปรัชญ์เบิกกว้าง มือที่กุมมือเธอไว้เขย่าแรงๆขณะถาม “จริงนะ สัญญานะ”
“ยังไม่สัญญา” เธอยังคงใจแข็ง
“ทำไมล่ะครับ”
“จำได้ไหมว่านายติดสัญญาฉันไว้ข้อหนึ่ง”
“จำได้สิ ซันจะให้ผมทำอะไรล่ะ บอกมาเลย”
ซันดาก้มหน้าลงมองขั้นไดก่อนตอบอ้อมแอ้ม“นายต้องรับปากว่าจะไม่ทำฉันเสียใจเป็นอันขาด”
คนฟังดีใจจนอยากจะดึงเธอเข้ามากอด แต่รู้ดีว่าไม่เหมาะเพราะทั้งสองคนอยู่ในสาธารณะ เขาจึงทำได้เพียงแค่ยิ้มและเอ่ยคำตอบด้วยความเต็มใจ “ผมสัญญา”
“พี่ซันขนมค่ะ” เสียงสิยาพรดังแทรกขึ้น ความทรงจำในอดีตของซันดาจึงค่อยๆเลือนหายไป หญิงสาวยื่นมือไปรับขนมขบเคี้ยวมาถือไว้ “ขอบใจจ้ะเก๋”
สาวน้อยหัวเราะเสียงใส “ไม่ใช่ของเก๋หรอกค่ะ โน่น คุณเอเธ็นส์เขาฝากมา”
ซันดาชะโงกไปมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้าม ยกซองขนมขึ้นแล้วทำปากขมุบขมิบว่าขอบคุณ ฐิติค้อมศีรษะรับและส่งยิ้มกลับมาโดยไม่ตอบว่ากระไร เนื่องจากเสียงเพลงในรถนั้นดังเกินกว่าที่จะตะเบ็งเสียงแข่งได้
“พี่เอเธ็นส์นี่ดูๆก็น่ารักดีนะคะ แต่ได้ยินว่าถ้าทำงานก็จะติสท์มาก” สิยาพรนินทาระยะเผาขน
“ติสท์ไม่ดีตรงไหนล่ะ” ซันดาถามอย่างไม่สนใจคำตอบมากนัก เป็นการหาประเด็นคุยเสียมากกว่า
“ก็ไม่เชิงว่าไม่ดี แต่เก๋ว่าคงทำงานด้วยลำบาก เพราะพวกติสท์ๆนี่จะเอาแต่ใจนะคะพี่ซัน พอใจก็ทำ ไม่พอใจก็ไม่ทำ”
ซันดายิ้มหลังได้ฟังคำตอบ “พี่ว่าเขาก็มีเหตุผลของเขามากกว่า เพียงแต่เราอาจจะไม่ค่อยเข้าใจเท่านั้นแหละ”
สิยาพรพยักหน้า “สงสัยจะจริงอย่างพี่ซันว่าค่ะ ถ้าพี่ซันยังไม่ทานขนม งั้นมาร้องเพลงเป็นเพื่อนเก๋ดีกว่าค่ะ”
ว่าแล้วสาวน้อยก็คว้าไมโครโฟนขึ้นมาถือไว้ให้อยู่ระหว่างตัวเธอกับซันดา หลังจากนั้นบทเพลงที่สองสาวประสานเสียงก็ดังขึ้นกลบเสียงพูดคุยที่ดังจอแจอยู่ตลอดเวลา
[จบตอน]
ณฤดี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ธ.ค. 2558, 18:49:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ธ.ค. 2558, 18:49:18 น.
จำนวนการเข้าชม : 1147
<< บทที่ ๕ ตรึงอยู่ในความทรงจำ | บทที่ ๗ เป้าหมายแห่งความแค้น >> |
Zephyr 8 ธ.ค. 2558, 19:58:12 น.
อืม เอ ห่างไปนาน เหมือนรำลึกความหลัง
หวานอยู่ดีๆ ฉึบบบ กลับมาปัจจุบัน 555
ตัดอารมณ์ชะมัดเลย แง้ๆๆๆๆ
เมื่อไร สองคนนี้จะหวีดวี่วีบ้างน้า
อืม เอ ห่างไปนาน เหมือนรำลึกความหลัง
หวานอยู่ดีๆ ฉึบบบ กลับมาปัจจุบัน 555
ตัดอารมณ์ชะมัดเลย แง้ๆๆๆๆ
เมื่อไร สองคนนี้จะหวีดวี่วีบ้างน้า