ลำนำรักใต้แสงจันทร์
เมื่อเจ้าหญิงกาอิยาห์พยายามจะช่วยชีวิตหญิงสาวเคราะห์ร้ายผู้หนึ่งแต่พลาดจนทำให้เธอผู้นั้นกลายเป็นหิน เมลิอานาร์จึงต้องยื่นมือช่วยเหลือด้วยการเดินทางไปค้นหายาถอนพิษ ซึ่งงานนี้คงไม่ยากเย็นนัก ถ้าหญิงสาวจะไม่บังเอิญต้องร่วมทางไปกับราชาหนุ่มรูปงามแห่งกรีนแลนด์ที่คอยแต่จะกวนโมโหกันอยู่เรื่อย ..มาร่วมผจญภัยไปพร้อมกับสองหนุ่มสาวในนิยายรักเบาๆ ที่มีกลิ่นอายแฟนตาซีอ่อนๆ และไม่ค่อยจะโรแมนติกเรื่องนี้กันนะคะ ^ ^
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 28

ตลอดระยะเวลาเกือบห้าวันที่ต้องนั่งเผชิญหน้ากับราชาเอลเบอเรธในประทุนรถแคบๆ นับเป็นความทรมานอย่างยิ่งสำหรับเมลิอานาร์ นางไม่กล้าเอ่ยปากสนทนากับราชาหนุ่มเหมือนเมื่อครั้งยังเป็น ‘ท่านเมล’ ไม่กล้าสบสายพระเนตร ไม่กล้าเหลือบมองดวงพักตร์อันหล่อเหลาคมคายของฝ่ายนั้น ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวหรือหายใจเสียงดังด้วยซ้ำ เพราะสถานะของนางในขณะนี้ไม่ใช่นักบวชที่ถูกตามตัวมาช่วยเหลือเจ้าหญิงแคธรีน หากแต่เป็นนักโทษที่ยังไม่รู้ชะตากรรม บรรยากาศภายในรถม้าจึงออกจะอึดอัดขัดเขินอย่างบอกไม่ถูก ช่วงเวลาเดียวที่พอจะทำให้เมลิอานาร์ผ่อนคลายจากอาการเกร็งได้บ้างคือตอนที่ออกมายืดเส้นยืดสายนอกตัวรถ เพราะกระทั่งยามพักแรม ราชาเอลเบอเรธยังทรงเลือกห้องพักที่มีสองเตียง ราวกับจะไม่ยอมให้ ‘นักโทษ’ คนนี้คลาดจากสายพระเนตรไปได้เลย

ในที่สุดการเดินทางอันแสนยาวนานในความรู้สึกของเมลิอานาร์ก็สิ้นสุดลง เมื่อขบวนรถม้าแล่นเรียบมาจอดสนิทอยู่บนลานน้ำพุหน้าตำหนักหลวง เห็นได้ชัดว่าราชาเอลเบอเรธทรงส่งข่าวให้คนของพระองค์ทราบล่วงหน้าแล้ว เหล่าทหารและนางกำนัลจึงมาตั้งแถวรอรับเสด็จอยู่สองข้างทางอย่างพร้อมเพรียง เจ้าชายกันนาร์เป็นคนแรกที่ก้าวเข้ามามาถวายคำนับราชาหนุ่ม พระองค์ตวัดหางพระเนตรมองหญิงสาวที่ยืนตัวลีบอยู่เบื้องหลังพระวรกายสูงใหญ่แวบหนึ่ง ก่อนจะมองเมินไปทางอื่นด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วน เพราะทรงจำได้แม่นว่าเคยแสดงกิริยาหยาบคายไว้อย่างไรบ้างเมื่อครั้งที่คิดว่านางเป็นผู้ชาย

“ทุกอย่างเรียบร้อยมั้ยกันนาร์”

ราชาเอลเบอเรธทรงมีรับสั่งถามเสียงเบาแค่พอได้ยินกันสองคน

“พ่ะย่ะค่ะ” เจ้าชายกันนาร์ทูลตอบเสียงเบาเช่นกัน

“ดี” ราชาหนุ่มแย้มสรวลอย่างพอพระทัย ก่อนจะเรียกหาอดีตพระพี่เลี้ยงให้เป็นผู้พาหญิงสาวไปยังห้องพักที่จัดเตรียมไว้ จากนั้น

องค์ผู้ออกคำสั่งก็เสด็จหายเข้าไปในอาคารสีขาวเบื้องหน้า ละหน้าที่จัดการข้าวของผู้คนและรถม้าไว้ในมือเจ้าชายผู้เป็นพระสหาย



หัวหน้านางกำนัลสูงวัยเดินนำหญิงสาวมาหยุดอยู่หน้าห้องพักหนึ่งในจำนวนหลายสิบห้องบริเวณชั้นล่างของตำหนักหลวง ห้องนั้นตกแต่งด้วยเครื่องเรือนกระจุ๋มกระจิ๋มตามแบบฉบับห้องพักของสตรี พื้นและผนังห้องเป็นหินอ่อนสีขาวมีลายริ้วสีชมพูแทรกอยู่ในเนื้อหินตามธรรมชาติ กลางห้องตั้งชุดเก้าอี้ผ้าไหมสีเทาอ่อนดุนลายดอกสีชมพูแกมขาว เข้ากับโต๊ะไม้ตัวเตี้ยพื้นปูด้วยหินโมราสีชมพูริ้วเทา ด้านหลังคือฉากผ้าไหมสีกลีบบัวสูงจรดเพดาน ปักดิ้นเงินเป็นตราประจำราชวงศ์กรีนแลนด์ขนาดเล็กเท่าปลายก้อย เมื่อเลื่อนฉากให้เปิดออกจึงเห็นเตียงนอนมีหลังคาคลุมแบบโบราณตั้งอยู่บนผืนพรม ถัดไปทางขวาคือห้องแต่งตัว มีประตูเชื่อมต่อไปยังห้องอาบน้ำซึ่งอยู่ติดกัน หีบหนังที่ถูกขนมาจากแลมพ์ตันวางเรียงเป็นระเบียบอยู่แล้วที่มุมหนึ่ง แสดงว่าในห้องต้องมีประตูอีกบานสำหรับคนงานผ่านเข้าออก พวกเขาจึงสามารถลำเลียงหีบเหล่านั้นมาวางไว้ได้โดยที่หญิงสาวไม่ทันสังเกตเห็น

“จะอาบน้ำเลยมั้ยคะมายเลดี้ ข้าจะได้สั่งให้พวกสาวๆ เตรียมน้ำอุ่น” นอร์ม่าเอ่ยถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เตรียมพร้อมจะให้ความสะดวกสบายแก่หญิงสาวผู้เป็น ‘แขกพิเศษ’ ของประมุขแห่งกรีนแลนด์อย่างเต็มที่

เมลิอานาร์ยิ้มแหยกับคำเรียกขานที่ไม่คุ้นหูนั้น

“มะ..ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวข้าจัดการเอง” นางตอบอย่างเกรงใจ

“ไม่ได้หรอกค่ะมายเลดี้ ข้าจะไปตามแม่สาวๆ ให้ เชิญท่านพักผ่อนก่อนนะคะ ถ้าน้ำอาบพร้อมแล้วข้าจะมาเรียก”

“อ่า...ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ”

หัวหน้านางกำนัลวัยกลางคนทำท่าคล้ายจะยอบตัวลงเล็กน้อยก่อนก้าวออกประตูไป

ทันทีที่ร่างอวบอ้วนอย่างคนเจ้าเนื้อลับหายไปจากสายตา เมลิอานาร์ก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้นวมนุ่ม เอนศีรษะพิงพนักอย่างเหนื่อยล้าพร้อมกับหลับตาลง มือข้างหนึ่งก็นวดต้นคอไปด้วยเพื่อคลายความปวดเมื่อยจากการที่ต้องนั่งตัวเกร็งมาตลอดทาง

“เมื่อยมากหรือ ข้าช่วยนวดให้เอามั้ย”

จู่ๆ เสียงห้าวของใครบางคนก็ดังขึ้น ทำเอาหญิงสาวสะดุ้งสุดตัว รีบลืมตาลุกขึ้นนั่งตัวตรงโดยอัตโนมัติ ภาพแรกที่นางเห็นคือประมุขแห่งกรีนแลนด์ในฉลองพระองค์ชุดเดิม ประทับยืนกอดอกพิงกรอบประตูจ้องมองมาด้วยสีหน้าที่บอกชัดว่ากำลังกลั้นพระสรวลอย่างสุดความสามารถ

“ฝะ..ฝ่าบาท เสด็จมาเมื่อไหร่เพคะ” อารามตกใจทำให้เมลิอานาร์หลุดปากถามออกไปอย่างลืมตัว

คราวนี้ราชาหนุ่มทรงพระสรวลโดยไม่พยายามอดกลั้นอีกต่อไป หากแทนที่จะตอบคำถามนั้น พระองค์กลับย้อนว่า

“เจ้าพูดได้ หายเกร็งแล้วหรือ”

เอ๊ะ...

เมลิอานาร์เหลือบตามองอีกฝ่ายอย่างฉงนว่าเขาจะมาไม้ไหนกันแน่

ราชาเอลเบอเรธทรงถือวิสาสะก้าวเข้ามาทรุดพระองค์ลงนั่งบนเก้าอี้ว่าง ถัดไปจากเก้าอี้ยาวที่หญิงสาวครอบครองอยู่ ตรัสถามซ้ำอีกครั้ง

“หายเกร็งแล้วใช่มั้ย”

“พ..เพคะ” ...หายก็หาย...

แม้ปากจะตอบออกไปเช่นนั้น แต่อันที่จริงเจ้าตัวก็ยังคงรู้สึกเกร็งอยู่นั่นเอง

“ดี ถ้าหายแล้วเราจะได้คุยกัน”

“คุย...เรื่องอะไรหรือเพคะ”

“เรื่องแหวน”

เมลิอานาร์รู้สึกเหมือนสำลักลมหายใจตนเอง ใบหน้างามเผือดสีลงอย่างเห็นได้ชัด นางรีบชิงกล่าวแก้ตัวก่อนที่ประมุขแห่งกรีนแลนด์จะทันได้มีโอกาสรับสั่งต่อ

“หม่อมฉันไม่รู้ว่าฝ่าบาททรงทราบเรื่องแหวนได้อย่างไร แต่หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจจะแอบอ้างตัวเป็นพระคู่หมั้นนะเพคะ เพียงแค่ เอ่อ...ยืมชื่อ ‘เอล’ มาใช้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเฉยๆ”

ราชาเอลเบอเรธทรงเลิกพระขนงขึ้นสูง รอยแย้มสรวลบนเรียวโอษฐ์ที่ยังไม่เลือนหายเคลื่อนไปสู่ดวงเนตรสีน้ำทะเล แลเห็นเป็นประกายพราวระยับแข่งกับอัญมณีน้ำงามบนเรือนแหวน

“อย่างนั้นหรือ” พระองค์ตอบรับเสียงนุ่ม แล้วตรัสต่อหน้าตาเฉย “แต่เสียใจด้วยนะ ข้าหมายถึงพันธะสัญญาระหว่างเราที่ผูกพันไว้ด้วยแหวน ไม่ใช่เรื่องอื่น”

...อ้าว...

เมลิอานาร์อ้าปากอุทานโดยปราศจากเสียง รู้สึกเสียหน้าเล็กน้อยที่เดาผิด แต่ก็รีบตอบรับโดยไม่เกี่ยงงอน

“หม่อมฉันจะรีบดำเนินการทันทีเพคะ”

อันที่จริงการคลายคำสาปให้เจ้าหญิงแคธรีนเป็นความตั้งใจเดิมของนางอยู่แล้ว ต่อให้ไม่มีรับสั่ง หญิงสาวก็ต้องหาโอกาสสานต่อภารกิจที่เคยทิ้งค้างเอาไว้ให้สำเร็จลุล่วงลงไปจนได้ แต่ที่ยังไม่ยอมเดินทางมากรีนแลนด์ก่อนหน้านี้ เป็นเพราะต้องอาศัยแหวนแห่งพันธะล่มพิธีหมั้นระหว่างตนเองกับเจ้าชายเอเดรียน แล้วยังต้องรอให้เจ้าชายหนุ่มพระองค์นั้นตกลงพระทัยเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับหญิงอื่นเสียก่อน นางจึงจะก้าวเท้าออกจากแลมพ์ตันได้อย่างปลอดภัย ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกมารดาบังคับให้แต่งงานกับเขาอีก ...แล้วราชาเอลเบอเรธก็ทรงทำให้แผนการของนางพังครืนลงต่อหน้าต่อตา ชนิดที่จะไปร้องแรกแหกกระเชอเอากับใครก็ไม่ได้เสียด้วย มันน่าเจ็บใจตรงนี้แหละ

“เจ้าคิดว่าต้องใช้เวลาสักกี่วันกว่าจะเรียบร้อย”

เมลิอานาร์รีบดึงความคิดกลับมาสู่ปัจจุบันทันทีเมื่อได้ยินรับสั่งถาม

“ไม่เกินสามวันเพคะ” นางทูลตอบ

ราชาแห่งกรีนแลนด์มีท่าทางโล่งพระทัยอย่างเห็นได้ชัด

“ถ้าเช่นนั้นก็คงจะทัน”

“ทัน?”

เครื่องหมายคำถามอันโตที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าหญิงสาว ทำให้ราชาหนุ่มต้องทรงขยายความเพิ่มเติม

“เจ้าหญิงแคธรีนไม่ยอมเสด็จกลับวูดแลนด์ทั้งที่ควรเสด็จกลับนานแล้ว ราชาไมนาสคงจะเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ จึงได้ส่งคณะทูตมาเยือนกรีนแลนด์เพื่อจะสืบความ ข้าเพิ่งเห็นพระราชสาส์นเมื่อครู่นี้เอง ถ้าดูจากวันที่ทรงลงพระนาม คณะทูตก็น่าจะมาถึงลินเด็นไม่เกินปลายสัปดาห์หน้า”

...นี่มันข่าวร้ายชัดๆ

“แล้วจะทรงทำอย่างไรเพคะ ถ้าหากราชาไมนาสทรงทราบเรื่องทั้งหมด คงไม่ดีแน่”

“เป็นห่วงข้าหรือ” ราชาหนุ่มย้อนถามทันควันด้วยรอยแย้มสรวลกรุ้มกริ่ม ส่งผลให้แก้มนวลของคนฟังซับสีโลหิตขึ้นทันที

“หม...หม่อมฉันไม่ได้ห่วงสักหน่อย แค่... เอ่อ...แค่ทูลถามดูเฉยๆ” เมลิอานาร์ปฏิเสธตะกุกตะกัก รู้สึกเจ็บใจตัวเองที่ปากไวจนหลุดความรู้สึกออกไปให้อีกฝ่ายจับได้

“โกหก”

ราชาเอลเบอเรธทรงโน้มพระองค์ไปข้างหน้า จ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำเงินงดงามที่ฉายแววตื่นตระหนกระคนเก้อกระดากของหญิงสาวอย่างคนที่ถือไพ่เหนือกว่า

“เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเจ้าเป็นห่วงข้า”

“ช..ใช่ที่ไหนกันเพคะ”

เมลิอานาร์ปฏิเสธไม่เต็มเสียง พยายามเบนสายตาหลบไปทางอื่นที่ไม่ใช่ดวงพักตร์หล่อเหลาของอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล เพราะราชาหนุ่มยังคงโน้มพระวรกายใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา จนกระทั่งลมหายพระทัยอุ่นระอุปะทะแก้มนวล และแล้วก่อนที่หญิงสาวจะทันรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น เรียวโอษฐ์งามได้รูปก็ประทับลงบนกลีบปากนุ่มอย่างแผ่วเบาราวสัมผัสของปีกผีเสื้อ
“มายเลดี้คะ น้ำอุ่นพร้อมแล้ว อุ๊ย..” นอร์มาชะงักฝีเท้าที่กำลังจะก้าวเข้าไปในห้องทันที เมื่อเหลือบเห็นผู้ที่ประทับสนทนาอยู่กับเจ้าของห้อง “หม่อมฉันมาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่าเพคะ”

ราชาเอลเบอเรธจำต้องขยับพระวรกายถอยห่างจากหญิงสาวด้วยความเสียดาย ทรงตวัดหางพระเนตรมองอดีตพระพี่เลี้ยงราวกับจะค้อน อยากจะตอบนางเหลือเกินว่า ‘ไม่น่าถาม’ หากจำต้องยั้งพระโอษฐ์เอาไว้เพื่อรักษามารยาท ในขณะที่เมลิอานาร์ได้แต่นั่งตัวแข็งค้างอยู่กับที่ แม้เมื่อราชาหนุ่มเสด็จจากไปแล้วหญิงสาวก็ยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติงอยู่อย่างนั้น จนหัวหน้านางกำนัลวัยกลางคนแทบจะวิ่งโร่ไปตามแพทย์หลวงเพราะคิดว่านางเจ็บป่วยเป็นอะไรไปเสียแล้ว



ข่าวลือว่าราชาแห่งกรีนแลนด์พาหญิงสาวสวยแปลกหน้ามาจากแลมพ์ตันแพร่สะพัดไปทั่วลินเด็น ทุกคนที่ได้ยินข่าวล้วนตื่นเต้นและแอบคิดตรงกันโดยไม่ได้นัดหมายว่าองค์ราชาของพวกเขาเห็นทีจะตัดสินพระทัยสละโสดคราวนี้เอง เพราะแต่ไหนแต่ไรมาตำหนักหลวงปีกตะวันตกซึ่งสงวนไว้เป็นที่ประทับสำหรับราชินีแห่งกรีนแลนด์ ไม่เคยเปิดให้สตรีคนใดเข้าพำนักนับตั้งแต่ราชินีองค์ก่อนย้ายไปประทับยังตำหนักแดง การที่หญิงสาวคนหนึ่งได้รับสิทธิพิเศษเหนือสตรีอื่นทั้งหมดจึงไม่ใช่เรื่องธรรมดา บางคนถึงกับลือต่อไปด้วยซ้ำว่านางคือว่าที่คู่หมั้นของประมุขแห่งกรีนแลนด์ ทว่าหญิงสาวผู้ตกเป็นข่าวจะรู้ตัวสักนิดก็หาไม่ แม้จุมพิตของราชาเอลเบอเรธจะรบกวนจิตใจนางจนนอนไม่หลับถึงรุ่งเช้า แต่เจ้าตัวกลับคิดว่ามันเป็นเพียงอุบัติเหตุและยังคงปักใจเชื่อว่าตนเป็นนักโทษอุกฉกรรจ์อยู่นั่นเอง

“เมล”

เสียงใสของเจ้าหญิงกาอิยาห์ดังนำมาก่อนตัว สักพักดวงหน้าอ่อนเยาว์ก็โผล่เข้ามาในห้องปรุงยาที่หญิงสาวร่างสูงโปร่งกำลังง่วนอยู่กับการบดรากไม้กลิ่นฉุนจัดในมือให้เป็นผง

“กะแล้วว่าเจ้าต้องอยู่ในนี้ ข้าไปหาที่ตำหนักหลวงแล้วไม่เจอ”

เมลิอานาร์รามือจากงานที่กำลังทำอยู่ชั่วคราว เงยหน้าขึ้นยิ้มรับคำทักทายของเด็กสาว ก่อนตั้งคำถามที่มักจะเอ่ยถามอีกฝ่ายทุกครั้งจนกลายเป็นประโยคติดปาก

“องค์หญิงเสด็จมานี่ ทรงมีอะไรให้หม่อมฉันรับใช้หรือเพคะ”

เจ้าหญิงกาอิยาห์ส่ายพระเศียร พร้อมกับลากเก้าอี้ไม้แถวนั้นมาทรุดลงนั่งโดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายเชื้อเชิญ ทรงแย้มพระสรวลอย่างซุกซน พระโอษฐ์ก็ตรัสไปด้วย

“ไม่มีหรอก ข้าแค่จะมาแสดงความยินดีกับเจ้าเท่านั้นเอง”

“แสดงความยินดีกับหม่อมฉัน” เมลิอานาร์ทำหน้าฉงน “เรื่องอะไรหรือเพคะ”

เด็กสาวเบิกตาโตพร้อมกับยกมือขึ้นปิดปาก ก่อนจะเสหัวเราะกลบเกลื่อน แล้วรีบเปลี่ยนเรื่องพูดเสียทันที

“เปล่าหรอก... นั่นเจ้ากำลังทำอะไรอยู่น่ะเมล ให้ข้าช่วยเอามั้ย”

“ไม่ต้องหรอกเพคะ หม่อมฉันกำลังปรุงยาถอนพิษสิบสองอย่าง อีกไม่นานก็เสร็จ ว่าแต่...องค์หญิงยังไม่ทรงตอบหม่อมฉันเลยว่าเสด็จมาแสดงความยินดีกับหม่อมฉันเรื่องอะไร”

เจ้าหญิงกาอิยาห์ลอบย่นพระนาสิกใส่ผนังห้องอย่างขัดพระทัยที่อีกฝ่ายยังไม่ยอมลืมคำพูดที่ทรงหลุดพระโอษฐ์ หากสมองอันฉับไวทำให้ทรงคิดหาคำตอบเอาตัวรอดไปจนได้

“ก็เรื่อง...เอ่อ...เรื่องที่เราได้พบกันนี่ไง ข้าคิดว่าเจ้าจะไม่กลับมาลินเด็นแล้วซะอีก”

“ทำไมทรงคิดเช่นนั้นล่ะเพคะ”

“คิดว่าเจ้าจะไม่กลับมาน่ะหรือ” เด็กสาวหัวเราะเสียงใสแล้วพูดต่อไปว่า

“ก็ข้าเห็นเจ้าชายเอเดรียนคู่หมั้นของเจ้าเสด็จมาตามเจ้ากลับแลมพ์ตัน ข้าเลยนึกว่าเจ้ากลับไปแต่งงานกับพระองค์แล้วน่ะสิ พอเป็นพระชายาเจ้าก็คงยุ่งจนไม่มีเวลาคิดถึงข้ากับ...ใครต่อใครที่นี่อีก”

เมลิอานาร์สะดุดหูกับคำอธิบายของคนเป็นเจ้าหญิงจนต้องเงยหน้ามองพระองค์อีกครั้ง

“เจ้าชายเอเดรียนน่ะหรือเพคะ คู่หมั้นของหม่อมฉัน?”

เจ้าหญิงกาอิยาห์ทอดพระเนตรเห็นคิ้วที่เริ่มจะผูกเป็นปมของอีกฝ่าย จึงกลืนพระเขฬะพลางแย้มสรวลเรี่ยๆ รับสั่งตอบเสียงอ่อนอ่อย

“ก็...เจ้าชายเอเดรียนทรงบอกว่าอย่างนั้น”

“แล้วองค์หญิงก็ทรงเชื่อ?”

“ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ข้าจะไม่เชื่อนี่นา”

เมลิอานาร์ถอนหายใจพร้อมกับส่ายหน้า

“ทรงถูกคนเจ้าเล่ห์หลอกเอาแล้วละเพคะ หม่อมฉันไม่เคยเป็นคู่หมั้นของใคร ที่ต้องตามเสด็จเจ้าชายเอเดรียนกลับแลมพ์ตันคราวก่อนก็ด้วยเหตุผลอื่น ไม่เกี่ยวกับการแต่งงานสักนิด แต่อย่าไปพูดถึงมันเลยเพคะ พูดแล้วเจ็บใจเปล่าๆ จริงสิ..องค์หญิงทรงเห็นซิสบ้างมั้ยเพคะ ตั้งแต่มาถึงลินเด็น หม่อมฉันยังไม่ได้พบหมอนั่นเลย”

คำถามของหญิงสาวทำให้ดวงพักตร์นวลใสสลดวูบลงทันที

“ซิสกลับวูดแลนด์ไปแล้วละ ข้าไม่รู้ว่าเขาแอบหนีไปตอนไหน หลังจากที่ข้าฟื้นก็เห็นแค่จี้ไม้แกะสลักอันหนึ่งแล้วก็จดหมาย”

“ฟื้น?” เมลิอานาร์เหลือบตามองเด็กสาวพลางเลิกคิ้ว

“ฮื่อ”

“องค์หญิงทรงเป็นอะไรไปหรือเพคะ ทำไมวายไม่ไปส่งข่าวให้หม่อมฉันทราบ”

“วายทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกเมล เพราะว่ามัน...” เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงเลี่ยงที่จะเอ่ยคำสุดท้ายของประโยค แล้วเริ่มต้นเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้หญิงสาวตรงหน้าฟัง

“ตอนที่เจ้าชายดิเร็กซ์ยกทัพมาประชิดเมืองหลวง ราชาเอลเบอเรธทรงนำทหารกลุ่มสุดท้ายที่เหลืออยู่ออกไปรบ ตอนนั้นข้ารู้สึกกลัวเหลือเกิน กลัวว่าพระองค์จะเป็นอะไรไป กลัวว่ากรีนแลนด์จะพ่ายแพ้ เจ้าก็รู้ว่าประเทศเรามีทหารเพียงแค่หยิบมือจนต้องพึ่งแลมพ์ตันอยู่บ่อยๆ ข้าก็เลยคิดหาวิธีที่จะช่วยองค์ราชาขับไล่กองทัพของเจ้าชายดิเร็กซ์ เจ้าเคยได้ยินตำนานเรื่องกองทัพเงาของเทวีซินเธียมั้ย”

หญิงสาวพยักหน้ารับ

“นั่นแหละ ข้าพยายามจะหาทางอัญเชิญกองทัพเงามาให้ได้ โชคดีที่ข้าเคยหลงเข้าไปในสุสานของนักบวชแอนเดเมียนโดยบังเอิญ ก็เลยได้อ่านบันทึกของเขาจนรู้ว่าต้องทำอย่างไรจึงจะอัญเชิญกองทัพเงามาได้ ข้าใช้เส้นผมของเทวีซินเธียขึงเข้ากับพิณไร้สายหน้าวิหาร พยายามค้นหาบทเพลงที่ต้องใช้จนกระทั่งพบว่ามันสลักอยู่บนผนังห้องโถงของวิหารนั่นเอง แต่ข้าไม่รู้เลยว่านอกจากของทั้งสามสิ่งนั้น การอัญเชิญกองทัพเงายังต้องใช้ อย่างอื่น อีก กว่าจะรู้ ข้าก็สูญเสียพลังชีวิตไปจนเกือบหมด ตอนนั้นเองที่วายปรากฏตัวขึ้น มันยอมสละชีวิตน้อยๆ ของมันเพื่อช่วยให้ข้ารอด...” เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงถอนพระปัสสาสะแผ่วเบา

“...หลังจากนั้นข้าก็หมดสติไปนาน นานมาก พอข้าฟื้นขึ้นมาทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปแล้ว เรื่องมันก็มีอยู่เท่านี้แหละ”

“มิน่าเล่าพระองค์จึงไม่เคยส่งข่าวถึงหม่อมฉันเลย” เมลิอานาร์รำพึงเมื่อฟังจบ

“ข้าก็พยายามจะส่งอยู่เหมือนกัน แต่พอลงมือเขียนจดหมายถึงเจ้าทีไรเป็นต้องถูกพี่กันนาร์ขัดขวางทุกที ข้าก็เลยรำคาญจนเลิกเขียนไปแล้ว”

เมลิอานาร์หัวเราะเบาๆ เหมือนขบขันกับคำสารภาพนั้น หากในใจของหญิงสาวกลับครุ่นคิดไปไกลกว่าเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงมีพรสวรรค์ทางด้านเวทมนตร์ ข้อนี้นางค่อนข้างแน่ใจ มิเช่นนั้นแล้วพระองค์คงไม่สามารถสาปเจ้าหญิงแคธรีนให้กลายเป็นหินโดยไม่ตั้งพระทัย และไม่สามารถใช้คาถาอัญเชิญซึ่งเป็นคาถาชั้นสูงสุดของเหล่านักบวชได้โดยไม่เคยได้รับการฝึกฝนมาก่อน ที่สำคัญทรงมีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้การใช้เวทมนตร์เสียด้วย บางที...นางน่าจะใช้พระนิสัยข้อนี้ให้เป็นประโยชน์

“องค์หญิงทรงอยากช่วยหม่อมฉันคลายคำสาปให้เจ้าหญิงแคธรีนมั้ยเพคะ” เมลิอานาร์ทูลถามขึ้นหลังจากนิ่งไปอึดใจหนึ่ง

“อยากซี่” เด็กสาวตอบอย่างกระตือรือร้น ดวงตาเป็นประกายสุกใสขึ้นมาทันที “เจ้าจะสอนข้าหรือ”

“เพคะ”

“นี่เจ้าพูดจริงหรือเปล่าเมล”

เจ้าหญิงกาอิยาห์แทบจะโผเข้าไปเขย่าแขนคาดคั้นหญิงสาวตรงหน้าด้วยความตื่นเต้น ถ้าไม่ติดว่ามีโต๊ะตัวใหญ่ขวางกั้นอยู่ละก็

“เจ้าไม่ได้หลอกข้านะ”

“ไม่ได้หลอกเพคะ หม่อมฉันทูลจริงๆ เพียงแต่องค์หญิงต้องทรงทำอะไรบางอย่างให้หม่อมฉันเป็นการแลกเปลี่ยนด้วย”

“อะไรหรือ บอกมาเลย ข้าทำได้ทุกอย่าง”

เมลิอานาร์มองอาการ ‘ดีใจจนเนื้อเต้น’ ของอีกฝ่ายพลางยิ้มอย่างเอ็นดู ก่อนจะคืบหน้าต่อไปตามแผนการที่เพิ่งผุดขึ้นในหัว

“หม่อมฉันต้องการม้าฝีเท้าจัดสักตัวเพคะ พร้อมกับคนนำทางที่รอบรู้เส้นทางในกรีนแลนด์เป็นอย่างดี”

“เจ้าจะเอาม้ากับคนนำทางไปทำไม” เจ้าหญิงกาอิยาห์ขมวดพระขนง เริ่มสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล “อย่าบอกนะว่าเจ้าจะหนี”

เมลิอานาร์เลือกที่จะยิ้มแทนคำตอบ นางไม่อยากโกหกเด็กสาว ขณะเดียวกันก็ไม่อยากยอมรับว่าอีกฝ่ายเดาถูก

“ทำไมจะต้องหนี” เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงถามซ้ำเมื่อเห็นหญิงสาวยังคงเงียบ “อยู่ที่กรีนแลนด์นี่เจ้าไม่มีความสุขหรือไง”

...นั่นสิ...

เมลิอานาร์นิ่งคิด ถ้าจะว่ากันตามจริง ชีวิตนักโทษของนางก็ไม่ถึงกับเลวร้ายนัก เพราะนอกจากจะไม่ต้องถูกคุมขัง นางยังมีอิสระที่จะไปไหนมาไหนในลินเด็นได้โดยปราศจากผู้คุม แม้จะแค่ชั่วคราวเฉพาะช่วงเวลาที่ต้องคลายคำสาปให้เจ้าหญิงแคธรีนก็ตามที แต่กระนั้นหญิงสาวก็พูดได้ไม่เต็มปากว่านั่นคือความสุข ตราบใดที่ยังมีชนักอันใหญ่ปักหลังอยู่

“องค์หญิงคงจะทรงลืมไปแล้วว่าหม่อมฉันเป็นนักโทษ”

เจ้าหญิงกาอิยาห์ขมวดพระขนง พยายามทำความเข้าใจว่าอีกฝ่ายพูดถึงเรื่องใด หากจนแล้วจนรอดพระองค์ก็ไม่อาจเข้าพระทัยอยู่นั่นเอง

“อย่างเจ้าเนี่ยนะเป็นนักโทษ ล้อเล่นหรือไง”

“ไม่ได้ล้อเล่นเพคะ หม่อมฉันถูกราชาเอลเบอเรธจับได้ว่าเป็น...เอ่อ...ผู้หญิง ก็เลยต้องตามเสด็จกลับมารับโทษที่กรีนแลนด์”

“รับโทษ?”

“เพคะ ฐานหลอกลวงเบื้องสูง โทษหนักถึงประหารชีวิต”

เจ้าหญิงกาอิยาห์นึกว่าพระกรรณฝาดไปเสียแล้ว เพราะทรงจำได้ว่าเป็นผู้เปิดเผยความลับดังกล่าวให้ราชาเอลเบอเรธทราบเอง ตั้งแต่ตอนที่เมลิอานาร์เพิ่งจะติดตามเจ้าชายเอเดรียนกลับแลมพ์ตันไปหมาดๆ แถมยังบอกเกินเลยไปถึงเรื่องที่หญิงสาวเป็นคู่หมั้นของเจ้าชายหนุ่มด้วยซ้ำ ทว่าครั้งนั้นราชาเอลเบอเรธเพียงแต่ทรงนิ่งอั้นไป ไม่เห็นได้ตรัสสักคำว่าจะลงโทษใคร แม้กระทั่งตอนที่พี่ชายของพระองค์ล่วงหน้ากลับมากรีนแลนด์เพื่อจัดเตรียมห้องพักไว้ต้อนรับหญิงสาว ก็ไม่เห็นว่าเขาจะเอ่ยปากเรื่องโทษทัณฑ์ของนาง มีแต่จะนินทาองค์ราชาว่าทรงพระทัยร้อนจนทำตามพระประสงค์แทบไม่ทัน ถ้าหากราชาเอลเบอเรธทรงต้องการลงโทษเมลิอานาร์ถึงขั้นฆ่าแกงกันจริงๆ จะมัววุ่นวายจัดเตรียมห้องหับไว้ต้อนรับนางทำไมกัน สู้จับตัวขังคุกหลวงไปเลยไม่ง่ายกว่าหรอกหรือ ...น่ากลัวว่าเมลิอานาร์จะเข้าใจผิดไปเองเสียแล้ว

“ถามจริงๆ เถอะเมล เจ้าไม่เคยได้ยินเรื่องที่ใครต่อใครในลินเด็นพากันพูดถึงบ้างเลยหรือ”

เจ้าหญิงลองหยั่งเสียงอีกฝ่ายดู ก็ได้รับการส่ายหน้ากลับมาเป็นคำตอบ ทำให้ต้องถอนพระปัสสาสะเฮือกใหญ่ ...มิน่าเล่า เมลถึงได้คิดว่าตัวเองจะถูกประหารจนต้องพยายามหาทางหลบหนี นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าคนอย่างนางจะซื่อบื้อกับ ‘บางเรื่อง’ ได้ถึงขนาดนี้... เห็นทีพระองค์จะต้องยื่นมือเข้าช่วยเสียแล้ว

เมื่อตกลงพระทัยได้ดังนั้น ประโยคที่หญิงสาวรอคอยจึงตามมา

“ก็ได้ ข้าจะจัดหาม้าและคนนำทางให้เจ้าเอง”

“ขอบพระทัยมากเพคะ”

“ไม่ต้องขอบใจข้าหรอก” เจ้าหญิงกาอิยาห์ตรัสตอบด้วยรอยแย้มพระสรวลกว้าง ดวงเนตรสีม่วงสวยเปล่งประกายวิบวับอย่างที่มักจะทำให้ซิสเสียวสันหลังได้เสมอ

“สำหรับเรื่องนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบใจข้าเลย”



angelK
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 ธ.ค. 2558, 05:51:47 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ธ.ค. 2558, 05:51:47 น.

จำนวนการเข้าชม : 1361





<< ตอนที่ 27   ตอนที่ 29 >>
แว่นใส 30 ธ.ค. 2558, 16:46:01 น.
ให้เอลนำทางเข้าสู่วิหารแทนแน่เลย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account