ตะวัน (ร้าย) ฉายรัก (นามปากกา 'พิริตา' ) เปิดจองรูปแบบเล่มพร้อม E-Book
‘ปาลิกา’ หญิงสาวกำพร้าที่สูญเสียครอบครัวไป

ตั้งแต่ยังเยาว์วัย แต่โชคดีที่มีผู้อุปการะไว้ ซึ่งก็เป็นนายจ้างของครอบครัว

เธอนั่นเอง ปาลิกาเติบโตมาท่ามกลางความรัก เข้าใจอย่างล้นเหลือของ

ประมุขทั้งสองของบริษัท ‘เดอะซัน กรุ๊ป จิวเวลรี่’ และเพราะที่แห่งนี้เป็น

สถานที่ที่ทั้งพ่อแม่และยายของเธอได้ใช้ชีวิตอยู่จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

ที่นี่จึงมีความหมาย และมีความสำคัญสำหรับหญิงสาวมาก

ในชีวิตของปาลิกามีเพียงสองสิ่งเท่านั้นที่เธอรู้สึกว่าเป็นอุปสรรค ขวาก

หนามที่ยิ่งใหญ่ นั้นก็คือ ปมแห่งความหวาดกลัวที่เป็นเหตุให้เธอติดอยู่กับฝัน

ร้ายในวัยเด็ก และลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูล ‘รัตนาวาณิชย์’ ที่เติบโต

มาด้วยกัน เขามีอายุอ่อนกว่าเธอหนึ่งปี แต่ไม่เคยยอมรับว่าเธอเป็นพี่สาว

หนำซ้ำยังคอยแกล้งเธอมาตั้งแต่เด็ก และเธอก็เรียกเขาว่า ‘จอมวายร้ายเจ้า

เล่ห์,คนกวนประสาทฯ ‘ แต่ทว่าจอมวายร้ายคนนั้นกลับเป็นคนเดียวกันที่อยู่

เคียงข้างเธอยามมีภัย และพยายามช่วยเธอให้หลุดพ้นจากปมแห่งฝันร้าย

นั้น และเป็นคนเดียวกับที่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย

แต่แล้ว...ก็กลับเป็นคนเดียวกัน ที่กันเธอออกจากเดอะซัน กรุ๊ปฯ และชีวิต

ของเขา เหมือนไม่เห็นค่า ความสำคัญของเธออีกต่อไป จนหญิงสาวทนอยู่

กับความรู้สึกเจ็บปวด สิ้นไร้ ด้อยค่าของตัวเองไม่ไหว ที่สุดจึงตัดสินใจเดิน

ออกมาจากชายคาเดอะซัน กรุ๊ปฯ ด้วยหัวใจที่บอบช้ำ.


‘ตะวันฉาย’ ลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูล ‘รัตนาวาณิชย์’ และผู้สืบทอด

กิจการของบริษัท ‘เดอะซัน กรุ๊ป จิวเวลรี่’ ต่อจากมารดา หลังกลับจากเรียน

ต่อต่างประเทศชายหนุ่มได้เข้ามาเรียนรู้งานในเดอะซัน กรุ๊ปฯ อย่างเต็มตัว

โดยมี ‘ปาลิกา’ (หรือที่เขาเรียกจนติดปากว่า ‘ยัยปลิก’) คอยกระตุ้นอยู่ตลอด

ทั้งที่โดยนิสัยแล้วตะวันฉายเป็นคนที่มีความตั้งใจ รับผิดชอบและจริงจังกับ

งาน โดยเฉพาะช่วงหลังที่เขาเข้ามาทำงานอย่างเต็มตัวแล้วนั่น แต่ใน

ทางกลับกันตะวันฉายจะกลายเป็นเด็กไม่ยอมโตทันทีที่อยู่กับปาลิกา เพราะ

ความรื่นรมย์อีกอย่างในชีวิตของเขาตั้งแต่เล็กจนโต คือการได้แกล้งปาลิกา

ทั้งวาจาและการกระทำ แต่เขาก็ได้สงวนลิขสิทธิ์ในการแกล้งไว้แค่ตัวเขา

เอง คนอื่นห้ามแกล้งโดยไม่ได้รับอนุญาตเสียอย่างนั้น

แต่ทว่าหากยามใดที่ปาลิกามีภัย อ่อนแอ ตะวันฉายจะถึงตัวเธอก่อนเสมอ

เขาห่วงทุกย่างก้าวในชีวิตของเธอ โดยเฉพาะปมแห่งความกลัวที่ทำให้เธอ

ฝันร้ายในตอนเด็ก ชายหนุ่มปรารถนาจะให้เธอเอาชนะความกลัวนั้นให้ได้

และการที่ตะวันฉายได้มีโอกาสอยู่เพียงลำพัง ไกลห่างกับปาลิกาขณะที่

เรียนอยู่ต่างประเทศนั้น ได้ทำให้เขารู้ใจตัวเองว่าคิดอย่างไรกับเธอ ชาย

หนุ่มไม่เคยสงสัยในความรู้สึกที่มีต่อหญิงสาวเลยสักนิด แต่เพราะเชื่อว่าเธอ

รักใครอีกคนที่เป็นญาติสนิทของเขา และผู้ชายคนนั้นก็เป็น ‘ผู้ชายในฝัน’

ของเธอมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาได้แต่กล้ำกลืนความรู้สึกเอาไว้ กว่าจะรู้ว่า
ปาลิกาก็รักเขาไม่ต่างกัน ก็ในวันที่เธอได้หนีเขาไปเสียแล้ว...


‘ก็ลื้อสองคนน่ะสิ มีด้ายแดงผูกติดกันมา

ตั้งแต่เกิด แต่ที่แปลกไปกว่านั้นคือด้ายแดงที่ผูกพวกลื้อไว้นั้นมันสั้นมาก ทำ

ให้ต้องมาใกล้กันตั้งแต่เด็ก ไม่เหมือนบางคู่ที่ด้ายจะยาวอาจใช้เวลานานกว่า

จะได้มาเจอกัน แต่นั่นแหล่ะด้ายแดงแห่งโชคชะตาของพวกลื้อจะไม่มีวันถูก

ตัดขาด แล้วมันก็จะอยู่ในระยะสั้นอย่างนี้ตลอดไป อย่างที่เคยเป็นมาจนกว่า

จะตายจากกัน และหากวันใดที่มันยืดยาวออกไปไม่ว่าด้วยสาเหตุอันใด ด้าย

นั้นก็จะดึงรั้งพวกลื้อให้ต้องกลับมาใกล้กันจนได้ หากพวกลื้อฝืนก็จะทำให้

เจ็บปวดทุรนทุราย เหมือนจะขาดใจเลยทีเดียว มันเป็นลิขิตของสวรรค์’

ตะวันฉายกับปาลิกาจะทำเช่นไรกับหัวใจของตัวเอง

ด้ายแดงแห่งโชคชะตา และสายใยแห่งความผูกพัน

จะสามารถนำพาหัวใจทั้งสองดวงให้กลับมาแนบชิดกัน

เหมือนในวันเก่าได้หรือไม่?..................................

โปรดติดตามใน ‘ตะวัน (ร้าย) ฉายรัก’ ได้เลยค่ะ


Tags: ตะวัน ร้าย ฉาย รัก ปลา อัญมณี จิวเวลรี่ หวานซึ้ง

ตอน: บทที่ 6

พอมาถึงที่จอดรถ เขากดรีโมทคอนโทรลเพื่อเปิดประตูรถสปอร์ต

สีดำคันหรู ขณะที่มืออีกข้างยังไม่ยอมปล่อยข้อมือเล็กนั่น

“จะทำอะไรของนาย” หญิงสาวถามขึ้นเสียงเขียว

“พาเธอกลับตึกไง”

“ฉันกลับเองได้ ฉันเอารถมาและที่สำคัญฉันไม่อยากกลับกับ
นาย”

“รถกระป๋องของเธอให้คนเอาไปส่งให้พรุ่งนี้ก็ได้ แต่ที่เธอไม่อยาก

กลับกับฉันมันเรื่องของเธอ แต่ฉันจะเอาเธอกลับด้วย” ชายหนุ่มยักไหล่

ไม่ยี่หระ แล้วจึงลากปาลิกาขึ้นรถอย่างทุลักทุเล

ที่สุดแล้วหญิงสาวจำใจต้องนั่งเคียงข้างเขาอย่างเสียไม่ได้ แต่ก็

ไม่วายจะหาทางป่วนอารมณ์อีกฝ่ายเพื่อเป็นการเอาคืน

“นายโมโหที่ฉันพูดว่าไม่กลัวนายใส่หน้าสมุนนรกของนายล่ะสิ

เสียหน้าหรือไง” ถามด้วยต้องการยั่วโมโหอีกฝ่ายให้ว้าก! อีก แต่คนถูก

ถามกลับหัวเราะหึๆ เสียอย่างนั้น

“เธอคงคิดว่าฉันเป็นหัวโจกแก๊งค์เด็กนรกอย่างยัยหมวยแฝดนั่น

เหมือนตอนเราเด็กๆ และคอยแต่หาเรื่องแกล้งเธออย่างนั้นสินะ ปาลิกา

...ถ้าเพียงแต่เธอไม่มัวแต่ไปอยู่ข้างเฮียอ๋า เธอจะรู้ว่าจริงๆ แล้วฉันอยู่

ข้างใครกันแน่” ตะวันฉายพูดโดยไม่มองหน้าหญิงสาวแต่อย่างใด จน

คนต้องการยั่วโมโหรู้สึกฉงนปนอึ้งไปนิดหนึ่ง เพราะนอกจากจะไม่ว้าก!

แล้ว เขายังพูดจาอะไรที่เข้าใจยากอีกต่างหาก เล่นเอาปาลิกาถึงกับ

เอียงหน้ามองตาแป๋วแหวว
“พูดอะไรของนาย ไม่เห็นเข้าใจ เมาหรือเปล่าเนี่ย”

“เปล่า” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบและปรายตามาทางเธอเพียงนิด

เดียวเท่านั้น

“จริงอะ...งั้น นี่กี่นิ้ว ดูซิ” หญิงสาวว่าพลางใช้มือข้างหนึ่งโบกช้าๆ

ตรงหน้าเขา แต่แล้วเร็วกว่าใจคิดตะวันฉายอ้าปากงับมือที่โบกตรงหน้า

อย่างรวดเร็วเกินกว่าที่ปาลิกาจะตั้งตัวทัน “โอ๊ย!!...อีตาบ้าซันกัดนิ้วฉัน

อีตาบ้าโรคจิต” ปาลิการ้องสะบัดมือเร่าๆ ขณะที่คนงับมือเธอหัวเราะร่า

สะใจ ก่อนจะรีบสตาร์ทรถและขับออกมาโดยมีเสียงแหลมเล็กโวยวาย

อึงอลอยู่ในรถ และทิ้งคฤหาสน์หลังใหญ่นั้นไว้เบื้องหลัง


ตอนเที่ยงกว่าปาลิกาหอบแฟ้มงานมาหาหยินมี่ ที่มีโต๊ะทำงานอยู่

หน้าห้องทำงานของตะวันฉายอีกที หลังจากที่เธอมาติดต่อเรื่องงานกับ

แผนกหนึ่งในชั้น 3 เสร็จ

“หยินมี่ เดี๋ยวเราไปกินข้าวกลางวันกันที่ซอยหลังบริษัทนะ” เธอ

เอ่ยชวนเพื่อนรักที่ยังนั่งง่วนอยู่กับงานบนโต๊ะ แม้ชั้น 5 ที่ปาลิกาดูแลอยู่

จะมีเวลาเข้า-ออกและพักทานข้าวก่อนชั้น 3 ครึ่งชั่วโมง แต่เพราะเธอ

อยู่ในกลุ่มผู้บริหารจึงสามารถพักได้ตามสะดวก ส่วนมากปาลิกามักจะ

ไปทานข้าวพร้อมเพื่อนสนิทที่อยู่ชั้น 3 มากกว่า

“อืม...เอาสิ รอฉันแป๊บนะ” ระหว่างนั้น คนรอก็ชะเง้อชะแง้มอง

ห้องทำงานที่ติดฟิล์มกรองแสงทึบอย่างกระหายใคร่รู้

“หยินมี่นายซันอยู่หรือเปล่า” และเมื่ออดรนทนไม่ได้จึงถาม

ออกไปในที่สุด

“อยู่ข้างในนั้นแหล่ะ” หยินมี่ตอบโดยไม่เงยหน้าจากงานบนโต๊ะ

แต่อย่างใด

“ทำงานอยู่หรือเปล่า” หยินมี่กำลังจะอ้าปากตอบ แต่ฉุกคิดอะไร

ขึ้นมาได้จึงยั้งปากตัวเองเอาไว้

“เธอเข้าไปดูเองละกัน” และตอบไปอย่างไม่เต็มเสียงนัก

ปาลิกาเคาะประตูกระจก และเปิดโดยไม่รอให้เจ้าของห้องเอ่ย

อนุญาต ร่างสูงนั่งหันข้างให้ประตูจดจ่ออยู่กับคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คส่วน

ตัวที่วางอยู่ตรงหน้า มือทั้งสองกระหน่ำลงบนแป้นคีย์บอร์ดอย่างเมามัน

และไม่ใส่ใจกับคนเข้ามาใหม่เลยสักนิด หญิงสาวเยี่ยมหน้าเข้าไปมอง

ใกล้ๆ ก็เห็นว่าภาพที่ปรากฏบนหน้าจอเป็นเกมส์ที่เกี่ยวกับสงครามการ

ต่อสู้แบบที่พวกผู้ชายชอบเล่นกัน

“ทำอะไรของนายน่ะ” เป็นเหตุให้มือที่กำลังกระหน่ำลงบน

แป้นคีย์บอร์ดอย่างเมามันนั้นชะงักกึกในทันที

“โหย...ทักทำไม ไม่ทันเลยเห็นไหม ต้องเล่นใหม่อีกแล้ว” ท่าทาง

หงุดหงิดเสียเต็มประดาที่โดนขัดจังหวะ

หญิงสาวกวาดสายตาไปยังบนโต๊ะทำงานตัวยาวของเขา ปกติก็มี

คอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะวางไว้ด้านหนึ่งอยู่แล้ว แต่อีกด้านซึ่งเป็นที่ตั้ง

ของโคมไฟสำหรับใช้ส่องดูงานนั้น กลับมีแฟ้มกองหนึ่ง และถาดไม้

สี่เหลี่ยมพื้นสีขาวขนาดพอเหมาะสองสามใบวางอยู่

ใบหนึ่งมีพลอยที่มีสีสันและขนาดแตกต่างกันวางปะปนกันอยู่

ส่วนอีกใบเป็นงานตัวเรือนที่ทำจากทองเค รูปแบบ ดีไซน์แตกต่างกัน

และอีกใบเป็นงานที่ทำสำเร็จรูปสวยงามพร้อมสำหรับบรรจุส่งออก และ

กล้องอันเล็กๆ ใช้สำหรับส่องดูงานที่ละเอียดอ่อนนี้โดยเฉพาะก็วางอยู่

ใกล้กัน แต่เจ้าของโต๊ะไม่ได้ให้ความสนใจเลยสักนิด ที่สำคัญทุกสิ่งที่อยู่

บนโต๊ะล้วนแล้วแต่ระเกะระกะไร้ระเบียบอย่างที่สุดในสายตาของหญิง

สาว

“โอ้โห...อะไรจะรกขนาดนี้ โต๊ะทำงานเหรอเนี่ย” ปาลิกาถึงกับ

ออกปาก และทำท่าเหมือนจะเข้าไปจัดโต๊ะเสียใหม่

“ไม่ต้องมายุ่งกับโต๊ะทำงานของฉันเลย” แต่ก็ต้องชะงักกับเสียง

เจ้าของโต๊ะที่ดังขัดขึ้น ทำให้คนหวังดีทำเสียงจิ๊กจั๊กในลำคออย่างไม่

ชอบใจพลางค้อนขวับๆ

“ชิ...ไม่เห็นอยากยุ่งเลย แล้วนายเอางานพวกนี้มาวางไว้ทำไม”

แต่ก็อดถามด้วยความอยากรู้ไม่ได้

“ก็หม่าม๊าให้คนเอามาให้ฉันดูน่ะสิ ฉันดูจนตาลายแล้วเนี่ย”

“ฉันว่าที่นายตาลายไม่ใช่เพราะต้องส่องกล้องดูงานหรอก แต่เป็น

เพราะนายมัวแต่จ้องหน้าคอมพ์ฯ เล่นเกมส์ต่างหาก” ปาลิกาค่อนเข้า

ให้

“ฉันรีแลคซ์น่า”

“เนี่ยนะวิธีรีแลคซ์ของนาย ฉันผิดหวังในตัวนายจริงๆ ” หญิงสาว

ส่ายหน้าเอือม แต่ก็เห็นว่าตะวันฉายไม่ได้สนใจท่าทีของเธอสักนิด

“พักเที่ยงหรือยังฉันหิวแล้ว พวกเธอจะไปกินข้าวกันที่ไหนฉันไป

ด้วยคนสิ”

“นายไปทานกับคุณป้าดีกว่ามั้ง พวกฉันจะไปซอยหลังบริษัท”

“เออ...นั่นแหล่ะไปด้วย ตอนนี้หม่าม๊าทานเจอยู่” แต่ก่อนที่จะคุย

กันต่อ เสียงหยินมี่ก็ดังเล็ดลอดเข้ามา

“เดี๋ยวค่ะน้อง ไม่ได้นะคะ คุณซันมีแขก” พร้อมกับร่างสูงสมส่วน

ของวดีลดาในชุดแซ็กสีดำวาบหวิวเดินผ่านประตูเข้ามา

“แขกอะไร อ๋อ...ยัยป้านี่เอง” สาววาบหวิวจิกตามองปาลิกาแบบ

เหยียดๆ

“อ๊าย! ว่าใครป้ายะ” และก็เหมือนจี้ถูกจุด ปาลิกาหันไปหมายจะ

เอาเรื่อง แต่ทว่าร่างสมส่วนของวดีลดากลับเดินเชิดผ่านหน้าปาลิกาเข้า

ไปคลอเคลียตะวันฉายในทันที

“พี่ซันขา เที่ยงแล้วเราไปทานข้าวกันเถอะค่ะ นี่ดีด้าอุตส่าห์ขับรถ

มาตั้งไกล ดีด้าจองโต๊ะที่โรงแรมหน้าบริษัทพี่ซันไว้เรียบร้อยแล้วนะคะ

ไปค่ะ” ปาลิกาอ้าปากค้าง รู้สึกราวกับตัวเองเป็นอากาศธาตุก็ไม่ปาน

“เอ่อ คือ...ยัยปลิก หยินมี่” ตะวันฉายเรียกสองสาว หยินมี่จึงรีบ

เข้ามาสมทบ

“อย่าไปสนใจพวกป้าๆ เค้าเลยค่ะพี่ซัน ไปกันเหอะดีด้าหิวแล้ว”

วดีลดาดึงร่างสูงโปร่งให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ กึ่งลากกึ่งจูงออกไปจากห้อง

ทำงาน ทิ้งบรรดาป้าๆ ยืนมองตาปริบๆ ซึ่งกว่าจะได้สติและเดือดกัน

ขึ้นมาได้ ทั้งสองหนุ่มสาวก็จากไปไม่เห็นฝุ่นแล้ว


ตอนเย็นวันนั้น ตะวันฉายผลักประตูเข้าไปในห้องที่อยู่ฟากตรง

ข้ามกับห้องนอนของเขา แต่เยื้องกันไปเล็กน้อย ห้องนี้สีชมพูได้กลืนกิน

ทุกสิ่งอย่าง ไม่ว่าจะเป็นตู้ เตียง ที่นอน ผ้าห่ม โต๊ะเขียนหนังสือ รวมทั้ง

ของใช้กระจุกกระจิก ฯ

สีชมพูที่มีทั้งแบบชมพูล้วนๆ ไม่ปนอย่างอื่น ซึ่งมีทั้งแบบเข้ม ปาน

กลางจนไปถึงอ่อน และแบบมีลวดลายทั้งดอกไม้บ้าง การ์ตูนบ้างก็มี

นั่นทำให้เขารู้สึกสยองนัก ชายหนุ่มมักกัดเจ้าของห้องอยู่เสมอว่าช่าง

ไม่คิดเวลาจะชอบสีอะไร เพราะมันไม่ได้เข้ากับสีผิวอันดำขำ (แต่เขา

เรียกให้ ’เว่อร์ว่า ดำปิ๊ดปี๋) ของคนชอบสักนิด

เรียกว่าอะไรก็ได้ขอให้เป็นสีชมพูเท่านั้นสามารถขึ้นแท่นเป็นของ

โปรดเจ้าตัวได้ทั้งสิ้น คิดมาถึงตรงนี้ตะวันฉายถึงกับเผลอยิ้มขำ แต่พอ

เห็นร่างเล็กเดินออกมาจากห้องน้ำในชุดที่พร้อมจะออกไปข้างนอก

รอยยิ้มบนใบหน้าของชายหนุ่มก็คลายลง

หญิงสาวชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นเขายืนอยู่กลางห้องนอนของ

ตัวเอง

“นั่นเธอจะไปไหนยัยปลิก” ตะวันฉายถามพลางมองเจ้าของร่าง

เล็กอย่างพิจารณา

“เข้ามาทำไมไม่เคาะประตู ไม่มีมารยาทเลยจริงๆ นายเนี่ย ฉันจะ

ไปทานข้าวกับพี่อ๋า” ไม่วายจะบ่นเขาก่อนตอบ

“เฮียอ๋าจีบเธอจริงๆ เหรอ ช่วงที่ฉันไม่อยู่เธอกับเฮียอ๋าไปถึงไหน

กันแล้วล่ะ” ชายหนุ่มถามอย่างไม่มีอ้อมค้อม แต่นั่นทำให้ปาลิกาหันมา

มองด้วยดวงตากลมโตที่มีแววบางอย่างเต้นระริกอยู่

“นายก็พูดน่าเกลียด ฉันกับพี่อ๋าไม่ได้ไปถึงไหนกันหรอก ก็

เหมือนเดิมแหล่ะ” ใบหน้าหวานแต้มรอยยิ้มเขิน และน้ำเสียงก็เต็มไป

ด้วยความหวั่นไหวจนเขารู้สึกได้

“แต่เขานัดเธอไปกินข้าว แถมเธอยังแต่งตัว เอ่อ...ไม่ใช่สิ ต้องพูด

ว่าใส่ชุดสวย” ตะวันฉายมองไปยังชุดกระโปรงสีหวานสั้นแค่เข่าที่เธอ

สวมใส่ และแน่นอนว่าแม้มันจะเป็นโทนสีเข้มแต่ลวดลายนั้นยังคงสี

ชมพู “แล้วไปกันสองต่อสองด้วยหรือเปล่า” ปาลิกาทำเสียงรับในลำคอ

ไม่ยอมสบตาชายหนุ่มทำท่าเอียงอายราวกับเขาเป็นคนที่นัดกับเธอเสีย

เองกระนั้น

“ก็แสดงว่า เขาจีบเธอจริงๆ? ” คำถามแบบสรุปอยู่ในตัวนั้นทำให้

คนถูกถามอายหนักขึ้นไปอีก

“บ้า! นายก็...ฉันไม่ได้คิดว่าพี่อ๋าจีบซะหน่อย แค่ช่วงนี้โทร.มาหา

บ่อยขึ้นแล้วก็ชวนฉันไปโน่นไปนี่บ้าง แต่ฉันพึ่งว่างก็เลยตอบตกลงแค่

นั้นเอง”

“อ้อ ฉันลืมไปสุภาพบุรุษในฝันของเธอคือเฮียอ๋าผู้แสนอบอุ่น

อ่อนโยนไม่มีใครเทียบนี่นะ” ตะวันฉายอดประชดประเทียดด้วย

ความรู้สึกหมั่นไส้ไม่ได้ แต่ดูท่าคนฟังจะไม่เฉลียวใจอะไรทั้งนั้น คง

เพราะใจจดจ่ออยู่กับนัดครั้งสำคัญจนอะไรก็ไม่สามารถกวนอารมณ์ให้

ขุ่นได้ แถมยังยิ้มแย้มพลางว่า

“แหม...ต่างจากนายแค่ไหนกันเชียว นายก็มีคุณน้องดีด้า

นางแบบสาวทรงสะบึ้มเกินวัยอยู่เหมือนกันนี่นา” แต่พอดีกับเสียง

โทรศัพท์มือถือดังขึ้นมา ปาลิกามองหน้าจอมือถือก่อนกดรับ “ค่ะพี่อ๋า

ปลากำลังจะลงไปค่ะ รอแป๊บนะคะ” แล้วจึงหันมาทางเขา

“นายออกไปทีหลังปิดประตูให้ด้วยนะ ฉันไปก่อนล่ะ” หญิงสาว

เอ่ยเป็นประโยคสุดท้าย พลางฉวยกระเป๋าถือใบเล็กสีชมพูจางๆ เดิน

ออกไปจากห้อง

ตะวันฉายมองตามร่างเล็กบอบบางนั้นจนลับจากสายตา แล้วจึง

หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดหมายเลขปลายทาง ซึ่งแน่นอนว่า...นั่น

เป็นหมายเลขแห่งความหายนะ!!



กานพลู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 ม.ค. 2559, 10:23:31 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ม.ค. 2559, 10:23:31 น.

จำนวนการเข้าชม : 1200





<< บทที่ 5   บทที่ 7 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account