ซี่รีย์ชุด จอมใจ ตอน คฤหาสน์รัก
วีด๊าด หญิงสาวผู้ที่ชอบและหลงไหลผีเสื้อเอามากๆ (เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับสิ่งที่เธอต้องมาทำหรอก" วันนึงต้องมาดูแลเด็กสาวที่นั่งบนรถเข็นให้เดินได้แต่แล้วเด็กสาวคนนี้ก็ขอร้องให้เธอตามหาใครบาง ซึ่งการตามหาในครั้งนี้ทำให้ความลับบางอย่างในบ้านเปิดเผย
แล้วชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์หลังใหญ่จะทำอย่างไร เขาจะให้ผู้หญิงคนนี้มารู้ความลับของบ้านหลังนี้ไม่ได้เด็ดขาด!!
แล้วชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์หลังใหญ่จะทำอย่างไร เขาจะให้ผู้หญิงคนนี้มารู้ความลับของบ้านหลังนี้ไม่ได้เด็ดขาด!!
Tags: ความรัก
ตอน: คฤหาสน์รัก 2
ตอนนี้ฉันนั่งอยู่บนรถที่ทางเจ้าของคฤหาสน์เตรียมไว้ให้ จะว่าไปเค้าก็ใจดีนะแต่ทำไมยัยแอลถึงบอกว่าเจ้าคฤหาสน์ไม่ค่อยสุงสิงกับคนภายนอกล่ะ? รถค่อยๆเคลื่อนที่มายังคฤหาสน์จึงเห็นได้ว่าคฤหาสน์หลังใหญ่สร้างให้มีลักษณะคล้ายตัว U ยื่นไปทางด้านหลัง เห็นสวนดอกไม้ไกลลิบๆทางขวามือ รอบๆมีบ้านเล็กๆเรียงอยู่ ฝั่งซ้ายมือก็ปรากฏเป็นคอกสัตว์ ก็เห็นม้าเดินอยู่ -_-
ข้างหน้าก็ปรากฏเป็น ต้นไม้สูงใหญ่เริ่มเคลื่อนที่เข้ามาเมื่อรถเคลื่อนที่เข้าใกล้มากขึ้น มีทางเล็กๆไว้ให้รถเคลื่อนเข้าไป รอบๆทางก็เป็นป่าที่มีต้อนไม้สูงๆอยู่รอบด้าน ฉันต้องกระชับเสื้อหนาวเข้าไปอีก เมื่อร่างกายต้องปะทะกับลมหนาวอีกครั้งต้นไม้ใหญ่บดบังแสงของพระอาทิตย์ที่เหลือน้อยอยู่เต็มที ในป่าแห่งนี้ก็เลยรู้สึกว่ามีแต่หม่านหมอก
ฉันพูดได้เลยว่ามันคือป่า นี่ถ้าหลงเข้าไปจะออกได้ไหมเนี่ย ฉันหันหลังกลับไปไม่เห็นคฤหาสน์หลังใหญ่เสียแล้ว มองไปข้างหน้าก็เห็นเป็นภูเขาสีน้ำเงินหม่นซ้อนกันไม่ใหญ่มากนัก ฉันจึงหันไปพูดกับเพื่อนที่ก้มหน้าก้มตากับกล้องตัวโปรดหลังจากที่เงียบมานาน
“แอล !”
“ฮืม...? ว่าไงแก”
“พื้นที่ตรงนี้คือที่ดินของเจ้าของคฤหาสน์ด้วยรึเปล่า”
“ก็ใช่นะซิ พื้นที่ที่แกเห็นที่คฤหาสน์ สวนดอกไม้หรือแม้แต่ป่าที่เราผ่านเมื่อกี้ก็เป็นพื้นที่ที่ดินของคนในคฤหาสน์นั้น นี่ยังไม่พูดถึงภูเขาที่อยู่ตรงหน้านั้นอีกนะ แต่ภูเขาก็ไม่ใช้ของเขาทั้งหมดหรอก รู้สึกว่าภูเขาของเจ้าของคฤหาสน์จะเป็นแค่ภูเขาล้อมรอบเท่านั้นนะ แต่ที่ซ้อนอยู่ด้านหลังนั้นนะก็ไม่ใช่นะ”
“แกจะบอกว่าตอนนี้พวกเรากำลังอยู่ท่ามกลางการโอบล้อมของภูเขานะหรอ?”
“yes”
“ทำไมแกรู้ข้อมูลมากขนาดนี้เลยอะ”
“จริงๆแล้วตระกูลนี้เคยมีที่มีศักดิ์เป็นถึงเอิร์ลเลยนะ แต่สิ้นสุดเมื่อยุคของเอิร์ลฟิลิป ท่านไม่อยากจะให้ลูกหลานของท่านต้องมาอยู่แวดวงอย่างนี้มั้ง เห็นว่าเมื่อเอิร์ลฟิลิปได้เปลี่ยนศาสนาท่านก็ขอสละตำแหน่งเพราะอยากใช้ชีวิตเป็นคนธรรมดาๆแต่เพราะท่านเป็นผู้สละตนทำงานมาอย่างดีโดยตลอดก็เลยได้รับที่ดินพระราชทานมา และทรัพย์สินอีกเยอะใช้ได้เลย แล้วท่านก็ผันตัวเองมาเป็นนักธุรกิจแต่เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังส่วนคนเบื้องหน้าก็เป็นลูกหลานของท่าน ก็ไม่แปลกที่ฉันจะรู้ เค้าต้องมีหนังสือเกี่ยวกับเอิร์ลแห่งตระกูลนู่นนี่นั่นบ้างแหละ”
“จริงซิ คุณทวดของแกเองก็เป็นถึงมาควิสนี่”
“โอ้เย้” นางพยักหน้าก่อนทำทะเล้น
“ฉันชักไม่แน่ใจแล้วว่าเธอเป็นหลานสาวของมาควิสจริงๆหรือถูกเก็บมาเลี้ยงอะ 555 ดูทำท่าเข้าซิ”
“เชอะ”
“อ่ะๆ ล้อเล่น แล้วนี่ เราจะทำอะไรดีละประเดี๋ยว เที่ยวป่าดีไหม รอบๆนี้เอง”
“ก็น่าจะลองดูนะ รอบๆนี้น่าจะไม่มีอันตราย ให้ตามพวกวิจัยไปต้อยๆน่าเบื่อจะตาย ได้ไปสำรวจธรรมชาติก็น่าจะได้ไอเดียตกแต่งภายในบ้าง แกพกกล้องไหม”
“โอะ แน่นอน นี่ไง”ฉันยกกล้องที่สะพายคล้อมคอตัวเองให้เพื่อนดู
“ดีเลยฉันก็พามามีอะไรก็ถ่ายเก็บไว้ แค่คิดได้ตะลุยป่ากับแกก็สนุกแล้ว เนอะๆ”
“ช่ายยย”
“แกพาสมุดสเก็ตมาไหม”แอลถาม
“พามาดิ มาแล้วต้องไม่เสียเที่ยว”
“ดีจะได้ยืม”
“อ้าว!ยัยนี่” แต่แล้วบทสนทนาก็ต้องจบลงแค่นั้นเมื่อรถมาจอดยังเป้าหมาย ฉันลงจากรถพร้อมกับคนอื่นๆมองไปข้างหน้าก็เห็นเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่จะว่าไปเรียกว่าทะเลสาบขนาดย่อมก็ได้ ล้อมรอบด้วยภูเขาสลับซับซ้อนและต้นไม้สูงๆ ฉันสังเกตเห็นว่ามีบ้านเล็กๆสีขาวอยู่อีกฝั่งของทะเลสาบ(ฉันเรียกอย่างนี้เพราะมันกว้างกว่าที่จะเรียกแอ่งน้ำได้) ‘น่ารักจัง’ฉันคิด บ้านหลังนั้นน่ารักจริงๆเมื่อมีพื้นหลังเป็นภูเขาสีหม่นอยู่เบื้องหลัง ตอนนี้คณะวิจัยก็ต่างแยกย้ายเตรียมสัมภาระเพื่อทำงาน ฉันจึงไปสะกิดยัยแอล
“แอล”
“หืม ?”
“ไปกันยัง”
“ไปดิ แต่ขอไปบอกคนในคณะก่อนนะ”
“อื้ม”
แอลเดินไปพูดอะไรซักอย่างกับคนในคณะก่อนที่จะยื่นมือรับของบางอย่างแล้วเดินมาหาฉัน
“เค้าบอกว่าในนี้สัญญาณโทรศัพท์เบามากก็เลยให้วิทยุสื่อสารมาหนึ่งตัว น่าจะใช้ได้ดีกว่าโทรศัพท์ เราไปกันเถอะ เค้าแนะนำให้ไปเดินใกล้ๆนี้พอ”
“อือ” ว่าแล้วฉันก็สะพายกล้องถือสมุดสเก็ตและย่ามเล็กออกจากเป้ใส่น้ำหนึ่งขวด แบตกล้อง ไปขอสกอตเทปพันแผลแบบสำเร็จรูปจากคณะ(เผื่อโดนหนามเกี่ยว) อุปกรณ์วาดเขียน และขนมขบเคี้ยวนิดหน่อยที่ติดตัวมาเผื่อหิว(รอบคอบจริงๆ) ส่วนเป้ใบใหญ่ก็ตั้งไว้บนรถ แอลก็ทำแบบเดียวกับฉันพวกเราไม่ขยันที่จะแบกเป้ที่มีอุปกรณ์มากมายไปหรอกหากไม่จำเป็นมากนัก
ฉันกับแอลเดินห่างจากคณะที่มาทำวิจัยเรื่อยๆ เข้าสู่อาณาเขตที่มีต้นไม้ใหญ่ปกคลุม กลิ่นดิน กลิ่นต้นไม้ใบหญ้าปะทะเข้าจมูกอ่อนๆ เสียงแมลงเล็กต่างๆร้องอวดเสียงอันไพเราะของตน ตั้งแต่มาอยู่อังกฤษมา3เกือบ4ปีฉันเพิ่งเดินป่าจริงของอังกฤษก็วันนี้แหละ ไม่เสียแรงที่มา
ฉันเก็บรายละเอียดในป่ารอบๆและเดินเข้าไปเรื่อยๆ พูดคุยกับแอลบ้างเป็นครั้งคราว เพื่อนคนนี้พอทำงานทีไรก็สลัดภาพคุณหนูจอมกวนจนฉันเกรงใจเลยละ ฉันยกนาฬิกาขึ้นมาดู10โมงเช้าแล้วนี่ เหลือเวลาอีกสองชั่วโมงก่อนจะไปกินข้าวร่วมกับคณะวิจัยที่มา แต่แล้วฉันก็สะดุดกับผีเสื้อตัวหนึ่ง
“แอล” ฉันเรียก
“อื้ม ว่าไง?”
“แกมาดูผีเสื้อตัวนี้ซิ เดินมาช้าๆนะ” เสียงย่ำเท้าเข้าอย่างๆระมัดระวังเข้ามาใกล้ก่อนหยุดข้างๆฉัน ฉันหันไปมองเพื่อนของฉันที่ตอนนี้ทำหน้าตาโต
“สวยจังเลย ฉันไม่เคยเห็นผีเสื้อลายแบบนี้มาก่อนเลยนะ”แอลพูดขณะที่จ้องมองผี้เสื้อที่มีรูปปีกเหมือนผีเสื้อทั่วไป แต่กลับมีสีใส ราวกับน้ำบริสุทธิ์จนเห็นทะลุปีก
“มันเป็นพันธุ์Namoria hotikate pure หนะ สวยมากๆเลย”ฉันตอบ แน่นอนฉันชอบผีเสื้อข้อมูลแบบนี้ไม่มีพลาด
“หายากแน่เลย” แอลขมวดคิ้วถาม
“ใช่ หายากมากเลยนะ กว่าจะเจอในป่าก็1ในพันเลยนะ” ฉันตอบอย่างภูมิใจ
“แสดงว่าเราโชคดีมากๆเลยที่เจอมัน”
“มันเองก็โชคดีที่ได้มีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ขนาดนี้ให้อยู่”
“แกชอบไม่ใช่หรอ ไม่คิดจับไปเลี้ยงหรอ”
“ไม่ละ สงสารมัน อยู่ในป่าดีๆแบบนี้ก็ดีแล้วละ”
“อื้ม ก็จริงของแก พูดแบบนี้ดูสวยขึ้นมาเลยนะเนี่ย ฮ่าๆๆ”
“สวยตลอดหย่ะ”ฉันหันไปค้อนนิดๆ
“ไปกันเถอะ”แอลพูด
“อืม เอ่อ เดี่ยวนะ ฉันจะไปดูดอกไม้ข้างหน้านั้นได้ไหม แกเดินไปก่อนเลยเดี่ยวฉันตามไป”
“ไม่เอารอแกตรงนี้แหละ”
“นี่ ฉันไม่หลงหรอก เชื่อใจได้ ถ่ายซัก2-3รูปก็จะตามไป ตามทันอยู่แล้ว”
“เอางั้นหรอ?”
“yes”ฉันพยักหน้าอย่างมั่นใจ
เมื่อพูดจบฉันก็เดินไปถ่ายรูปดอกไม้สีน้ำเงินสดตรงหน้าอย่างอดใจไม่ไหว ถ่ายรูปนี้เสร็จก็ถ่ายรูปนั้นอย่างเพลิดเพลินก่อนที่จะหันกลับไปรวมตัวกับคณะที่มาวิจัย แต่แล้ว!!
“เมื่อกี้แอลเดินออกทางไหนอะ”ฉันตกใจเล็กน้อยเมื่อหันไปรอบๆมีแต่ต้นไม้เขียวขจีสูง ฉันจึงเดินไปเรื่อยๆ ‘เอ๊ะ หรือว่าทางนี้ หรือทางนั่น ต้องทางนั้นซิมีรอยใบไม้หักด้วย’ฉันเดินไปเรื่อยๆแต่ก็ไม่ปรากฏมีทางเดินหรือรอยของรถเลย ความเหนื่อยเริ่มเข้ามาเกาะกุมขา
ฉันยกนาฬิกาขึ้นดู ‘บ่ายสองแล้ว ยังไม่ละหมาดเลย ทำไงดี โทรศัพท์ก็ไม่มีสัณญาณ ฉันกลัวแล้วนะ ยาอัลลอฮ’ ฉันเดินไปเรื่อยเหงื่อไหลเหมือนคนเพิ่งอาบน้ำ แต่แล้ว ‘เสียงน้ำไหลนี่’ ฉันรีบสาวเท้าไปยังต้นเสียง เกือบครึ่งชั่วโมงฉันลากขาอย่างอ่อนล้ามายังธารน้ำขนาดเล็ก รีบจัดแจงล้างหน้าล้างตา อาบน้ำละหมาด
‘กิบลัตทางไหนละเนี่ย’ ฉันคิด ก่อนจะนึกออกรีบหักกิ่งไม้เล็กๆแถวนั้นมาเงยหน้ามองดวงอาทิตย์ก่อนจะเห็นแสงที่พยายามลอดเข้ามาทางต้นไม้สูง ฉันรีบจัดแจงปักไม้ทวนคำพูดที่เคยเรียนมากับอุซตาซ ‘ถ้าไม่รู้ว่ากิบลัตอยู่ทางไหนก็ให้ใช้วิจารณญาณ ด้วยการพิจารณาตำแหน่งของดวงอาทิตย์ เวลาซุฮฺริ – อัศริ ดวงอาทิตย์คล้อยไปทางทิศใด ทิศนั้นคือทิศตะวันตกอันเป็นทิศกิบลัตของประเทศไทยบ้านเรา หรือให้ใช้ไม้หรือปากกาวัดดูเงาของแสงแดดว่าตกกระทบกับพื้นทางทิศใด ทิศตรงข้ามกับเงาแดดที่ตกกระทบพื้น (คือจุดที่วางไม้หรือปากกา) คือทิศกิบลัต’ ฉันเพ่งตาพยามมองเงาโชคดีนะที่ตั้งใจเรียน ไม่งั้นละก็ ‘แต่เอ๊ะ ที่นี่มันยุโรปนะ ไม่ใช่เมืองไทย แล้วทำยังไงดีละ ไม่เคยหลงป่า อ้อ จริงซิ โปรแกรมไง โปรแกรมในโทรศัพท์ ทันทีที่นึกออกฉันจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาดู โชคดีที่โปรแกรมไม้ต้องใช้อินเทอร์เน็ต แต่แบตนี่ซิ สีแดงจ้าเลย ไม่นะไม่นะอย่าเพิ่งดับ เฮ้อ โชคดี’ ฉันถอนหายใจเมื่อได้ทิศกิบลัตก่อนโทรศัพท์จะดับลง เมื่อได้ทิศการละหมาดแล้วฉันจึง จัดแจงละหมาดให้เสร็จสรรพ
เมื่อละหมาดเสร็จฉันจึงได้รู้ว่าความเหนื่อยบวกกับความเมื่อยที่ต้นขายังไม่ลดลงเลย พลันคิดน้ำตาก็ทำท่าทีว่าจะเอ่อล้นขอบตา ‘ไม่ๆๆ ไม่ร้องนะ วีด๊าดไม่ร้อง แค่หลงป่าเอง ไม่เป็นไรหรอก’ ฉันได้แต่ปลอบใจตัวเอง หยิบขนมในย่ามใบเล็กที่เตรียมมากินแก้หิว หยิบโทรศัพท์ออกมาดู ก่อนจะพิงต้นไม้ใหญ่ข้างๆอย่างหมดแรง ‘ตอนนี้ขอแค่ใครซักคนพาฉันออกจากป่าแห่งนี้ไปที ใครก็ได้ ได้โปรด พระเจ้าโปรดส่งคนเพื่อพาฉันออกจากป่าแห่งนี้ที’ ฉันคิดก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมาพลันสิ่งที่อยู่รอบๆตัวก็มืดลงไป
ฉันลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งรู้สึกเมื่อยที่ต้นคอเนื่องจากนอนพิงต้นไม้แข็งๆ ลูบต้นคอตัวเองเบาๆรอบๆตัวปกคลุมไปด้วยความมืด ฉันหยีตาตัวเองอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ แต่ก็แทบสิ้นสติเมื่อเห็นว่ารอบๆตัวนั้นมืดไปหมด ฉันยกนาฬิกาขึ้นมาดู 5:30แล้ว ฉันอยู่ในป่าคนเดียวหรือเนี่ย ห้าโมงเย็นในป่าที่มีต้นไม้สูงๆทำให้รู้สึกเหมือนราวกับเวลากลางคืน ควรทำยังไงดี ฉันควรทำยังไงดี
ฉันเดินไปเดินมาเพื่อให้หายความเครียดกลุ้มที่เกาะอยู่ในใจ ความกลัวเริ่มเข้าเกาะกุมใจอีกครั้งเมื่อมองไปรอบๆตัวเอง มีแต่ต้นไม้สูงๆ เสียงแมลงต่างๆต่างแข่งกันร้องเสียงอันน่าไพเราะยามเช้าฟังเวลานี้ไม่ได้ทำให้ฉันหายกลัวเลยซักนิด กลับรู้สึกกลัวขึ้นไปอีก พลันน้ำตาก็ไหล ‘วีด๊าด เธออ่อนแออีกแล้วนะ อย่าร้องๆ’ ได้แต่ปลอบใจตัวเองแต่น้ำตาเจ้ากรรมก็ไม่มีท่าทีจะหยุดไหล ‘ตั้งสติวีด๊าด เธอต้องตั้งสติ จริงสิ ไฟฉายโทรศัพท์ก็ได้นี่’ ฉันรีบหยิบออกจากกระเป๋าย่าม เปิดไฟ แสงจากโทรศัพท์ ‘มันแบตนี่น่า’ หลังจากที่สายตาปรับกับความมืดได้แล้วฉันจึงเดินไปที่ลำธาร จากนั้นไม่รอช้าจึงทำการอาบน้ำละหมาดในธารน้ำ เช็ดเสื้อตรงที่เปื้อนให้สะอาดแม้จะมีรอยดินเปื้อนบ้างนิดๆ และทำการละหมาดบนพื้นดิน ที่ตอนนี้มีเพียงพื้นหญ้าเป็นเสมือนผ้ารองละหมาด เสร็จสิ้นการละหมาดหัวใจกลับรู้สึกหวาดระแวงอีกครั้ง ฉันรู้สึกไม่อยากหยุดละหมาดเลย อย่างน้อยขณะที่ละหมาดหัวใจฉันก็จะไม่ต้องมารู้สึกหวาดระแวงกับสิ่งรอบข้าง ที่มีแต่ต้นไม้สูงๆ เสียงสัตว์กรีดร้อง ไม่รู้ว่าเป็นตัวอะไรบ้าง คิดถึงสัตว์เมื่อต้องอยู่ในป่าใหญ่คนเดียว ทำให้ฉันต้องกอดย่ามให้กระชับแน่นขึ้นอีก ท้องร้องขึ้นมาราวกับเรียกร้องสิทธิในการรับอาหาร มืออีกข้างก็ถือโทรศัพท์ไว้แน่นทั้งๆที่ไม่ได้ช่วยให้ฉันสะดวกในการเดินไปต่อเลย ไปต่อหรือรออยู่ที่นี่เผื่อจะมาคนออกมาตามหา แล้วถ้าตามหาไม่เจอไม่ได้มาทางนี้ละ ไม่ซิๆ เราต้องเดินไปต่อเรื่อยๆเดี๋ยวก็เจอทาง แล้วถ้ายิ่งหลงละ? สมองทั้งสองข้างเริ่มต่อสู้ขัดแย้งกัน แต่แล้วขาก็เริ่มตัดสินเอง ฉันกอดย่ามกระชับขึ้นมาแล้วเดินไปทางที่คิดว่าเป็นทางที่ย้อนกลับ ก้าวที่หนึ่ง สอง สาม สี่
“โฮกกกก”
แต่แล้วขาทั้งสองข้างของฉันก็ต้องหยุดชะงัก ขนลุกชันขึ้นมา เมื่อได้ยินเสียงคำรามน่ากลัวจากด้านหลัง ‘อย่าหันไปนะวีด๊าด อย่าหันไป’
แต่เสียงสั่งการในสมองก็พ่ายแพ้ต่อความอยากรู้อยากเห็น ฉันค่อยๆหันหลังไปมองต้นเสียงกรรโชกน่ากลัวเมื่อครู่ ค่อยๆเพ่งสายตาไปมอง
เมื่อสายตาทั้งสองข้างประจักษ์ต่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้าโทรศัพท์ในมือก็หล่อนไปราวกับมือข้างนั้นไม่มีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงเลย ดวงตาทั้งสองเบิกโพล่งราวกับต้องการเห็นสัตว์ตัวใหญ่ทะมึน ตรงหน้าให้ชัด ทั้งที่ตอนนี้ก็ชัดราวกับดูHD สัตว์สี่ขายืนตระหง่าน ดวงตาวาวโรจน์ ตัวสีดำทะมึน ค่อยๆกรายเข้ามา ตั้งสติตัวเองได้อีกครั้ง ฉันก็รีบเผ่นแน่บ ต้องการออกจากที่นี่โดยเร็วที่สุด
ขาทั้งสองวิ่งรวดเร็วอย่างมั่นคง วิ่งไปถูกต้นไปใบหญ้าเกี่ยวเสื้อผ้าจนขาดวิ่น หนามก็เกี่ยวแขนขาจนได้แผล แต่เมื่อนึกถึงสิ่งน่ากลัวที่อยู่เบื้องหลังขาทั้งสองก็ไม่มีท่าทีจะเหนื่อย แต่กลับวิ่ง ฉับๆ อย่างว่องไว ในใจคิดแค่ว่า อยากหลุดพ้นไปจากสถานที่นี้ วิ่งไปน้ำตาก็ไหลไม่หยุดราวสายน้ำ มาม๊า ป้ะช่วยหนูด้วย ช่วยหนูด้วย หนูกลัว มาม๊า มาม๊าอยู่ไหน ป้ะอยู่ไหน มาช่วยหนูซิค่ะ มาม๊า!!!!!!
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Namoria hotikate pure เป็นเพียงสายพัธ์ที่ผู้เขียนมโนขึ้นมาเองนะคะ ^^
ชอบไม่ชอบยังไง ก็บอกกันด้วยเน๊อะๆ มือใหม่หัดเขียน อาจจะยังไม่ดีนัก ยังคงต้องเรียนรู้อีกเยอะค่ะ
ข้างหน้าก็ปรากฏเป็น ต้นไม้สูงใหญ่เริ่มเคลื่อนที่เข้ามาเมื่อรถเคลื่อนที่เข้าใกล้มากขึ้น มีทางเล็กๆไว้ให้รถเคลื่อนเข้าไป รอบๆทางก็เป็นป่าที่มีต้อนไม้สูงๆอยู่รอบด้าน ฉันต้องกระชับเสื้อหนาวเข้าไปอีก เมื่อร่างกายต้องปะทะกับลมหนาวอีกครั้งต้นไม้ใหญ่บดบังแสงของพระอาทิตย์ที่เหลือน้อยอยู่เต็มที ในป่าแห่งนี้ก็เลยรู้สึกว่ามีแต่หม่านหมอก
ฉันพูดได้เลยว่ามันคือป่า นี่ถ้าหลงเข้าไปจะออกได้ไหมเนี่ย ฉันหันหลังกลับไปไม่เห็นคฤหาสน์หลังใหญ่เสียแล้ว มองไปข้างหน้าก็เห็นเป็นภูเขาสีน้ำเงินหม่นซ้อนกันไม่ใหญ่มากนัก ฉันจึงหันไปพูดกับเพื่อนที่ก้มหน้าก้มตากับกล้องตัวโปรดหลังจากที่เงียบมานาน
“แอล !”
“ฮืม...? ว่าไงแก”
“พื้นที่ตรงนี้คือที่ดินของเจ้าของคฤหาสน์ด้วยรึเปล่า”
“ก็ใช่นะซิ พื้นที่ที่แกเห็นที่คฤหาสน์ สวนดอกไม้หรือแม้แต่ป่าที่เราผ่านเมื่อกี้ก็เป็นพื้นที่ที่ดินของคนในคฤหาสน์นั้น นี่ยังไม่พูดถึงภูเขาที่อยู่ตรงหน้านั้นอีกนะ แต่ภูเขาก็ไม่ใช้ของเขาทั้งหมดหรอก รู้สึกว่าภูเขาของเจ้าของคฤหาสน์จะเป็นแค่ภูเขาล้อมรอบเท่านั้นนะ แต่ที่ซ้อนอยู่ด้านหลังนั้นนะก็ไม่ใช่นะ”
“แกจะบอกว่าตอนนี้พวกเรากำลังอยู่ท่ามกลางการโอบล้อมของภูเขานะหรอ?”
“yes”
“ทำไมแกรู้ข้อมูลมากขนาดนี้เลยอะ”
“จริงๆแล้วตระกูลนี้เคยมีที่มีศักดิ์เป็นถึงเอิร์ลเลยนะ แต่สิ้นสุดเมื่อยุคของเอิร์ลฟิลิป ท่านไม่อยากจะให้ลูกหลานของท่านต้องมาอยู่แวดวงอย่างนี้มั้ง เห็นว่าเมื่อเอิร์ลฟิลิปได้เปลี่ยนศาสนาท่านก็ขอสละตำแหน่งเพราะอยากใช้ชีวิตเป็นคนธรรมดาๆแต่เพราะท่านเป็นผู้สละตนทำงานมาอย่างดีโดยตลอดก็เลยได้รับที่ดินพระราชทานมา และทรัพย์สินอีกเยอะใช้ได้เลย แล้วท่านก็ผันตัวเองมาเป็นนักธุรกิจแต่เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังส่วนคนเบื้องหน้าก็เป็นลูกหลานของท่าน ก็ไม่แปลกที่ฉันจะรู้ เค้าต้องมีหนังสือเกี่ยวกับเอิร์ลแห่งตระกูลนู่นนี่นั่นบ้างแหละ”
“จริงซิ คุณทวดของแกเองก็เป็นถึงมาควิสนี่”
“โอ้เย้” นางพยักหน้าก่อนทำทะเล้น
“ฉันชักไม่แน่ใจแล้วว่าเธอเป็นหลานสาวของมาควิสจริงๆหรือถูกเก็บมาเลี้ยงอะ 555 ดูทำท่าเข้าซิ”
“เชอะ”
“อ่ะๆ ล้อเล่น แล้วนี่ เราจะทำอะไรดีละประเดี๋ยว เที่ยวป่าดีไหม รอบๆนี้เอง”
“ก็น่าจะลองดูนะ รอบๆนี้น่าจะไม่มีอันตราย ให้ตามพวกวิจัยไปต้อยๆน่าเบื่อจะตาย ได้ไปสำรวจธรรมชาติก็น่าจะได้ไอเดียตกแต่งภายในบ้าง แกพกกล้องไหม”
“โอะ แน่นอน นี่ไง”ฉันยกกล้องที่สะพายคล้อมคอตัวเองให้เพื่อนดู
“ดีเลยฉันก็พามามีอะไรก็ถ่ายเก็บไว้ แค่คิดได้ตะลุยป่ากับแกก็สนุกแล้ว เนอะๆ”
“ช่ายยย”
“แกพาสมุดสเก็ตมาไหม”แอลถาม
“พามาดิ มาแล้วต้องไม่เสียเที่ยว”
“ดีจะได้ยืม”
“อ้าว!ยัยนี่” แต่แล้วบทสนทนาก็ต้องจบลงแค่นั้นเมื่อรถมาจอดยังเป้าหมาย ฉันลงจากรถพร้อมกับคนอื่นๆมองไปข้างหน้าก็เห็นเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่จะว่าไปเรียกว่าทะเลสาบขนาดย่อมก็ได้ ล้อมรอบด้วยภูเขาสลับซับซ้อนและต้นไม้สูงๆ ฉันสังเกตเห็นว่ามีบ้านเล็กๆสีขาวอยู่อีกฝั่งของทะเลสาบ(ฉันเรียกอย่างนี้เพราะมันกว้างกว่าที่จะเรียกแอ่งน้ำได้) ‘น่ารักจัง’ฉันคิด บ้านหลังนั้นน่ารักจริงๆเมื่อมีพื้นหลังเป็นภูเขาสีหม่นอยู่เบื้องหลัง ตอนนี้คณะวิจัยก็ต่างแยกย้ายเตรียมสัมภาระเพื่อทำงาน ฉันจึงไปสะกิดยัยแอล
“แอล”
“หืม ?”
“ไปกันยัง”
“ไปดิ แต่ขอไปบอกคนในคณะก่อนนะ”
“อื้ม”
แอลเดินไปพูดอะไรซักอย่างกับคนในคณะก่อนที่จะยื่นมือรับของบางอย่างแล้วเดินมาหาฉัน
“เค้าบอกว่าในนี้สัญญาณโทรศัพท์เบามากก็เลยให้วิทยุสื่อสารมาหนึ่งตัว น่าจะใช้ได้ดีกว่าโทรศัพท์ เราไปกันเถอะ เค้าแนะนำให้ไปเดินใกล้ๆนี้พอ”
“อือ” ว่าแล้วฉันก็สะพายกล้องถือสมุดสเก็ตและย่ามเล็กออกจากเป้ใส่น้ำหนึ่งขวด แบตกล้อง ไปขอสกอตเทปพันแผลแบบสำเร็จรูปจากคณะ(เผื่อโดนหนามเกี่ยว) อุปกรณ์วาดเขียน และขนมขบเคี้ยวนิดหน่อยที่ติดตัวมาเผื่อหิว(รอบคอบจริงๆ) ส่วนเป้ใบใหญ่ก็ตั้งไว้บนรถ แอลก็ทำแบบเดียวกับฉันพวกเราไม่ขยันที่จะแบกเป้ที่มีอุปกรณ์มากมายไปหรอกหากไม่จำเป็นมากนัก
ฉันกับแอลเดินห่างจากคณะที่มาทำวิจัยเรื่อยๆ เข้าสู่อาณาเขตที่มีต้นไม้ใหญ่ปกคลุม กลิ่นดิน กลิ่นต้นไม้ใบหญ้าปะทะเข้าจมูกอ่อนๆ เสียงแมลงเล็กต่างๆร้องอวดเสียงอันไพเราะของตน ตั้งแต่มาอยู่อังกฤษมา3เกือบ4ปีฉันเพิ่งเดินป่าจริงของอังกฤษก็วันนี้แหละ ไม่เสียแรงที่มา
ฉันเก็บรายละเอียดในป่ารอบๆและเดินเข้าไปเรื่อยๆ พูดคุยกับแอลบ้างเป็นครั้งคราว เพื่อนคนนี้พอทำงานทีไรก็สลัดภาพคุณหนูจอมกวนจนฉันเกรงใจเลยละ ฉันยกนาฬิกาขึ้นมาดู10โมงเช้าแล้วนี่ เหลือเวลาอีกสองชั่วโมงก่อนจะไปกินข้าวร่วมกับคณะวิจัยที่มา แต่แล้วฉันก็สะดุดกับผีเสื้อตัวหนึ่ง
“แอล” ฉันเรียก
“อื้ม ว่าไง?”
“แกมาดูผีเสื้อตัวนี้ซิ เดินมาช้าๆนะ” เสียงย่ำเท้าเข้าอย่างๆระมัดระวังเข้ามาใกล้ก่อนหยุดข้างๆฉัน ฉันหันไปมองเพื่อนของฉันที่ตอนนี้ทำหน้าตาโต
“สวยจังเลย ฉันไม่เคยเห็นผีเสื้อลายแบบนี้มาก่อนเลยนะ”แอลพูดขณะที่จ้องมองผี้เสื้อที่มีรูปปีกเหมือนผีเสื้อทั่วไป แต่กลับมีสีใส ราวกับน้ำบริสุทธิ์จนเห็นทะลุปีก
“มันเป็นพันธุ์Namoria hotikate pure หนะ สวยมากๆเลย”ฉันตอบ แน่นอนฉันชอบผีเสื้อข้อมูลแบบนี้ไม่มีพลาด
“หายากแน่เลย” แอลขมวดคิ้วถาม
“ใช่ หายากมากเลยนะ กว่าจะเจอในป่าก็1ในพันเลยนะ” ฉันตอบอย่างภูมิใจ
“แสดงว่าเราโชคดีมากๆเลยที่เจอมัน”
“มันเองก็โชคดีที่ได้มีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ขนาดนี้ให้อยู่”
“แกชอบไม่ใช่หรอ ไม่คิดจับไปเลี้ยงหรอ”
“ไม่ละ สงสารมัน อยู่ในป่าดีๆแบบนี้ก็ดีแล้วละ”
“อื้ม ก็จริงของแก พูดแบบนี้ดูสวยขึ้นมาเลยนะเนี่ย ฮ่าๆๆ”
“สวยตลอดหย่ะ”ฉันหันไปค้อนนิดๆ
“ไปกันเถอะ”แอลพูด
“อืม เอ่อ เดี่ยวนะ ฉันจะไปดูดอกไม้ข้างหน้านั้นได้ไหม แกเดินไปก่อนเลยเดี่ยวฉันตามไป”
“ไม่เอารอแกตรงนี้แหละ”
“นี่ ฉันไม่หลงหรอก เชื่อใจได้ ถ่ายซัก2-3รูปก็จะตามไป ตามทันอยู่แล้ว”
“เอางั้นหรอ?”
“yes”ฉันพยักหน้าอย่างมั่นใจ
เมื่อพูดจบฉันก็เดินไปถ่ายรูปดอกไม้สีน้ำเงินสดตรงหน้าอย่างอดใจไม่ไหว ถ่ายรูปนี้เสร็จก็ถ่ายรูปนั้นอย่างเพลิดเพลินก่อนที่จะหันกลับไปรวมตัวกับคณะที่มาวิจัย แต่แล้ว!!
“เมื่อกี้แอลเดินออกทางไหนอะ”ฉันตกใจเล็กน้อยเมื่อหันไปรอบๆมีแต่ต้นไม้เขียวขจีสูง ฉันจึงเดินไปเรื่อยๆ ‘เอ๊ะ หรือว่าทางนี้ หรือทางนั่น ต้องทางนั้นซิมีรอยใบไม้หักด้วย’ฉันเดินไปเรื่อยๆแต่ก็ไม่ปรากฏมีทางเดินหรือรอยของรถเลย ความเหนื่อยเริ่มเข้ามาเกาะกุมขา
ฉันยกนาฬิกาขึ้นดู ‘บ่ายสองแล้ว ยังไม่ละหมาดเลย ทำไงดี โทรศัพท์ก็ไม่มีสัณญาณ ฉันกลัวแล้วนะ ยาอัลลอฮ’ ฉันเดินไปเรื่อยเหงื่อไหลเหมือนคนเพิ่งอาบน้ำ แต่แล้ว ‘เสียงน้ำไหลนี่’ ฉันรีบสาวเท้าไปยังต้นเสียง เกือบครึ่งชั่วโมงฉันลากขาอย่างอ่อนล้ามายังธารน้ำขนาดเล็ก รีบจัดแจงล้างหน้าล้างตา อาบน้ำละหมาด
‘กิบลัตทางไหนละเนี่ย’ ฉันคิด ก่อนจะนึกออกรีบหักกิ่งไม้เล็กๆแถวนั้นมาเงยหน้ามองดวงอาทิตย์ก่อนจะเห็นแสงที่พยายามลอดเข้ามาทางต้นไม้สูง ฉันรีบจัดแจงปักไม้ทวนคำพูดที่เคยเรียนมากับอุซตาซ ‘ถ้าไม่รู้ว่ากิบลัตอยู่ทางไหนก็ให้ใช้วิจารณญาณ ด้วยการพิจารณาตำแหน่งของดวงอาทิตย์ เวลาซุฮฺริ – อัศริ ดวงอาทิตย์คล้อยไปทางทิศใด ทิศนั้นคือทิศตะวันตกอันเป็นทิศกิบลัตของประเทศไทยบ้านเรา หรือให้ใช้ไม้หรือปากกาวัดดูเงาของแสงแดดว่าตกกระทบกับพื้นทางทิศใด ทิศตรงข้ามกับเงาแดดที่ตกกระทบพื้น (คือจุดที่วางไม้หรือปากกา) คือทิศกิบลัต’ ฉันเพ่งตาพยามมองเงาโชคดีนะที่ตั้งใจเรียน ไม่งั้นละก็ ‘แต่เอ๊ะ ที่นี่มันยุโรปนะ ไม่ใช่เมืองไทย แล้วทำยังไงดีละ ไม่เคยหลงป่า อ้อ จริงซิ โปรแกรมไง โปรแกรมในโทรศัพท์ ทันทีที่นึกออกฉันจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาดู โชคดีที่โปรแกรมไม้ต้องใช้อินเทอร์เน็ต แต่แบตนี่ซิ สีแดงจ้าเลย ไม่นะไม่นะอย่าเพิ่งดับ เฮ้อ โชคดี’ ฉันถอนหายใจเมื่อได้ทิศกิบลัตก่อนโทรศัพท์จะดับลง เมื่อได้ทิศการละหมาดแล้วฉันจึง จัดแจงละหมาดให้เสร็จสรรพ
เมื่อละหมาดเสร็จฉันจึงได้รู้ว่าความเหนื่อยบวกกับความเมื่อยที่ต้นขายังไม่ลดลงเลย พลันคิดน้ำตาก็ทำท่าทีว่าจะเอ่อล้นขอบตา ‘ไม่ๆๆ ไม่ร้องนะ วีด๊าดไม่ร้อง แค่หลงป่าเอง ไม่เป็นไรหรอก’ ฉันได้แต่ปลอบใจตัวเอง หยิบขนมในย่ามใบเล็กที่เตรียมมากินแก้หิว หยิบโทรศัพท์ออกมาดู ก่อนจะพิงต้นไม้ใหญ่ข้างๆอย่างหมดแรง ‘ตอนนี้ขอแค่ใครซักคนพาฉันออกจากป่าแห่งนี้ไปที ใครก็ได้ ได้โปรด พระเจ้าโปรดส่งคนเพื่อพาฉันออกจากป่าแห่งนี้ที’ ฉันคิดก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมาพลันสิ่งที่อยู่รอบๆตัวก็มืดลงไป
ฉันลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งรู้สึกเมื่อยที่ต้นคอเนื่องจากนอนพิงต้นไม้แข็งๆ ลูบต้นคอตัวเองเบาๆรอบๆตัวปกคลุมไปด้วยความมืด ฉันหยีตาตัวเองอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ แต่ก็แทบสิ้นสติเมื่อเห็นว่ารอบๆตัวนั้นมืดไปหมด ฉันยกนาฬิกาขึ้นมาดู 5:30แล้ว ฉันอยู่ในป่าคนเดียวหรือเนี่ย ห้าโมงเย็นในป่าที่มีต้นไม้สูงๆทำให้รู้สึกเหมือนราวกับเวลากลางคืน ควรทำยังไงดี ฉันควรทำยังไงดี
ฉันเดินไปเดินมาเพื่อให้หายความเครียดกลุ้มที่เกาะอยู่ในใจ ความกลัวเริ่มเข้าเกาะกุมใจอีกครั้งเมื่อมองไปรอบๆตัวเอง มีแต่ต้นไม้สูงๆ เสียงแมลงต่างๆต่างแข่งกันร้องเสียงอันน่าไพเราะยามเช้าฟังเวลานี้ไม่ได้ทำให้ฉันหายกลัวเลยซักนิด กลับรู้สึกกลัวขึ้นไปอีก พลันน้ำตาก็ไหล ‘วีด๊าด เธออ่อนแออีกแล้วนะ อย่าร้องๆ’ ได้แต่ปลอบใจตัวเองแต่น้ำตาเจ้ากรรมก็ไม่มีท่าทีจะหยุดไหล ‘ตั้งสติวีด๊าด เธอต้องตั้งสติ จริงสิ ไฟฉายโทรศัพท์ก็ได้นี่’ ฉันรีบหยิบออกจากกระเป๋าย่าม เปิดไฟ แสงจากโทรศัพท์ ‘มันแบตนี่น่า’ หลังจากที่สายตาปรับกับความมืดได้แล้วฉันจึงเดินไปที่ลำธาร จากนั้นไม่รอช้าจึงทำการอาบน้ำละหมาดในธารน้ำ เช็ดเสื้อตรงที่เปื้อนให้สะอาดแม้จะมีรอยดินเปื้อนบ้างนิดๆ และทำการละหมาดบนพื้นดิน ที่ตอนนี้มีเพียงพื้นหญ้าเป็นเสมือนผ้ารองละหมาด เสร็จสิ้นการละหมาดหัวใจกลับรู้สึกหวาดระแวงอีกครั้ง ฉันรู้สึกไม่อยากหยุดละหมาดเลย อย่างน้อยขณะที่ละหมาดหัวใจฉันก็จะไม่ต้องมารู้สึกหวาดระแวงกับสิ่งรอบข้าง ที่มีแต่ต้นไม้สูงๆ เสียงสัตว์กรีดร้อง ไม่รู้ว่าเป็นตัวอะไรบ้าง คิดถึงสัตว์เมื่อต้องอยู่ในป่าใหญ่คนเดียว ทำให้ฉันต้องกอดย่ามให้กระชับแน่นขึ้นอีก ท้องร้องขึ้นมาราวกับเรียกร้องสิทธิในการรับอาหาร มืออีกข้างก็ถือโทรศัพท์ไว้แน่นทั้งๆที่ไม่ได้ช่วยให้ฉันสะดวกในการเดินไปต่อเลย ไปต่อหรือรออยู่ที่นี่เผื่อจะมาคนออกมาตามหา แล้วถ้าตามหาไม่เจอไม่ได้มาทางนี้ละ ไม่ซิๆ เราต้องเดินไปต่อเรื่อยๆเดี๋ยวก็เจอทาง แล้วถ้ายิ่งหลงละ? สมองทั้งสองข้างเริ่มต่อสู้ขัดแย้งกัน แต่แล้วขาก็เริ่มตัดสินเอง ฉันกอดย่ามกระชับขึ้นมาแล้วเดินไปทางที่คิดว่าเป็นทางที่ย้อนกลับ ก้าวที่หนึ่ง สอง สาม สี่
“โฮกกกก”
แต่แล้วขาทั้งสองข้างของฉันก็ต้องหยุดชะงัก ขนลุกชันขึ้นมา เมื่อได้ยินเสียงคำรามน่ากลัวจากด้านหลัง ‘อย่าหันไปนะวีด๊าด อย่าหันไป’
แต่เสียงสั่งการในสมองก็พ่ายแพ้ต่อความอยากรู้อยากเห็น ฉันค่อยๆหันหลังไปมองต้นเสียงกรรโชกน่ากลัวเมื่อครู่ ค่อยๆเพ่งสายตาไปมอง
เมื่อสายตาทั้งสองข้างประจักษ์ต่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้าโทรศัพท์ในมือก็หล่อนไปราวกับมือข้างนั้นไม่มีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงเลย ดวงตาทั้งสองเบิกโพล่งราวกับต้องการเห็นสัตว์ตัวใหญ่ทะมึน ตรงหน้าให้ชัด ทั้งที่ตอนนี้ก็ชัดราวกับดูHD สัตว์สี่ขายืนตระหง่าน ดวงตาวาวโรจน์ ตัวสีดำทะมึน ค่อยๆกรายเข้ามา ตั้งสติตัวเองได้อีกครั้ง ฉันก็รีบเผ่นแน่บ ต้องการออกจากที่นี่โดยเร็วที่สุด
ขาทั้งสองวิ่งรวดเร็วอย่างมั่นคง วิ่งไปถูกต้นไปใบหญ้าเกี่ยวเสื้อผ้าจนขาดวิ่น หนามก็เกี่ยวแขนขาจนได้แผล แต่เมื่อนึกถึงสิ่งน่ากลัวที่อยู่เบื้องหลังขาทั้งสองก็ไม่มีท่าทีจะเหนื่อย แต่กลับวิ่ง ฉับๆ อย่างว่องไว ในใจคิดแค่ว่า อยากหลุดพ้นไปจากสถานที่นี้ วิ่งไปน้ำตาก็ไหลไม่หยุดราวสายน้ำ มาม๊า ป้ะช่วยหนูด้วย ช่วยหนูด้วย หนูกลัว มาม๊า มาม๊าอยู่ไหน ป้ะอยู่ไหน มาช่วยหนูซิค่ะ มาม๊า!!!!!!
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Namoria hotikate pure เป็นเพียงสายพัธ์ที่ผู้เขียนมโนขึ้นมาเองนะคะ ^^
ชอบไม่ชอบยังไง ก็บอกกันด้วยเน๊อะๆ มือใหม่หัดเขียน อาจจะยังไม่ดีนัก ยังคงต้องเรียนรู้อีกเยอะค่ะ
kongjusarang
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 ม.ค. 2559, 20:01:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 ม.ค. 2559, 20:01:42 น.
จำนวนการเข้าชม : 979
<< คฤหาสน์รัก 1 | คฤหาสน์รัก 3 >> |
ร้อยวจี 20 ม.ค. 2559, 21:00:59 น.
เขียนซะอยากเห็นเลย
เขียนซะอยากเห็นเลย
kongjusarang 24 ม.ค. 2559, 20:37:05 น.
55 ถ้ามีของจริงก็คงดีนะคะ ^^
55 ถ้ามีของจริงก็คงดีนะคะ ^^