ปิ่นแก้วนครา (ในนามปากกา 'พิริตา' )
ด้วยฤทธิ์อำนาจของปิ่นโบราณที่เธอได้มา ทำให้ ‘กังสดาล’ หญิงสาวธรรมดาที่ติดกระโดกกระเดก และง้องแง้งเป็นนิสัย ต้องเดินทางย้อนกลับไปในอดีตของล้านนาเมื่อเก้าร้อยกว่าปีก่อน เพื่อช่วย ‘เจ้าน้อยปิ่นเมือง’ เจ้าราชบุตรแห่งเวียงสีปันจา ยับยั้งการล่มสลายของเวียงสีปันจา แต่ทว่าที่นั่นเธอกลับต้องสวมรอยเป็นหญิงสาวชาวป่าชื่อ ‘สร้อยแสงดา’ ขณะเดียวกันก็ตกกระไดพลอยโจนเป็นคู่หมายของเจ้าราชบุตรไปเสียนี่ กังสดาลจะช่วยยับยั้งการล่มสลายของเวียงสีปันจาได้หรือไม่ เรื่องราวความรักของหญิงสาวที่มาจากอนาคตและเจ้าราชบุตรผู้แสนน่ารัก และอ่อนโยนในอดีต จะเป็นอย่างไร ติดตามความสนุกสนานและซาบซึ้งได้ใน ‘ปิ่นแก้วนครา’ เร็วๆ นี้ค่ะ!
Tags: ปิ่นแก้วนครา เจ้าน้อย พีเรียด ย้อนยุค ล้านนาโบราณ เสือเย็น

ตอน: ปิ่นโบราณ


ภายในห้องนอนสีขาว ที่ประดับตกแต่งด้วยสี

ชมพูอ่อนหวาน ทั้งผ้าม่าน ผ้าคลุมเตียง ตู้ โต๊ะ ของใช้

กระจุกกระจิกต่างๆ จะมีสีแตกต่างก็เพียงแต่พวกตุ๊กตา

ที่วางอยู่บนเตียงและบนหัวเตียงเท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่าง

ในห้องนี้บ่งบอกถึงความเป็นผู้หญิงได้อย่างชัดเจน

กังสดาลออกมาจากห้องน้ำ เตรียมตัวจะเข้านอน

แต่ทว่าสายตากลับปะทะเข้ากับปิ่นทองเหลืองเก่าแก่ที่

วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง หญิงสาวจึงหยิบมันขึ้นมา

พิจารณาอีกครั้ง ขณะหย่อนตัวนั่งลงบนเตียงปิ่นอันนี้

ดึงดูดความสนใจของเธอได้อย่างประหลาด ราวกับว่า

ยิ่งมองยิ่งพิจารณาเท่าไหร่ก็ไม่พอ อีกทั้งรู้สึกเหมือน

คุ้นเคยกับมันมาก่อน แม้จะแน่ใจว่าไม่เคยเห็นปิ่นอันนี้
มาก่อนในชีวิตก็ตาม

ที่กังสดาลเคยรู้สึกว่ามันเหมือนกับปิ่นประดับ

มวยผมของเจ้านางทางเหนือสมัยก่อน ก็เพียงแค่มอง

เผินๆ เท่านั้น เมื่อพิจารณาดูดีๆ กลับมีความแตกต่างอยู่

หลายจุด หากไม่นับพู่พวงสร้อยที่ห้อยระย้า

ปิ่นอันนี้มีลักษณะเหมือนเจดีย์ ลวดลายก็ดู

ประณีตแปลกตา และประดับประดาตรงช่อชั้นต่างๆ

ด้วยอัญมณีสีเขียว แดง น้ำเงิน เหลืองฯ รวมตรงยอดซึ่ง

เป็นแก้วสีขาวใส นับได้ถึงเก้าสี

แม้ตอนนี้อัญมณีเหล่านั้นจะขุ่นมัวไม่เปล่ง

ประกายสดใสเพราะความเก่าแก่ก็ตาม หากมีเวลาสักวัน

เธอจะนำมันไปให้ช่างทางด้านจิวเวลรี่เจ้าประจำของ

พี่ชายลองขัดดู อยากรู้นักว่าพอได้ขัดสีฉวีวรรณแล้วมัน

จะสวยงามขนาดไหน

แต่จู่ๆ เหมือนมีพลังบางอย่างแผ่ออกมาจากปิ่น

โบราณในมือ แล่นเข้าสู่ร่างบางจนขนลุกซู่ ไฟในห้อง

ดับวูบลง กังสดาลรู้สึกตกใจ แต่ก็รีบหลับตาเพื่อปรับ

การมองเห็นอยู่ครู่หนึ่ง

พอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง กลับพบว่าภายในห้องที่

ควรมืดสนิทนั้นกลับมีแสงสลัว และสิ่งที่ปรากฏ

ตรงหน้าทำให้หญิงสาวถึงกับกลั้นหายใจ

ท่ามกลางหมอกควันจางๆ มีชายชราวัยประมาณ

เจ็ดสิบกว่าปี รูปร่างเล็ก สวมเสื้อผ้าฝ้ายคอกลมแขนยาว

ผ่าหน้า กับกางเกงขาก๊วยสีออกทึมๆ โพกศีรษะด้วยผ้า

สีเดียวกัน สะพายย่ามไว้บนบ่า เหมือนคนโบราณทาง

ภาคเหนือ

“คะ...คุณ เป็นใคร? ” กังสดาลถามออกไปเสียง

สั่นพลิ้ว ความกลัวแล่นเข้าสู่หัวใจ อาคันตุกะผู้ไม่ได้รับ

เชิญส่งยิ้มมาให้ แต่รอยยิ้มนั้นกลับแฝงไปด้วยความ

หม่นหมองจนรู้สึกได้

“ข้ามาจากอดีตอันไกลพ้น ที่ซึ่ง ณ.วันนี้ของเจ้า ที่

แห่งนั้นได้ล่มสลายลงไปไม่เหลือซาก จนเจ้าไม่

สามารถค้นหาที่มาที่ไปของชนชาติเราได้” เสียงแหบ

พร่าของชายชราตอบมา ทำให้ความกลัวของหญิงสาว

เพิ่มระดับขึ้นกว่าเดิม

“ถะ...ถ้า... อย่างนั้น คุ...คุณก็เป็นผีน่ะสิ!! ” ริม

ฝีปากของเธอสั่นระริกขณะเอ่ยออกไป แต่ทว่า

อาคันตุกะร่างเล็กกลับส่ายหน้าช้าๆ

“ข้ามิใช่ผี อย่าได้กลัวไปเลย ข้ามาที่นี่เพียงเพื่อจะ

ขอความช่วยเหลือจากเจ้าเท่านั้น” เมื่อรู้ถึงจุดประสงค์

และลักษณะท่าทางชายชราคนนี้ก็ไม่เหมือนผีแต่อย่าง

ใด จึงทำให้กังสดาลพยายามเรียกสติของตนกลับคืนมา

“ไม่ใช่ผี แล้วต้องการให้ฉันช่วยอะไรคะ ของกิน

ของใช้ หรือเงิน แต่ขอบอกไว้ก่อนนะคะว่าถ้าเป็นอย่าง

หลังฉันให้ได้ไม่มาก” หญิงสาวทั้งถามและบอกเสียง

ระรัวในคราวเดียวกัน

“ขอบใจเจ้ามากสำหรับน้ำใจ แต่ตอนนี้ที่ข้า

ต้องการมิใช่สิ่งเหล่านั้น สิ่งที่ข้าต้องการคือให้เจ้า

เดินทางไปช่วยบ้านเมืองหนึ่ง ช่วยลูกหลานและชนชาติ

เหล่านั้นด้วย

“เวียงสีปันจา กำลังจะถึงกาลล่มสลาย เจ้าต้องไป

ยับยั้งเพื่อช่วยเหลือเหล่าวงศ์วานและชาวเมืองให้รอด

พ้นจากภัยอันใหญ่หลวงในครั้งนี้ เพื่อให้ชาติพันธุ์สีปัน

จายังคงอยู่จนถึงยุคสมัยของเจ้า”

“อะ...อะไรนะคะ อะไรคือเวียงสีปันจา เมืองนี้อยู่

ที่ไหนกัน ทำไมฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีเมืองชื่อนี้อยู่ใน

โลกด้วย” สิ่งที่ได้ยินทำให้กังสดาลร้องออกมาด้วย

ความตกใจไม่น้อย ที่คำร้องขอของชายชราผู้นี้ผิดไป

จากที่เธอคาดเอาไว้โดยสิ้นเชิง

“เจ้าและคนในยุคของเจ้าไม่มีวันรู้จักอย่าง

แน่นอน เพราะเวียงสีปันจาได้ล่มสลายไปเมื่อเก้าร้อยปี

ก่อน จากความมักใหญ่ใฝ่สูง แย่งชิงอำนาจของผู้คนใน

สีปันจาเอง

“จึงทำให้ความมืดดำ ความบาปถือโอกาสเข้ามา

ครอบงำสีปันจาได้ ฉะนั้นข้าจึงมาจากอดีตเมื่อเก้าร้อยปี

ก่อน เพื่อขอร้องให้เจ้าช่วยอย่างไรเล่า” คำบอกเล่า

ต่อมาทำให้เจ้าของร่างบางอ้าปากค้างไปหลายวินาที

“เป็นไปไม่ได้! คุณ... เอ่อ ท่านต้องเป็นแค่ความ

ฝันแน่ๆ ” ก่อนจะสะบัดหัวไปมา ราวกับจะให้ตัวเอง

ตื่นจากความฝันอันเหลือเชื่อนี้

“นั่นก็แล้วแต่เจ้าจะคิดเถิด แต่ทุกสิ่งที่ข้าพูดมา

ล้วนแล้วแต่เป็นความจริงโดยแท้” เสียงนั้นตอกย้ำมา

ทำให้เธอต้องหันมาถามต่อ

“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง แล้วทำไมต้องเป็นฉันด้วย

ล่ะคะ คนอื่นทำไม่ได้หรือคะ ตั้งเก้าร้อยปี มันเหลือเชื่อ

มาก”

“เพราะ ปิ่นแก้วนครา ดั้นด้นมาหาเจ้า ซึ่ง

หมายความว่าเจ้ามีจิตผูกพันกับที่นั่น ด้วยเหตุนี้เจ้าจึงถูก

เลือกให้เป็นผู้ที่จะช่วยยับยั้งภัยในครั้งนี้ เจ้าจงไปที่เวียง

สีปันจาเพื่อพบกับ เจ้าน้อยปิ่นเมือง

“ช่วยเขายับยั้ง แก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดนี้ เพราะที่นั่น

เจ้าน้อยปิ่นเมืองคือผู้เดียวที่จะช่วยเหลือชาติพันธุ์สีปัน

จาให้คงอยู่สืบไปได้” เสียงเย็นเนิบนาบแต่ทว่าหนัก

แน่นนั้น ตอกย้ำว่าสิ่งที่พูดไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแน่แล้ว

“ฉันจะไปที่นั่นได้ยังไง แล้วหากสามารถไปที่นั่น

ได้แล้วฉันจะกลับมาได้ยังไง” หญิงสาวหวั่นวิตก แม้จะ

ยังไม่อยากเชื่อเรื่องที่ชายชราแปลกหน้าพูดมาก็ตาม

“นั่นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องกังวล ปิ่นแก้วนคราจะนำ

ทางเจ้าไป ปิ่นแก้วนี้มีพลังอำนาจในการปกป้องเมือง

ผู้คนในสีปันจา โดยเฉพาะ ราชวงศ์ไจยวงษ์สา ปิ่นแก้ว

นคราเป็นของ พระมหาเทวีเจ้าสีลา ที่สวรรคตไปแล้ว

เมื่อสี่ร้อยกว่าปีก่อน และปิ่นนี้ก็ได้หายไปจากเวียงสีปัน

จานับแต่นั้น “จนกระทั่งตอนนี้ปิ่นแก้วปรากฏขึ้นพร้อม

กับชะตากรรมอันโหดร้ายของเวียงสีปันจา และดั้นด้น

มาหาเจ้า เจ้าต้องนำปิ่นแก้วนครากลับไปเวียงสีปันจา

ทำทุกอย่างเพื่อช่วยพวกเขาให้ได้ แล้วชีวิตของเจ้าก็จะ

กลับมาเป็นดังเดิม... หากเจ้าต้องการ” พอพูดจบร่างของ

ชายชราก็ค่อยๆ เลือนหายไปพร้อมกับหมอกควันจางๆ

นั้น

“ดะ...เดี๋ยวๆๆๆ คุณ ลุง ท่านผู้เฒ่า” กังสดาลร้อง

เสียงดัง ก่อนจะสะดุ้งสุดตัว และพบว่าตัวเองนอนอยู่

บนเตียง โดยมีปิ่นโบราณอันนั้นอยู่ในมือ

*-*-*-*-*-*

“เป็นอะไรยัยกั้ง เหมือนคนนอนไม่เต็มอิ่มเลย”

ตอนเช้ากัมปนาทที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์รอน้องสาวอยู่ที่

โต๊ะอาหารถามเจ้าตัว ซึ่งก้าวมานั่งลงตรงข้าม ท่าทางยัง

ติดงุ่นง่วงอยู่ไม่น้อย

“พี่ก้องเคยได้ยินเมืองที่ชื่อเวียงสีปันจาไหมคะ”

หญิงสาวถามขึ้น พลางจ้องมาทางพี่ชายอย่างรอคอย

คำตอบ กัมปนาทนิ่งคิดไปนิดหนึ่ง

“เวียงสีปันจา? ไม่นี่ เป็นเมืองเล็กๆ หรือแว่น

แคว้นย่อยในประเทศไหนหรือเปล่า” ชายหนุ่มตอบ

อย่างมั่นใจพร้อมถามในตอนท้าย สายตามองน้องสาว

อย่างสำรวจตรวจตรา

“มีอะไรหรือเปล่ายัยกั้ง ท่าทางเราดูไม่ดีเลยนะ”

กัมปนาทรู้นิสัยของน้องสาวดีว่า เวลามีเรื่องอะไรในใจ

เจ้าตัวไม่ใช่คนที่จะเก็บงำเอาไว้ได้ และตอนนี้ท่าทาง

หมกมุ่นครุ่นคิดของกังสดาล ก็ทำให้ เขาอดเป็นห่วง

ไม่ได้

“นั่นสิ น้องกั้งเอาน้ำผลไม้หน่อยไหม จะได้สด

ชื่น” รสรินที่พึ่งออกมาจากห้องครัวทันได้ยินถ้อย

สนทนาของสองพี่น้องจึงถามขึ้น

“ไม่เป็นไรค่ะพี่รส กั้งโอเค.ค่ะ คือเมื่อคืนกั้งฝัน

ถึงผู้ชายแก่ๆ คนหนึ่งเขาบอกว่าตามปิ่นนี้มา เขาแต่งตัว

เหมือนคนทางเหนือสมัยโบราณเลยค่ะ” กังสดาลหยิบ

ปิ่นทองเหลืองอันเก่าออกมาจากกระเป๋าสะพาย

“ปิ่นนี้ชื่อ ปิ่นแก้วนครา และเป็นของเทวีเจ้าคน

หนึ่งแห่งเวียงสีปันจา” สิ่งที่หญิงสาวบอกเล่า สร้าง

ความประหลาดใจให้กับสองสามีภรรยาเป็นอย่างยิ่ง จน

ทั้งคู่ต้องหันไปมองสบตากัน กังสดาลจึงเล่าเรื่องความ

ฝันของเธอให้พี่ชายกับพี่สะใภ้ฟัง

“ไม่น่าเชื่อเลยนะคะ” รสรินเปรยขึ้นหลังจากฟัง

เรื่องความฝันของกังสดาลจบ ขณะที่กัมปนาทนิ่งอึ้งไป

“เอาปิ่นนั่นมาให้พี่เถอะ” ก่อนจะบอกน้องเมื่อตั้ง

สติได้

“แต่ว่าพี่ก้องให้กั้งแล้วนะคะ แล้วนี่มันก็แค่ความ

ฝันเท่านั้นเอง” กังสดาลท้วงขึ้น

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ พี่ไม่สบายใจเลยยัยกั้ง เอาปิ่น

มาให้พี่เก็บไว้ก่อน แล้วอีกอย่างตั้งแต่นี้ต่อไปพี่จะไป

รับเรากลับมาค้างที่บ้าน จนกว่าพี่จะแน่ใจว่าไม่มีอะไร

เกิดขึ้นแล้วค่อยกลับไปใช้ชีวิตปกติของเราต่อ” พอ

พี่ชายบอกอย่างนั้น หญิงสาวจึงหันไปทางพี่สะใภ้หวัง

จะให้ช่วยเจรจา แต่มาตอนนี้รสรินได้แต่เพียงพยักหน้า

ให้เธอ กังสดาลจึงไม่อาจทำอะไรได้


“ก็ได้ค่ะ” แม้จะไม่ได้เห็นด้วยกับสิ่งที่พี่ชายทำ

แต่กังสดาลก็ไม่อยากคัดค้าน เพราะรู้ว่าเขารักและเป็น

ห่วงเธอมากแค่ไหน

หญิงสาวออกไปทำงานตามปกติ วันนั้นทั้งวันดู

เหมือนเธอจะไม่มีสมาธิเท่าที่ควร เพราะใจกระหวัดไป

ถึงความฝันเมื่อคืน มันช่างเหมือนจริงเสียเหลือเกิน

ซึ่งหลังตื่นจากความฝันนั้นแล้วเธอก็นอนไม่หลับ

เกือบทั้งคืน เป็นสาเหตุของความงุ่นง่วงในเช้านี้นั่นเอง

แถมวันนี้เธอยังได้พยายามค้นหาเมืองที่ชื่อ ‘เวียงสีปัน

จา’ จากอินเตอร์เน็ต แต่กลับไม่พบอะไรเลย

กังสดาลเชื่อว่าความฝันนั้นต้องมีส่วนที่เป็นความ

จริงอยู่บ้าง อย่างน้อยก็ที่มาที่ไปของปิ่นอันนั้น เธอ

อาจจะตกใจที่จู่ๆ ก็ฝันถึงคนที่ไม่เคยรู้จักกันเลยในชีวิต

จนรู้สึกกลัวในคราแรก

แต่พอมาตอนนี้ความรู้สึกกลัวนั้นหายไปอย่าง

ง่ายดาย แทนที่ด้วยความเห็นใจคนในเวียงสีปันจา

มากกว่า ถ้าหากว่าเรื่องที่รับรู้มาเป็นความจริง ก็นับว่า

เป็นหายนะอันยิ่งใหญ่ของชนชาติหนึ่งเลยทีเดียว

*-*-*-*-*-*

เย็นวันนั้นกว่ากังสดาลจะกลับมาถึงร้านลาย

คราม ก็เล่นเอาดึกพอสมควร และกัมปนาทก็ไปรอรับ

ตามที่บอกเอาไว้ สองพี่น้องต่างก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องความ

ฝันและปิ่นเจ้าปัญหานั่นอีก ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะ

สบายใจขึ้นที่ได้เป็นคนเก็บปิ่นนั้นเอาไว้เอง

จนกระทั่งถึงเวลานอน กังสดาลได้ไหว้พระ สวด

มนต์ตามปกติ หวังว่าคงจะไม่ฝันเหมือนคืนที่ผ่านมาอีก

หลังปิดเปลือกตาลงไม่นาน ในความสะลืมสะลือครึ่ง

หลับครึ่งตื่น

เจ้าของร่างบางรู้สึกเหมือนกำลังก้าวไปตาม

เส้นทางสายหนึ่ง ท่ามกลางสายหมอกสีขาวที่ลอย

อ้อยอิ่งอยู่รอบตัว ราวกับมีใครคนหนึ่งกำลังนำทางเธอ

ขึ้นไปสู่จุดสูงสุด ซึ่งเป็นลานหินกว้าง

เมื่อมองลงไปเบื้องล่าง กลุ่มบ้านเรือนน้อยใหญ่

เรียงรายอยู่โดยรอบ เหมือนเธอกำลังอยู่บนจุดศูนย์กลาง

ที่สูงที่สุดกระนั้น

บ้านเรือนเหล่านั้นมีทั้งกระจายกันเป็นหย่อมๆ

และอยู่ชิดกันเป็นแพราวกับชุมชนใหญ่ ในมุมสูงเช่นนี้

กลับเห็นเพียงหลังคามีทั้งลักษณะมุงด้วยใบตอง หญ้า

คา และวัสดุบางอย่างที่คล้ายกระเบื้อง

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นลักษณะเฉพาะของบ้านเมืองนี้คือ

หลังคาเป็นชั้นลดหลั่นกันไปตั้งแต่สามชั้นรวมทั้งยอด

จั่ว ดูสวยงามไปอีกแบบ อีกทั้งตามชุมชนน้อยใหญ่มี

ต้นไม้สอดแซมไปทั่วดูชุ่มชื่น สบายตา

รวมทั้งภูเขาลูกเล็กๆ จนกระทั่งไกลออกไปสุดตา

จึงเห็นเป็นภูเขาลูกใหญ่สูงสลับซับซ้อน ทำให้

กังสดาลเข้าใจว่าเมืองนี้เป็นเหมือนอ่างกระทะขนาด

ใหญ่ที่มีลานหินสูงนี้โผล่ขึ้นมาตรงกลางนั่นเอง ความ

สวยงามตรงหน้า อากาศที่สดชื่นทำให้กังสดาลต้องสูด

ลมหายใจเข้าเต็มปอดโดยไม่รู้ตัว

“นี่แหล่ะคือเวียงสีปันจา เมืองที่กำลังจะล่มสลาย

ลงในไม่ช้า หากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากเจ้า” เสียงที่

คุ้นหูดังขึ้นข้างๆ หญิงสาวตกใจสุดขีด

พร้อมกับหันมามองข้างกาย และก็พบว่าชายชรา

คนนั้นยืนอยู่ข้างเธอ สีหน้าและแววตาที่มองลง

ไปยังเมืองสีปันจาอันสวยงาม เต็มไปด้วยความ

เศร้าสร้อย

“ท่านเป็นใครคะท่านผู้เฒ่า เป็นเจ้าครองเมืองนี้

เป็นเทพ หรือ... ”

“ก่อนนั้นเมื่อเวียงสีปันจาทำการก่อร่างสร้าง

เมืองขึ้น ข้าเป็นหนึ่งในคนที่เคียงข้าง พระองค์เจ้าปันจา

ผู้สร้างบ้านแปงเมืองแห่งนี้ แต่นั่นมันก็เป็นเพียง

อดีตชาติ

“ตอนนี้ข้าเป็นเพียงคนธรรมดาที่สามารถล่วงรู้

หลายสิ่งหลายอย่าง แต่กลับไม่สามารถทำสิ่งใดได้เลย

จึงต้องมาขอร้องเจ้าอย่างไรเล่า” ชายชราร่างเล็ก

ทอดสายตามองมาทางหญิงสาวอย่างคาดหวัง

“คือ... พูดก็พูดเถอะนะคะ ฉันไม่คิดว่าจะทำอะไร

อย่างที่คุณ เอ่อ...ท่านผู้เฒ่าคาดหวังได้ ฉันเป็นแค่คน

ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น” กังสดาลพยายามอธิบาย ด้วย

รู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“เจ้าพอใจที่จะเห็นบ้านเมืองอันงดงามแห่งนี้ล่ม

สลายลงไปต่อหน้าต่อตาเช่นนั้นหรือ? ” ‘ผู้เฒ่า’ ที่หญิง

สาวเรียกขานมองสบตาเธอ กังสดาลถึงกับพูดไม่ออก

แต่เสียงครืนครานดังกึกก้องมาจากเบื้องล่างทำให้

หญิงสาวต้องหันไปมอง แล้วดวงตาก็เบิกกว้าง กับภาพ

ที่ปรากฏ เมืองที่เธอพึ่งซึมซับเอาความสวยงามไว้เมื่อ

ครู่เกิดความโกลาหล วุ่นวาย เสียงกรีดร้องของผู้คนดัง

สะท้อนไปทั่วในบรรยากาศ

ชุมชนที่เห็นเป็นหย่อมๆ เมื่อครู่กำลังลุกไหม้ด้วย

ไฟ เสียงของสิ่งปลูกสร้างต่างๆ พังลงมาติดๆ กัน ฝุ่น

ควันขนาดใหญ่ลอยขึ้นสูงปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง หรือ

กำลังเกิดศึกสงครามขึ้นกับบ้านเมืองนี้?

“ไม่นะ... ท่านผู้เฒ่า ต้องไม่เป็นอย่างนี้... ”

กังสดาลร้องพร้อมกับหันมามองข้างกายอีกครั้ง กลับ

พบเพียงความว่างเปล่า

และบนลานหินแห่งนั้น ณ.จุดที่ร่างของชายชรา

ยืนอยู่เมื่อครู่กลับปรากฏปิ่นอันคุ้นตา แต่ทว่า... ตอนนี้

มันกลายสภาพจากปิ่นทองเหลืองเก่าคร่ำคร่ามาเป็นปิ่น

ทองคำแวววาว

แก้วอัญมณีหลากสีก็เปล่งแสงของตัวเองเป็น

ประกาย เหมือนพร้อมจะประดับอยู่บนมวยผมของ

หญิงสาวผู้สูงศักดิ์และงดงามสักคนกระนั้น ก่อนที่จะ

ทันคิดอะไรหญิงสาวก็ฉวยปิ่นอันนั้นใส่กระเป๋าเสื้อ

นอน แล้วรีบวิ่งลงมาจากลานหินบนยอดเขาในทันที

*-*-*-*-*-*

ชายหนุ่มร่างอวบลงมาชั้นล่าง ก้าวเข้าไปยัง

ห้องครัวในตอนเช้า เพื่อช่วยภรรยาที่ท้องแก่ทำอาหาร

ตามปกติ ด้วยท่าทางกระปรี้กระเปร่า

“ที่รักทำอะไรกินวันนี้ ให้ผมช่วยอะไรดี”

กัมปนาทถามพร้อมกับชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ภรรยา

“ไม่ต้องแล้วล่ะค่ะ พอดีเมื่อคืนตอนคุณไปรับ

น้องกั้ง รสเตรียมของไว้หมดแล้ว ทั้งแกงส้ม หมูทอด

แล้วก็ผัดผักรวมของโปรดน้องกั้ง เช้านี้ก็เลยทำเสร็จ

เร็วน่ะค่ะ” รสรินหันมาตอบเขาพร้อมกับรอยยิ้มสดใส

“งั้นเหรอ เอ... แล้วทำไมป่านนี้ยัยกั้งถึงยังไม่ลง

มาสักทีนะ เดี๋ยวผมขึ้นไปตามดีกว่า เห็นว่ามีงานเช้า

ด้วย” ว่าแล้วชายหนุ่มก็รีบก้าวขึ้นไปบนชั้นสองของตึก

ซึ่งเป็นส่วนของห้องนอน

กัมปนาทเคาะประตูหลายครั้งกลับไม่มีเสียงตอบ

รับ เป็นเหตุให้เขาร้อนใจ รีบไปเอากุญแจสำรองที่

ห้องนอนของตน ซึ่งอยู่อีกด้านในชั้นเดียวกัน

แต่พอประตูเปิดออก ในห้องที่ตกแต่งสไตล์

หวานๆ ตามประสาผู้หญิงนั้นกลับว่างเปล่า ไม่มีแม้เงา

ของกังสดาล แม้ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของเธอ และ

กระเป๋าทั้งสองใบจะยังอยู่ครบทุกอย่างก็ตาม

ชายหนุ่มใจหายวาบขณะกวาดสายตาไปยังเตียง

และหมอนที่มีร่องรอยการนอนเพียงเล็กน้อย สำรวจ

หน้าต่างก็ล็อกจากด้านในทั้งหมด ไม่มีร่องรอยการต่อสู้

ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องยังคงเรียบร้อยอยู่ในที่ทางของ

มัน

“ยัยกั้ง เราอยู่ไหน ยัยกั้ง... ” กัมปนาทตะโกน

เรียก ขณะปราดเข้าไปในห้องน้ำ แต่ก็พบเพียงความว่าง

เปล่า

“เกิดอะไรขึ้นคะคุณ” รสรินได้ยินเสียงเรียก

โหวกเหวกจึงรีบตามขึ้นมาสมทบ

“ยัยกั้งหายตัวไปรส หายไปโดยที่ไม่ได้ออกทาง

ประตู แม้แต่ทางหน้าต่างก็ไม่มีร่องรอยอะไรเลย” ชาย

หนุ่มละล่ำละลักตอบ หน้าตาตื่น ควบคุมสติแทบไม่อยู่

“เป็นไปได้ยังไงกันคะ หรือว่าเรื่องความฝัน... ”

ก่อนที่รสรินจะทันพูดจบ กัมปนาทก็วิ่งกลับไปยัง

ห้องนอนของตนอีกครั้ง

ชายหนุ่มรีบเปิดตู้นิรภัยส่วนตัว ซึ่งเป็นที่เก็บของ

เก่ามีค่าหลายอย่างและหนึ่งในนั้นคือปิ่นโบราณที่

กังสดาลขอเขาเอาไว้

แต่ทว่าของมีค่าต่างๆ ยังอยู่ครบทุกอย่าง ยกเว้น

ปิ่นทองเหลืองโบราณอันนั้น กัมปนาททรุดตัวลงกับ

พื้นราวกับไร้เรี่ยวแรง รสรินที่ตามเข้ามาเห็นท่าทางของ

สามีก็เข้าใจได้ในทันที

“รสว่าคุณใจเย็นๆ ก่อนนะคะที่รัก เราไปตรวจดู

รอบๆ บ้านอีกทีดีกว่านะคะ บางทีอาจจะไม่เป็นอย่างที่

เราคิดก็ได้นะคะ” หญิงสาวทั้งปลอบทั้งแนะ ซึ่งก็ต้อง

ใช้เวลาหลายนาทีกว่าจะมีปฏิกิริยาตอบโต้จากผู้เป็น

สามี

หลังจากตรวจสอบร่องรอยต่างๆ จนทั่วแล้วไม่

เจอเบาะแสอะไร ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ กัมปนาทก็ได้

ติดต่อไปยังที่ทำงานของน้องสาว ปรากฏว่ากังสดาล

ไม่ได้ไปทำงาน

ทั้งคู่ได้พากันออกตามหากังสดาลในทุกแห่งหน

ที่หญิงสาวชอบไป และคาดว่าน่าจะไป แต่ก็ไม่พบแต่

อย่าง ใด จนกระทั่งมั่นใจแล้วว่าน้องสาวได้หายตัวไป

จริงๆ นั่นก็เป็นเวลาเย็นย่ำแล้ว

เขาจึงตัดสินใจแจ้งความในที่สุด ตำรวจได้มาทำ

การตรวจพื้นที่ ผลสรุปในวันนั้นไม่มีความ

คืบหน้าอะไรเลย คืนนั้นกัมปนาทจึงได้แต่นิ่งไปราวกับ

ช็อก

ในที่สุดสิ่งที่เขาหวาดกลัวก็เกิดขึ้น เขาอยู่กับ

ความเร้นลับของข้าวของเครื่องใช้ซึ่งมาจากอดีตมาทั้ง

ชีวิต ชายหนุ่มไม่เคยคิดว่าเรื่องของจิตวิญญาณ ความลี้

ลับต่างๆ เป็นสิ่งเหลือเชื่อ

หลายครั้งเขายังเคยพบเจอกับตัวเองด้วยซ้ำ แต่ก็

เป็นเพียงเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น และพอเกิด

เหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น กัมปนาทจึงเชื่อหมดใจว่าน้องสาว

ของเขากำลังถูกใครบางคนนำพาไปสู่ที่แห่งหนึ่งซึ่ง

ไกลพ้น

เพื่อทำบางสิ่งบางอย่างตามที่ถูกร้องขออย่างที่เธอ

ได้เล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ กังสดาลเป็นน้องน้อยที่แม้จะ

กระโดกกระเดก ไม่อยู่สุข และเอาแต่ใจตัวเองอยู่บ้าง

แต่ก็มีจิตใจเอื้ออารียิ่งนัก ชายหนุ่มหวังเพียงแต่ว่า

หากสิ่งที่เขาเข้าใจถูกต้อง น้องสาวที่ตนรักจะกลับคืน

มาเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ กัมปนาทได้แต่หวังเช่นนั้น



กานพลู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 ม.ค. 2559, 21:11:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ม.ค. 2559, 21:11:27 น.

จำนวนการเข้าชม : 925





<< บทนำ   สู่เวียงสีปันจา (๑) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account