เธอเป็นดั่ง...ยอดชีวัน
เมื่อผู้เป็นหลานหนีการแต่งงานหม่อมเจ้าอัครดนัยจึงแก้ปัญหาด้วยการแต่งงานแทน คนหนึ่งแอบรักอีกคนปิดบังหัวใจ งานวิวาห์ที่เกือบจะล่มจึงกลายเป็นวิวาห์หวานของคู่บ่าวสาวที่(ดูเหมือน)ไม่อยากแต่งงานกันซะงั้น
Tags: หม่อมเจ้า,วัง,แอบรัก

ตอน: บทที่ ๒



นับแต่จำความได้ อาดนัยของหล่อนไม่เคย ‘ถึงเนื้อถึงตัว’ ขนาดนี้ ยามนี้หัตถ์อันร้อนจัดป่ายปัดอยู่บนเรือนกายหล่อน บนกายอันเปลือยเปล่าที่มีหยดน้ำเกาะพราว น้ำจากฝักบัวไหลรินลงมารดกาย สายน้ำเย็นเยียบแต่ตัวหล่อนกลับร้อนผะผ่าว แก้มของหล่อนคงแดงจัด แม้ภายใต้แสงไฟอันสลัวลาง อาดนัยต้องสังเกตเห็น

“อิน...” เสียงของหล่อนสั่นพลิ้ว ใจก็เช่นกัน แม้จะหลับตา หมายจะปิดบังสิ่งที่อาจจะทำให้ใจวูบไหว แต่ก็ไม่อาจห้ามความรู้สึกได้ “อาบน้ำเองได้ค่ะ”

พูดไปก็เท่านั้น ‘สามี’ ของหล่อนยังคงละเลงสบู่ลงบนเนื้อตัวของหล่อนอย่างเนิบช้า และ...เพลิดเพลิน ส่วนหล่อนน่ะหรือ ทั้งกระวนกระวายและอยู่ไม่เป็นสุข

หล่อนกระเถิบหนีหัตถ์ของอาดนัย ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เขาก็ตามติด แถมยังรั้งตัวหล่อนกลับ แรงดึงจากหัตถ์ใหญ่ทำให้หล่อนเซซวน ซบบนอุระกว้าง ใช่แค่ใบหน้าที่สัมผัสผิวกาย ทุกสัดส่วนของหล่อนก็ถูกเขากอดรัดด้วย ผิวกายของเขาเรียบลื่น แต่หนั่นแน่น เต็มไปด้วยมัดกล้าม และร้อนผ่าว

ทว่าเมื่อเทียบกันแล้ว เนื้อตัวของหล่อนร้อนกว่าเขามาก

“ให้อินอาบเองนะเพคะ”

เสียงของหล่อนแผ่วหวิว ดังแค่ในลำคอ ต่างจากยามปกติที่มักจะพูดจาฉะฉาน ชัดถ้อยชัดคำ

“กว่าจะถอดชุดเราได้ ลำบากแค่ไหนรู้หรือเปล่า”

จำไม่ได้หรอก หล่อนไม่รู้ว่าถอดยากหรือง่าย หล่อนรู้แค่ว่าหล่อนพยายามหนี พยายามปัดป้อง พยายามร้องห้ามแล้ว แต่ไม่รู้เพราะอะไร สุดท้ายชุดที่หล่อนสวมก็หลุดร่วงลงบนพื้นทีละชิ้นๆ...เข็มขัด สไบ เสื้อเปิดไหล่ และสุดท้าย...ซิ่นผ้าไหมยกทอง มือของหล่อนอ่อนระทวยจนจับยึดมันไว้ไม่ได้ หรือไม่...ก็คงเพราะอาดนัยมีแรงมากกว่าหล่อน กระชากครั้งเดียว ผ้าซิ่นก็หลุดตามหัตถ์เขาไปเสียแล้ว

เหลือเพียงบราเซียร์และแพนตี้สีหวาน หล่อนรีบใช้มือปิดมันไว้...เท่าที่จะปิดได้

ด้วยความอาย หล่อยปิดเปลือกตาลง วินาทีก่อนหน้านั้นยังทันได้เห็นร้อยแย้มสรวลของเขา...เป็นยิ้มที่เจือความเอ็นดูและ...พึงใจ

อาดนัยพอพระทัยในเรื่องใด อินทุอรคิดไม่ออก

หล่อนไม่ได้มีหุ่นสะโอดสะอง หรือเซ็กซี่อย่างสาวๆ ที่ตามล้อมหน้าล้อมหลังเขา ดูผ่านๆ ยังเหมือนเด็กเสียด้วยซ้ำ

ความสวยงามในตัวหล่อน เท่าที่คิดๆ ดูแล้ว อาจจะมีแค่ผมดำขลับยาวตรง ขนตางอนยาวที่ได้รับมาจากผู้เป็นมารดา และดวงตากลมโตที่มักมีคนชมอยู่บ่อยๆ

รูปร่างของหล่อนไม่ได้โปร่งระหงชวนมอง ออกจะตันๆ มีน้ำมีนวล แต่เป็นความมีน้ำมีนวลที่ข้างหน้าและข้างหลังเหมือนกันจนแทบแยกไม่ออก! เพราะเหตุนี้หล่อนจึงไม่เข้าใจว่าอาดนัยพอพระทัยในเรื่องใด

หรือ...เป็นเพียงความรู้สึกของผู้ชายทั่วๆ ไป ที่หวังบางสิ่งบางอย่างในคืนแต่งงาน

หากเป็นงานแต่งงานของคนทั่วไป หล่อนคงไม่สงสัย แต่นี่...งานแต่งงานของหล่อนกับเขา เป็นการแต่งงานด้วยความจำเป็น จำใจ และจำยอม ไม่น่ามีสิ่งใดที่อาดนัยหวัง หรือรอคอยเลยแม้แต่อย่างเดียว

“จะให้อาออกไปง่ายๆ น่ะหรือ” สุรเสียงห้าวทุ้มเรียกให้หล่อนดึงสติกลับคืน อินทุอรขยับกายหนีหัตถ์ที่กำลังเลื่อนจากหน้าท้องขึ้นมายังทรวงงามสล้างที่ยังไม่เคยต้องมือชายมาก่อน

“อย่ากลัว” ทรงปลอบ พร้อมกับสัมผัสสิ่งที่หล่อนแหนหวงอย่างเบามือ “อาไม่รุนแรงกับหนูอินหรอก”

หญิงสาวสะดุ้งเฮือก รีบปิดทรวงงามอีกข้างด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างพยายามดันหัตถ์ใหญ่ออก...ด้วยเรี่ยวแรงที่ช่างน้อยนิดเหลือเกิน

ในเสี้ยวขณะจิตของความหวาดหวั่น อาดนัยดึงตัวหล่อนไปกอด...เป็นการกอดที่แสนสุภาพ อบอุ่น เสมือนผู้ใหญ่กอดปลอบใจเด็กนั่นแหละ

“อาอาจจะไม่ใช่สุภาพบุรุษเต็มร้อย แต่อาก็ไม่ได้เลวขนาดขืนใจผู้หญิงได้ ถ้าหนูอินไม่เต็มใจ อาก็จะไม่ทำอะไรเกินกว่านี้”

ทรงใช้หัตถ์ประคองแก้มของหล่อนไว้ แล้วออกแรงให้หล่อนเงยหน้าขึ้น

“ลืมตามองอาสิหนูอิน”

หล่อนเป็นคนดื้อเงียบ แต่ยามอาดนัยสั่ง หล่อนมักจะเชื่อฟังเสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน

อินทุอรค่อยเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆ ตาของหล่อนพร่า มองพักตร์ของอาดนัยไม่ชัดในคราแรก ต่อเมื่อกะพริบหลายต่อหลายครั้งจึงได้เห็นอารมณ์บางอย่างอัดแน่นอยู่ในดวงเนตรคู่นั้น

เป็นอารมณ์ที่หล่อนไม่เคยสัมผัส และทำให้หล่อนยิ่งสะท้านไปทั้งตัว

“ไม่ต้องกลัว อาจะไม่ทำอะไรมากกว่านี้...จนกว่าหนูอินจะพร้อม”

“อาดนัยขา” หล่อนร้องเรียกเขา เสียงเบาราวกระซิบ “แน่พระทัยแล้วหรือเพคะ”

“เรื่องอะไรคะ”

ตรัส คะ ขา เฉกเช่นยามที่หล่อนยังเป็นเด็ก

“เรื่องแต่งงาน...เราต้องแต่งงานกันจริงๆ หรือเพคะ”

“จริง”

“แต่นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะเพคะ”

“อาไม่เคยทำอะไรเล่นๆ หนูอินก็รู้”

“แล้ว...” อินทุอรยังลังเล ไม่ใช่ลังเลในความรู้สึกของตัวเอง แต่เป็นความรู้สึกและหัวใจของอาดนัยต่างหากที่หล่อนไม่แน่ใจ ไม่เข้าใจ และหาคำตอบไม่ได้ “แล้ว...อาสราล่ะเพคะ อาสราจะเสียใจนะเพคะ”

“ทำไมต้องเสียใจ อากับสราไม่ได้มีอะไรเกินกว่าเพื่อน เราเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น”

‘เพื่อนกัน’ อินทุอรไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้น เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตั้งแต่หล่อนอายุสิบห้าสิบหก หล่อนเห็นอาดนัยมักจะไปไหนมาไหนกับท่านหญิงสราวลีอยู่เสมอ ตัวติดกันจนใครคิดว่าทั้งสองคงจะจัดงานอภิเษกเร็วๆ นี้ ผ่านมาหกปี แทนที่อาดนัยจะอภิเษกกับอาสรา กลับมาเข้าพิธีวิวาห์กับหล่อนเสียนี่

เป็นความอัศจรรย์และแปลกประหลาดที่หล่อนยังคิดไม่ตก

“แต่ว่า...”

เพราะยังตอบความสงสัยในหัวใจตัวเองไม่ได้ และยังไม่เข้าใจในสถานการณ์ทั้งหมด อินทุอรจึงพยายามค้นหาคำตอบ แต่หม่อมเจ้าอัครดนัยไม่ยอมให้หล่อนทำเช่นนั้น เมื่อทรงประทับจุมพิตลงบนกลีบปากของหล่อน

จูบ...ที่หล่อนไม่เคยได้สัมผัส

และเป็นจูบ...จากชายผู้เป็นรักแรก และรักเดียว

จูบนั้นทำให้หล่อนหยุดหายใจไปชั่วขณะ ก่อนจะร้อนวูบวาบไปทั้งสรรพางค์




ความร้อนที่ไม่เคยได้สัมผัส เคยทั้งสงสัย กริ่งเกรง และอยากรู้อยากเห็น หม่อมแม่เคยต่อว่าหล่อนว่า ‘แก่แดดเสียจริงลูกคนนี้’ หล่อนไม่คิดว่าตัวเองเป็นเช่นนั้น หล่อนแค่อยากรู้ในทุกๆ เรื่องบนโลกใบนี้ เห็นหรือพบอะไรน่าสงสัยก็มักจะถามนู่นถามนี่อยู่เสมอ เรื่อง ‘จูบ’ ก็เช่นนั้น เสียหายตรงไหนหรือที่หล่อนอยากรู้ว่าเป็นเช่นไร

‘ก็อินอยากรู้นี่คะ อินเคยอ่านในนิยาย มันจะเป็นแบบนั้นหรือเปล่า’

ชักจะเลือนๆแล้วว่าถามตอนอายุเท่าไร เพิ่งจะมานึกถึงอีกครั้งก็ตอนนี้เอง

คราวนี้หม่อมแม่ไม่ต้องตอบ เพราะมีคนให้คำตอบหล่อนแล้ว...เป็นคำตอบที่ไม่ใช่แค่คำพูด หรือคำอธิบาย แต่เป็นการกระทำ เป็นภาคปฏิบัติที่ทำให้หล่อนหายใจไม่ทั่วท้อง

หล่อนไม่คิดว่าจะมีผู้ชายคนไหนมาจูบหล่อน เพราะชีวิตหล่อนรู้จักผู้ชายเพียงแค่ไม่กี่คน และคนเหล่านั้น...หล่อนก็ไม่คิดว่าจะมารักหล่อนได้

คนแรก...หม่อมราชวงศ์กฤตพล สิรภพผู้ชายคนนี้แสดงออกมาแต่ไหนแต่ไรว่าหล่อนคือเพื่อน...เป็นเพื่อนกันชนิดที่ว่าคงเป็นไปจนตาย ไม่อาจเปลี่ยนเป็นอื่นได้อีก

คนที่สอง...หม่อมหลวงพิมุกต์ ราชวลัย เพื่อนชั้นเรียนเดียวกันของหล่อน รู้จักกันเมื่อตอนที่หล่อนเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ผู้ชายคนนี้ออกจะเฉิ่ม เชย พูดน้อย และเรียบร้อยกว่าหล่อนเสียอีก เวลาจะทำอะไรโลดโผน เขาเป็นต้องส่ายหน้าไม่เอาท่าเดียว ผู้ชายลักษณะนี้ไม่ใช่แบบที่หล่อนจะชอบได้เลย เพื่อนคือความสัมพันธ์ที่เหมาะสมที่สุด และพิมุกต์ก็เป็นเพื่อนที่ดีตลอดมา

คนที่สาม...คุณครูไสว ครูสอนเปียโนของหล่อน อายุพอๆ กับหม่อมพ่อแต่ยังไม่แต่งงาน หล่อนเคยถามครูว่ายังไม่พบคนที่ถูกใจอีกหรือ ครูก็ตอบแค่ ‘อืม’ ตอบสั้นๆ เพียงแค่นั้นโดยไม่ขยายความใดๆ เลย

และคนสุดท้าย...หม่อมเจ้าอัครดนัย สิรภพ น้องชายของสหายคนสนิทของหม่อมพ่อ ครอบครัวเราสองคนสนิทกัน หล่อนเลยรู้จักอาดนัยมาตั้งแต่จำความได้ ตอนหล่อนอายุเจ็ดขวบ อาดนัยมักจะแวะมาที่บ้าน ทรงสวมชุดนักศึกษา...ไม่ใช่เรียบร้อย ติดกระดุมถึงคอและสอดเสื้อเข้าในกางเกงแบบพิมุกต์ อาดนัยไม่เคยติดกระดุมผูกเนคไทเลยด้วยซ้ำ ชายเสื้อก็เอาเข้าในข้างหนึ่ง ปล่อยชายอีกข้างหนึ่ง ท่าทางของอาดนัยเหมือนนักเลงที่หล่อนเคยเห็นในโทรทัศน์ไม่ผิดเพี้ยน หม่อมพ่อถึงกับส่ายพักตร์

‘แต่งตัวดีๆ หน่อยไม่ได้หรือวะดนัย’

‘เลิกเรียนแล้วนี่ครับพี่เจต แล้ว...แต่งแบบนี้มันก็ไม่ได้ดูแย่อะไรนะครับ สบายดี’

ตรัสพลางจุดบุหรี่สูบ พานให้หม่อมแม่รีบพาหล่อนออกจากห้องรับแขกทันที

‘ตายแล้วดนัย อย่ามาสูบตรงนี้สิจ๊ะ’

‘โอ๊ะ! ขอโทษครับ’ เมื่อนั้นจึงทรงเห็นว่ามีหล่อนอยู่ในห้องด้วย ‘ผมลืมไปว่าหนูอินอยู่ด้วย’ แล้วอาดนัยก็รีบดับบุหรี่มวนนั้น ยกน้ำขึ้นดื่ม ก่อนสาวบาทมาหาหล่อนซึ่งยืนทำหน้าตาบูดบึ้งอยู่

‘เหม็น’ ครั้นอาดนัยเข้ามาใกล้ หล่อนก็บ่น อินทุอรยังจำได้ว่าทรงอุ้มหล่อนไว้แนบอุระ แล้วแย้มสรวลอวดทนต์ที่ไม่ค่อยขาวให้หล่อนดู

‘เหม็นมากหรือหนูอิน’ ตรัสถามพลางยื่นปรางมาใกล้หล่อน ‘เหม็นจนหอมไม่ได้เลยหรือจ๊ะ’

‘เพคะ’ หล่อนตอบฉะฉาน พลางยกมือบีบจมูกอีกด้วย ‘เหม็นที่สุดเลยเพคะ หม่อมแม่บอกว่าบุหรี่ไม่ดี ทำไมอาดนัยถึงยังสูบล่ะเพคะ’

คนฟังสรวลราวกับชอบใจ ขณะที่หม่อมแม่ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ได้แต่ยิ้มจืดๆ แล้วเสริมด้วยเสียงนุ่มตามแบบฉบับของท่าน

‘ไม่ดีจริงๆ นะจ๊ะดนัย ถ้าเลิกได้ก็เลิกเถอะ’

‘หนูอินว่าไงจ๊ะ’ ไม่ตรัสรับคำ แต่กลับถามหล่อน

‘หนูอินเหม็น...ถ้าอาดนัยยังสูบอยู่ หนูอินจะไม่หอมอาดนัยอีก’

เพราะคำขาดของเด็กเจ็ดขวบหรือไรไม่ทราบได้ นับจากวันนั้นเพียงไม่ถึงอาทิตย์ อาดนัยก็เลิกบุหรี่เด็ดขาด ชนิดที่ไม่ว่าไม่แตะต้องอีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว

‘อาเลิกสูบแล้วน้า หอมอาได้หรือยัง หืม?’

หลังจากวันนั้นก็ทรงขอให้หล่อนหอมทุกครั้งที่พบหน้า ไม่รู้ว่าที่เลิกบุหรี่ได้เร็ว เพราะหันมาติดหล่อนแทนหรือเปล่า

หล่อนจำได้ อาดนัยให้หล่อนหอมจนหล่อนอายุสิบขวบ เพราะเสด็จไปศึกษาต่อที่ฝรั่งเศสจึงไม่มีโอกาสให้หล่อนได้หอมอีก

‘แย่เลยหนูอิน ไปอยู่ที่นู่นใครจะหอมอา’

หล่อนทำเสียงฮึในลำคอ ก่อนเอ่ยด้วยเสียงค่อนแคะเล็กน้อย

‘ที่นู่นมีสาวๆ ตั้งเยอะแยะ อีกหน่อยอาดนัยคงลืมหอมของอินแล้ว’

‘โธ่! ใครจะไปลืมหนูอินได้’ ตรัสพลางบีบปลายจมูกของหล่อน ‘จมูกเล็กๆแบบนี้’ แล้วเลื่อนมาบีบริมฝีปากหล่อนอย่างหยอกล้อ ‘ปากนิ่มอย่างนี้ ใครจะลืมลง...อาน่ะหลงหนูอินจะตายอยู่แล้วรู้หรือเปล่า’

หลงไม่หลงไม่รู้หรอก แต่อาดนัยก็ส่งจดหมายมาหาหล่อนทุกเดือน หล่อนเองก็เฝ้ารอคอยจดหมายจากอาดนัยอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน...เป็นการเฝ้ารอที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและหัวใจตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้




จดหมายฉบับแรกที่อาดนัยส่งถึงหล่อน อินทุอรยังจำได้ดี ลายพระหัตถ์ในจดหมายฉบับนั้น ปลายอักษรตวัดเสียจนทำให้อ่านยาก แต่ก็เหมาะสมกับอาดนัยดี คนที่โปรดการโลดโผน ไม่ชอบอยู่ในกรอบของใครต่อใครแบบนั้น คงไม่เหมาะกับลายมือเป็นระเบียบเรียบร้อยหรอกกระมัง

จดหมายฉบับนั้น อาดนัยส่งถึงหล่อนหลังจากไปอยู่ลอนดอนได้หนึ่งปี

ลอนดอน

18 กันยายน

นั่งเขียนริมหน้าต่างในวันฝนตก



หนูอินของอา

อาเพิ่งมีโอกาสเขียนถึงหนูอินก็วันนี้เอง หลังจากที่ได้สัญญากันไว้เมื่อหนึ่งปีก่อนว่าอาจะจดหมายมาหาทันทีที่ถึงลอนดอน แต่อาก็ผิดสัญญาอย่างไม่น่าให้อภัยเป็นที่สุด อย่าโกรธอาเลยนะหนูอิน อาต้องตระเวนไปหาคนรู้จักที่อยู่ที่นู่น ทั้งญาติ ทั้งเพื่อน ทั้งอาจารย์ นับรวมๆ ก็เกือบยี่สิบคน แถมยังอยู่คนละเมืองเสียด้วย อาเลยต้องเดินทางไปนู่นมานี่ ไม่ได้มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง เพิ่งกลับมาถึงลอนดอนหนึ่งเดือนก่อนเปิดเรียน อาเลยวุ่นอยู่กับการหาที่พัก กว่าจะได้ห้องถูกๆ ใกล้มหาวิทยาลัยก็เกือบสิบวัน เพิ่งจะว่างมาเขียนจดหมายถึงหนูอินก็วันนี้เอง รอจดหมายจากอาอยู่หรือเปล่าจ๊ะ คิดถึงอาบ้างไหม หรือเกลียดหน้าอาคนนี้จนไม่อยากเห็นหน้าแล้ว

หนูอินจ๋า อย่าโกรธอาเลย อาจะไม่ผิดสัญญากับหนูอินอีกแล้ว แล้วจะจดหมายถึงหนูอินบ่อยๆ ด้วย ถ้าอาผิดสัญญาอายอมให้หนูอินตีอาเลยเอ้า! ตอนนี้หนูอินอยู่ชั้นไหนแล้วจ๊ะ ขึ้นประถมสองแล้วใช่ไหม ยังวิ่งเล่นจนผมกระเซอะกระเซิงอยู่หรือเปล่า อายังจำได้ ตอนอาไปหาพี่เจตทีไร หนูอินเป็นต้องวิ่งผมเปียชี้มาหาอาทุกที ตัวก็เปื้อนมอมแมมจนแทบดูไม่ได้ นี่ถ้าไม่ใช่หนูอิน อาคงไม่ยอมอุ้มแน่ๆ ละ อยู่ที่นี่ไม่มีใครให้อาอุ้มเลย อาจจะมีคนหอมอาบ้างสามสี่คนแต่ก็ไม่มีใครหอมได้ชื่นในเท่าหนูอินของอาอีกแล้ว คิดถึงปากนิ่มๆ ของหนูอินเหลือเกิน ถ้ากลับไทยเมื่อไร ช่วยหอมอาคนนี้สักร้อยทีได้หรือเปล่า



คิดถึงเสมอ

อาดนัยของหนูอิน



ตอนนั้น พออ่านจบหล่อนก็รีบเขียนตอบกลับไปว่า

‘ให้หนูอินหอมสักสองร้อยทีก็ยังได้เลยเพคะ’

ต่อด้วยประโยคที่ทำให้หล่อนหน้าเห่อร้อนทุกครั้งที่นึกถึงในอีกสิบปีให้หลัง

‘นอกจากหม่อมพ่อกับอาดนัยแล้ว หนูอินจะไม่หอมใครอีก อาดนัยก็ต้องให้หนูอินหอมคนเดียวนะเพคะ’

หล่อนไม่เคยเชื่อว่าไม่มีใครหอมอาดนัย เพราะหล่อนได้ยินข่าวอาดนัยคงสาวคนนู้นคนนี้อยู่เนืองๆ เรียกได้ว่าตลอดสิบกว่าปีในลอนดอน อาดนัยของหล่อนไม่เคยว่างเว้นจากสาวๆ เลยสักครั้ง

อาดนัยอยู่ที่ลอนดอนเกือบหกปี จึงกลับมาเยี่ยมบ้าน ทรงหอบช็อคโกแลตมาให้หล่อน...ไม่ใช่น้อยๆ แต่แบกมาเป็นลังเลยทีเดียว

อินทุอรในวัยสิบสอง...ดรุณีแรกรุ่นที่กำลังจะแตกเนื้อสาว เพื่อนๆ ในวัยเดียวกับหล่อน เลิกปีนป่ายต้นไม้และเล่นซนแล้ว ส่วนหล่อนยังคงวิ่งเล่นกับเด็กในบ้านสองสามคน ปีนป่ายต้นไม้ทุกวี่วัน แม้แต่วันที่หม่อมเจ้าอัครดนัยกลับมาประเทศไทยครั้งแรกในรอบหกปี

อินทุอรไม่ได้ถักเปียเหมือนตอนเป็นเด็กแล้ว บัดนี้หล่อนรวบผมเป็นมวยไว้กลางศีรษะ รัดด้วยหนังยางสีดำและผูกโบสีชมพู แก้มยุ้ยๆ เริ่มตอบลง หน้าเรียวขึ้น ผิวพรรณผผุดผ่องสมวันเผยให้เห็นความงามในวัยแรกแย้ม แม้จะเปรอะเปื้อนฝุ่นดินไปบ้าง แต่ก็ไม่อาจบดบังความสดใสของหล่อนได้

หญิงสาวกำลังปีนเก็บลูกมะม่วงริมกำแพงวัง โดยมีเด็กชายวัยเจ็ดขวบผู้หนึ่งถือผ้ารับลูกมะม่วงที่ผู้เป็นนายโยนลงมา ลูกแล้วลูกเล่า นับสิบลูก มีเสียงรถแล่นเข้ามาภายในตัวบ้าน แต่อินทุอรก็ไม่สนใจเพราะรู้ว่าผู้ที่มาหาหากไม่มาเฝ้าหม่อมพ่อก็คงมาพบหม่อมแม่ของหล่อน หล่อนจึงตั้งหน้าตั้งตาเก็บมะม่วงต่อไป ปากก็ตะโกนบอกป้าแย้มแม่ครัวว่า

‘ทำน้ำปลาหวานให้หน่อยนะคะป้าแย้ม ทำเยอะๆ เลยน้า อินจะเอาไปแจกพวกไอ้จุกมันด้วย’

ถ้อยคำห้าวๆ ไม่สุภาพเท่าไรนัก หากผู้เป็นบิดาได้ยิน คงโดนดุไม่มากก็น้อย ทว่าเมื่อคนที่ได้ยินคือหม่อมเจ้าอัครดนัยแล้ว คำเหล่านั้นจึงเป็นคำธรรมดาๆ สำหรับผู้ชายห่ามๆ และออกจะเกเรหน่อยๆอย่างเขา ตรงกันข้าม แทนที่จะหงุดหงิด กลับทรงเห็นเป็นเรื่องขันเสียมากกว่า

‘ไอ้จุกที่ว่านี่ใครกัน’

เสียงอันคุ้นหู...และเป็นเสียงที่หล่อนจำได้แม่นไม่เคยลืม ทำให้อินทุอรสะดุ้งโหยง เอี้ยวตัวไปมอง ครั้นเห็นเต็มตาว่าหม่อมเจ้าอัครดนัยยืนแย้มโอษฐ์กว้างอยู่เบื้องล่าง อารามตกใจทำให้หล่อนปล่อยมือที่เกาะเกี่ยวต้นไม้ไว้

เพียงเสี้ยววินาทีของอาการเผลอไผลและลืมตัว หล่อนพลันหวีดร้องเมื่อรับรู้ว่าร่างของตัวเองกำลังร่วงลงมาตามแรงโน้มถ่วงของโลก

‘ว้าย!’

เสียงนั้นดังขึ้นเพียงชั่วประเดี๋ยวประด๋าว เพราะทันที่หล่อนตกลงสู้อ้อมกรของท่านชายดนัย เสียงของหล่อนกลับกลืนหายลงไปในลำคอทันควัน

‘เฮ้อ...’ แว่วเสียงคนสูงวัยกว่าทอดถอนใจ ดวงเนตรที่ทอดมองมามีทั้งความอ่อนระอา และขบขันเอ็นดู ‘เกือบไปแล้วหนูอิน ดีนะที่อารับทัน’ ใช่แค่ตรัสยังยกหล่อนขึ้นลงอีกด้วย ‘ผอมเกินไปหรือเปล่าน่ะเรา วันๆ กินอะไรบ้าง หืม?’

ถามโดยไม่รอคำตอบ เพราะทรงหันไปพยักเพยิดกับคนขับรถที่ทำหน้าตาตื่นอยู่ใกล้ๆ

‘ไอ้สน...ไปเอากล่องหลังรถให้หน่อยซิ’

ฝ่ายนั้นพยักหน้า แล้วผลุบหายไปเพียงสองสามนาที ตอนกลับมาเขาแบกลังขนาดใหญ่สองลังมาด้วย

‘เห็นว่าหนูอินชอบ อาเลยซื้อมาให้’ ทรงหันมาสบตาหล่อน ขณะที่ยังคงอุ้มหล่อนไว้ ‘อาชิมมาเกือบทั่วอังกฤษแล้ว เลือกที่อร่อยๆ มาให้ หนูอินลองชิมดูก่อน ชอบยี่ห้อไหนค่อยบอกอา วันหลังอาจะหิ้วมาฝาปกอีก’

‘อะ...อาดนัย’ อินทุอรเพิ่งหาเสียงตัวเองเจอ...เสียงของหล่อนเปลี่ยนไปเล็กน้อย หวานใส กังวาน ไม่แหลมเล็กและไร้เดียงสาเหมือนตอนเด็กๆ ‘ปล่อยอินก่อนได้ไหมเพคะ’

ทรงเลิกพระขนง ยกมุมโอษฐ์ขึ้นเล็กน้อยแล้วส่ายพักตร์

‘ยังปล่อยไม่ได้’

อินทุอรเลิกคิ้วตาม แล้วทำสีหน้างุนงง

‘หนูอินลืมไปอย่างหนึ่งนะ’

‘ลืม? ลืมอะไรเพคะ?’

‘ในจดหมายที่หนูอินเขียนถึงอา หนูอินบอกว่ายังไงลืมไปแล้วหรือ’

คนถูกถามนิ่งคิด ก่อนหน้าจะยิ่งแดงซ่านเมื่อจดจำข้อความของตัวเองได้

‘หลายปีแล้วนะเพคะ ตอนนั้นหนูอินเพิ่งจะเจ็ดขวบเอง’

‘แต่หนูอินสัญญาแล้ว สัญญาต้องเป็นสัญญาสิ’

คำสัญญานั้น...คือหอมสองร้อยทีเมื่อได้พับกันอีกครั้ง

อาดนัยกลับมาบ้านเมื่อไร หนูอินจะหอมสองร้อยทีเลยเพคะ

หล่อนเขียนไปตามประสาเด็ก แต่คนตัวโตกลับจำได้แม่นแถมยึดเอาเป็นจริงเป็นจังเสียด้วย

‘อาไม่เคยลืมหรอกนะ’

อินทุอรชักปั้นหน้าไม่ถูก หล่อนรีบเบือนหน้าหลบสายตาวาวๆ ของเขา แล้วทำปากขมุบขมิบต่อรองว่า

‘ผ่อนได้ไหมเพคะ ครั้งนี้หอมหนึ่งที ครั้งหน้าค่อยหอมอีกที’

คนฟังพ่นเสียงหัวเราะอย่างขบขัน

‘โธ่! หนูอิน! กว่าจะครบสองร้อย ไม่ปาเข้าไปสี่ห้าปีเลยหรือ’ จากนั้นก็ทรงพยักพักตร์ ‘เอาๆ เปลี่ยนจากสองร้อยเป็นทีเดียวก็ได้’ ทรงจ้องหน้าหล่อน แล้วทอดถอนพระทัยยืดยาว ‘หนูอินโตแล้ว...ถ้าโตกว่านี้คงหอมอาไม่ได้แล้วละ’

จากนั้นก็ทรงยื่นปรางให้หล่อน อินทุอรไม่คิดหลบเลี่ยง หล่อนจำต้องทำตามสัญญา...ยื่นปากไปจุ๊บปรางของอาดนัยด้วยการแตะเพียงนิดเดียวก่อนถอยออกมา แว่วเสียงสรวลเบาๆ ในลำคอ ก่อนอาดนัยจะยอมปล่อยหล่อนจากอ้อมกร เป็นเวลาเดียวกับที่รถสองคันแล่นเข้ามาภายในอาณาเขตวังดิลบุตร

หนึ่งนั้นคือรถของบิดาหล่อน ส่วนอีกหนึ่งนั้นคือรถของพระบิดาของอาดนัย ท่านเสด็จมาพร้อมกับกฤตพล...หลานชายวัยเดียวกันกับหล่อน




ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ม.ค. 2559, 10:06:56 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 ม.ค. 2559, 10:06:56 น.

จำนวนการเข้าชม : 1296





<< บทที่ ๑   บทที่ ๓ >>
ร้อยวจี 28 ม.ค. 2559, 11:59:36 น.
น่ารักดีค่ะ


Zephyr 28 ม.ค. 2559, 17:39:34 น.
อาดนัยเลี้ยงต้อยนี่เอง
ตั้งแต่เล็กแต่น้อยเลยอ่ะ
กรี้ดๆๆๆๆๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account