ตะวัน (ร้าย) ฉายรัก (นามปากกา 'พิริตา' ) เปิดจองรูปแบบเล่มพร้อม E-Book
‘ปาลิกา’ หญิงสาวกำพร้าที่สูญเสียครอบครัวไป

ตั้งแต่ยังเยาว์วัย แต่โชคดีที่มีผู้อุปการะไว้ ซึ่งก็เป็นนายจ้างของครอบครัว

เธอนั่นเอง ปาลิกาเติบโตมาท่ามกลางความรัก เข้าใจอย่างล้นเหลือของ

ประมุขทั้งสองของบริษัท ‘เดอะซัน กรุ๊ป จิวเวลรี่’ และเพราะที่แห่งนี้เป็น

สถานที่ที่ทั้งพ่อแม่และยายของเธอได้ใช้ชีวิตอยู่จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

ที่นี่จึงมีความหมาย และมีความสำคัญสำหรับหญิงสาวมาก

ในชีวิตของปาลิกามีเพียงสองสิ่งเท่านั้นที่เธอรู้สึกว่าเป็นอุปสรรค ขวาก

หนามที่ยิ่งใหญ่ นั้นก็คือ ปมแห่งความหวาดกลัวที่เป็นเหตุให้เธอติดอยู่กับฝัน

ร้ายในวัยเด็ก และลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูล ‘รัตนาวาณิชย์’ ที่เติบโต

มาด้วยกัน เขามีอายุอ่อนกว่าเธอหนึ่งปี แต่ไม่เคยยอมรับว่าเธอเป็นพี่สาว

หนำซ้ำยังคอยแกล้งเธอมาตั้งแต่เด็ก และเธอก็เรียกเขาว่า ‘จอมวายร้ายเจ้า

เล่ห์,คนกวนประสาทฯ ‘ แต่ทว่าจอมวายร้ายคนนั้นกลับเป็นคนเดียวกันที่อยู่

เคียงข้างเธอยามมีภัย และพยายามช่วยเธอให้หลุดพ้นจากปมแห่งฝันร้าย

นั้น และเป็นคนเดียวกับที่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย

แต่แล้ว...ก็กลับเป็นคนเดียวกัน ที่กันเธอออกจากเดอะซัน กรุ๊ปฯ และชีวิต

ของเขา เหมือนไม่เห็นค่า ความสำคัญของเธออีกต่อไป จนหญิงสาวทนอยู่

กับความรู้สึกเจ็บปวด สิ้นไร้ ด้อยค่าของตัวเองไม่ไหว ที่สุดจึงตัดสินใจเดิน

ออกมาจากชายคาเดอะซัน กรุ๊ปฯ ด้วยหัวใจที่บอบช้ำ.


‘ตะวันฉาย’ ลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูล ‘รัตนาวาณิชย์’ และผู้สืบทอด

กิจการของบริษัท ‘เดอะซัน กรุ๊ป จิวเวลรี่’ ต่อจากมารดา หลังกลับจากเรียน

ต่อต่างประเทศชายหนุ่มได้เข้ามาเรียนรู้งานในเดอะซัน กรุ๊ปฯ อย่างเต็มตัว

โดยมี ‘ปาลิกา’ (หรือที่เขาเรียกจนติดปากว่า ‘ยัยปลิก’) คอยกระตุ้นอยู่ตลอด

ทั้งที่โดยนิสัยแล้วตะวันฉายเป็นคนที่มีความตั้งใจ รับผิดชอบและจริงจังกับ

งาน โดยเฉพาะช่วงหลังที่เขาเข้ามาทำงานอย่างเต็มตัวแล้วนั่น แต่ใน

ทางกลับกันตะวันฉายจะกลายเป็นเด็กไม่ยอมโตทันทีที่อยู่กับปาลิกา เพราะ

ความรื่นรมย์อีกอย่างในชีวิตของเขาตั้งแต่เล็กจนโต คือการได้แกล้งปาลิกา

ทั้งวาจาและการกระทำ แต่เขาก็ได้สงวนลิขสิทธิ์ในการแกล้งไว้แค่ตัวเขา

เอง คนอื่นห้ามแกล้งโดยไม่ได้รับอนุญาตเสียอย่างนั้น

แต่ทว่าหากยามใดที่ปาลิกามีภัย อ่อนแอ ตะวันฉายจะถึงตัวเธอก่อนเสมอ

เขาห่วงทุกย่างก้าวในชีวิตของเธอ โดยเฉพาะปมแห่งความกลัวที่ทำให้เธอ

ฝันร้ายในตอนเด็ก ชายหนุ่มปรารถนาจะให้เธอเอาชนะความกลัวนั้นให้ได้

และการที่ตะวันฉายได้มีโอกาสอยู่เพียงลำพัง ไกลห่างกับปาลิกาขณะที่

เรียนอยู่ต่างประเทศนั้น ได้ทำให้เขารู้ใจตัวเองว่าคิดอย่างไรกับเธอ ชาย

หนุ่มไม่เคยสงสัยในความรู้สึกที่มีต่อหญิงสาวเลยสักนิด แต่เพราะเชื่อว่าเธอ

รักใครอีกคนที่เป็นญาติสนิทของเขา และผู้ชายคนนั้นก็เป็น ‘ผู้ชายในฝัน’

ของเธอมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาได้แต่กล้ำกลืนความรู้สึกเอาไว้ กว่าจะรู้ว่า
ปาลิกาก็รักเขาไม่ต่างกัน ก็ในวันที่เธอได้หนีเขาไปเสียแล้ว...


‘ก็ลื้อสองคนน่ะสิ มีด้ายแดงผูกติดกันมา

ตั้งแต่เกิด แต่ที่แปลกไปกว่านั้นคือด้ายแดงที่ผูกพวกลื้อไว้นั้นมันสั้นมาก ทำ

ให้ต้องมาใกล้กันตั้งแต่เด็ก ไม่เหมือนบางคู่ที่ด้ายจะยาวอาจใช้เวลานานกว่า

จะได้มาเจอกัน แต่นั่นแหล่ะด้ายแดงแห่งโชคชะตาของพวกลื้อจะไม่มีวันถูก

ตัดขาด แล้วมันก็จะอยู่ในระยะสั้นอย่างนี้ตลอดไป อย่างที่เคยเป็นมาจนกว่า

จะตายจากกัน และหากวันใดที่มันยืดยาวออกไปไม่ว่าด้วยสาเหตุอันใด ด้าย

นั้นก็จะดึงรั้งพวกลื้อให้ต้องกลับมาใกล้กันจนได้ หากพวกลื้อฝืนก็จะทำให้

เจ็บปวดทุรนทุราย เหมือนจะขาดใจเลยทีเดียว มันเป็นลิขิตของสวรรค์’

ตะวันฉายกับปาลิกาจะทำเช่นไรกับหัวใจของตัวเอง

ด้ายแดงแห่งโชคชะตา และสายใยแห่งความผูกพัน

จะสามารถนำพาหัวใจทั้งสองดวงให้กลับมาแนบชิดกัน

เหมือนในวันเก่าได้หรือไม่?..................................

โปรดติดตามใน ‘ตะวัน (ร้าย) ฉายรัก’ ได้เลยค่ะ


Tags: ตะวัน ร้าย ฉาย รัก ปลา อัญมณี จิวเวลรี่ หวานซึ้ง

ตอน: บทที่ 19


ประตูห้องตรวจเปิดออก ร่างเล็กที่อยู่ในชุดโรงพยาบาลสีม่วงอ่อน

ตัวโคร่งนั่งอยู่บนรถเข็น ตรงข้อมือมีผ้าก๊อซแผ่นเล็กแปะไว้ นอกจากนั้น

ไม่มีสิ่งใดที่บ่งบอกถึงความเป็น ‘ผู้ป่วย’ ได้อีก และผลตรวจโดยรวม

ออกมาว่าหญิงสาวไม่มีอะไรผิดปกติถึงขนาดเป็นอันตรายได้

แต่ตอนเด็กปาลิกาเคยมีประวัติปอดบวมน้ำที่คุณหมอคนนี้เป็น

คนรักษา จึงต้องให้นอนรอดูอาการเผื่อจะมีภาวะแทรกซ้อน คุณหมอ

คนนี้เป็นหมอประจำตระกูลที่ได้รับความไว้ใจให้ดูแล รักษาคนใน

ครอบครัวเจ้าสัวอาทิตย์มาตั้งแต่ตะวันฉายยังไม่เกิดจนถึงบัดนี้ จึงทำ

ให้รู้ถึงประวัติความเจ็บไข้ได้ป่วยของคนครอบครัวนี้เป็นอย่างดี รวมถึง

ปาลิกาด้วย

ปาลิกาถูกพามาพักที่ห้องคนไข้ หญิงสาวได้แต่นอนลืมตาแป๋วอยู่

บนเตียง แล้วถอนหายใจเฮือกๆ

“เป็นอะไรไป เธอต้องพักผ่อนนะ ไม่เพลียบ้างเหรอไง” จนคนที่นั่ง

เฝ้าอยู่ข้างเตียงต้องปรามขึ้น

“ฉันอยากกลับไปนอนห้องของตัวเองจังซัน นอนที่นี่มันรู้สึกยังไง

ไม่รู้”

“ฉันเข้าใจ แต่เธอต้องเชื่อลุงหมอนะ อย่าดื้อ เผื่อเธอเป็นอะไร

ขึ้นมาจะทำยังไง” แม้จะทำเสียงเข้มแต่ประกายตากลับอ่อนแสง หญิง

สาวถึงกับพูดไม่ออก “อดทนเอาหน่อยนะ ฉันจะอยู่กับเธอเอง ฉันโทร.

บอกป้าแต๋วให้เอาเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยนแล้ว เดี๋ยวก็คงมาถึง”


ตะวันฉายพูดไม่ทันขาดคำป้าแต๋วก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับถุง

ใบใหญ่ หน้าตาตื่นจนเห็นได้ชัด

“ตายแล้วๆ คุณซัน หนูปลา ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้ หนูปลาเป็น

ยังไงบ้างลูก” แม้พอจะรู้เรื่องราวคร่าวๆ จากที่ตะวันฉายโทร.ไปบอก

แล้ว แต่ป้าแต๋วก็อดโวยวายด้วยความตกใจไม่ได้อยู่ดี

“ปลาไม่เป็นไรแล้วค่ะแค่นอนดูอาการเฉยๆ ป้าแต๋วไม่ต้องเป็น

ห่วงหรอกค่ะ” ปาลิกายิ้มแฉ่งเพื่อให้ป้าแต๋วสบายใจ พอดีกับพยาบาลที่

ได้รับมอบหมายให้เฝ้าดูอาการของหญิงสาวอย่างใกล้ชิดได้เข้ามาทำ

การเจาะเลือดเธออีกครั้งพลางถามไถ่อาการโดยละเอียด

ตะวันฉายและป้าแต๋วถอยออกมายืนดูอยู่ห่างๆ เพื่อไม่ให้เกะกะ

การทำงานของพยาบาล ป้าแต๋วที่หน้าตายังไม่หายตกใจดี หันมา

กระซิบถามตะวันฉายในทันที

“เกิดอะไรขึ้นคะคุณซัน ป้าเห็นคุณอ๋าเป็นคนมารับหนูปลาไม่ใช่

เหรอคะ แล้วทำไมถึง...”

“ก็หมวยเล็ก หมวยใหญ่นั่นแหล่ะครับป้า ผมก็ยังไม่รู้รายละเอียด

เหมือนกัน แต่ถ้าผมโดดลงไปช่วยไม่ทันยัยปลิกคง...”

“ตายจริง! ร้ายแรงขนาดนั้นเลยหรือคะ” ป้าแต๋วตาโตยกมือทาบ

อกด้วยความตกใจอีกครั้ง “โถ...หนูปลา ทำไมเด็กบ้านนั้นถึงได้ร้ายกาจ

ขนาดนี้นะ เมื่อก่อนก็เห็นว่าไม่ถูกกันแบบเด็กๆ พอโตมาก็นึกว่าจะดีขึ้น

ไม่ก็ต่างคนต่างอยู่ แต่ไม่นึกว่าจะกล้าทำอะไรรุนแรงถึงเพียงนี้” ป้าแต๋ว

บ่นเบาๆ ก่อนที่ทั้งสองจะรีบเข้าไปข้างเตียงคนไข้ในทันทีที่พยาบาล

ออกไป

“ไม่ร้ายแรงทำไมต้องเจาะเลือดด้วยล่ะลูก” ป้าแต๋วถามด้วย

ความเป็นห่วงระคนสงสัย

“อ๋อ แค่เจาะเลือดไปตรวจระดับแก๊ส กับหาความเข้มข้นของเกลือ

แร่น่ะค่ะป้าแต๋ว เขาตรวจตามเวลาเท่านั้นเองเผื่อมีอะไรผิดปกติ แต่ไม่

มีอะไรร้ายแรงหรอกค่ะ เพราะเอ็กซเรย์และตรวจทุกอย่างแล้วเป็นปกติ

ดีค่ะ”

“ตอนเด็กยัยปลิกเคยมีประวัติปอดบวมน้ำน่ะครับ ลุงหมอก็เลย

ให้รอดูอาการเท่านั้นเอง ว่าแต่เธอไม่รู้สึกผิดปกติอะไรนะตอนนี้” ท้าย

ประโยคหันไปถามคนป่วยที่นอนยิ้มกว้างยืนยันความสบายดี พลาง

บอก

“ฉันไม่เป็นไรแล้วน่าซัน นายนั่นแหล่ะตัวยังเปียกอยู่เลย ไป

อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเหอะ เดี๋ยวนายนั่นแหล่ะปอดบวมจะถามหา”

“อืมม์...จริงสิ เปียกจนจะแห้งแล้วเนี่ย” ตะวันฉายว่าอย่างเห็นขัน

และเดินไปหยิบถุงผ้าใบเป้งที่ป้าแต๋วเอามาให้ แล้วเข้าห้องน้ำไป

“หนูปลา ทำไมไม่รู้จักระวังตัวบ้างนะ รู้ว่าไม่ถูกกับน้ำ ไม่ถูกกับ

สองคนนั้นทำไมไม่อยู่ห่างๆ เข้าไว้ล่ะลูก” ป้าแต๋วถามแกมบ่นอยู่ในที

เมื่ออยู่กันตามลำพัง แต่ปาลิกาก็รู้ดีว่าเป็นเพราะความห่วงใยที่

มากมายนั่นเองที่ทำให้ป้าแต๋วเป็นเดือดเป็นร้อนขนาดนี้

“ปลาก็พยายามแล้วนะคะ แต่ว่า...”

“เพราะความร้ายกาจของสองหมวยนั่นอีกแล้วสิ คุณอ๋าก็

เหลือเกิน เวลามารับเห็นระริกระรี้นัก แล้วปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้

ยังไงกัน” แล้วก็อดตำหนิไปถึงคนที่พาไปไม่ได้ “นี่ถ้าคุณซันไม่อยู่ที่นั่น

ด้วยจะเป็นยังไงกันนะ ป้าไม่อยากคิดเลย”

“ช่างเหอะค่ะป้าแต๋ว มันผ่านไปแล้วเราอย่าเก็บเอามาคิดเลยนะ

คะ” และแล้วหญิงสาวก็ต้องเป็นฝ่ายปลอบแม่บ้านวัยกลางคนที่ยังมีที

ท่าวิตกอยู่ไม่หายนั่น ก่อนเอื้อมมือไปจับมืออวบอูมของป้าแต๋วเมื่อนึก

อะไรขึ้นมาได้ “แต่ว่าป้าแต๋วขา...ปลาขอร้องอย่าบอกคุณป้านะคะ ปลา

ไม่อยากให้เรื่องราวมันลุกลามใหญ่โต” ป้าแต๋วนิ่งไปนิดหนึ่งพลางมอง

หน้าอีกฝ่าย แล้วจึงบีบมือตอบพร้อมพยักหน้าด้วยความเข้าใจ

“ก็ได้จ้ะ ป้าไม่บอกคุณผู้หญิงก็ได้” ป้าแต๋วทอดสายตามองคนที่

นอนอยู่ตรงหน้า ที่แกรักราวกับลูกหลานแท้ๆ ตั้งแต่เด็กที่ยายปลิกยังอยู่

ได้รู้ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเด็กผู้หญิงคนนี้มาโดยตลอดก็ให้

สะท้อนใจนัก “ป้ากลัวเหลือเกิน กลัวจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยตอนนั้น”

แล้วหญิงวัยกลางคนก็เปรยขึ้นอย่างหวั่นใจ

“ปลาก็กลัวค่ะป้าแต๋ว” ปาลิกาเสียงอ่อนบอกไป ในใจคิดไปถึง

นาทีชีวิตที่พึ่งผ่านมาสดๆ ร้อนๆ และเธอก็ไม่คิดว่าตัวเองจะยังมีโอกาส

หายใจได้อีก “ป้าแต๋วรู้ไหมคะตอนที่ตกลงไปในน้ำมันลึกมากใน

ความรู้สึกของปลา ปลากลัวมากเลยค่ะ ปลารู้สึกเหมือนตอนนั้นเลย

แปลกนะคะทั้งที่ตอนนั้นปลายังเด็กมากแต่กลับจำความรู้สึกที่น่ากลัว

นั้นได้ไม่ลืมเลย จนเก็บมาฝันร้ายตลอด”

“โธ่...หนูปลา” ป้าแต๋วน้ำตาซึมขณะเอื้อมมือมาลูบหัวปาลิกา

ด้วยความรู้สึกสงสารจับใจ หญิงสาวเองก็รู้สึกถึงความร้อนผะผ่าวตรง

ดวงตา แต่พอดีสายตาตวัดไปเห็นร่างสูงโปร่งที่ยืนพิงกรอบประตู

ห้องน้ำเสียก่อน

“อ้าว...ซัน นายอาบน้ำเสร็จแล้วเหรอ” เสียงทักนั้นทำให้ชายหนุ่ม

สะดุ้งเล็กน้อย แล้วเขาจึงก้าวออกมา วางถุงใบเดิมลงบนโซฟาด้านข้าง

“ป้าแต๋วกลับเถอะครับ ผมดูแลยัยปลิกเอง ถ้าไม่มีอะไรผิดปกติ

พรุ่งนี้คงกลับบ้านได้แล้ว”

พอคล้อยหลังป้าแต๋วไป ชายหนุ่มนั่งลงข้างเตียง ทอดสายตามอง

คนที่ลืมตาแป๋วแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ทำไมนายมองฉันอย่างนั้นล่ะ” ปาลิกาถามเมื่อเห็นท่าทางของ

เขา

“ใครๆ รอบข้างก็บอกว่าเธอน่ารักนัก แต่ทำไมคนใจร้ายบางคนถึง

ไม่ยอมเปิดใจรักเธอบ้างเลย ไม่ต้องถึงขนาดรักก็ได้ แค่ไม่คอยคิดแต่จะ

ทำร้ายเธอก็พอ”

“พูดอะไรของนาย”

“ช่างเหอะ ฉันผิดเองที่ปล่อยให้เรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้น”

ชายหนุ่มคิดไปถึงตอนที่เห็นเธอเดินเข้ามาในงาน แล้วความรู้สึก

ขุ่นใจก็ทำให้เขาไม่เข้าไปหาเธอ ทั้งที่แอบมองอยู่ไกลๆ โดยตลอด เขา

เห็นแม้กระทั่งเพื่อนชายของสองหมวยเข้าไปตีสนิทกับปาลิกา นั่นยิ่งทำ

ให้ตะวันฉายไม่พอใจมากขึ้นไปอีก

โชคดีที่หมอนั่นคุยไม่นานก็แยกตัวออกมา เขาเองมัวแต่สังเกต

หมอนั่นจึงทำให้ปาลิกาคลาดสายตาไปนับแต่นั้น จนกระทั่งมารู้สึกตงิด

ในใจอีกครั้งก็ตอนที่มีเสียงตะโกนบอกว่ามีคนตกน้ำ เพียงแค่นั้นตะวัน

ฉายก็รีบวิ่งมาที่เกิดเหตุในทันที และสิ่งที่ชายหนุ่มสังหรณ์ก็เป็นจริง

“ไม่เกี่ยวกับนายเลย นายไม่ผิดหรอก เพราะนายไม่รู้ ไม่เห็นว่าฉัน

มางานนี้ด้วยซ้ำ”

“ทำไมฉันจะไม่เห็นว่าเธอมา แค่เธอเดินเข้ามากับเฮียอ๋าคนทั้ง

งานก็แทบจะมองเธอเป็นตาเดียว”

“หา! ฉันเนี่ยนะ” หญิงสาวทำหน้าไม่เชื่อ “แต่ไม่เห็นนายทำท่าว่า

เห็นฉันเลยนี่ อ้อ...ฉันลืมไปนายคงมัวสวีทอยู่กับคุณน้องดีด้าสินะ”

“ใครบอก ฉันกับดีด้าไม่ได้สวีทอะไรอย่างที่เธอเข้าใจเลยนะ ฉัน

ปลีกตัวออกจากดีด้าไม่ได้เลยต่างหาก ยัยหมวยนรกนั่นก็คอยต้อนฉัน

ให้อยู่กับดีด้าตลอด แถมยังกันหยางออกจากฉันด้วย ฉันว่าจะกลับอยู่

แล้วเชียวพอดีเห็นเธอมากับเฮียอ๋าซะก่อน” เขารีบอธิบายเหมือนกลัวว่า

อีกฝ่ายจะเข้าใจผิดกันไปใหญ่กระนั้นแหล่ะ แต่ก็รู้สึกตัวขึ้นมาเมื่อเห็น

คนฟังยิ้มแก้มปริ ชายหนุ่มจึงรีบเอ่ยต่อแก้เก้อ “เอ่อ...ที่ฉันไม่ไปหาเธอก็

เพราะไม่อยากไปเป็นมารผจญเธอกับเฮียอ๋าต่างหาก เดี๋ยวเธอก็ได้

หงุดหงิดใส่ฉันอีก เอาล่ะตอนนี้ฉันว่าเธอนอนได้แล้ว” และเบี่ยงเบน

ตอนท้ายด้วยการทำท่าจะจัดผ้าห่มให้

“ฉันไม่เห็นง่วงเลยซัน” หญิงสาวตอบทำหน้ามุ่ย ทำให้ชายหนุ่ม

ชะงักมือ

“ตกลงเธออยากจะคุยใช่ไหม” อีกฝ่ายรับคำพลางพยักหน้าจ้อง

เขาด้วยดวงตาแป๋วแหววเว้าวอนสุดฤทธิ์ ตะวันฉายหัวเราะเบาๆ พร้อม

ยกมือยอมแพ้ เขาจัดแจงปรับเตียงให้ด้านบนสูงขึ้น เธอจึงเอนตัวพิง

หมอน ริมฝีปากบางยิ้มหวานให้เขา

“ทำไมนายถึงดีกับฉันล่ะ” คำถามนั้นทำให้ตะวันฉายที่นั่งลงตรง

เก้าอี้ข้างเตียงถึงกับชะงักไป

“ฉันเคยร้ายกับเธอหรือไงยัยบ๊อง”

“ก็ใช่ หรือนายจะปฏิเสธว่าไม่เคย ฉันจะได้แจกแจงให้ฟัง หากจะ

นับเป็นระยะทางคงยาวเป็นพันไมล์เลยมั้ง” คนถูกว่าหัวเราะขำ เอื้อม

มือไปบีบจมูกเธอเล่นๆ

“เธอนี่นะ ฉันชอบแกล้งเธอเล่นก็จริง แต่เคยร้ายกาจกับเธอมากๆ

ไหมล่ะ พอเธอทำท่าจะปี่แตกฉันก็แกล้งต่อไม่ลงแล้ว แล้วนี่พอจะเล่าให้

ฉันฟังได้หรือยังว่าเรื่องมันเป็นยังไง”

“ฉันไม่อยากพูดถึงมันอีก” ปาลิกาเอ่ยขึ้นเสียงเบาหวิวพลางหลบ

สายตาของชายหนุ่มทันที

“ไม่ได้ อย่างน้อยเธอต้องบอกความจริงกับฉัน ก่อนที่ฉันจะไปฟัง

คำโกหกของพวกนั้น แต่ถ้าเธอไม่เล่าก็หลับซะ” ตะวันฉายแกล้งยื่นคำ

ขาดในตอนท้าย ทำให้คนไม่อยากนอนถึงกับรีบร้องขึ้น

“อ๊ะ...ก็ได้ๆ ” แล้วปาลิกาก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ตะวัน

ฉายฟัง

ระหว่างนั้นเขาไม่ได้พูดแทรกขึ้นมาเลย จนกระทั่งเล่าจบก็ยังนิ่ง

ไปสักพัก ชายหนุ่มเองก็พอเดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้บ้าง แต่พอ

ได้ฟังจากปากของปาลิกาเข้าจริงๆ ทำเอาเขาแทบจะเก็บความ

เดือดดาลเอาไว้ไม่ไหว ตะวันฉายกัดฟันจนกรามขึ้นเป็นสัน

ดวงตาวาวโรจน์ขึ้นมาอีกครั้ง

“ยัยพวกนั้นไม่ได้สมองกลวงอย่างที่เธอเคยว่าหรอก แต่สมองของ

พวกนั้นเต็มไปด้วยความคิดร้ายๆ มากกว่า” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วย

ความโกรธอย่างเห็นได้ชัด

“ซัน นายอย่าไปเอาเรื่องสองคนนั่นเลยนะ ให้มันแล้วกันไปเหอะ”

จนคนที่อยู่ตรงหน้าเอ่ยขอร้องพร้อมกับที่มือเล็กเอื้อมไปจับแขนเขาไว้

ตะวันฉายจึงได้คลายอาการเดือดดาลลง

“เธอก็แคร์แต่เฮียอ๋า เธอกลัวเฮียอ๋าจะไม่รักหรือไงถ้าโวยวายเอา

กับยัยหมวยนรกนั่น” แต่อดพาลเล็กๆ เอากับหญิงสาวไม่ได้

“ไม่เกี่ยวซักหน่อย ฉันแค่ไม่อยากให้เกิดปัญหา โดยเฉพาะกับ

ผู้ใหญ่และมีฉันเป็นต้นเหตุ มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่เลยนะนายรู้ไหม”

น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลนั้น ทำให้ตะวันฉายต้องถอน

หายใจอีกครั้ง

“โอเค.ฉันเข้าใจ” และที่สุดก็ไม่กล้าขัดใจอีกฝ่ายเช่นเคย


“ยัยพวกนั้นอาจจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ได้ว่าเรื่องมันจะเลวร้ายแบบ

นี้ นายเองก็ใช่ว่าจะไม่เคยแกล้งฉันเรื่องน้ำอยู่บ่อยๆ นี่” เธอแกล้งว่า

มากกว่าจะเอาเรื่องเขาจริงๆ

“นี่...ยัยปลิก ฉันแกล้งเธอแล้วเธอเคยเกือบตายแบบนี้จริงๆ ไหม

ฉันแกล้งผลักเธอตกน้ำแล้วฉันเคยปล่อยให้เธอตกไปจริงๆ หรือเปล่า”

หญิงสาวหยุดคิดเพียงชั่วแว่บแล้วส่ายหน้าหวือ

ปาลิกาคิดไปถึงทุกครั้งที่เขาแกล้งเธอเรื่องน้ำ ตะวันฉายมักจะอยู่

ใกล้เธอเสมอ ไม่ก็โดดลงไปพร้อมกับเธอ เพราะเหตุนี้หญิงสาวจึงไม่เคย

กลัวหากมีเขาอยู่ใกล้ ด้วยรู้ว่าไม่ว่าชายหนุ่มจะแกล้งเธอยังไง ก็เป็นเขา

เองนั่นแหล่ะที่จะพาเธอขึ้นฝั่ง ปาลิกาจึงอุ่นใจเสมอเมื่อมีเขาอยู่ใกล้

จากที่กลัวมากกลายเป็นกลัวน้อยลง จากที่กลัวน้อยก็กลับ

กลายเป็นไม่กลัว แม้กระทั่งในฝันร้ายที่หญิงสาวกำลังจมดิ่งลงสู่ใต้น้ำ

ทุรนทุราย หากตะวันฉายปรากฏตัวอยู่ในความฝันนั้น เธอก็ไม่ต้องกลัว

จนละเมอออกมา หรือตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว

เหมือนในตอนเด็ก

“แล้วรู้บ้างไหมว่าทำไมฉันถึงแกล้งเธอจังเรื่องน้ำเนี่ย” ชายหนุ่ม

ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง ขณะสายตาจับจ้องใบหน้าเล็กรอคำตอบ

“ก็มันเป็นจุดอ่อนของฉันไง นายรู้และนายก็ใช้มันโจมตีฉันมา

ตลอด มันเป็นความสุขบนความทุกข์ของฉันที่นายชอบไง” ปาลิการีบ

ตอบในสิ่งที่เธอคิดด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอด

“เปล่าเลยยัยปลิก ที่ฉันทำอย่างนั้นเพราะอยากให้เธอเอาชนะ

ความกลัว เอาชนะฝันร้ายของเธอต่างหาก” ขณะที่คนฟังนิ่งอึ้ง เขายัง

เอื้อนเอ่ยต่อ “เธออยากฟังสิ่งที่ป่ะป๊าพูดกับฉัน ตอนฉันแกล้งดึงเธอลง

น้ำที่สวนสนุกไหม” ตะวันฉายเท้าความถึงความหลังครั้งที่เขาและเธอ

ยังเด็ก

ภาพในอดีตผุดขึ้นมาในหัวของปาลิกา ตอนนั้นเธอเข้ามาอยู่

ที่เดอะซัน กรุ๊ปฯ ได้ 2-3 ปี ท่านเจ้าสัวอาทิตย์และคุณโฉมฉายได้พาเธอ

กับตะวันฉายไปเที่ยวสวนสนุก และเธอก็ไม่ได้เล่นเครื่องเล่นอะไรที่

เกี่ยวกับน้ำเลย ไม่แม้แต่จะเดินเฉียดเข้าไปใกล้

แต่เธอก็ถูกตะวันฉายลากลงน้ำด้วยนึกสนุก ทั้งที่น้ำไม่ได้ลึกอะไร

เลย แต่ปาลิกากลับร้องไห้จ้า ชักดิ้นชักงอ สร้างความตกใจและงุนงง

ให้กับตะวันฉายเป็นอันมาก เดือดร้อนถึงท่านเจ้าสัวอาทิตย์กับคุณโฉม

ฉายต้องเข้ามาปลอบ และตะวันฉายก็ถูกบิดาเรียกไปคุยด้วยตามลำพัง


“คุณท่านบอกอะไรนายเหรอ” ปาลิกามองหน้าอีกฝ่ายด้วยความ

อยากรู้

ตะวันฉายจึงเริ่มต้นเล่าถึงตอนที่ท่านเจ้าสัวอาทิตย์ผู้เป็นพ่อเรียก

ไปคุยตามลำพัง ตอนนั้นเขางงมากจนทำอะไรไม่ถูก เขาอาจจะรู้ว่าพ่อ

แม่ของปาลิกาจากไปด้วยอุบัติเหตุทางน้ำ และเธอรอดมาได้ แต่ไม่เคยรู้

ว่าปาลิกาต้องพบเจอกับอะไรบ้าง ท่านเจ้าสัวอาทิตย์จึงเล่ารายละเอียด

ให้ลูกชายฟัง และบอกกับเขาในตอนท้ายว่า

‘หนูปลาน่าสงสารมากนะน้องซัน หนูปลาต้องอยู่กับฝันร้ายมา

ตลอดตั้งแต่พ่อแม่จากไป น้องซันก็เคยเห็นไม่ใช่หรือตอนแรกๆ ที่หนู

ปลามาอยู่ที่นี่มักจะตื่นมาร้องไห้กลางดึกอยู่บ่อยๆ ’

‘ครับป่ะป๊ะ ซันเห็นยายปลิกคอยปลอบปาลิกาอยู่บ่อยๆ ’

‘นั่นล่ะที่ป๊าอยากบอก ความจริงแล้วตอนนั้นหนูปลาเองก็ยังเด็ก

นักป๊าไม่แน่ใจว่าจะจำเหตุการณ์ตอนนั้นได้ แต่สิ่งที่ทำให้หนูปลากลัว

ขนาดนี้คงมาจากการสูญเสียในครั้งนั้นมากกว่า ที่มันยังฝังใจมาตลอด

น้องซันอย่าแกล้งหนูปลาแบบนี้อีกนะลูก น้องซันเป็นผู้ชายต้องดูแลเอา

ใจใส่หนูปลาถึงจะถูก นอกจากยายปลิกแล้วหนูปลาก็ไม่มีใครอีก

น้องซันต้องรักหนูปลาให้มากๆ คอยดูแลช่วยเหลือกันเหมือนพี่น้องที่

คลานตามกันมานะลูก’

‘แล้วทำยังไงปาลิกาถึงจะหายกลัวน้ำหรือเลิกฝันร้ายได้ล่ะ

ฮะป่ะป๊า’ เด็กชายตัวสูงโย่งถามบิดา

‘อันนี้เท่าที่ป๊าได้คุยกับคุณหมอ เขาบอกว่าเวลาจะช่วยเยียวยาได้

เพราะจะว่าไปตอนนี้เรื่องฝันร้ายหนูปลาก็ไม่ค่อยฝันเท่าไหร่แล้ว’ ท่าน

เจ้าสัวหมายถึงหมอทางด้านจิตวิทยาเด็กที่เคยพาปาลิกาไปปรึกษา

ตั้งแต่ตอนที่พ่อแม่ของเธอจากไปใหม่ๆ เนื่องมาจากอาการฝันร้ายของ

เธอ ‘ส่วนเรื่องกลัวน้ำคงต้องค่อยเป็นค่อยไปเช่นกัน ที่สำคัญคือ

ครอบครัวก็ต้องมีส่วนช่วยเหลือเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นเราต้อง

พยายามช่วยให้หนูปลาหายกลัวน้ำให้ได้ เพราะเราคงไม่สามารถแยก

น้ำกับชีวิตประจำวันออกจากกันได้ตลอดหรอกนะน้องซัน’

จากนั้นมาท่านเจ้าสัวอาทิตย์กับคุณโฉมฉายได้พยายามพา

ปาลิกาไปเรียนว่ายน้ำ และที่สุดก็ตัดสินสร้างสระน้ำตรงดาดฟ้าไว้ให้

จ้างครูมาสอนเสร็จสรรพ แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ไม่เอาอยู่นั่นแล้ว ท่าน

เจ้าสัวและคุณโฉมฉายซึ่งเข้าใจสภาวะจิตใจของเด็กหญิงดี จึงไม่ได้

บังคับขู่เข็ญแต่กลับมองในแง่ดีว่าอย่างน้อยก็มีสระน้ำอยู่ใกล้นิดหนึ่ง

แล้ว และหวังว่าสักวันหนึ่งข้างหน้าเธอจะเอาชนะความกลัวที่อยู่ใน

จิตใจได้

กลับกันกับตะวันฉายที่มาหัดว่ายน้ำเป็นเพื่อนปาลิกา จนได้เป็น

นักกีฬาว่ายน้ำตั้งแต่เด็กจนถึงมัธยมฯ เลยทีเดียว

“พอเห็นเธอล้มเหลว ฉันจึงพยายามหัดว่ายน้ำให้เก่งเพื่อจะได้

เป็นคนช่วยเธอ เธอเข้าใจบ้างไหม ทำไมฉันจึงอยากให้เธอเรียนว่ายน้ำ

และคอยบ่นเรื่องนี้เป็นประจำ” เขามองหน้าเล็กที่ยังตั้งใจฟังในสิ่งที่เขา

พูด “เพราะฉันอยากให้เธอเลิกกลัว อยากให้เธอเผชิญหน้ากับมัน มันจะ

ได้ไม่เป็นจุดอ่อนให้ใครต่อใครเอามาโจมตีเธอได้อีก ไม่ใช่แค่นั้นนะ เธอ

ก็รู้ว่าฉันไม่สามารถผูกติดกับเธอได้ตลอดเวลา หากเกิดอุบัติเหตุไม่คาด

ฝันอย่างนี้ขึ้นมาอีก ฉันไปช่วยไม่ทันอะไรจะเกิดขึ้น เหตุการณ์ในวันนี้

เป็นอุทาหรณ์ได้ดี อย่างที่ป่ะป๊าเคยว่าไว้ เธอไม่สามารถหลีกเลี่ยงสระ

น้ำ แม่น้ำ ทะเล คูคลอง หรืออะไรที่เกี่ยวกับน้ำไปได้ตลอดชีวิตหรอกนะ

ฉันจึงอยากให้เธอว่ายน้ำเป็น ไม่สิ...ก่อนอื่นเธอต้องเลิกกลัวมันก่อน”

ชายหนุ่มเอ่ยยืดยาว อีกฝ่ายนิ่งคิดตาม

“ฉันเข้าใจในสิ่งที่นายพูดนะ แล้วก็ขอบใจนายมากที่เป็นห่วง

คอยช่วยฉันมาตลอดและครั้งนี้ด้วย แต่ฉัน...ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน

กับเรื่องนี้” ที่สุดก็ได้แต่พูดเสียงอ่อยปลดปลง

“ง่ายนิดเดียว เธอก็ไปหัดว่ายน้ำสิ เป็นวิธีที่ป่ะป๊าเคยใช้ในตอน

นั้น แต่อาจเป็นเพราะเธอยังเด็กมันจึงไม่ได้ผล แต่ตอนนี้เธอโตแล้วฉัน

เชื่อว่าเธอจะต้องทำได้ สัญญากับฉันได้ไหมว่าเธอจะไปหัดว่ายน้ำ”

ชายหนุ่มจ้องใบหน้าหวานละมุนที่ยามนี้มีแต่ความหวาดหวั่นปรากฏ

อยู่

“ฉัน...เอ่อ ขอคิดดูก่อนได้ไหม” หญิงสาวเอ่ยขึ้นสีหน้าลำบากใจ

“ไม่ต้องคิดแต่ต้องทำเลย บางอย่างถ้าเรายิ่งคิดก็จะยิ่งกลัว แล้ว

ยิ่งนานวันความกลัวก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น จนทำไม่ได้เหมือนเดิมอีก” ชาย

หนุ่มยังกระทุ้งต่อด้วยคำพูด เป็นเหตุให้ริมฝีปากบางเม้มเป็นเส้นตรง

เหมือนเจ้าตัวกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก

“งั้น...ขอฉันทำใจสักพักก่อนได้ไหม นายต้องเข้าใจนะ ฉันอยู่กับ

ความกลัวมาเกือบยี่สิบปี จู่ๆ นายจะให้ฉันลุกขึ้นมากล้าหาญแบบวีร

สตรีมันก็คงเป็นไปไม่ได้ ครึ่งทางนะ ฉันสัญญากับนายก็ได้ว่าจะ

พยายาม” ที่สุดจึงตัดสินใจ

“ก็ได้ เฮ้อ! เธอนี่นะ แต่ฉันอยากบอกเธอว่า ฉันอยู่กับเธอนะ อยู่

ข้างๆ เธอ ไม่ต้องกลัวฉันไม่มีวันทิ้งเธอหรอก” ตะวันฉายยังไม่ละสายตา

จากคนตรงหน้า เขาส่งรอยยิ้มอบอุ่นให้กับเธอเพื่อเป็นการยืนยันใน

คำพูด

“อื้อ ขอบใจมากนะซัน ฉันขออะไรสักอย่างได้ไหม” ชายหนุ่มพยัก

หน้าอนุญาตให้อีกฝ่ายพูด “ถ้าฉันทำใจได้แล้ว นายช่วยสอนฉันว่ายน้ำ

ได้ไหม ฉันไม่อยากหัดกับคนอื่นถึงจะเป็นครูที่เก่งที่สุดก็เหอะ” มาถึง

ตอนนี้ชายหนุ่มเปิดยิ้มกว้าง

“นึกว่าจะไม่เอ่ยปากแล้วซะอีก ฉันก็ตั้งใจอย่างนั้นอยู่แล้วล่ะ ทีนี้

เธอก็นอนได้แล้ว” เขาพูดพร้อมขยับตัวในท้ายประโยค ก่อนจัดแจงให้

ปาลิกานอนและห่มผ้าให้ “หลับตาซะ ฉันจะนั่งข้างๆ เธอจนกว่าเธอจะ

หลับนะ” ตะวันฉายว่าพลางจับมือเล็กไว้ บีบเบาๆ จนกระทั่งรู้สึกว่า

เจ้าของมือเล็กนั้นหลับลงไปแล้วเขาจึงลุกขึ้นปิดไฟบางดวง แล้วเหลือไว้

เพียงดวงที่อยู่ใกล้ประตูเพื่อให้ห้องสลัวลง แล้วจึงล้มตัวลงนอนตรง

โซฟาตัวยาวด้านข้าง



กานพลู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 ก.พ. 2559, 13:54:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 ก.พ. 2559, 13:54:50 น.

จำนวนการเข้าชม : 1138





<< บทที่ 18   บทที่ 20 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account