คืนค่ำร่ำพิศวาส
สองผีพี่น้อง เลวิส... แวมไพร์(ผีดูดเลือด) ลมเหนือ... ผีเฮี้ยน! อยู่ตึกผีสิง VS กาฬวาร... เด็กสาวยากจนเป็นสาวพรหมจรรย์ มีพลังจิตบริสุทธิ์ เธอช่วยพวกเขากลับเป็นมนุษย์ กลายเป็นเพื่อนบริสุทธิ์ใจต่อกัน สองพี่น้องต่างบิดาแต่รักกันมาก เวลาผ่านไปเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ได้เจอเธออีกหนต่างหลงรักผู้หญิงคนเดียวกัน...เลือกรักไม่ได้หนึ่งหญิงสองชาย (อยากเก็บเธอไว้ทั้งสองคน)
Tags: หวานแหวว, ซึ้ง, รักแฟนตาซี, ไตรติมา, ผี, แวมไพร์, ตลก, หล่อ, โรแมนติค,
ตอน: ตอน ๒
______________________...oooooOOOooooo...______________________... ตอน ๒
.
...........ลมเหนือไม่เชื่อเรื่องไม่มีเหตุผล ผิดกับริวจิเพื่อนสนิทที่เชื่อในไสยศาสตร์ เครื่องรางของขลัง
“โทรคุยกับสาวไหนไม่รู้ เจ้านี่เจ้าชู้จะตาย สาว ๆ เห็นเป็นต้องกรี๊ด มันหล่อ เท่ห์ น่าหมั่นไส้ ใครแอบหลงรักระวังอกหักไว้ด้วย” ริวจิแกล้งพูดหยอกเย้าสาวใหญ่วัยยี่สิบแปด
เธอกำลังจ้องมองลมเหนืออย่างตาเป็นมัน จะไม่ให้จ้องได้อย่างไร ในเมื่อรูปร่างหน้าตาหล่อเลอล้ำ หุ่นไม่ล่ำแต่มีกล้ามพองามสมส่วนรับกับซิกแพ็ก หุ่นฟิตแอนด์เฟิร์ม ยิ่งมองหัวใจยิ่งร่ำร้อง ‘อยากกินเด็ก’
“พี่มนตราอย่าไปเชื่อริวจิ มันพูดเกินจริง ผมไม่ได้จีบสาวสักหน่อย แม่ผมโทรมาบอกว่าแม่ถูกหวยล็อตเตอรี่เลขท้ายสามตัว บอกมีคนให้หวยแม่น ผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้หรอก” ลมเหนือบอก พร้อมแก้มยุ้ยและเขี้ยวเล็กคู่นั้นประทับรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม เขาถูกใจมนตราสาวสวยเซ็กซี่รุ่นพี่คนนี้ตั้งแต่แรกเจอ
มนตรา สาวใหญ่หน้าตาสะสวยผิวขาวใบหน้ารูปไข่ ใช้คิ้วถาวร ดวงตาสองชั้นนั้นไปทำมา จมูกโด่งโดยได้ทำศัลยกรรมเสริมดั้งมาหมาด ๆ ผมดัดลอนย้อมสีผมเป็นสีน้ำตาลอ่อน หล่อนขับรถมารับสองเด็กหนุ่มญี่ปุ่นทั้งที่บ้านห่างไกลกันมาก จากนครปฐมถึงนนทบุรี และให้เด็กหนุ่มพักค้างคืนที่บ้านนานสามวัน พาไปเที่ยวสถานที่ใกล้ ๆ พาไปไหว้พระที่วัด
และที่มารู้จักกันได้เนื่องจากริวจิชอบผู้หญิงไทย หัดเรียนภาษาไทย รู้จักกับมนตราทางอินเตอร์เน็ตเฟชบุ๊ก เพื่อนจึงตามเขามาเที่ยวเมืองไทย ที่จริงไม่น่าเรียกว่ามาเที่ยวเพราะริวจิอยากมาสักยันต์คงกะพันชาตรี ...ที่เชื่อกันว่าขลัง! ทำให้หนังเหนียวยิงแทงไม่เข้า
“แต่เรื่องพระเครื่อง เครื่องรางของขลังรวมทั้งการสักยันต์ศักดิ์สิทธิ์จริงนะ ...ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ฉันให้นายลองเอามีดฟันแขนฉันแล้วนี่ ไม่เห็นระคายผิว ไม่มีรอยมีดบาดเลยสักนิดนี่ล่ะของจริง”
“นอกจากจะขลังหนังเหนียว ยังมีเมตตามหานิยม เป็นเสน่ห์ดึงดูดผู้พบเห็นให้นึกหลงรักใคร่ แบบใครเห็นใครรัก” มนตราอธิบาย อ่อยด้วยสายหวานหว่านเสน่ห์ชม้ายชายตามองเด็กหนุ่มรุ่นน้อง
เล่นเอาหัวใจเด็กหนุ่มลิงโลด ตื่นเต้นที่เห็นท่าทีมีใจให้กับเขา เขามักรู้ตัวเวลามีสาวสนใจ ความรู้สึกไวเสมอ...
“มันคือยันต์หนังเหนียวมหาเสน่ห์ นายลองสักยันต์ดูบ้างสิ ฉันว่าดีนะ” ริวจิพูดชักจูงลมเหนือ
“แหม... แต่ที่ญี่ปุ่นเห็นใครมีรอยสักเขาจะหาว่าเป็นพวกยากูซ่า”
“แต่รอยสักนี่เล็กนิดเดียว สักไว้กลางหลังใส่เสื้อปิดนิดเดียวไม่เห็นแล้ว”
“ต้องใช้เงินตั้งสามหมื่น แพงไปหรือเปล่า” ลมเหนืออยากบ่ายเบี่ยง จึงติโน่นนี่นั่นเรื่อยเปื่อยไป...
“ถือว่าเอาเงินไปทำบุญบำรุงวัด ของแท้... แค่นี้ถูกมากจะเสียดายทำไม บ้านนายรวยจะตาย”
“หลวงพ่อเป็นพระธุดงค์ มาจำวัดอยู่ที่นี่ไม่นาน อาจจะออกไปธุดงค์ที่อื่นเมื่อไหร่ไม่รู้ คงไม่ได้พบเจอพระอาจารย์เก่ง ๆ อย่างนี้อีก ท่านเป็นพระที่ศักดิ์สิทธิ์ นับวันยิ่งหายาก” มนตราพูดให้ลมเหนือนึกเสียดาย ถ้าไม่คิดสักยันต์
ในที่สุด... ลมเหนือตกลงปลงใจสักยันต์ ไม่ได้อยากหนังเหนียวหากแต่อยากให้ผู้หญิงรัก อยากให้ผู้หญิงหลง เป็นที่รักใคร่เป็นขวัญใจสาว ๆ เขายังอ่อนวัย... อ่อนไหวเชื่อคำพูดคนง่ายโดยไม่ทันนึกเฉลียวใจ ถ้าส่องกระจกดูตัวเองจะเห็นความคมคาย ใบหน้าหล่อเหลาดูดีจัดเป็นเด็กหนุ่มรูปงามคนหนึ่งทีเดียว มีหรือสาวไม่เหลียวหันมามอง อีกทั้งคำพูดจาคารมโน้มน้าวใจ บุคลิกมีเสน่ห์ดึงดูดอยู่แล้ว ที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องสักยันต์หนังเหนียวมหาเสน่ห์ด้วยซ้ำ
...........จากนั้น... ทั้งมนตราและริวจิจึงพาลมเหนือไปกราบหลวงพ่อ ท่านชื่อ ‘พึ่ง’ อายุประมาณห้าสิบ ค่อนข้างพูดน้อย ผิวคล้ำ รูปร่างผอมสูงลักษณะเป็นคนกระดูกใหญ่ ใบหน้าและดวงตาคมดุ ดูน่าเกรงขาม ท่านกล่าวกับลมเหนือว่า...
“การสักยันต์จะให้ขลัง ผู้นั้นจะต้องรักษาศีลห้าประกอบด้วย ...ดูเหมือนหนุ่มน้อยคนนี้ไม่ใช่คนไทย”
“ผมเป็นคนญี่ปุ่นครับ เรื่องศีลห้าแม่ผมเคยสอน แต่ผมไม่ได้เคร่งศาสนาจึงจำไม่ค่อยได้”
“อย่างนั้นจดไปศีลห้าข้อ หลวงพ่อจะบอกให้...”
จากนั้นรับศีลรับพรจากหลวงพ่อ แล้วต่อด้วยรับการสักยันต์ ซึ่งลมเหนือต้องอดทนเจ็บที่กลางหลังพักหนึ่ง...
หลังจากเสร็จพิธี ทั้งสามคนจึงพากันลากลับ ขณะลมเหนือก้มลงกราบลา
หลวงพ่อพึ่งถึงกับชะงัก ...เด็กหนุ่มมีเคราะห์หนักไม่เห็นเงาหัวของเขา! ท่านมีญาณหยั่งรู้... อนาคตเขาชะตาถึงฆาต อาจถึงคราวตายแม้ไม่เชิงใช่เช่นนั้นคงไม่ต่างกันนัก จึงพูดเพียงคำเตือน...
“โยมลมเหนือกำลังมีเคราะห์ร้ายแรงถึงกับชีวิต ...เกือบตาย”
ฟังดังนั้นทุกคนพลอยตกใจ แต่ลมเหนือไม่เชื่อเสียทีเดียว ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากรู้วิธีแก้ไข
“แล้วผมจะหลีกเลี่ยงได้ยังไงบ้างครับ”
“มากินนอนอยู่ที่วัด รักษาศีลแปดตลอดเดือนนี้ได้ไหมโยมเหนือ”
ลมเหนือเพิ่งมาเมืองไทย ยังไม่ทันได้ท่องเที่ยวให้สมใจนึกเลย แถมมีสาวที่เขาแอบชอบด้วย ยิ่งไม่อยากอยู่วัดนานร่วมเดือนจึงปฏิเสธ
“ไม่ได้หรอกครับหลวงพ่อ ผมไม่มีเวลาว่างมากขนาดนั้น พอมีวิธีอื่นอีกไหมครับ”
หลวงพ่อพึ่งคำนึงถึงหลักธรรม ‘สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม’ ยากจะฝืนเคราะห์กรรมเมื่อยามมันส่งผล
“ถ้าอย่างนั้นต้องตั้งมั่นในศีลห้าข้อที่โยมเหนือรับไป และระวังตัวอย่าหลงผู้หญิงไม่ดี อย่าเชื่อเพื่อนเลว ใช้สติปัญญาพิจารณาดู ดูให้ออก... ใครไม่ดีใครเลว ...ขอให้ไปดี”
หลังจากวันนั้น... ไม่มีใครรู้ว่าหลวงพ่อพึ่งคอยแผ่เมตตาให้ลมเหนือเสมอ และหวังว่าเขาจะรักษาศีลห้าได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เพราะนั่นช่วยคุ้มครองป้องกันภัยให้ตัวเขาผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
...........ภายในรถยนต์ส่วนตัว ก่อนมนตราจะขับรถมาส่งเด็กหนุ่มทั้งสอง
“สุดยอด... พี่มนตรานี่ได้อย่างใจผมจริง ๆ มีครบทุกสิ่งที่ผมต้องการ ...ขอนะ” ริวจิซุบซิบกับมนตรา
ทำให้ลมเหนือที่นั่งอยู่เบาะหลังสนใจ ชะโงกหน้ามามองทั้งสองคนและถาม...
“อะไรนั่นน่ะ?”
“ยาที่ทำให้ผู้หญิงยอม... เฮอะ เฮอะ...” ริวจิตอบพร้อมหัวเราะมีเลศนัย
ลมเหนือทำหน้ายังไม่หายสงสัย
“ยาเลิฟไงล่ะฮคคุ” มนตราตอบ
ลมเหนือรู้ทันทีว่ามันจัดเป็นยาเสพติดผิดกฎหมาย ...นึกห่วงกังวลสาวที่เขาสนใจ
“พี่มนตราขายของพวกนี้ไม่กลัวโดนตำรวจจับเหรอ ผมเป็นห่วง ไม่น่าทำอาชีพอย่างนี้”
“พี่มีสายคอยส่งข่าวรู้เท่าทันตำรวจ หนีได้ไม่เคยโดนจับสักที โถ... อุตส่าห์เป็นห่วงพี่ ฮคคุนี่น่ารักจัง” มนตราไม่พูดเปล่า พลางมือวางทับจับกุมมือของเด็กหนุ่มที่เกาะอยู่ข้างเบาะ ส่งผลให้จิตใจที่อ่อนไหวของเด็กหนุ่มรุ่มร้อน...
“น่ารัก... งั้นรักเลยสิพี่มนตรา ฮคคุยังไม่มีแฟน มีแต่สาว ๆ รุมกรี๊ด เพราะมันเป็นนักร้องนำวงดนตรีสมัครเล่น สาวในสเป็คฮคคุชอบผู้หญิงอายุมากกว่า ...เซ็กซี่ประมาณพี่มนตรานี่ล่ะ” ริวจิยุยงส่งเสริมสาวใหญ่ และพูดบอกความนัยแทนเพื่อนของเขา
ลมเหนือได้แต่หัวเราะเขิน พูดไม่ออกไปเลย...
มนตราได้ใจจึงให้ลมเหนือมานั่งเบาะหน้าคู่คนขับ ส่วนริวจิไปนั่งเบาะหลัง แล้วจึงขับรถไปส่งเด็กหนุ่มทั้งสอง
“บ๊ายบายริวจิ ไว้เจอกันคราวหน้า” มนตราโบกมือลา
ริวจิลงจากรถไปก่อน แล้วยืนโบกมือให้
เหลือแต่ลมเหนือนั่งเบาะหน้า ท่าทางไม่อยากจากลา...
“เดี๋ยวนะจ๊ะฮคคุ พี่จะปลดเข็มขัดนิรภัยให้เองจ้า” สาวเซ็กซี่บอก เอื้อมมือไปแกะสายรัดที่พาดผ่านหน้าอกเขา ส่งสายตาเย้ายวน... และใบหน้ายื่นเข้าใกล้ใบหน้าเด็กหนุ่ม จนจมูกเขาได้กลิ่นน้ำหอม ส่งผลให้หัวใจเต้นแรงขึ้นมาทันใด
“แล้วโทรคุยกับพี่บ้างล่ะ พี่อยู่คนเดียว เหงา... ไม่มีเพื่อนคุย” เธอใช้น้ำเสียงออดอ้อนเอ่ยอำลา
“คะ... ครับ แล้วผมจะโทรหา” เด็กหนุ่มรับคำตะกุกตะกักเสียงสั่น ...ข้างในใจก็สั่นหวิวไหวไปหมด
“...เดี๋ยวก่อน อย่าลืมโทรนะ” มนตราพูดประโยคนั้น พร้อมกับยื่นใบหน้าเข้าใกล้เด็กหนุ่ม
ในขณะลมเหนือไม่ทันเตรียมตัวเตรียมใจ จู่ ๆ ได้รับสัมผัสอุ่นนุ่มจากเรียวปากของสาวสวยรุ่นพี่ที่บรรจงจูบข้างแก้มอิ่มของเขา เคลิ้ม... นิ่งงงงัน ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว เหมือนร่างกายหยุดสั่งงาน จ้องมองกันอยู่อย่างนั้น
...........นั่งคิดนอนฝันทั้งวันทั้งคืน ภาพใบหน้าคนที่ตนหลงรัก ...วาดฝันวนเวียนในห้วงหัวใจ
“แม่ครับ ผู้หญิงไทยนี่น่ารักจังนะครับแม่ เพื่อนผมชอบผู้หญิงไทยมากเลย” ลมเหนือชอบคุยกับแม่ของเขา เพราะแม่เป็นเหมือนเพื่อนคนหนึ่งที่พูดคุยด้วยได้เกือบทุกเรื่อง
“เหนือเองชอบผู้หญิงไทยด้วยใช่ไหมล่ะ” คุณมิลินย้อนถามลูกชายบ้าง ได้รับการพยักหน้ายิ้มเอียงอาย
“แม่ครับ สมมุติว่ามีเพื่อนผู้หญิงที่เราอยากอยู่ด้วยตลอดเวลา อยากอยู่ด้วยกันตลอดไป เราควรทำอย่างไรดี”
“เจอผู้หญิงถูกใจเข้าแล้วล่ะสิ ถ้าชอบเขาให้ลองคบดูใจกันไป แต่อย่าเพิ่งคิดจริงจังถึงขั้นแต่งงาน ลูกอายุยังน้อย ประสบการณ์ชีวิตยังไม่เพียงพอถึงขั้นนั้น”
“เพื่อนรุ่นพี่ที่เรียนจบไปแล้ว เขาอยู่กับแฟนตั้งแต่ยังเรียนไม่จบไฮสคูล ตอนนี้เรียนมหาวิทยาลัยแล้วพวกเขาเช่าหออยู่ด้วยกัน ถ้าเป็นผมบ้างแม่จะว่ายังไง”
“ถ้ารักกันจริงต้องคิดจริงจังหวังแต่งงาน แบบนั้นไม่ดีงามหรอก นั่นไม่ใช่รักจริงจังอะไรไม่มีความแน่นอน ถ้าหมดรักกันวันใดคงขนเสื้อผ้าข้าวของออกจากบ้านแยกทางต่างคนต่างไป แม่ว่าน่าจะเรียนต่อให้จบปริญญาแล้วค่อยคิดแต่งงาน เหนือถามแม่แบบนี้มีแฟนแล้วหรือ”
“ยังครับ” ถึงตอบปฏิเสธ แต่รอยยิ้มละมัยระบายใบหน้าแบบนั้น แทนคำตอบอยู่แล้วว่าในใจมีความรัก
...........ห้องแถวคนจนข้างกำแพงวัดดอน
“ยายเพียร... อยู่ไหมครับ”
“แกร๊ก! ...” เสียงประตูเปิดออก พร้อมกับได้เห็นหน้าตาของเจ้าของห้อง...
“หา! ... ก๊าก... ฮ่า ฮ่า ฮ่า...” ลมเหนือไม่เคยทำใจมาล่วงหน้าว่าจะต้องมาเจอกับ?... อะไรที่จี้เส้นเช่นนี้มาก่อน ถึงกับระเบิดหัวเราะชนิดยั้งไม่อยู่เลยทีเดียว จนคนต้นเหตุถึงกับตาลุก ตะลีตะลานหันเหลียวหลังไปมองเงาตัวเองในกระจกหน้าตู้เสื้อผ้า
“ฮะ ฮะ ฮะ...” หัวเราะเพราะขำตัวเองเช่นกัน ดูไม่ต่างจากยายเพิ้งมาเอง ทั้งชุดนอนแขนยาวมิดชิดรุ่มร่าม ทั้งทรงผมตั้งหลอมแหลม
‘ใช่... ก่อนนอนกลางวัน ใส่เจลทำผมหน้าม้าชี้ขึ้นตั้งไว้ เพื่อให้ผมฟูไม่ลีบแบนติดหนังศีรษะ กะว่าจะล้างออกหลังตื่นนอน แต่ยังไม่ทันตื่นนอนดีต้องมาเจอกับ... ใคร?’
“ขนมของแม่ให้...” เมื่อเขาก้าวเข้ามาใกล้ โค้งศีรษะลงเล็กน้อย สองมือที่ถือถุงยื่นให้
กาฬวารจึงต้องรีบรับมา แล้วแหงนหน้าขึ้นมองเพราะเขาตัวสูงกว่า ใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีเทาลายสก็อต กางเกงยีนเก่าขาดลุ่ยแบบมีสไตล์ สวมถุงมือหนังสีดำแบบนักบิด ‘สิงห์มอเตอร์ไซค์’
“ขอบคุณมากนะคะ น้อง? ...” กล่าวขอบคุณ ทั้งสายตามีคำถาม ...แต่เกรงใจจึงเงียบ มองเขาเดินกลับไป
“ใคร... เอาอะไรมาให้เหรอกาฬ” ยายเพียรถาม เพิ่งเดินออกมาหน้าบ้าน
“เด็กหนุ่ม ๆ ตัวใหญ่ ๆ ดูแปลกยังกะไม่ใช่คนไทย ให้ขนมโมจิจ้าย่า บอกขนมของแม่ ลูกใครหว่า? หน้าไม่คุ้น”
เวลาผ่านไปไม่ถึงสองชั่วโมง ...ล่วงเข้าหกโมงเย็น กาฬวารได้เจอกับเด็กหนุ่มคนดังกล่าวอีกหน
“ยายให้เอาขนมมาให้”
“อ๋อน้อง?... นั่นเอง ขอบคุณมาก ขอให้เจริญ ๆ นะคะ เรียนหนังสือเก่ง ๆ” มาคราวนี้กาฬวารกล่าวอวยพร ตามคำสั่งสอนอันดีงามจากยายเพียร ฝ่ายนั้นยิ้มแก้มยุ้ย เห็นฟันเรียงกันเป็นระเบียบสวยงามแทบครบทุกซี่กับอีกสองเขี้ยวเล็ก ดูเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักไม่น้อย
“ฉันชื่อ... เรียกฮคคุก็ได้” เขาเพิ่งเอ่ยแนะนำตัว แต่พูดเสียงค่อยไปหน่อย กาฬวารได้ยินไม่ถนัด และนึกว่าชื่อของเขานั้นเรียกยาก
“ฮก... ฮกอะไรนะเรียกชื่อเหมือน... ฮกลกซิ่วใช่ไหม”
“เอ... ฉันไม่รู้จักชื่อนั้น ไปก่อนนะ” เขาบอกลา เดินจากไปรวดเร็วมาก เลี้ยวเข้าตรอกแคบพอคนเดินและมอเตอร์ไซค์แล่นได้เท่านั้น ตรอกอยู่เยื้องหน้าบ้านนั่นเอง
“อ้าว... อีกละไม่ทันถาม เป็นลูกใครหลานใคร?... แม่และยายชื่ออะไร” กาฬวารบ่นอยู่คนเดียว
...........กาฬวารเพิ่งกลับจากมหาวิทยาลัย เพราะมีธุระเร่งรีบตรงไปบ้านโองาว่า กดกริ่งหน้าประตูรั้ว รอครู่หนึ่ง... จึงมีคนมาเปิดประตู
“เอ๋! น้อง?... อยู่บ้านนี้เองเหรอ”
“นี่บ้านยายฉัน แล้วเธอมาทำไม”
กาฬวารหายสงสัยที่แท้เด็กหนุ่มที่เอาของไปให้บ้านเธอ เขาเป็นหลานชายคุณนายจินตนานี่เอง จึงตอบไป...
“ฉันเอาเงินมาจ่ายค่าเช่าห้องค่ะ”
“เข้ามาในบ้านก่อนสิ แม่ฉันสั่งไว้ว่าอยากเจอเธอล่ะ” กาฬวารเดินเข้าห้องรับแขก เจอเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่ง ซึ่งดูจากใบหน้า... แน่นอนว่าต้องไม่ใช่คนไทย เขามีดวงตาตี่สีผิวขาวซีดมาก หุ่นไม่อ้วนไม่ผอมแบบเดียวกับลมเหนือ
“รอเดี๋ยวนะกาฬ ฉันจะไปตามแม่มา อ้อ... นายช่วยดูแลกาฬวารแทนฉันหน่อย เดี๋ยวฉันมา” ประโยคหลังเขาสั่งเพื่อน แล้วถึงเดินออกจากห้องไป เหลือเธอและเด็กหนุ่มที่ไม่รู้จัก เธอไม่กล้าทักทายเขาก่อน จึงลงนั่งพับเพียบกับพื้น
“นั่งนี่...” เด็กหนุ่มคนดังกล่าวส่งเสียงเรียก และทำมือตบลงบนโซฟาข้างกายในทำนองชวนเธอไปนั่งเคียงข้าง
“ขอบคุณค่ะ ...ไม่เป็นไร ฉันนั่งนี่ได้ค่ะ” กาฬวารปฏิเสธ ตามความเหมาะสมหญิงสาวไม่ควรรีบทำตัวว่าง่ายกับผู้ชายที่ยังไม่รู้จัก
“ใส่ชุดนักศึกษา... เธอเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ชั้นปีไหน”
“เรียนอยู่ปีสองค่ะ”
“ยังไม่ปิดเทอมเหรอ”
“ยังค่ะ แต่ใกล้สอบปลายภาคปิดเทอมแรก” กาฬวารพูดโต้ตอบแบบถามคำตอบคำ ให้นึกแปลกใจที่ไม่มีการไถ่ถามชื่อหรือแนะนำตัวต่อกัน
“กาฬวาร... เพิ่งกลับจากมหาวิทยาลัยเหรอ” สาวสวยวัยกลางคนเอ่ยทัก เธอเรือนร่างสูงใหญ่ผิวขาวเหลือง ท่าทางมีอัธยาศัยไมตรีดีตรงที่ยิ้มให้ก่อน
“ค่ะ” กาฬวารตอบสั้น เพราะไม่ได้รู้จักด้วย แม้ผู้พูดมีท่าทีเหมือนรู้จักเธอดี
“ฉันเป็นลูกสาวคุณแม่จินตนาชื่อ... มิลิน เพิ่งกลับมาอยู่เมืองไทยไม่กี่วันนี่เอง นั่นลูกชายชื่อเหนือ ส่วนคนนี้เพื่อนของลูกชายชื่อ... ริวจิ คุณแม่คุณพ่อฉันชอบเล่าเรื่องเธอให้พวกเราฟัง”
“อ๋อ... ค่ะ” กาฬวารเออออตาม ได้แต่นึกในใจ...
‘นั่นเอง พวกเขาถึงรู้จักเรา แต่เราไม่รู้จักพวกเขา ตอนคุณมิลินไปอยู่ญี่ปุ่น เรายังไม่เกิด’
“ช่วยสอนภาษาไทยให้ลูกชายฉันทีเถิด เขาแย่มากไม่ไหวเลย แค่พูดรู้เรื่องแต่เขียนภาษาไทยไม่เป็น” คุณมิลินพูดพร้อมส่ายหน้า
“มีโรงเรียนสอนภาษาไทยได้มาตรฐาน เรียนจบจะได้ใบประกาศนียบัตรรับรอง ไปเรียนที่นั้นดีกว่านะคะ”
“ไม่จำเป็นต้องใช้ใบประกาศนียบัตรเลย เพราะลูกชายฉันจะอยู่เมืองไทยแค่ปิดเทอมนี้เดือนเดียว ต้องกลับญี่ปุ่นไปเรียนให้จบไฮสคูล ฉันอยากให้เธอสอนเขียนภาษาไทยให้เขาทุกวัน วันละชั่วโมงหรือสองชั่วโมง ฉันจ้างเธอชั่วโมงละร้อยบาท เธอพอจะช่วยได้ไหม”
“ฉันมีเรียนที่มหาวิทยาลัยช่วงเช้า กลับบ้านประมาณบ่ายสองบ่ายสาม พอมีเวลาช่วงเย็น”
“ถ้าอย่างนั้นบ่ายสี่โมงถึงห้าโมงหกโมงเย็น เป็นเวลาสอนภาษาไทย หลังจากนั้นฉันแถม... เลี้ยงข้าวเย็นอีกหนึ่งมื้อ ตกลงไหมจ๊ะ” คุณมิลินยื่นขอเสนออันดี เชื่อว่าถูกใจเด็กสาว
“โอ้โฮ... เลี้ยงข้าวเย็นด้วย? ตกลงค่ะ” กาฬวารรีบรับปากทันควัน เธอตาโตกับเรื่องของกิน ...ไม่ใช่เห็นแก่กิน แต่เพราะทุก ๆ วันที่ผ่านไป ไม่มีใครรู้หรอกว่ามันหิวแสนหิว กินอาหารไม่เต็มกระเพาะ เนื่องจากฐานะยากจน ใช้เงินจ่ายค่ารถไปมหาวิทยาลัย ซื้ออุปกรณ์การเรียน แต่ไม่ค่อยมีเงินซื้ออาหารกิน
“กาฬ... เธอชอบกินอะไร” ลมเหนือถาม นึกอยากเอาใจด้วยของกินที่เธอชอบ
“ช็อคโกแล็ต นม โกโก้หวาน โดนัท ไก่ย่าง ฯลฯ... ฉันกินง่ายไม่เลือกมากค่ะ” พูดเรื่องกินเธอเริ่มบรรยายเยอะ นึกเกรงใจขึ้นมาจึงสรุปลงท้ายว่าอย่างนั้น
หลังจากกาฬวารกลับไปแล้ว...
“ว้าว... สาวสวยเป็นธรรมชาติ ไม่แต่งหน้า ใส ๆ สะอาดดีอย่างนี้ล่ะโดนใจ” ริวจิคุยกับลมเหนือเมื่อเจอสาวถูกใจ
“อืม... แต่งเนื้อแต่งตัวเรียบร้อยกว่าตอนเจอครั้งแรก แต่ยังดูเรียบง่ายเกินไป”
“อ้อ... ไม่ใช่สเป็คนายนี่นะ ดีล่ะ... จะได้ไม่ต้องแย่งกันจีบ”
“หา! นี่นายกะจะจีบกาฬเหรอ” ลมเหนืออุทานด้วยนึกไม่ถึง จึงเจอลูกอ้อนของเพื่อน
“ใช่... นายต้องช่วยเพื่อนนะ เพื่อนรัก...”
...........หน้าห้องแถวให้เช่าข้างกำแพงวัด
“นี่... นี่... เพื่อนฉันสนใจเธอรู้ไหม เธอมีแฟนหรือยัง” ลมเหนือถามกาฬวารอย่างกระตือรือร้น เพราะตัวเขาเองอยากรู้ด้วยเหมือนกับเพื่อนของเขา
“ยัง... แต่ฉันไม่อยากมีแฟนหรอก ฉันคิดว่าตัวเองยังเด็กอยู่” กาฬวารตอบ หน้าตาใสซื่อ
“เธอแก่กว่าฉันหนึ่งปีไม่เห็นเด็กตรงไหน อายุย่างยี่สิบดูเป็นผู้ใหญ่แล้ว และตัวสูงกว่าสาวแถวบ้านนี่ด้วย”
“ฉันอายุสิบเก้าเท่านั้น ที่ว่ายังเด็กฉันหมายถึงข้างในนี้” กาฬวารชี้ที่อกซ้ายของเธอ
แต่เขาดันแปลความหมายผิดไป มองลงมาที่หน้าอกเธอ แล้วหัวเราะคิกคักโดยเอามือปิดปาก
เธอพอเดารู้... เขาคิดอะไรทะลึ่งอยู่
“หึ หึ... อ๋อ... หน้าอกเล็กเหมือนเด็กเหรอ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น หมายถึงจิตใจข้างในของฉันมันยังเป็นเด็กอยู่ ยังอยากรู้อยากเห็นอยากเรียนอยากเล่นอีกมากมาย ยังไม่นึกอยากชอบใคร” กาฬวารว่า ชักสีหน้ายุ่งขึ้นมาทันที
“ว้า...อย่างนี้จีบยาก ต้องไปบอกเพื่อน เขาคงต้องใช้ความพยายามมากหน่อย ถ้าอยากได้เธอเป็นแฟน”
“คุณเหนือล่ะ มีแฟนหรือยัง” เธอถามเพราะอยากรู้มากกว่าคิดอย่างอื่น แต่เขากลับอมยิ้มชำเลืองมองมาทางเธอ
“ยังไม่มีเหมือนกัน เธอสนใจฉันเหรอ” กาฬวารไม่ตอบคำถามเขา สีหน้าวางเฉย พูดน้ำเสียงเรียบเรื่อย...
“ยังไม่มีแฟนนะดีแล้ว ถ้ามีแฟนเร็วจะเร่งให้โตเร็วและแก่เร็วเกินไป เสียดายวันเวลาวัยรุ่น น่าจะได้สนุกสนาน เที่ยวเตร่เฮฮากับเพื่อนฝูง ฉันคิดว่าถ้ามีสถานที่ที่เราชอบไป เราไปที่นั้นกี่ครั้งกี่หนยังได้ แต่เวลาไม่เหมือนเดิม ย้อนเวลากลับไปไม่ได้ หากช่วงวัยรุ่นนี้ผ่านพ้นไปจะเหลือแต่ความทรงจำ จะดีหรือร้ายสุดแต่ใจใครจะเลือกทางเดิน”
“อืม... ฉันพอจะเข้าใจละ จริงอย่างเธอพูด” ลมเหนือเห็นจริงดังว่า จึงเปลี่ยนท่าทางเป็นเคร่งขรึมลง
______________________...oooooOOOooooo...______________________...
.
...........ลมเหนือไม่เชื่อเรื่องไม่มีเหตุผล ผิดกับริวจิเพื่อนสนิทที่เชื่อในไสยศาสตร์ เครื่องรางของขลัง
“โทรคุยกับสาวไหนไม่รู้ เจ้านี่เจ้าชู้จะตาย สาว ๆ เห็นเป็นต้องกรี๊ด มันหล่อ เท่ห์ น่าหมั่นไส้ ใครแอบหลงรักระวังอกหักไว้ด้วย” ริวจิแกล้งพูดหยอกเย้าสาวใหญ่วัยยี่สิบแปด
เธอกำลังจ้องมองลมเหนืออย่างตาเป็นมัน จะไม่ให้จ้องได้อย่างไร ในเมื่อรูปร่างหน้าตาหล่อเลอล้ำ หุ่นไม่ล่ำแต่มีกล้ามพองามสมส่วนรับกับซิกแพ็ก หุ่นฟิตแอนด์เฟิร์ม ยิ่งมองหัวใจยิ่งร่ำร้อง ‘อยากกินเด็ก’
“พี่มนตราอย่าไปเชื่อริวจิ มันพูดเกินจริง ผมไม่ได้จีบสาวสักหน่อย แม่ผมโทรมาบอกว่าแม่ถูกหวยล็อตเตอรี่เลขท้ายสามตัว บอกมีคนให้หวยแม่น ผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้หรอก” ลมเหนือบอก พร้อมแก้มยุ้ยและเขี้ยวเล็กคู่นั้นประทับรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม เขาถูกใจมนตราสาวสวยเซ็กซี่รุ่นพี่คนนี้ตั้งแต่แรกเจอ
มนตรา สาวใหญ่หน้าตาสะสวยผิวขาวใบหน้ารูปไข่ ใช้คิ้วถาวร ดวงตาสองชั้นนั้นไปทำมา จมูกโด่งโดยได้ทำศัลยกรรมเสริมดั้งมาหมาด ๆ ผมดัดลอนย้อมสีผมเป็นสีน้ำตาลอ่อน หล่อนขับรถมารับสองเด็กหนุ่มญี่ปุ่นทั้งที่บ้านห่างไกลกันมาก จากนครปฐมถึงนนทบุรี และให้เด็กหนุ่มพักค้างคืนที่บ้านนานสามวัน พาไปเที่ยวสถานที่ใกล้ ๆ พาไปไหว้พระที่วัด
และที่มารู้จักกันได้เนื่องจากริวจิชอบผู้หญิงไทย หัดเรียนภาษาไทย รู้จักกับมนตราทางอินเตอร์เน็ตเฟชบุ๊ก เพื่อนจึงตามเขามาเที่ยวเมืองไทย ที่จริงไม่น่าเรียกว่ามาเที่ยวเพราะริวจิอยากมาสักยันต์คงกะพันชาตรี ...ที่เชื่อกันว่าขลัง! ทำให้หนังเหนียวยิงแทงไม่เข้า
“แต่เรื่องพระเครื่อง เครื่องรางของขลังรวมทั้งการสักยันต์ศักดิ์สิทธิ์จริงนะ ...ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ฉันให้นายลองเอามีดฟันแขนฉันแล้วนี่ ไม่เห็นระคายผิว ไม่มีรอยมีดบาดเลยสักนิดนี่ล่ะของจริง”
“นอกจากจะขลังหนังเหนียว ยังมีเมตตามหานิยม เป็นเสน่ห์ดึงดูดผู้พบเห็นให้นึกหลงรักใคร่ แบบใครเห็นใครรัก” มนตราอธิบาย อ่อยด้วยสายหวานหว่านเสน่ห์ชม้ายชายตามองเด็กหนุ่มรุ่นน้อง
เล่นเอาหัวใจเด็กหนุ่มลิงโลด ตื่นเต้นที่เห็นท่าทีมีใจให้กับเขา เขามักรู้ตัวเวลามีสาวสนใจ ความรู้สึกไวเสมอ...
“มันคือยันต์หนังเหนียวมหาเสน่ห์ นายลองสักยันต์ดูบ้างสิ ฉันว่าดีนะ” ริวจิพูดชักจูงลมเหนือ
“แหม... แต่ที่ญี่ปุ่นเห็นใครมีรอยสักเขาจะหาว่าเป็นพวกยากูซ่า”
“แต่รอยสักนี่เล็กนิดเดียว สักไว้กลางหลังใส่เสื้อปิดนิดเดียวไม่เห็นแล้ว”
“ต้องใช้เงินตั้งสามหมื่น แพงไปหรือเปล่า” ลมเหนืออยากบ่ายเบี่ยง จึงติโน่นนี่นั่นเรื่อยเปื่อยไป...
“ถือว่าเอาเงินไปทำบุญบำรุงวัด ของแท้... แค่นี้ถูกมากจะเสียดายทำไม บ้านนายรวยจะตาย”
“หลวงพ่อเป็นพระธุดงค์ มาจำวัดอยู่ที่นี่ไม่นาน อาจจะออกไปธุดงค์ที่อื่นเมื่อไหร่ไม่รู้ คงไม่ได้พบเจอพระอาจารย์เก่ง ๆ อย่างนี้อีก ท่านเป็นพระที่ศักดิ์สิทธิ์ นับวันยิ่งหายาก” มนตราพูดให้ลมเหนือนึกเสียดาย ถ้าไม่คิดสักยันต์
ในที่สุด... ลมเหนือตกลงปลงใจสักยันต์ ไม่ได้อยากหนังเหนียวหากแต่อยากให้ผู้หญิงรัก อยากให้ผู้หญิงหลง เป็นที่รักใคร่เป็นขวัญใจสาว ๆ เขายังอ่อนวัย... อ่อนไหวเชื่อคำพูดคนง่ายโดยไม่ทันนึกเฉลียวใจ ถ้าส่องกระจกดูตัวเองจะเห็นความคมคาย ใบหน้าหล่อเหลาดูดีจัดเป็นเด็กหนุ่มรูปงามคนหนึ่งทีเดียว มีหรือสาวไม่เหลียวหันมามอง อีกทั้งคำพูดจาคารมโน้มน้าวใจ บุคลิกมีเสน่ห์ดึงดูดอยู่แล้ว ที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องสักยันต์หนังเหนียวมหาเสน่ห์ด้วยซ้ำ
...........จากนั้น... ทั้งมนตราและริวจิจึงพาลมเหนือไปกราบหลวงพ่อ ท่านชื่อ ‘พึ่ง’ อายุประมาณห้าสิบ ค่อนข้างพูดน้อย ผิวคล้ำ รูปร่างผอมสูงลักษณะเป็นคนกระดูกใหญ่ ใบหน้าและดวงตาคมดุ ดูน่าเกรงขาม ท่านกล่าวกับลมเหนือว่า...
“การสักยันต์จะให้ขลัง ผู้นั้นจะต้องรักษาศีลห้าประกอบด้วย ...ดูเหมือนหนุ่มน้อยคนนี้ไม่ใช่คนไทย”
“ผมเป็นคนญี่ปุ่นครับ เรื่องศีลห้าแม่ผมเคยสอน แต่ผมไม่ได้เคร่งศาสนาจึงจำไม่ค่อยได้”
“อย่างนั้นจดไปศีลห้าข้อ หลวงพ่อจะบอกให้...”
จากนั้นรับศีลรับพรจากหลวงพ่อ แล้วต่อด้วยรับการสักยันต์ ซึ่งลมเหนือต้องอดทนเจ็บที่กลางหลังพักหนึ่ง...
หลังจากเสร็จพิธี ทั้งสามคนจึงพากันลากลับ ขณะลมเหนือก้มลงกราบลา
หลวงพ่อพึ่งถึงกับชะงัก ...เด็กหนุ่มมีเคราะห์หนักไม่เห็นเงาหัวของเขา! ท่านมีญาณหยั่งรู้... อนาคตเขาชะตาถึงฆาต อาจถึงคราวตายแม้ไม่เชิงใช่เช่นนั้นคงไม่ต่างกันนัก จึงพูดเพียงคำเตือน...
“โยมลมเหนือกำลังมีเคราะห์ร้ายแรงถึงกับชีวิต ...เกือบตาย”
ฟังดังนั้นทุกคนพลอยตกใจ แต่ลมเหนือไม่เชื่อเสียทีเดียว ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากรู้วิธีแก้ไข
“แล้วผมจะหลีกเลี่ยงได้ยังไงบ้างครับ”
“มากินนอนอยู่ที่วัด รักษาศีลแปดตลอดเดือนนี้ได้ไหมโยมเหนือ”
ลมเหนือเพิ่งมาเมืองไทย ยังไม่ทันได้ท่องเที่ยวให้สมใจนึกเลย แถมมีสาวที่เขาแอบชอบด้วย ยิ่งไม่อยากอยู่วัดนานร่วมเดือนจึงปฏิเสธ
“ไม่ได้หรอกครับหลวงพ่อ ผมไม่มีเวลาว่างมากขนาดนั้น พอมีวิธีอื่นอีกไหมครับ”
หลวงพ่อพึ่งคำนึงถึงหลักธรรม ‘สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม’ ยากจะฝืนเคราะห์กรรมเมื่อยามมันส่งผล
“ถ้าอย่างนั้นต้องตั้งมั่นในศีลห้าข้อที่โยมเหนือรับไป และระวังตัวอย่าหลงผู้หญิงไม่ดี อย่าเชื่อเพื่อนเลว ใช้สติปัญญาพิจารณาดู ดูให้ออก... ใครไม่ดีใครเลว ...ขอให้ไปดี”
หลังจากวันนั้น... ไม่มีใครรู้ว่าหลวงพ่อพึ่งคอยแผ่เมตตาให้ลมเหนือเสมอ และหวังว่าเขาจะรักษาศีลห้าได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เพราะนั่นช่วยคุ้มครองป้องกันภัยให้ตัวเขาผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
...........ภายในรถยนต์ส่วนตัว ก่อนมนตราจะขับรถมาส่งเด็กหนุ่มทั้งสอง
“สุดยอด... พี่มนตรานี่ได้อย่างใจผมจริง ๆ มีครบทุกสิ่งที่ผมต้องการ ...ขอนะ” ริวจิซุบซิบกับมนตรา
ทำให้ลมเหนือที่นั่งอยู่เบาะหลังสนใจ ชะโงกหน้ามามองทั้งสองคนและถาม...
“อะไรนั่นน่ะ?”
“ยาที่ทำให้ผู้หญิงยอม... เฮอะ เฮอะ...” ริวจิตอบพร้อมหัวเราะมีเลศนัย
ลมเหนือทำหน้ายังไม่หายสงสัย
“ยาเลิฟไงล่ะฮคคุ” มนตราตอบ
ลมเหนือรู้ทันทีว่ามันจัดเป็นยาเสพติดผิดกฎหมาย ...นึกห่วงกังวลสาวที่เขาสนใจ
“พี่มนตราขายของพวกนี้ไม่กลัวโดนตำรวจจับเหรอ ผมเป็นห่วง ไม่น่าทำอาชีพอย่างนี้”
“พี่มีสายคอยส่งข่าวรู้เท่าทันตำรวจ หนีได้ไม่เคยโดนจับสักที โถ... อุตส่าห์เป็นห่วงพี่ ฮคคุนี่น่ารักจัง” มนตราไม่พูดเปล่า พลางมือวางทับจับกุมมือของเด็กหนุ่มที่เกาะอยู่ข้างเบาะ ส่งผลให้จิตใจที่อ่อนไหวของเด็กหนุ่มรุ่มร้อน...
“น่ารัก... งั้นรักเลยสิพี่มนตรา ฮคคุยังไม่มีแฟน มีแต่สาว ๆ รุมกรี๊ด เพราะมันเป็นนักร้องนำวงดนตรีสมัครเล่น สาวในสเป็คฮคคุชอบผู้หญิงอายุมากกว่า ...เซ็กซี่ประมาณพี่มนตรานี่ล่ะ” ริวจิยุยงส่งเสริมสาวใหญ่ และพูดบอกความนัยแทนเพื่อนของเขา
ลมเหนือได้แต่หัวเราะเขิน พูดไม่ออกไปเลย...
มนตราได้ใจจึงให้ลมเหนือมานั่งเบาะหน้าคู่คนขับ ส่วนริวจิไปนั่งเบาะหลัง แล้วจึงขับรถไปส่งเด็กหนุ่มทั้งสอง
“บ๊ายบายริวจิ ไว้เจอกันคราวหน้า” มนตราโบกมือลา
ริวจิลงจากรถไปก่อน แล้วยืนโบกมือให้
เหลือแต่ลมเหนือนั่งเบาะหน้า ท่าทางไม่อยากจากลา...
“เดี๋ยวนะจ๊ะฮคคุ พี่จะปลดเข็มขัดนิรภัยให้เองจ้า” สาวเซ็กซี่บอก เอื้อมมือไปแกะสายรัดที่พาดผ่านหน้าอกเขา ส่งสายตาเย้ายวน... และใบหน้ายื่นเข้าใกล้ใบหน้าเด็กหนุ่ม จนจมูกเขาได้กลิ่นน้ำหอม ส่งผลให้หัวใจเต้นแรงขึ้นมาทันใด
“แล้วโทรคุยกับพี่บ้างล่ะ พี่อยู่คนเดียว เหงา... ไม่มีเพื่อนคุย” เธอใช้น้ำเสียงออดอ้อนเอ่ยอำลา
“คะ... ครับ แล้วผมจะโทรหา” เด็กหนุ่มรับคำตะกุกตะกักเสียงสั่น ...ข้างในใจก็สั่นหวิวไหวไปหมด
“...เดี๋ยวก่อน อย่าลืมโทรนะ” มนตราพูดประโยคนั้น พร้อมกับยื่นใบหน้าเข้าใกล้เด็กหนุ่ม
ในขณะลมเหนือไม่ทันเตรียมตัวเตรียมใจ จู่ ๆ ได้รับสัมผัสอุ่นนุ่มจากเรียวปากของสาวสวยรุ่นพี่ที่บรรจงจูบข้างแก้มอิ่มของเขา เคลิ้ม... นิ่งงงงัน ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว เหมือนร่างกายหยุดสั่งงาน จ้องมองกันอยู่อย่างนั้น
...........นั่งคิดนอนฝันทั้งวันทั้งคืน ภาพใบหน้าคนที่ตนหลงรัก ...วาดฝันวนเวียนในห้วงหัวใจ
“แม่ครับ ผู้หญิงไทยนี่น่ารักจังนะครับแม่ เพื่อนผมชอบผู้หญิงไทยมากเลย” ลมเหนือชอบคุยกับแม่ของเขา เพราะแม่เป็นเหมือนเพื่อนคนหนึ่งที่พูดคุยด้วยได้เกือบทุกเรื่อง
“เหนือเองชอบผู้หญิงไทยด้วยใช่ไหมล่ะ” คุณมิลินย้อนถามลูกชายบ้าง ได้รับการพยักหน้ายิ้มเอียงอาย
“แม่ครับ สมมุติว่ามีเพื่อนผู้หญิงที่เราอยากอยู่ด้วยตลอดเวลา อยากอยู่ด้วยกันตลอดไป เราควรทำอย่างไรดี”
“เจอผู้หญิงถูกใจเข้าแล้วล่ะสิ ถ้าชอบเขาให้ลองคบดูใจกันไป แต่อย่าเพิ่งคิดจริงจังถึงขั้นแต่งงาน ลูกอายุยังน้อย ประสบการณ์ชีวิตยังไม่เพียงพอถึงขั้นนั้น”
“เพื่อนรุ่นพี่ที่เรียนจบไปแล้ว เขาอยู่กับแฟนตั้งแต่ยังเรียนไม่จบไฮสคูล ตอนนี้เรียนมหาวิทยาลัยแล้วพวกเขาเช่าหออยู่ด้วยกัน ถ้าเป็นผมบ้างแม่จะว่ายังไง”
“ถ้ารักกันจริงต้องคิดจริงจังหวังแต่งงาน แบบนั้นไม่ดีงามหรอก นั่นไม่ใช่รักจริงจังอะไรไม่มีความแน่นอน ถ้าหมดรักกันวันใดคงขนเสื้อผ้าข้าวของออกจากบ้านแยกทางต่างคนต่างไป แม่ว่าน่าจะเรียนต่อให้จบปริญญาแล้วค่อยคิดแต่งงาน เหนือถามแม่แบบนี้มีแฟนแล้วหรือ”
“ยังครับ” ถึงตอบปฏิเสธ แต่รอยยิ้มละมัยระบายใบหน้าแบบนั้น แทนคำตอบอยู่แล้วว่าในใจมีความรัก
...........ห้องแถวคนจนข้างกำแพงวัดดอน
“ยายเพียร... อยู่ไหมครับ”
“แกร๊ก! ...” เสียงประตูเปิดออก พร้อมกับได้เห็นหน้าตาของเจ้าของห้อง...
“หา! ... ก๊าก... ฮ่า ฮ่า ฮ่า...” ลมเหนือไม่เคยทำใจมาล่วงหน้าว่าจะต้องมาเจอกับ?... อะไรที่จี้เส้นเช่นนี้มาก่อน ถึงกับระเบิดหัวเราะชนิดยั้งไม่อยู่เลยทีเดียว จนคนต้นเหตุถึงกับตาลุก ตะลีตะลานหันเหลียวหลังไปมองเงาตัวเองในกระจกหน้าตู้เสื้อผ้า
“ฮะ ฮะ ฮะ...” หัวเราะเพราะขำตัวเองเช่นกัน ดูไม่ต่างจากยายเพิ้งมาเอง ทั้งชุดนอนแขนยาวมิดชิดรุ่มร่าม ทั้งทรงผมตั้งหลอมแหลม
‘ใช่... ก่อนนอนกลางวัน ใส่เจลทำผมหน้าม้าชี้ขึ้นตั้งไว้ เพื่อให้ผมฟูไม่ลีบแบนติดหนังศีรษะ กะว่าจะล้างออกหลังตื่นนอน แต่ยังไม่ทันตื่นนอนดีต้องมาเจอกับ... ใคร?’
“ขนมของแม่ให้...” เมื่อเขาก้าวเข้ามาใกล้ โค้งศีรษะลงเล็กน้อย สองมือที่ถือถุงยื่นให้
กาฬวารจึงต้องรีบรับมา แล้วแหงนหน้าขึ้นมองเพราะเขาตัวสูงกว่า ใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีเทาลายสก็อต กางเกงยีนเก่าขาดลุ่ยแบบมีสไตล์ สวมถุงมือหนังสีดำแบบนักบิด ‘สิงห์มอเตอร์ไซค์’
“ขอบคุณมากนะคะ น้อง? ...” กล่าวขอบคุณ ทั้งสายตามีคำถาม ...แต่เกรงใจจึงเงียบ มองเขาเดินกลับไป
“ใคร... เอาอะไรมาให้เหรอกาฬ” ยายเพียรถาม เพิ่งเดินออกมาหน้าบ้าน
“เด็กหนุ่ม ๆ ตัวใหญ่ ๆ ดูแปลกยังกะไม่ใช่คนไทย ให้ขนมโมจิจ้าย่า บอกขนมของแม่ ลูกใครหว่า? หน้าไม่คุ้น”
เวลาผ่านไปไม่ถึงสองชั่วโมง ...ล่วงเข้าหกโมงเย็น กาฬวารได้เจอกับเด็กหนุ่มคนดังกล่าวอีกหน
“ยายให้เอาขนมมาให้”
“อ๋อน้อง?... นั่นเอง ขอบคุณมาก ขอให้เจริญ ๆ นะคะ เรียนหนังสือเก่ง ๆ” มาคราวนี้กาฬวารกล่าวอวยพร ตามคำสั่งสอนอันดีงามจากยายเพียร ฝ่ายนั้นยิ้มแก้มยุ้ย เห็นฟันเรียงกันเป็นระเบียบสวยงามแทบครบทุกซี่กับอีกสองเขี้ยวเล็ก ดูเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักไม่น้อย
“ฉันชื่อ... เรียกฮคคุก็ได้” เขาเพิ่งเอ่ยแนะนำตัว แต่พูดเสียงค่อยไปหน่อย กาฬวารได้ยินไม่ถนัด และนึกว่าชื่อของเขานั้นเรียกยาก
“ฮก... ฮกอะไรนะเรียกชื่อเหมือน... ฮกลกซิ่วใช่ไหม”
“เอ... ฉันไม่รู้จักชื่อนั้น ไปก่อนนะ” เขาบอกลา เดินจากไปรวดเร็วมาก เลี้ยวเข้าตรอกแคบพอคนเดินและมอเตอร์ไซค์แล่นได้เท่านั้น ตรอกอยู่เยื้องหน้าบ้านนั่นเอง
“อ้าว... อีกละไม่ทันถาม เป็นลูกใครหลานใคร?... แม่และยายชื่ออะไร” กาฬวารบ่นอยู่คนเดียว
...........กาฬวารเพิ่งกลับจากมหาวิทยาลัย เพราะมีธุระเร่งรีบตรงไปบ้านโองาว่า กดกริ่งหน้าประตูรั้ว รอครู่หนึ่ง... จึงมีคนมาเปิดประตู
“เอ๋! น้อง?... อยู่บ้านนี้เองเหรอ”
“นี่บ้านยายฉัน แล้วเธอมาทำไม”
กาฬวารหายสงสัยที่แท้เด็กหนุ่มที่เอาของไปให้บ้านเธอ เขาเป็นหลานชายคุณนายจินตนานี่เอง จึงตอบไป...
“ฉันเอาเงินมาจ่ายค่าเช่าห้องค่ะ”
“เข้ามาในบ้านก่อนสิ แม่ฉันสั่งไว้ว่าอยากเจอเธอล่ะ” กาฬวารเดินเข้าห้องรับแขก เจอเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่ง ซึ่งดูจากใบหน้า... แน่นอนว่าต้องไม่ใช่คนไทย เขามีดวงตาตี่สีผิวขาวซีดมาก หุ่นไม่อ้วนไม่ผอมแบบเดียวกับลมเหนือ
“รอเดี๋ยวนะกาฬ ฉันจะไปตามแม่มา อ้อ... นายช่วยดูแลกาฬวารแทนฉันหน่อย เดี๋ยวฉันมา” ประโยคหลังเขาสั่งเพื่อน แล้วถึงเดินออกจากห้องไป เหลือเธอและเด็กหนุ่มที่ไม่รู้จัก เธอไม่กล้าทักทายเขาก่อน จึงลงนั่งพับเพียบกับพื้น
“นั่งนี่...” เด็กหนุ่มคนดังกล่าวส่งเสียงเรียก และทำมือตบลงบนโซฟาข้างกายในทำนองชวนเธอไปนั่งเคียงข้าง
“ขอบคุณค่ะ ...ไม่เป็นไร ฉันนั่งนี่ได้ค่ะ” กาฬวารปฏิเสธ ตามความเหมาะสมหญิงสาวไม่ควรรีบทำตัวว่าง่ายกับผู้ชายที่ยังไม่รู้จัก
“ใส่ชุดนักศึกษา... เธอเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ชั้นปีไหน”
“เรียนอยู่ปีสองค่ะ”
“ยังไม่ปิดเทอมเหรอ”
“ยังค่ะ แต่ใกล้สอบปลายภาคปิดเทอมแรก” กาฬวารพูดโต้ตอบแบบถามคำตอบคำ ให้นึกแปลกใจที่ไม่มีการไถ่ถามชื่อหรือแนะนำตัวต่อกัน
“กาฬวาร... เพิ่งกลับจากมหาวิทยาลัยเหรอ” สาวสวยวัยกลางคนเอ่ยทัก เธอเรือนร่างสูงใหญ่ผิวขาวเหลือง ท่าทางมีอัธยาศัยไมตรีดีตรงที่ยิ้มให้ก่อน
“ค่ะ” กาฬวารตอบสั้น เพราะไม่ได้รู้จักด้วย แม้ผู้พูดมีท่าทีเหมือนรู้จักเธอดี
“ฉันเป็นลูกสาวคุณแม่จินตนาชื่อ... มิลิน เพิ่งกลับมาอยู่เมืองไทยไม่กี่วันนี่เอง นั่นลูกชายชื่อเหนือ ส่วนคนนี้เพื่อนของลูกชายชื่อ... ริวจิ คุณแม่คุณพ่อฉันชอบเล่าเรื่องเธอให้พวกเราฟัง”
“อ๋อ... ค่ะ” กาฬวารเออออตาม ได้แต่นึกในใจ...
‘นั่นเอง พวกเขาถึงรู้จักเรา แต่เราไม่รู้จักพวกเขา ตอนคุณมิลินไปอยู่ญี่ปุ่น เรายังไม่เกิด’
“ช่วยสอนภาษาไทยให้ลูกชายฉันทีเถิด เขาแย่มากไม่ไหวเลย แค่พูดรู้เรื่องแต่เขียนภาษาไทยไม่เป็น” คุณมิลินพูดพร้อมส่ายหน้า
“มีโรงเรียนสอนภาษาไทยได้มาตรฐาน เรียนจบจะได้ใบประกาศนียบัตรรับรอง ไปเรียนที่นั้นดีกว่านะคะ”
“ไม่จำเป็นต้องใช้ใบประกาศนียบัตรเลย เพราะลูกชายฉันจะอยู่เมืองไทยแค่ปิดเทอมนี้เดือนเดียว ต้องกลับญี่ปุ่นไปเรียนให้จบไฮสคูล ฉันอยากให้เธอสอนเขียนภาษาไทยให้เขาทุกวัน วันละชั่วโมงหรือสองชั่วโมง ฉันจ้างเธอชั่วโมงละร้อยบาท เธอพอจะช่วยได้ไหม”
“ฉันมีเรียนที่มหาวิทยาลัยช่วงเช้า กลับบ้านประมาณบ่ายสองบ่ายสาม พอมีเวลาช่วงเย็น”
“ถ้าอย่างนั้นบ่ายสี่โมงถึงห้าโมงหกโมงเย็น เป็นเวลาสอนภาษาไทย หลังจากนั้นฉันแถม... เลี้ยงข้าวเย็นอีกหนึ่งมื้อ ตกลงไหมจ๊ะ” คุณมิลินยื่นขอเสนออันดี เชื่อว่าถูกใจเด็กสาว
“โอ้โฮ... เลี้ยงข้าวเย็นด้วย? ตกลงค่ะ” กาฬวารรีบรับปากทันควัน เธอตาโตกับเรื่องของกิน ...ไม่ใช่เห็นแก่กิน แต่เพราะทุก ๆ วันที่ผ่านไป ไม่มีใครรู้หรอกว่ามันหิวแสนหิว กินอาหารไม่เต็มกระเพาะ เนื่องจากฐานะยากจน ใช้เงินจ่ายค่ารถไปมหาวิทยาลัย ซื้ออุปกรณ์การเรียน แต่ไม่ค่อยมีเงินซื้ออาหารกิน
“กาฬ... เธอชอบกินอะไร” ลมเหนือถาม นึกอยากเอาใจด้วยของกินที่เธอชอบ
“ช็อคโกแล็ต นม โกโก้หวาน โดนัท ไก่ย่าง ฯลฯ... ฉันกินง่ายไม่เลือกมากค่ะ” พูดเรื่องกินเธอเริ่มบรรยายเยอะ นึกเกรงใจขึ้นมาจึงสรุปลงท้ายว่าอย่างนั้น
หลังจากกาฬวารกลับไปแล้ว...
“ว้าว... สาวสวยเป็นธรรมชาติ ไม่แต่งหน้า ใส ๆ สะอาดดีอย่างนี้ล่ะโดนใจ” ริวจิคุยกับลมเหนือเมื่อเจอสาวถูกใจ
“อืม... แต่งเนื้อแต่งตัวเรียบร้อยกว่าตอนเจอครั้งแรก แต่ยังดูเรียบง่ายเกินไป”
“อ้อ... ไม่ใช่สเป็คนายนี่นะ ดีล่ะ... จะได้ไม่ต้องแย่งกันจีบ”
“หา! นี่นายกะจะจีบกาฬเหรอ” ลมเหนืออุทานด้วยนึกไม่ถึง จึงเจอลูกอ้อนของเพื่อน
“ใช่... นายต้องช่วยเพื่อนนะ เพื่อนรัก...”
...........หน้าห้องแถวให้เช่าข้างกำแพงวัด
“นี่... นี่... เพื่อนฉันสนใจเธอรู้ไหม เธอมีแฟนหรือยัง” ลมเหนือถามกาฬวารอย่างกระตือรือร้น เพราะตัวเขาเองอยากรู้ด้วยเหมือนกับเพื่อนของเขา
“ยัง... แต่ฉันไม่อยากมีแฟนหรอก ฉันคิดว่าตัวเองยังเด็กอยู่” กาฬวารตอบ หน้าตาใสซื่อ
“เธอแก่กว่าฉันหนึ่งปีไม่เห็นเด็กตรงไหน อายุย่างยี่สิบดูเป็นผู้ใหญ่แล้ว และตัวสูงกว่าสาวแถวบ้านนี่ด้วย”
“ฉันอายุสิบเก้าเท่านั้น ที่ว่ายังเด็กฉันหมายถึงข้างในนี้” กาฬวารชี้ที่อกซ้ายของเธอ
แต่เขาดันแปลความหมายผิดไป มองลงมาที่หน้าอกเธอ แล้วหัวเราะคิกคักโดยเอามือปิดปาก
เธอพอเดารู้... เขาคิดอะไรทะลึ่งอยู่
“หึ หึ... อ๋อ... หน้าอกเล็กเหมือนเด็กเหรอ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น หมายถึงจิตใจข้างในของฉันมันยังเป็นเด็กอยู่ ยังอยากรู้อยากเห็นอยากเรียนอยากเล่นอีกมากมาย ยังไม่นึกอยากชอบใคร” กาฬวารว่า ชักสีหน้ายุ่งขึ้นมาทันที
“ว้า...อย่างนี้จีบยาก ต้องไปบอกเพื่อน เขาคงต้องใช้ความพยายามมากหน่อย ถ้าอยากได้เธอเป็นแฟน”
“คุณเหนือล่ะ มีแฟนหรือยัง” เธอถามเพราะอยากรู้มากกว่าคิดอย่างอื่น แต่เขากลับอมยิ้มชำเลืองมองมาทางเธอ
“ยังไม่มีเหมือนกัน เธอสนใจฉันเหรอ” กาฬวารไม่ตอบคำถามเขา สีหน้าวางเฉย พูดน้ำเสียงเรียบเรื่อย...
“ยังไม่มีแฟนนะดีแล้ว ถ้ามีแฟนเร็วจะเร่งให้โตเร็วและแก่เร็วเกินไป เสียดายวันเวลาวัยรุ่น น่าจะได้สนุกสนาน เที่ยวเตร่เฮฮากับเพื่อนฝูง ฉันคิดว่าถ้ามีสถานที่ที่เราชอบไป เราไปที่นั้นกี่ครั้งกี่หนยังได้ แต่เวลาไม่เหมือนเดิม ย้อนเวลากลับไปไม่ได้ หากช่วงวัยรุ่นนี้ผ่านพ้นไปจะเหลือแต่ความทรงจำ จะดีหรือร้ายสุดแต่ใจใครจะเลือกทางเดิน”
“อืม... ฉันพอจะเข้าใจละ จริงอย่างเธอพูด” ลมเหนือเห็นจริงดังว่า จึงเปลี่ยนท่าทางเป็นเคร่งขรึมลง
______________________...oooooOOOooooo...______________________...
ไตรติมา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ก.พ. 2559, 20:50:31 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ก.พ. 2559, 20:50:31 น.
จำนวนการเข้าชม : 1160
<< ตอน ๑ | ตอน ๓ >> |