มนต์อักษรอ้อนรัก

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 5

บทที่ 5


“อะไรนะคะ จะให้นาไปช่วยงานฝ่ายออกแบบและก่อสร้าง”

ถึงแม้อาหารตรงหน้าจะดูน่าทานมากแค่ไหน แต่วินาทีนั้นนาวิตาก็หมดความรู้สึกอยากกินเอาดื้อ ๆ

“ใช่ ตอนแรกพี่คิดจะหาคนไปช่วยงานด้านเอกสารให้กับแผนกนั้น แต่นายกอบเสนอขึ้นมาว่าไหน ๆ หนูนาเข้ามาฝึกงานงั้นย้ายมาช่วยแผนกของเขาดีกว่า แต่ก็ยังได้ไปประสานงานกับฝ่ายบัญชีด้วยอยู่ดีล่ะ”

ที่แท้ ก็เป็นความคิดของเขา

หญิงสาวนึกอย่างไม่ชอบใจ อดสงสัยไม่ได้ว่านี่เป็นผลจากการที่เขายังไม่หายโกรธเธอหรือเปล่า

“แต่นาอยากทำงานตรงกับสายที่เรียนมานะคะ”

“เอาน่า ยังไงก็ได้ทำเกี่ยวกับตัวเลขได้ตรวจสอบเอกสารเหมือนกันนั่นล่ะ”

นาวิตาโคลงศีรษะอย่างอ่อนใจ คร้านจะแก้ไขความเข้าใจของนพรุจว่างานบัญชีไม่ได้มีแค่นั้น

“ถือว่าพี่ขอร้อง ช่วงนี้ฝ่ายนั้นมีเรื่องเบิกเงินเคลียร์เงินค่อนข้างเยอะ เพราะต้องออกไปติดต่องานข้างนอกบ่อย บางคนก็ต้องไปประจำที่ไซด์งานเดือนหนึ่งถึงจะเข้ามาเคลียร์เอกสารแล้วบางทีเขาก็สำรองเงินออกไปก่อน พอมาติดเรื่องเอกสารที่ไม่เรียบร้อยมันก็เสียเวลาพอสมควรกว่าจะได้เงินคืน พี่ไม่อยากให้พวกเขาต้องมาหงุดหงิดใจกับเรื่องแบบนี้”

เจอกับการหว่านล้อมของญาติหนุ่ม หญิงสาวก็เริ่มใจอ่อน

“ก็ได้ค่ะ” เพราะไม่เต็มใจนักเจ้าตัวจึงไม่วายบ่น “เซ็งเลย นาอุตส่าห์ตั้งใจจะมาหาประสบการณ์เต็มที่เลยแท้ๆ”

นาวิตาทำหน้ามุ่ย ในขณะที่นพรุจยิ้มกว้างอย่างพอใจแล้วเริ่มต้นเอาอกเอาใจด้วยการตักอาหารที่เขารู้ว่าเป็นของโปรดไปใส่ในจานแล้วคะยั้นคะยอให้ทาน ราวกับหวังว่าจะช่วยทำให้หญิงสาวอารมณ์ดีขึ้น


ราวบ่ายสองโมงเศษ กอบบุญก็ยิ้มอย่างสมใจเมื่อนพรุจเดินนำนาวิตาเข้ามาในแผนกของเขา

“เอ้า! พี่พาผู้ช่วยของนายมาส่ง”

จากหางตา กอบบุญเห็นว่าวุฒิชัยลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานแล้วปรี่เข้ามาสมทบ

“นี่ผมตกข่าวอะไรไปหรือเปล่าครับ”

นพรุจหันไปมองลูกน้องอีกคน ก่อนบอกยิ้ม ๆ

“กอบยังไม่ได้บอกหรือว่าพี่จะให้หนูนามาช่วยงานเอกสารแผนกนี้”

“ผมไม่ได้หูเฝื่อนใช่ไหมครับ” วุฒิชัยทำตาวาวก่อนยิ้มกว้างให้กับนาวิตาซึ่งยืนเยื้องหลังนพรุจ

ในขณะที่นพรุจหัวเราะเสียงดัง นาวิตาเพียงแต่ยิ้ม ๆ คงมีเพียงกอบบุญที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับ

“ดีใจอะไรนักวะไอ้วุฒิ” หยุดไปนิดเมื่อปรายตามอง ’ต้นเหตุ’ ท่าทางกระดี๊กระด๊าของวุฒิชัย “ก็แค่ได้เด็กมาช่วยงานเอกสาร”

เมื่อเห็นสีหน้าตึง ๆ ของญาติสาว นพรุจจึงรีบทักท้วง

“ไม่ใช่นะกอบ พี่ไม่ได้ให้หนูนาทำแค่เรื่องเอกสารอย่างเดียว แต่ตั้งใจว่าจะให้หนูนามาเป็นผู้ช่วยของนายด้วย คอยรับเรื่องแทนเวลาลูกค้าติดต่อเข้ามา แล้วก็ช่วยตรวจสอบเรื่องเอกสารสัญญา รวมถึงเป็นคนไปเคลียร์เอกสารเบิกจ่ายเงินกับแผนกบัญชี”

ได้ยินเสียงผิวปากหวือจากวุฒิชัย ก่อนตามด้วยน้ำเสียงที่เหมือนเจือความอิจฉา

“อย่างนี้ก็เหมือนเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของไอ้กอบมันเลยนะพี่นพ แหม...ผมชักอยากได้ผู้ช่วยแบบนี้บ้างแล้วสิ”

“เอาสิ ถ้านายคิดว่าทำงานไม่ไหวก็ขอให้บอก พี่จะได้หาคนมาทำงานแทน”

“อ้าว! พี่นพ นี่มันเท่ากับจะไล่ผมออกเลยนะ” วุฒิชัยโวยวายด้วยท่าทีที่บอกชัดว่าแกล้ง ก่อนบ่นพึมอย่างไม่จริงจัง “แบบนี้มันลำเอียงชัด ๆ”

ท่าทางกระเง้ากระงอดของวุฒิชัยเรียกเสียงหัวเราะได้ทั้งจากนพรุจและนาวิตา ยกเว้นกอบบุญที่มีสีหน้าครุ่นคิด

“พี่นพจะให้เด็กนี่มาเป็นผู้ช่วยของผมหรือครับ”

จบคำพูดนั้น นาวิตาก็หน้าง้ำหน้างอราวกับมีเรื่องขุ่นใจ แต่กอบบุญไม่ทันมองเพราะจดจ่ออยู่กับการฟังคำตอบ

“ใช่”

“ตกลงครับ งั้นจากนี้เด็กนี่จะเป็นผู้ช่วยของผม”

ในขณะที่นพรุจยิ้มอย่างพอใจ ผู้ช่วยของกอบบุญกลับแสดงท่าทีตรงกันข้ามเมื่อดูจากการขมวดคิ้วนิ่วหน้าเหมือนมีเรื่องกังวลใจ


ตั้งแต่บ่ายสองโมงกว่าจนตอนนี้เกือบจะห้าโมงเย็น นาวิตาแทบไม่ได้นั่งพัก

แวบหนึ่ง หญิงสาวนึกสงสัย คนที่ฝึกงานหรือพนักงานที่ทำงานกันส่วนใหญ่เขาต้องทำนั่นทำนี่เดินไปนั่นเดินไปนี่เหมือนอย่างเธอหรือเปล่า

เพิ่งกลับจากการไปเคลียร์เอกสารกับฝ่ายบัญชี ยังไม่ทันหย่อนก้นนั่งบนเก้าอี้ น้ำเสียงห้วน ๆ ที่ได้ยินมาหลายครั้งก็ดังขึ้น

“ไปเบิกกระดาษมาให้ที”

ถึงตอนนี้เหมือนวุฒิชัยจะนึกเห็นใจเด็กฝึกงานที่ถูกใช้งานจนแทบไม่ได้พัก กระทั่งทนไม่ไหว

“เดี๋ยวข้าไปเอง” หนุ่มหน้าตี๋จิตใจดีหันไปยิ้มให้ผู้ช่วยของกอบบุญที่ตอนนี้มีเหงื่อซึมนิด ๆ ตรงข้างขมับ ก่อนบอกด้วยสุ้มเสียงเหมือนจะเอาใจ “น้องหนูนานั่งพักให้หายเหนื่อยก่อนนะครับ”

นาวิตาส่งยิ้มให้ กำลังจะขยับปากพูดแต่ไม่ทันกอบบุญ

“เอ็งต้องเร่งทำแบบส่งลูกค้าไม่ใช่หรือไอ้วุฒิ นั่งทำงานไปเถอะ” ออกปากขัดเพื่อนแล้วชายหนุ่มจึงหันไปทางหญิงสาวร่างเล็กสูงราวร้อยห้าสิบเซนติเมตร ก่อนออกคำสั่ง “ไปได้แล้ว”

“จะให้ไปเบิกกระดาษอะไรคะ”

เห็นแววตาของกอบบุญ นาวิตาก็ร้อนไปทั้งหน้าด้วยความโกรธ รู้สึกเหมือนถูกสบประมาทว่าเธอเป็นเด็กไม่ประสีประสา ต้องใช้เวลาครู่หนึ่งเพื่อข่มใจ

“ฉันไม่รู้จริง ๆ ค่ะว่าคุณจะให้ไปเบิกกระดาษอะไร กระดาษชำระ กระดาษถ่ายเอกสาร กระดาษสี...”

หญิงสาวยังแจกแจงไม่หมด น้ำเสียงห้าวห้วนก็แทรกขึ้นมา

“กระดาษเอสี่!” เงียบไปครู่ก่อนจะตามด้วยน้ำเสียงตีรวน “ต้องให้อธิบายไหมว่ามันคืออะไร”

“ไม่ต้อง!”

หญิงสาวบอกปัดเสียงขุ่นก่อนเดินออกไปจากห้องด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด


“จริง ๆ ถ้าเขาบอกตั้งแต่แรกมันก็จบเรื่องแล้ว แต่นี่สั่งคลุมเครือแล้วใครจะไปรู้ ไม่ได้นั่งอยู่กลางใจนี่จะได้รู้ว่าหมายถึงอะไร”

เพราะอัดอั้นตันใจนาวิตาจึงไประบายกับนพรุจ ฝ่ายเจ้าของห้องเองก็เหมือนเต็มใจรับฟังเมื่อดูจากการนั่งอมยิ้ม ไม่พูดไม่ขัด

“นาว่าเขายังแค้นนาอยู่แน่ ๆ ถึงแกล้งหาเรื่องตลอด พี่พนรู้ไหมเกือบสามชั่วโมงมานี้นาแทบไม่ได้นั่งพักเลย เดี๋ยวก็ให้ไปฝ่ายบัญชี เดี๋ยวก็ให้ไปเบิกของ แล้วแทนที่จะสั่งรอบเดียวก็ทำเหมือนเป็นอัลไซเมอร์ พอนึกออกทีก็ใช้ให้ไปที”

นาวิตายังคงบ่นอีกครู่ก่อนสรุป

“นาขอกลับไปอยู่แผนกบัญชีเหมือนเดิมนะคะ”

คนที่นั่งฟังเงียบ ๆ มาตลอดถึงกับรีบออกปาก

“พี่ว่าน่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันมากกว่า นายกอบคงไม่ได้เจ้าคิดเจ้าแค้นอย่างที่หนูนาเข้าใจหรอก แต่คงเพราะนิสัยใจร้อนพอคิดอะไรออกก็สั่งเลย อีกอย่าง...”

นพรุจเงียบไปครู่ราวกับจะให้เวลานาวิตาได้ใคร่ครวญคำพูดต่อจากนี้ของเขา

“สำหรับที่นี่ พี่ไม่ได้เป็นแค่เจ้านายนะหนูนา แต่ยังเป็นทั้งพี่และเพื่อนร่วมงานด้วย หากพี่ยอมให้หนูนากลับไปแผนกบัญชีเหมือนเดิม คนอื่นรวมถึงนายกอบมันจะคิดยังไง เพิ่งบอกให้ไปเป็นผู้ช่วยแหม็บ ๆ แต่ไม่กี่ชั่วโมงก็กลับคำพูด แล้วอย่างนี้ใครจะนับถือพี่ล่ะ”

นาวิตาพูดไม่ออกเพราะจนต่อเหตุผลที่ญาติหนุ่มหยิบยก กระนั้นความอึดอัดใจทำให้ยังอยากบ่นต่อ แต่จังหวะนั้นเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น

กอบบุญมีทีท่าชะงักไปนิดเมื่อเห็นหน้าผู้ช่วยของตนในห้องของเจ้านาย ก่อนเดินเข้าไปนั่งบนเก้าอี้อีกตัวข้าง ๆ นาวิตา แล้วเริ่มเข้าประเด็นโดยไม่สนใจหญิงสาว

“ผมเอาแบบที่ลูกค้าขอแก้ไขมาให้ดูครับ จากที่ประมาณคร่าว ๆ มันมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นพอสมควร”

“วางไว้ก่อนละกัน แล้วพี่จะดูให้อีกที”

นพรุจบอก ก่อนหันไปทางนาวิตาเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะลุกจากเก้าอี้

“อย่าเพิ่งไปหนูนา ไหน ๆ อยู่กันพร้อมหน้าแล้วงั้นก็ปรับความเข้าใจกันซะเลย”

“มีใครมาฟ้องอะไรหรือครับพี่นพ ถึงว่า...ให้ไปเบิกกระดาษแล้วหายเงียบ”

นาวิตาเผลอกัดปากอย่างขุ่นใจเมื่อเห็นกอบบุญปรายตามองมาหลังพูดจบ แต่ยังไม่ทันโต้ตอบเพราะถูกนพรุจพูดแทรก

“ไม่มีอะไรหรอก พี่แค่คิดว่าระหว่างกอบกับหนูนาอาจมีบางเรื่องที่ยังไม่เคลียร์ก็เลยอยากให้ปรับความเข้าใจกันซะให้เรียบร้อย จะได้ทำงานด้วยกันอย่างราบรื่น”

“ไม่เห็นมีอะไรต้องเคลียร์นี่ครับ”

ถึงตอนนี้ นาวิตาก็เริ่มทนไม่ไหว

“มีสิ ก็คุณยังแค้นเรื่องที่ถูกฉันเข้าใจผิดว่าเป็นขโมย เลยแกล้งใช้งานฉันสารพัด ให้ไปนั่นไปนี่ตลอด”

“อ๋อ! ที่แท้ก็มาฟ้องพี่นพเรื่องนี้เอง” ชายหนุ่มทำเสียงเยาะ “เอาเป็นว่าต่อจากนี้ผมจะไม่ใช้งานอะไรคุณอีก จะให้นั่งสบาย ๆ เป็นคุณนายในห้องเลยละกัน ดีไหม พอใจหรือยัง” หลังจากเงียบไปนิดชายหนุ่มก็แค่นเสียงพูดต่อ “เบื่อจริง ๆ พวกคุณหนูเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ”

คำปรามาสต่อท้ายนั้นเพราะกอบบุญเชื่อว่าครอบครัวทางบ้านของนาวิตาก็คงมีฐานะดีไม่แพ้ครอบครัวของนพรุจ ครั้นหันไปทางชายหนุ่มที่เป็นทั้งพี่ที่เคารพและเจ้านาย กอบบุญก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนลงแต่ไม่วายปรายตามองคนข้างตัวด้วยสีหน้าติดเยาะ “ขอโทษนะพี่นพ ไอ้ผมก็ลืมไปว่าคนนี้เป็นเด็กเส้น”

ประโยคสุดท้ายนั้น ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้หลังลาหักจนทำให้นาวิตาหมดความอดทน

“คุณว่าใครเป็นเด็กเส้น!”

“ก็ใครที่ใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวจนได้รับสิทธิ์มาฝึกงานที่นี่ ก็หมายถึงคนนั้นนั่นล่ะ”

“คุณ!”

นาวิตาทั้งเจ็บทั้งจุก ทั้งที่เลี่ยงไม่ไปฝึกงานในบริษัทของครอบครัวก็เพราะไม่อยากถูกมองว่าใช้อภิสิทธิ์ แต่ก็ยังไม่วายถูกมองแบบนั้นจนได้ ความอัดอั้นและคับแค้นใจส่งผลให้เกิดน้ำอุ่น ๆ ขึ้นรอบขอบตา

กอบบุญชะงักงันเมื่อทันเห็นน้ำใส ๆ ในดวงตาก่อนที่นาวิตาจะสะบัดหน้าหนี

นพรุจเองก็เห็นเช่นกันจนนึกเห็นใจญาติผู้น้องจับใจ

“พอได้แล้วทั้งสองคน พี่อยากให้ปรับความเข้าใจกันนะไม่ใช่มาทะเลาะกันแบบนี้”

ชายหนุ่มมองสลับกันไปมาระหว่างนาวิตาที่ยังหันหน้าหนีไปอีกทางกับกอบบุญซึ่งเอาแต่นั่งก้มหน้าขมวดคิ้วราวกับคนมีเรื่องคิดไม่ตก ก่อนถอนหายใจแล้วพูดต่อ

“พี่อยากขอ เรื่องอะไรที่แล้วไปแล้วก็ให้แล้วไปเถอะ พี่เชื่อว่าหนูนาเองก็รู้สึกผิดกับเรื่องเข้าใจผิดนั่น เพราะงั้นกอบก็ให้อภัยเถอะนะ ยังไงเรามันก็เป็นผู้ใหญ่กว่า อย่าให้ใครมาว่าได้ว่าโตแต่ตัวแต่นิสัยยังเป็นเด็ก เจ้าคิดเจ้าแค้นไม่เลิก”

กอบบุญเงยหน้าขึ้นมองทันที หากวินาทีต่อมาก็ต้องหลบสายตาที่เหมือนรู้ทันของนพรุจ

หากถามว่านอกจากคนในครอบครัวและเพื่อนสนิทอย่างวุฒิชัยแล้ว ยังมีใครที่รู้จักตัวตนและนิสัยของเขาอีก กอบบุญคงตอบได้ในทันทีว่าคนคนนั้นก็คือนพรุจ

ใช่สิ เขามันเด็กไม่รู้จักโต เจ้าคิดเจ้าแค้น!

ชายหนุ่มฮึ่มฮั่มในใจอย่างหงุดหงิดหลังจากปรายตามองหญิงสาวข้างตัว

แค่แกล้งให้เดินไปเดินมามากหน่อย ไม่เห็นจะต้องวิ่งแจ้นมาฟ้องเลย

กอบบุญนึกค่อน กำลังจะขยับปากพูดแต่ไม่ทันนาวิตาที่หันกลับมาบอกนพรุจ

“นาขอลาออกจากการฝึกงานค่ะ”


สองสามวันมานี้ กอบบุญทำให้ครองขวัญนึกสงสัยไม่น้อยกับท่าทีที่เหมือนคนมีเรื่องในใจจากท่าทีเหม่อลอยและการพูดที่ดูเหมือนน้อยลงจนผิดปกติ

ราวบ่ายวันเสาร์ เมื่อครองขวัญเดินมาเจอกอบบุญกำลังยืนกอดอกมองดอกบัวในบึงด้านหลังบ้าน ความเป็นห่วงกับท่าทีผิดปกติของญาติผู้พี่ทำให้อดไม่ได้ต้องเดินเข้าไปหา

“พี่กอบมายืนทำอะไรตรงนี้”

แวบแรกเหมือนกอบบุญยังจมอยู่กับความนึกคิดของตัวเอง ต้องใช้เวลาอีกครู่กว่าชายหนุ่มจะหันมามอง

“อยากใช้ความคิดเงียบ ๆ น่ะ”

“มีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่า ถ้ามีปัญหาอะไรคุยกับขวัญได้นะ”

“ไม่มีหรอก”

ครองขวัญถอนหายใจให้กับคำบอกนั้น นึกรู้ว่าคงไม่มีทางง้างปากกอบบุญได้ หากเมื่อคิดจะผละไปคนที่เธอคาดว่าคงไม่ยอมพูดอะไรอีกก็กลับรั้งไว้

“ขวัญ”

“มีอะไรพี่กอบ”

หญิงสาวถามหลังจากรออยู่ครู่ก็ยังไม่เห็นกอบบุญปริปาก

“พวกผู้หญิง”

กอบบุญพูดแล้วก็เงียบก่อนทำท่าอึกอัก ครู่หนึ่งจึงหันหน้าไปอีกทางราวกับอยากปกปิดบางอย่าง หลังจากนั้นก็ทำให้คนรอฟังต้องทำตาโตราวกับไม่อยากเชื่อเมื่อได้ยินคำพูดต่อมา

“ส่วนใหญ่ ชอบร้องไห้กันเพราะเรื่องอะไร”


โง่!

นาวิตานึกโทษตัวเองขณะนั่งอยู่บนโซฟาพลางกอดหมอนทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสแนบอก ราวกับจะให้มันปลุกปลอบความรู้สึกหม่นหมอง

เธอมันโง่แท้ ๆ ที่ลาออก

หญิงสาวยังคงก่นว่าตัวเองไม่เลิกเมื่อนึกเมื่อหลายวันก่อนตอนที่หลุดปากออกไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ ถึงตอนนี้พอนึกย้อนไปก็ยังนึกเสียใจ

เธอมันเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่ออย่างที่ผู้ชายคนนั้นว่าเอาไว้จริง ๆ

“คุณหนูนาคะ เมื่อครู่ตาอินมาบอกว่ามีคนมาขอพบค่ะ”

นาวิตานิ่วหน้าเมื่ออรุณี หญิงวัยห้าสิบเศษ แม่บ้านใหญ่เข้ามารายงานให้รู้ ก่อนถามกลับอย่างนึกสงสัย

“ใครกัน แล้วทำไมลุงอินถึงไม่ให้เข้ามาล่ะคะ”

“ตาอินบอกว่าไม่เคยเห็นหน้าค่ะ แล้วที่สำคัญดูไม่น่าไว้ใจ เห็นว่าขี่รถมอเตอร์ไซด์แล้วก็สวมแว่นดำด้วย กลัวว่าจะเป็นคนร้ายก็เลยอยากให้คุณหนูนาลองไปดูก่อน”

หญิงสาวยิ้มอย่างนึกชอบใจความรอบคอบของอดีตคนขับรถคนเก่าคนแก่ของมารดา ก่อนลุกจากโซฟาแล้วเดินออกจากไปห้องรับแขก

ตรงด้านนอกประตูรั้วลายโปร่ง ผู้ชายคนหนึ่งกำลังยืนพิงหลังกับประตูโดยที่ข้าง ๆ นั้นมีมอเตอร์ไซด์คันหนึ่งจอดอยู่ แต่ราวกับรู้ว่ากำลังถูกจับจ้องเมื่อจู่ ๆ ก็หันกลับมามองทางด้านหลังจนทำให้คนที่กำลังลอบมองสะดุ้ง ก่อนจะเบิกตากว้างพลางตั้งคำถาม

“คุณ! มาทำอะไรที่นี่”


“รู้จักบ้านฉันได้ยังไง”

คล้อยหลังเด็กรับใช้ในบ้านซึ่งนำเครื่องดื่มมาให้แขก ฝ่ายเจ้าของบ้านก็เริ่มต้นพูด

กอบบุญชะงักมือที่กำลังจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม ความรู้สึกกระหายหายวับในพริบตาเมื่อสัมผัสถึงความไม่เป็นมิตรและท่าทีไม่เต็มใจต้อนรับ

แต่ไม่น่าแปลกใจไม่ใช่หรือ

ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะ แล้วหวนนึกถึงสาเหตุที่ผลักดันให้เขามาที่นี่

ตั้งแต่รู้ว่านาวิตาขอลาออก เขาก็ถูกวุฒิชัยค่อนขอดเสมอ ยอมรับว่าทำให้เขาหงุดหงิดแต่เหนืออื่นใดความรู้สึกผิดในใจก็ทบทวี และแม้ว่านพรุจไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ได้โทษว่าเขาเป็นต้นเหตุ แต่ลึกในใจเขาย่อมรู้ดีกว่าใคร

ก็ไม่ใช่เพราะรู้สึกผิดหรอกหรือถึงทำให้เขาไม่สบายใจจนถึงกับตั้งคำถามบ้า ๆ นั้นกับครองขวัญ

‘เรื่องที่จะทำให้ผู้หญิงเราร้องไห้มีหลายสาเหตุค่ะ บางทีแค่สัตว์เลี้ยงตายเราก็ร้องไห้ เสียใจผิดหวังก็ร้องไห้ โมโหก็ร้องไห้ แต่บางที...โกรธมาก ๆ ก็ร้องไห้ค่ะ’

เมื่อคำตอบที่ครองขวัญเคยให้ไว้ผุดขึ้นมาอีกครั้ง กอบบุญก็ให้ข้อสรุปกับตัวเอง

กรณีของเขา น่าจะเป็นอย่างหลัง

“พี่นพบอกผม”

กอบบุญเห็นนาวิตาทำหน้ามุ่ยทันทีหลังได้ยินคำตอบ ก่อนที่เขาจะถูกตั้งคำถามใหม่

“แล้วคุณมาบ้านฉันทำไม”

ชายหนุ่มสูดอากาศเข้าปอดลึก ๆ เพื่อเรียกกำลังใจให้ตัวเอง ก่อนโพล่งประโยคที่เขาท่องมาตลอดทาง

“ผมอยากให้คุณกลับไปช่วยงาน”

ความเงียบที่ตามมาหลังจากนั้นชวนให้ใจไม่ดี

“ทำไม”

เจอกับคำถามนั้น กอบบุญก็ไปไม่ถูกเพราะก่อนหน้านั้นไม่ได้เตรียมตัวมาสำหรับการถูกตั้งคำถาม

“งานในแผนกมันยุ่ง ไอ้วุฒิมันไม่มีเวลาเคลียร์เอกสาร”

นั่นคือสิ่งที่ชายหนุ่มคิดได้ในตอนนั้น

“งั้นก็รับคนเข้ามาสิ”

“หาไม่ทัน”

“ถ้าอย่างนั้นก็รอ”

“ไม่อยากรอ”

“งั้นก็ไปหาคนอื่น”

“ไม่! จะเอาคนนี้”

“เอ๊ะ! คุณ...อย่ามาหยาบคายนะ”

กอบบุญนิ่งไปครู่ ก่อนแย้ง

“ผมมั่นใจนะว่ายังไม่ได้พูดคำหยาบออกมาสักคำ”

“ก็...” นาวิตาหน้าแดงหากยังยืนกราน “ที่พูดเมื่อกี้นั่นล่ะ หยาบคาย”

“อะไร...แค่พูดตามความรู้สึกนะหรือที่คุณว่าหยาบคาย”

นาวิตาอึ้งงัน หัวใจเต้นแรงจนไม่เข้าใจตัวเอง

เป็นบ้าอะไร แค่คำพูดของคนห่าม ๆ ทำไมจะต้องหวั่นไหว

“กลับไปช่วยงานเถอะ อย่าเล่นตัวนักเลย”

ปากแบบนี้มันน่า!

ความโมโหทำให้หญิงสาวจะลุกหนี หากชายหนุ่มก็ไวพอเมื่อตะครุบมือไว้

“คุณจะไปไหนไม่ได้จนกว่าผมจะพูดจบ!”

“งั้นก็ปล่อยมือ!”

กอบบุญนิ่งมองนาวิตาราวกับจะประเมินชั่วครู่ ก่อนยอมทำตาม

“กลับไปทำงานเถอะ ถือซะว่าทำบุญช่วยให้คนไม่ต้องตกงาน”

“คุณพูดเรื่องอะไร ใครจะตกงาน”

เธอจะกลับไปทำงานหรือไม่ มันไปเกี่ยวอะไรกับการตกงานของใครด้วย

หญิงสาวนึกอย่างข้องใจ ก่อนจะได้ยินเสียงถอนหายใจที่ดูเหมือนดังเป็นพิเศษ แล้วจึงตามด้วยคำตอบของข้อกังขา

“ผมนี่ไง ถ้าคุณไม่กลับ ได้ออกจากงานแน่”



******************************************************************


สวัสดีเช้าวันหยุดของหลาย ๆ คนค่ะ เอาตอนใหม่มาส่งให้แต่เช้า ^^


ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ



คุณ Zephyr - ฮุฮุ...นินนาทกับนาวิตา อาจแค่บังเอิญชื่อคล้ายกัน แต่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันก็ได้นะคะ ^^




ปิยะณัฏฐ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 ก.พ. 2559, 09:21:57 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ก.พ. 2559, 09:21:57 น.

จำนวนการเข้าชม : 962





<< บทที่ 4   บทที่ 6 >>
Zephyr 27 ก.พ. 2559, 19:36:48 น.
บอกเลยเค้าลำเอียง ไม่เชียร์หนูนา
แต่เชียร์พี่กอบค่ะ จบนะ ยัยนา
ปู้จายถูกเสมอ 5555
แต่นางไม่อดทนเลยจริงๆ
เหอะ แค่นี้ต้องออกด้วย


ปลาวาฬสีน้ำเงิน 27 ก.พ. 2559, 19:59:26 น.
บทนี้งานเข้าทั้งคู่ ตอนต่อไปจะเป็นไง น๊า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account