แหวนปฏิพัทธ์ (ขาย E-book ที่ meb และ ookbee ในชื่อว่า "หนึ่งใจในรอยกาล" แล้วนะคะ)
ปาฏิหาริย์บางอย่างทำให้ธราต้องย้อนเวลากลับไปในอดีต

เพื่อพบกับทินกร ชายผู้ที่เข้ามาช่วยเหลือเธอจากการโดนทำร้าย

เขาเป็นดาราดังที่ทำตัวแย่ๆ จนในปัจจุบันชีวิตตกอับ ไร้งานละคร

เธอจึงพยายามที่จะช่วยเหลือเขาเป็นการตอบแทน

แม้ความหวังดีของเธอจะสร้างความหงุดหงิดน่ารำคาญสำหรับเขาแค่ไหน

แต่เธอก็ยังพยายามที่จะทำให้สำเร็จ แต่ยิ่งพยายามมากเท่าไหร่ หัวใจเธอก็ยิ่งพังมากขึ้นเท่านั้น

จนทุกอย่างมาถึงทางเลือก ระหว่างหัวใจกับเป้าหมาย อะไรสำคัญกว่า....
Tags: รักโรแมนติก,ดารา,นักเขียน

ตอน: ตอนที่ 2

“โอ๊ย! ตายแล้ว ป่านนี้ พี่อันนาต้องรอบ่นจนหูชาแน่ๆ” ธราสบถอย่างหัวเสียขณะวิ่งขึ้นบันไดของสำนักพิมพ์อันนารักษ์ ซึ่งเธอเป็นนักเขียนอยู่ที่นั่น และเพราะห้องพักเธอกับสำนักพิมพ์ระยะทางไม่ไกลกันสักเท่าไหร่ การมาส่งต้นฉบับด้วยตัวเองจึงไม่ใช่ปัญหา

อย่างน้อยยายเพื่อนตัวดีก็มีประโยชน์อยู่หน่อยหนึ่งละน่า ธราขำเบาๆ เมื่อนึกถึงประโยคสุดท้ายที่ทิพย์สุดาบอกไว้ก่อนจะแยกกัน


‘เอ้อแก ผู้ชายเสียงหล่อคนนั้นยังฝากบอกแกอีกนะว่า แกอย่าลืมไปส่งต้นฉบับ’

เท่านั้นแหละ เธอจึงรีบเดินทางมาที่สำนักพิมพ์ทันที ต้องขอบคุณชายแปลกหน้าคนนั้นจริงๆ ที่ห่วงหน้าที่การงานเธอ ถึงแม้เธอจะคิดว่าเขาแอบอ่านต้นฉบับที่เธอเขียนก็ตามที

ธรายืนอยู่หน้าห้องของบรรณาธิการประจำสำนักพิมพ์ เธอยืนหลับตานิ่งขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้เธอไม่ต้องโดนบ่นจนหูเปื่อย เพราะรู้ดีว่าหญิงสาวคนนี้ซึ่งสูงวัยกว่าเธอเพียง 4 ปีนั้นจู้จี้เพียงใด

“อ้าวชล มาแล้วเหรอ เป็นไงบ้าง พี่ได้ข่าวว่าเธอเข้าโรงพยาบาลเมื่อเช้า” ผิดจากที่ธราคาดไว้มาก เพราะวันนี้อันนามาแปลก พูดจาดูใจดีอ่อนโยนกว่าที่คิดแถมยังรู้ข่าวโดยที่ไม่ต้องแจ้ง

“เอ่อ ไม่เป็นไรมากหรอกค่ะ อุบัติเหตุนิดหน่อย ว่าแต่...พี่อันนารู้ได้ยังไงคะว่าชลเข้าโรงพยาบาล” คิ้วสวยขมวดมุ่น แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มบางๆ ก่อนจะรับต้นฉบับไปจากมือเธอ

“มีผู้ชายใช้มือถือชลโทรมาบอกตั้งแต่เช้าแล้วจ้ะ ว่าชลเกิดเรื่องนิดหน่อย คงมาช้า” คำตอบจากบรรณาธิการทำเอานักเขียนสาวหน้าซีด นี่เขาแอบเอาโทรศัพท์เธอโทรไปหาใครบ้างล่ะนี่

...ชักจะจุ้นจานเกินไปแล้วนะตาบ้า

เธอดึงสติกลับมาอยู่กับคนตรงหน้าเมื่ออันนาเริ่มอ่านโครงเรื่องนิยายที่เธอเขียนมา ใบหน้าสวยหวานน่ารักของบรรณาธิการสาวเครียดขึ้นมากะทันหัน ธราหันมองรอบข้างอย่างหวาดเกรง

สักพักใหญ่ อันนาก็ปิดมันลงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด และไม่ต้องรอให้เธอถาม บรรณาธิการสาวก็ตอบเองเสียก่อน

“ชล พี่ว่านะ พล็อตเรื่องของชลน่ะ มันธรรมดาเกินไป ไม่โรแมนติกเอาซะเลย พระนางใช้เหตุผลกฎเกณฑ์มากมายเพื่อที่จะมารักกัน ทั้งที่ในความจริงแล้วมันอาจไม่ใช่แบบนั้น เลยทำให้มันไม่เหมือนนิยายรัก มันเหมือนอ่านบทความอยู่มากกว่า ชลดึงอารมณ์คนอ่านเข้าไปกับพระเอกนางเอกไม่ได้เลย” คำพูดยาวเหยียดจากปากอันนา ให้ข้อคิดกับธราอยู่ไม่น้อย หากหญิงสาวยังคงยืนกรานในความคิดของตัวเอง

“แต่คนเรา จะทำอะไรก็ควรมีเหตุผลไม่ใช่เหรอคะ เวลามองโลกปัจจุบัน ผู้หญิงก็ต้องใช้กฎเกณฑ์ต่างๆ เพื่อมาตัดสินว่าผู้ชายคนนี้เหมาะที่จะเป็นเจ้าบ่าวเธอหรือเปล่า” ธราเหลือบมองบรรณาธิการสาวเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ชลยังไม่รู้จักรักดีพอ เพราะว่าชลยังไม่เคยรักใคร”

“เคยสิคะ” หญิงสาวยังคงเถียง “ชลรักพ่อแม่ของชลค่ะ”

จากเสียงถอนหายใจเมื่อครู่ แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มบางที่ค่อนข้างฝืดเคือง ไหนจะเสียงหัวเราะราวกับคำพูดของธรามันตลกเหลือเกินนั่นอีก หญิงสาวเอียงคอมองประหนึ่งเด็กน้อยใสซื่อบริสุทธิ์คนหนึ่ง ในดวงตามีคำถาม

“รักพ่อแม่กับรักผู้ชายคนหนึ่งน่ะ มันต่างกันมากนะชล ตลกชะมัดที่ได้ฟังคำพูดมีหลักการแบบนี้จากนักเขียนนิยายรัก นิยายของชลมันไม่สนุกก็เพราะแบบนี้ล่ะ เชื่อพี่สิว่ารักน่ะ...สมองมันคิดแทนหัวใจไม่ได้มากนักหรอก”

ไม่รอให้ธราตั้งคำถามใดๆ เธอก็รีบเอ่ยต่อ “ไว้ชลมีความรัก แล้วนิยายของชลมันจะเป็นนิยายเรื่องที่สนุกที่สุดตั้งแต่ที่เคยเขียนมาเลยล่ะจ้ะ เดือนหน้าเขียนมาส่งพี่ใหม่นะ พี่ว่าเรื่องนี้ยังไม่โอเค”

บรรณาธิการสาวตัดบทไว้เพียงแค่นั้น ปล่อยให้ธราออกจากสำนักพิมพ์อย่างงุนงง ใคร่ครวญคำพูดทุกคำของอันนา
รักน่ะหรือ...ที่จะบันดาลให้นิยายของเธอสนุกได้อย่างที่ใจอันนาหวัง

รัก...มันทำได้ถึงขนาดนั้นเชียวหรือ? แล้วนิยาย 8 เรื่องที่เธอเคยเขียนส่งสำนักพิมพ์นี้ตั้งแต่ยังเรียนมหาวิทยาลัย มันไม่สนุกสักเรื่องเลยสินะ?

‘ไม่ใช่ว่ามันไม่สนุกหรอกนะ แต่มันขาดพลัง เนื้อเรื่องมันน่าติดตามมากนะ แต่มันขาดความรู้สึกรัก ที่จะดึงดูดให้ผู้อ่านอยู่กับเรื่องของชล พี่อธิบายไม่ถูกหรอก ชลต้องลองรัก และลองกลับไปอ่านนิยายที่ตีพิมพ์ผ่านมาแล้วของตัวเอง แล้วจะรู้ว่ามันขาดอะไรไป’

คำตอบของอันนาเมื่อครู่ ยังคงดังก้องอยู่ในหูเธอ

ไม่ทันได้คิดอะไรไปไกลกว่านั้น ธราก็เหลือบมองเห็นนาฬิกาจากร้านขายนิตยสารแห่งหนึ่ง บ่งบอกเวลาเย็นพอสมควร นี่เธอนั่งคุยกับอันนานานขนาดนี้เชียวหรือ

หญิงสาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นโทรหาทิพย์สุดา เมื่อนึกขึ้นได้ว่านัดทานอาหารเย็นด้วยกัน

“นี่ยายทิพย์ ฉันคุยงานเสร็จแล้ว เดี๋ยวไปรอที่ร้านเลยนะ” เธอพูดสั้นๆ เพียงแค่นั้นและวางทันทีที่อีกฝ่ายตอบตกลง พลันสายตาหันไปกระทบกับรูปชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเด่นหราอยู่ในหน้านิตยสาร ชุดที่ใส่โชว์แผงอกล่ำกับกล้ามท้องที่ดูดีนั้น ธราคงไม่สนใจอะไรมากนักหากชายหนุ่มคนดังกล่าว ไม่ได้มีผมดำสนิทยาวประมาณใบหู คิ้วเข้มโก่งรับกับดวงตาคมดุ จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางเฉียบ ไหนจะผิวที่ขาวราวกับคนที่ไม่เคยตากแดดเลยทั้งชีวิต

เธอจะสนใจไปทำไมกันเล่า ถ้าหากบุคคลที่ว่านั้น ไม่ใช่คนที่มาช่วยเหลือเธอเมื่อเช้าของวันนี้ ชื่อของเขาผุดขึ้นมาในความคิด หลังจากที่เห็นรูปนั้นไม่นาน เป็นชื่อที่ใครสักคนบอกเธอ

ทินกร ชัยชนะพล...

ในร้านอาหาร ธรากำลังนั่งอ่านนิตยสารที่เธอซื้อมาเมื่อสักครู่ ถ้าทิพย์สุดาเห็น เจ้าตัวคงแปลกใจไม่น้อยที่เห็นเพื่อนสาวคนสนิทกำลังอ่านเรื่องราวซุบซิบดารา

ใช่...เธอไม่เคยคิดที่จะสนใจ แต่ด้วยดวงตาคมคู่นั้นที่มองมาจากปกนิตยสาร ทำให้เธอซื้อมาจนได้
เรื่องราวในนั้นไม่ได้กล่าวบรรยายอะไรมากนัก มีเพียงพาดหัวที่เด่นหราอยู่ที่หน้าปก ‘อัพเดทชีวิต ทินกร อดีตนักแสดงชื่อดัง เปรย อยากหวนกลับสู่จอแก้ว’

เธอพลิกไปทีละหน้า มีเรื่องของดาราคนอื่นมากมาย ซึ่งเธอไม่ได้คิดที่จะสนใจได้เท่ากับเรื่องราวของทินกร เธอเปิดไปเรื่อยๆ จนถึงหน้าที่มีบทสัมภาษณ์ หญิงสาวบรรจงอ่านอย่างใคร่รู้

‘ครับ ก็จากที่หายไปนาน จริงๆ แล้วก็ไม่ได้หายไปไหนหรอก อยู่ล่องลอยในวงการนี่แหละ อีกไม่นานนี้ก็กำลังมีคอนเสิร์ต เป็นเหมือนมีตติ้งครับ ให้บรรดาแฟนคลับเราได้กลับมาเจอและพูดคุยกัน รับรองว่ามีเซอร์ไพรส์แน่นอน ในช่วงที่หายไป ผมก็มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่เคยอยากทำ มีธุรกิจเล็กๆ แห่งหนึ่ง แต่เอาจริงๆ แล้วผมก็อยากกลับมาเล่นละครนะ รอคนติดต่อมาอยู่ครับ’

บทสัมภาษณ์นั้นสั้นๆ และดูไม่น่าสนใจอะไรมากนัก ทำให้ธรารู้สึกคิดผิดที่ซื้อหนังสือเล่มนี้มาเสียจริง

“โธ่เอ๊ย! อะไรเนี่ย มีแค่นี้เนี่ยนะ” หญิงสาวบ่นพึมพำพลางเบะปาก ไม่น่าเสียเงินหลายสิบเพื่อซื้อมารู้แค่นี้เลยจริงๆ เพราะความบ้าผู้ชายแท้ๆ

“ฮั่นแน่ ชล!” ทิพย์สุดาโผล่พรวดพราดเข้ามาจนธราสะดุ้งโหยง “เป็นไงบ้าง นิยายแก ผ่านฉลุยเหมือนเดิมเลยสิท่า” ประโยคหลังส่งผลให้นักเขียนสาวเบะปาก

“ผ่านบ้าอะไรเล่า พี่เขาให้ฉันกลับมาเขียนใหม่ ให้เวลาเดือนหนึ่งเองเนี่ย” หญิงสาวบ่นอย่างหัวเสีย

“อ้าว ทำไมล่ะ ปกติก็เห็นผ่านตลอดนี่นา”

“พี่อันนาบอกว่าฉันเขียนนิยายไม่โรแมนติก ใช้เหตุผลกับความรักมากเกินไป แถมยังบอกว่าฉันไม่รู้จักรักดีพออีกตะหาก”
ทิพย์สุดาปล่อยขำอย่างกลั้นไม่ไหว ไม่ได้สนใจสีหน้าไร้อารมณ์ของธราเลยสักนิด

“ว่าแล้วว่ามันต้องมีวันนี้ ถึงแกจะเพ้อฝันช่างจินตนาการแค่ไหนก็เถอะ แต่แกก็ไม่รู้รักจริงๆ สักนิด แกมันเป็นประเภทตายด้าน และที่สำคัญนะ แกเรียนบริหารมา ฉันไม่เข้าใจแกเลยว่าจู่ๆ แกจะมาเปลี่ยนเส้นทางชีวิตแกทำไมเนี่ย มันอาจถึงเวลาที่แกจะต้องกลับมาทำงานเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ แบบฉันแล้วล่ะ”

ธราที่หงุดหงิดอยู่แล้วกลับยิ่งเบื่อหน่ายเข้าไปอีก เมื่อเพื่อนสาวคนสนิทยังพยายามจะดึงดันให้เธอกลับไปทำงานบริหารด้วยกัน

“แกอย่าเพิ่งมาพูดเรื่องนี้ได้ไหม เห็นไหมว่าฉันหงุดหงิดอยู่”

“เอาน่า แกอย่าทำหน้าบึ้งเป็นตูดหมึกไปหน่อยเลย” ทิพย์สุดากลับมาปลอบใจธรา เมื่อเห็นว่าเพื่อนสาวไม่ขำด้วยสักเท่าไหร่

“เอางี้ ฉันว่าจะชวนแกไปดูหนังเก่าๆ อยู่พอดี ไปด้วยกันสิ เผื่อแกจะได้พล็อตนะ”

“หนังเก่าไรยะ”

“ภาพยนตร์ของเมื่อประมาณเกือบ 10 ปีที่แล้วน่ะสิ โรงภาพยนตร์เปิดใหม่แถวบ้านฉัน เอามาประเดิมให้ดูฟรีเลยนา ไปดูด้วยกันหน่อยสิ ฉันอยากดูมากเลย” น้ำเสียงออดอ้อนของเพื่อนสนิท บวกกับความสนใจใคร่รู้เรื่องราวเก่านั้น ก็ทำให้เธอตอบตกลงไปโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่กระนั้น ก็ยังคงสงสัยว่าปัจจุบันโรงภาพยนตร์ที่ไม่ได้อยู่ในห้าง มักจะต้องเจ๊งไปทุกราย เพราะอะไรเจ้าของธุรกิจถึงเลือกทำธุรกิจภาพยนตร์ได้ ทั้งที่น่าจะรู้เรื่องประเด็นปัญหานี้อยู่แล้ว

“ทำไมเขาถึงมาเปิดโรงภาพยนตร์ล่ะ เดี๋ยวนี้มีห้างตั้งหลายแห่งมาเป็นคู่แข่ง มันจะเจ๊งเร็วเอานา”

“ไม่เชิงเป็นโรงภาพยนตร์หรอก ประมาณว่าจัดนิทรรศการมากกว่า เอาหนังเก่ามาฉายให้ดูน่ะ เดี๋ยวนี้คนชอบอะไรเก่าๆ มีเยอะจะตาย ไม่เจ๊งหรอก”

พลันสายตาของทิพย์สุดาเหลือบไปเห็นนิตยสารบันเทิงซึ่งวางอยู่ข้างๆ ตัวของธรา ก็เอ่ยทักขึ้นอย่างประหลาดใจ

“เอ๊ะ! ชล เดี๋ยวนี้แกอ่านนิตยสารบันเทิงด้วยเหรอ”

หญิงสาวร่างเล็กคลี่ยิ้มบางเบาเป็นคำตอบ ก่อนเอ่ยถามอย่างใคร่รู้

“เออนี่ทิพย์ แกรู้จักดาราที่ชื่อทินกรหรือเปล่า ชื่อเล่นชื่อเพลิงน่ะ” ทิพย์สุดาเลิกคิ้วสูงอย่างงุนงง ก็ร้อยวันพันปีไม่เห็นเพื่อนสาวขี้มโนคนนี้จะสนใจดาราสักเท่าไหร่ แต่ก็ยอมอธิบายตามประสาคนรู้เยอะ

“รู้จักสิ คนนี้เคยดังตั้งแต่ช่วงเราอยู่ประถม จนเรากำลังขึ้นม.ปลายล่ะมั้ง เขาก็ดับน่ะ นี่แกผ่านช่วงนั้นมาได้โดยที่ไม่รู้จักดาราสักคนเลยเหรอ ถึงว่าสิแต่งนิยายไม่สนุก” ทิพย์สุดากลั้นขำสุดฤทธิ์เมื่อเห็นเพื่อนสาวทำหน้าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“ฉันชอบอ่านนิยายแต่ไม่ชอบดูละครนี่ยะ”

“มาๆ ต่อๆ พูดถึงทินกร ฉันล่ะเสียดายอนาคตดีๆ ของเขานะ ต้องมาพังลงเพราะนิสัยแย่ๆ ของตัวเอง”

“นิสัยแย่ยังไงเหรอ” ธรายังคงถามต่ออย่างไม่ลดละ ในขณะเดียวกันนั้นเธอก็เพียรถามใจตัวเอง ว่าเธอจะอยากรู้เรื่องของผู้ชายคนนี้ไปเพื่ออะไรกัน

“แย่กับทุกคนเลย ปากร้าย ไม่เป็นกันเองกับแฟนคลับ หยิ่ง ที่สำคัญนะ มีข่าวทะเลาะและทำร้ายร่างกายแฟนตัวเองด้วย แต่ผู้หญิงคนนั้นน่ะ ก็ได้ข่าวว่าร้ายใช่เล่นนะ คงจะเหมาะกันแล้วล่ะ” ทิพย์สุดาเอ่ยด้วยใบหน้าเหยเก เมื่อนึกถึงข่าวบันเทิงที่เธอเคยติดตามมาตั้งแต่สมัยมัธยม “อ้อ แต่ตอนนี้ก็มีข่าวแว่วๆ มาจากวงในว่าเขาก็อยู่ด้วยกันนะ”

“ทินกรกับแฟนเขาน่ะเหรอ”

“ใช้คำว่าอดีตดีกว่า เหมือนเขาจะไม่ได้คบกันแล้วล่ะ แต่เพราะอะไรก็ไม่รู้เหมือนกันแหละ และได้ข่าวว่าแม่นั่นท้องนะ หรือว่าทินกรจะทำท้อง ไม่รู้เหมือนกัน มันเป็นแค่ข่าวลือ อาจจะผิดก็ได้ เพราะคนเราถ้าจบไม่สวยขนาดนั้นจะมาเป็นเพื่อนกันได้ยังไง อีกอย่างสื่อปัจจุบันเขาก็ไม่ค่อยสนใจคู่นี้นักหรอก อายุก็เริ่มมากแล้วน่ะ ว่าแต่แกถามทำไมชล” เจ้าหล่อนหันกลับมาสบตากับเพื่อนสนิทเพื่อล้วงความจริงบางอย่าง แต่ธรากลับทำหน้าเหมือนไม่อยากเล่า จนเธอต้องถามซ้ำ “บอกมาเลยนะ อย่ามีความลับกับฉัน”

นักเขียนสาวยิ้มอย่างเริงร่า เมื่อโดนคาดคั้นทางแววตาจากฝ่ายตรงข้าม เธอก็ว่าจะเล่าอยู่แล้วเชียว เพียงแค่แหย่ไปอย่างนั้นเอง

“ก็นายทินกรอะไรนั่นน่ะ คือคนที่มาช่วยฉันไว้เมื่อเช้าน่ะสิ ฉันว่าเขาก็ดูเป็นคนดีอยู่นะ แต่เรื่องปากร้ายเนี่ย ฉันเชื่อแกเต็มๆ เลยล่ะ น่ากลัวยิ่งกว่าโจรคนนั้นอีก” ธราพูดไปสั่นหน้าไปเหมือนเด็กๆ ที่เพิ่งโดนผู้ปกครองทำโทษ เช่นเดียวกับทิพย์สุดาที่เบิกตาโพลง ปากสั่นระริกอย่างตื่นเต้นเป็นหนักหนา

“นี่เมื่อเช้าฉันได้คุยโทรศัพท์กับดาราหรือนี่!”

หลังจากที่พูดคุยกับทิพย์สุดานานหลายชั่วโมง ธราก็เดินกลับที่พักอย่างเหนื่อยหน่าย เพราะตลอดเวลาที่คุยกับเพื่อนสาวนั้น นอกจากจะไม่ได้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์แล้ว เธอยังได้ยินแต่คำว่า “แก ตัวจริงเขาหล่อไหมน่ะ สูงไหม ขาวหรือเปล่า”

นี่ล่ะนะ...ถึงจะไม่ชอบนิสัยเขาอย่างไร แต่แค่คำว่าเป็นดารา ผู้หญิงก็ต้องยอมสยบกันทั้งนั้น

เธอยืนยิ้มให้ตัวเองหน้ากระจกในห้องอยู่สักพัก ออกจะขำสักหน่อยเมื่อเห็นศีรษะที่บวมจนเหมือนมีลูกมะเขือมาแปะไว้ หญิงสาวล้างหน้าช้าๆ พยายามหลีกเลี่ยงน้ำจากผ้าก๊อซให้มากที่สุด ถ้าหากเป็นผู้หญิงคนอื่นนั้น คงจะเสียเวลากับการลบเครื่องสำอางมากพอสมควร แต่ธราไม่เคยต้องเสียเวลากับอะไรแบบนั้น เนื่องจากเธอไม่เคยแต่งหน้าเลยสักที อาจเป็นเพราะแบบนี้ จึงทำให้เธอดูเหมือนเด็กวัยรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี

หญิงสาวแกะผ้าก๊อซออก เมื่อเห็นว่าแผลที่ศีรษะไม่มีเลือดซึมแล้วจึงไม่ได้สนใจจะแปะผ้าก๊อซเข้าไปใหม่ ไม่นานนัก ก็มีความคิดบางอย่างแล่นมาแทรก เธอรีบไปนั่งที่โต๊ะ เปิดโน๊ตบุ๊คคู่ใจเพื่อค้นหาข้อมูลบางอย่างที่ยังรู้สึกค้างคาอยู่ เมื่อคิดสักพัก นิ้วเรียวก็พิมพ์บางคำลงไปในช่องค้นหา

‘ทินกร ชัยชนะพล’

นี่คงเป็นครั้งที่ร้อย ที่ธราเพียรถามใจตนเองว่าจะอยากรู้เรื่องชายผู้นี้ไปเพื่ออะไรกัน

สิ่งที่ปรากฏอยู่ในหน้าจอนั้น คือเรื่องเกี่ยวกับอดีตพระเอกดังคนนี้ แต่ดูจะเป็นเรื่องที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก คิ้วสวยขมวดมุ่นอย่างประหลาดใจ ดวงตาไล่อ่านทีละหัวข้อ ธรากลับยิ่งรู้สึกแปลกเข้าไปอีก ทำไมกันนะ ผู้ชายมีน้ำใจที่เข้ามาช่วยเหลือเธอ กลายเป็นบุคคลที่ถูกสังคมเอ่ยถึงในแง่ลบ

‘หยิ่งมาก เคยเจอตัวจริง แค่เข้าไปขอถ่ายรูปนี่มองเหยียดมาก อย่างกับเราไปทำไอติมเลอะหัวเขา อันนี้คือตอนที่เขายังดังนะ แต่ตอนนี้ไม่รู้เป็นยังไง’

‘เราก็เคยเจอนะ ในรายการสด เราไปนั่งดูในสตู แฟนแทบจะสะดุดชายกระโปรงล้มอยู่แล้ว กลับนั่งมองเฉย ไม่เข้าไปช่วย แถมพอถ่ายเสร็จ เราแอบตามไปดูด้านหลัง เห็นเขาโวยวายใส่ทีมงาน เลิกชอบตั้งแต่ตอนนั้นเลย ไม่ไหวหรอก นิสัยแย่เกิน’

‘เรื่องทำร้ายร่างกายฟ้าก็เหมือนกัน ทำไปได้ ไม่เป็นลูกผู้ชาย ไม่ว่าฟ้าจะเป็นยังไงก็เถอะ แต่ผู้ชายก็ไม่ควรใช้กำลังกับผู้หญิง ไม่รู้ว่าฟ้าทนมากี่รอบแล้วก่อนจะออกมาแถลงข่าวน่ะ’

‘เจ้าชู้ด้วยนี่ จำได้ว่าที่เลิกกับฟ้าเพราะมีผู้หญิงคนอื่นไม่ใช่เหรอ ที่มีข่าวซ่อนไว้ในคอนโดน่ะ ไหนจะข่าวในผับอีก’

‘ตอนก่อนเป็นยังไงไม่รู้นะ แต่เพิ่งเจอไม่นาน เราเข้าไปขอถ่ายรูป เขาก็ให้นะ อาจจะเริ่มดีขึ้นแล้วก็ได้ อายุมากขึ้นแล้วนี่ คงคิดเป็นแล้วล่ะ’

และอื่นๆ อีกมากมายที่ธราตามอ่านได้ไม่หมด เธอคิดจะเลิกสนใจเรื่องราวของบุคคลนี้ พลันสายตาก็ไปกระทบเข้ากับหัวข้อหนึ่ง

‘เปิดเส้นทางชีวิต 5 ปีแห่งความดัง ทินกร ชัยชนะพล’

หญิงสาวคลิกเข้าไปที่หัวข้อนี้อย่างไม่ต้องคิดมากนัก เธอบรรจงอ่านทีละบรรทัดอย่างไม่เร่งรีบ

‘ในปี 2546 ทินกรได้แจ้งเกิดจากละครเรื่องหนึ่งในบทพระรอง แต่ด้วยฝีมือการแสดงรวมถึงใบหน้าที่โดดเด่นกว่าใครในยุคนั้น จึงทำให้ได้รับบทพระเอกเต็มตัวในเรื่องต่อมา ก้าวขึ้นแท่นนักแสดงดาวรุ่งแห่งปีครองใจมหาชนไว้ได้ไม่ยาก ในปีต่อมาได้เริ่มมีข่าวซุบซิบเรื่องดีกรีความหยิ่งของเจ้าตัวอย่างหนาหู แต่ข่าวเพียงเท่านี้ก็ไม่สามารถสั่นคลอนความดังของเขาได้เลย จนในปี 2547 ทินกรได้ร่วมงานกับนักแสดงหน้าใหม่อย่างฟ้า อัจฉรา โรจน์ชนกานต์ และมีข่าวกุ๊กกิ๊กกันเป็นระยะ ซึ่งทั้งคู่ยังคงไม่ยอมรับ แต่จากกระแสนี้ก็ส่งผลให้อัจฉรากลายเป็นที่รู้จักได้อย่างรวดเร็ว อาจเพราะความดังของทินกรเป็นส่วนหนุนอยู่เบื้องหลัง หลายคนเชียร์ให้ทั้งคู่รักกัน และแรงเชียร์ก็เป็นผล ทั้งคู่ออกมายอมรับว่าคบหากัน ความรักยังคงหวานชื่นเรื่อยมา แถมยังบอกออกสื่อว่าจะแต่งงานกันอีกด้วย แต่ความรักครั้งนี้ต้องมาสะดุดลงในปี 2551 ปีนั้นทินกรมีกระแสในแง่ลบมากมาย เรียกได้ว่าเป็นปีอับโชคก็ว่าได้ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มแปลกไป อัจฉราได้ออกมาให้สัมภาษณ์แฉอดีตแฟนหนุ่มอย่างเผ็ดร้อนว่าตนโดนทินกรทำร้ายร่างกาย ทั้งที่ทินกรมีผู้หญิงคนอื่นไปแล้ว ซึ่งทินกรก็ได้ออกมายอมรับ หลังจากการแถลงข่าวในครั้งนั้น ก็ยังมีคนพบเห็นทั้งคู่ทะเลาะกันในที่สาธารณะอยู่บ่อยครั้ง รวมถึงการไล่นางเอกสาวลงจากรถตอนค่ำคืน เมื่อข่าวออกมา ทินกรจึงถูกต้นสังกัดตัดขาดชนิดไม่เหลือเยื่อใย ถูกถอดออกจากละครกว่าสิบเรื่อง จากนั้นมา ทินกรก็ไม่สามารถกลับมาโด่งดังได้อีกเลย

5 ปีที่สุดแห่งความดัง ปิดตำนานซุปเปอร์สตาร์เมืองไทย’

ธราอ่านบทความนั้นจบลงด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ชีวิตคนเรามันช่างไม่แน่นอนเสียจริง จากคนที่เคยโด่งดังเฉิดฉายเจิดจรัสอยู่บนฟ้า กลับร่วงลงสู่พื้นไม่ต่างอะไรจากเศษกรวดเศษดินที่มีแต่คนเดินเหยียบย่ำซ้ำเติม

“ถ้านิสัยจะแย่ขนาดนี้ ไม่เหมาะจะเป็นดาราตั้งแต่แรกแล้วมั้ง”

หญิงสาวคงไม่รู้ตัวว่าเผลอแตะแหวนเพชรที่นิ้วตั้งแต่เมื่อไหร่ ในสมองครุ่นคิดเพียงว่าหากทุกอย่างเป็นไปตามบทความนี้จริง มันก็สมควรแล้วที่เขาจะได้รับการตัดสินโทษแบบนี้ เพียงแต่ที่หญิงสาวฉงนใจอยู่ในตอนนี้คือ ลึกๆ ในใจนั้นไม่อยากจะเชื่อว่าชายหวังดีผู้นั้น จะเป็นคนที่ทำเรื่องแย่ๆ กับคนที่ตัวเองรักได้ขนาดนี้

ดวงตาคมดุคู่นั้นที่มองจ้องมาอย่างเป็นห่วงเป็นใย ยังติดตราตรึงในใจเสมอ ถ้าเธอไม่คิดเข้าข้างตัวเองจนเกินไป คาดว่าในดวงตาเขายังสื่อหลายสิ่งหลายอย่างออกมานอกจากความเป็นห่วงในฐานะเพื่อนร่วมโลกคนหนึ่ง

แต่ก็นั่นแหละ...เธอคงคิดเข้าข้างตัวเอง

ธราสะบัดความคิดเดิมออกจากสมองเป็นรอบที่ร้อยของวันแล้วก็ว่าได้ เธอพับจอโน้ตบุ๊คเก็บกลับเข้ากระเป๋าดังเดิม ก่อนจะเปิดสมุดเล่มเล็กขึ้นมาจรดปลายปากกาลงไป มันเป็นสมุดบันทึกที่พ่อกับแม่ให้เธอมาตอนก่อนที่พวกท่านจะเสียชีวิต ท่านบอกเธอว่าให้มันเป็นสมุดบันทึกความดีที่เราได้ทำให้คนอื่นในแต่ละวัน

แน่นอนว่าหญิงสาวได้เขียนมันบ่อยจนสมุดนั้นเต็มไปหลายรอบ แต่ก็ยังพยายามเขียนแทรกตรงนั้นตรงนี้ เพียงแค่ว่าอยากใช้สมุดเล่มนี้เท่านั้น ความดี ความมีน้ำใจที่พ่อกับแม่เธอหล่อหลอมมาตลอดทำให้เธอรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้ช่วยเหลือคนอื่น

ผู้ชายในฝันเธอนั้นจะต้องไม่ผิดไปจากพ่อเธอเลย บุคคลมีน้ำใจ เป็นคนดีของสังคม ชอบช่วยเหลือผู้อ่อนแอกว่า พ่อเป็นผู้ชายที่อบอุ่นที่สุดในสายตาเธอ ไม่มีสักครั้งเลยที่พ่อเธอจะใช้ถ้อยคำรุนแรงหรือขึ้นเสียงใส่ใคร

โลกนี้คงสดใส หากได้ยืนอยู่ในจุดเดียวกับที่แม่เธอเคยยืน ข้างๆ ผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งเป็นมากกว่ารักของกันและกัน

“ไร้สาระจริงๆ ฉัน”

ธราขำให้กับตัวเองเบาๆ นี่อย่างไรเล่า อารมณ์จินตนาการเพ้อฝันของนักเขียน มักจะเกิดขึ้นในเวลานี้เสมอ แต่เพราะเป็นแค่ความอยากรักนี่กระมัง จึงทำให้เธอไม่สามารถสร้างตัวละครที่มีรักในหัวใจให้เกิดขึ้นจริงๆ ได้ เนื่องจากตัวของนักเขียนเองยังไม่รู้จักรักที่แท้จริงเลย

รักที่ใช้เพียงแค่หัวใจ ไม่ต้องใช้สักส่วนเดียวในสมอง...



เอวาลิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 มี.ค. 2559, 16:07:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 มี.ค. 2559, 16:07:50 น.

จำนวนการเข้าชม : 969





<< แรกพบสบตา   ตอนที่ 3 (ย้อนเวลา) >>
Zephyr 11 มิ.ย. 2559, 18:14:08 น.
เอ นายเพลิงรู้ตักชลมาก่อนรึไงนะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account