ความลับ (ที่) ซ่อนเร้น .. หรือจะเป็น ความรัก!(?)
คำถาม .. ที่มีคำตอบ
แต่คำตอบ .. กลับยังคงมากมายด้วยคำถาม

เพราะนิยามในคำหนึ่งคำนั้น
แฝงเร้นซุกซ่อนไว้ซึ่งความลึกลับ
ความซับซ้อนชวนสับสน รอยยิ้มปนเปื้อนคราบน้ำตา
เล่ห์เสน่หาหวานล้ำ และพร้อมจะนำความเจ็บปวดมาให้ .. ได้ทุกเวลา

.. หากว่ามันคือ ความรักที่มากล้น จนกลายเป็น .. ความลับ ! ..
Tags: ความรัก ความลับ

ตอน: บทที่ ๓๗ .. ใครดี ใครได้



พักตราพิจารณาการ์ดแต่งงานในมือ สลับกับเหลือบมองใบหน้าบุตรสาวเป็นระยะ ความคลางแคลงใจมีมากกว่าจะรีบร้อนยินดี อย่างที่กัทลินแสดงออกมาด้วยการยกหูโทรศัพท์ถึงเธอ เมื่อมัตติก์นำการ์ดเชิญที่เหมือนกันนี้ไปมอบให้ในตอนค่ำของเมื่อวาน

"แน่ใจนะเภา ว่าไม่ได้คิดจะตุกติกอะไรกับพวกแม่"

เภตรานั่งประสานมือกุมบีบกันแน่น ขณะมารดาถามแต่สายตาของท่าน ยังคงเก็บรายละเอียดบนกระดาษสีสวยเจือกลิ่นหอมละมุนไปเรื่อยๆ

หญิงสาวระงับความหวาดหวั่นพยายามไม่คิดว่า ผู้เป็นแม่จะรู้เท่าทันถึงสิ่งที่ตกลงระหว่าง 'พวกเธอ' แต่เป็นแค่การลองเชิง ลองใจมากกว่า

"เภาทำตามที่แม่ต้องการแล้ว แต่หลังจากนี้ ขอให้เภา ... กับคุณดิน ขอตัดสินใจจัดการทุกเรื่องเอง ... นะคะ"

"หึ ... พูดเหมือนเตี๊ยมกันมาเลยนะ ... เอาเถอะ ในเมื่อตกลงกับตาดินได้ แถมยังไปจัดเตรียมพิมพ์การ์ดกันมาขนาดนี้ แม่ก็คงช่วยออกความเห็นอะไรไม่ได้อีก"

พักตราเขม้นมองเภตราสายตาคมกริบ เหมือนจะคาดคั้นจับผิดผู้ต้องสงสัยให้เผยความจริง แต่บุตรสาวกลับประสานสายตาแน่วแน่ ยืนยันให้มารดาเชื่อในสิ่งที่เห็น

"หลังจากวันนั้น ... เภากับคุณดิน เราคุยกันจนเข้าใจดีแล้วค่ะ ในเมื่อคุณดินไม่รังเกียจเภา ... ทั้งๆที่รู้เห็นทุกอย่าง ..."

"ยัยเภา ... หนูกำลังจะโทษแม่ใช่มั้ย ว่ากีดกันเรื่องของลูก ... กับคนหยาบคายร้ายกาจแบบนั้น"

สตรีสูงวัยขึงขังเท้าความไปถึงคนที่นึกชิงชังรังเกียจ คนที่มันไม่คิดจะให้เกียรติลูกสาวของเธอแม้แต่น้อย ก็แล้วเรื่องอะไรเธอจะต้องยอมรับเข้ามาเป็นเขยของบ้านนี้

"ค่ะ เภาทราบ ... และก็ไม่ได้ติดต่อกับพี่พัด ... กับเขาอีกเลย"

ท่าทีซึมเศร้าของเภตราอยู่ในสายตาของคนเป็นแม่ ถึงจะรู้ว่าลูกสาวตกอยู่ในห้วงแห่งความเสียใจ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่มีค่าคู่ควรเท่ากับคนที่ 'หมายมั่น' เธอก็จำต้องขจัดอุปสรรคขวากหนามชีวิต เพื่อความสุขในอนาคตของลูก

"แล้วเรื่องเวลา สถานที่ที่ใส่ลงไป รู้เหรอว่าแขกเหรื่อเป็นใคร คุยกันว่ายังไงบ้าง ... ญาติผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายเรา ฝ่ายแม่ตาดิน ต่างก็มีหน้ามีตาในสังคม คุยกันเองไม่มาปรึกษาแม่แบบนี้ เราจะจัดการได้หมดหรือ"

"เอ่อ ... คุณดินบอกว่า ทุกอย่างให้เป็นหน้าที่ของคุณดินค่ะ ส่วนเรื่องญาติผู้ใหญ่ แขกฝ่ายเรา คุณดินจะเข้ามาปรึกษาแม่อีกที ... เรายังมีเวลาอีกสักพักค่ะ"

คำตอบของเภตราไม่กระจ่างชัดมากพอ ที่จะทำให้พักตราหายเคลือบแคง แต่เพราะดูเหมือนมัตติก์ให้การรับรองรับผิดชอบไปเสียทุกประการ ผู้เป็นแม่ของว่าที่เจ้าสาวก็ลดความระแวงระไวลงมาเกือบครึ่ง

"เอาเถอะ ไว้แม่จะไปคุยกับคุณกล้วยอีกที ... บอกตามตรง แม่ไม่ไว้ใจเราสองคนสักเท่าไรเลย ที่ไปจัดการอะไรกันเองแบบนี้"

"ถ้าแม่ไม่ไว้ใจคุณดิน ... พวกเราจะยกเลิกงานทุกอย่างก็ยังทันค่ะแม่"

เภตราพูดเสียงเรียบที่พักตราฟังแล้ว เหมือนถูกยื่นคำขาดว่า ให้เลือกระหว่าง งานแต่งงานยังดำเนินต่อ หรือ ยุติลง

"แม่ไม่เลิกล้มความตั้งใจง่ายๆหรอก ... ต่อให้ต้องจับใส่ตะกร้าล้างน้ำอย่างโบราณว่า แม่ก็จะทำ"

พักตราเสียงแข็งขึ้นมาอย่างลืมตัว พลั้งกล่าวถ้อยคำเชิงดูแคลน แม้จะระงับคำพูดได้ ทว่า แต่ละคำนั้นผู้เป็นแม่รู้ทันทีว่า ได้ทำร้ายจิตใจลูกสาวของตนไปเรียบร้อยแล้ว

อากัปกิริยานั่งก้มหน้านิ่ง เม้มปากปิดสนิทของเภตรา ทำให้พักตราต้องรีบลุกจากที่นั่งเดินออกจากห้องรับแขกไปเอง เพราะไม่อาจทนเห็นสีหน้าที่พยายามกล้ำกลืนความเจ็บร้าว ซึ่งเมื่อถึงที่สุด มันก็กลั่นเป็นหยาดน้ำใสหยดเผาะลงบนหลังมือของบุตรสาว

นั่นคือ ภาพที่ทำให้คนเป็นแม่เบือนหน้าหนี เร่งสาวเท้าออกไปให้พ้นจากห้องนี้เสียเอง



เภตรากลั้นสะอื้นไม่ยอมร้องไห้ให้ใครได้ยิน แต่น้ำตาเจ้ากรรมกลับทะลักทลายเพราะคำพูดของแม่ ที่สะกิดบาดแผลในใจ

ผู้หญิงมีตำหนิ ไม่รักตัวเองอย่างเธอ สมควรแล้วที่จะต้องทนรับฟังคำหมิ่นแคลนเหล่านี้ให้ได้

หญิงสาวจมอยู่กับความคิดของตนนานจนได้คิดว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะคิดอะไรอีก เพราะที่ผ่านมา เธอรู้ดีว่า นั่นคือสิ่งที่เลือกและ 'ตั้งใจ' ทำลงไป

ต่อให้ช่วงเวลาที่เภตราได้มอบความรัก และมีความสุขกับเมฆพัดจะไม่ยืนนาน ... เธอไม่เคยเสียดายที่ตัดสินใจไปอย่างนั้น

แม้ว่า ยิ่งรักเท่าไร ความเสียใจก็ยิ่งเพิ่มทวีคูณ

เภตราสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ถึงมันจะไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นมากนัก แต่ก็ทำให้รู้ว่า เธอยังมีบางสิ่งที่ต้องทำ

บัตรเชิญงานมงคลใบสุดท้ายในมือซองนี้ หญิงสาวตั้งใจจะนำไปมอบให้แก่ละอองชล ... มารดาของเมฆพัดด้วยตัวของเธอเอง





องก์อัมพุทนั่งลูบขนนุ่มอ่อนบนหัวของเจ้าจันเล่น สายตาทอดมองไกลอย่างไร้จุดหมาย ภาพไม้ยืนต้นเบื้องหน้าที่สะท้อนเงาในแววตา แต่หาได้มีภาพของมันปรากฏในห้องคำนึงแม้แต่น้อย

บ้านเรือนไทยของละอองชลผู้เป็นแม่ ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง ผิดไปก็มีแค่ความรู้สึกขององก์อัมพุท ที่ดูจะไม่สดใสเท่าเหมือนที่ผ่านมา

หญิงสาวถอยหายใจยาว รำคาญตัวเองในยามนี้ เธอรู้สาเหตุแห่งอารมณ์เหนื่อยหน่ายนี้ดี

อารมณ์ของคนที่เห็นอะไรก็น่าเบื่อไปเสียหมด เพียงเพราะขาดใครบางคนที่ควรจะมานั่งเคียงข้าง พูดคุยกันอย่างที่ควรจะเป็น

วิชชุ์วิธูโทรศัพท์มาหาเธอเมื่อเช้า เพื่อบอกว่า ไม่สามารถมาหาและรับองก์อัมพุทไปไหนได้ เนื่องจากมีงานด่วนกะทันหัน

นายสาวของเจ้าจันพยายามอย่างยิ่ง ในการทำความเข้าใจด้วยเหตุผล ว่านั่นคือความจำเป็น แต่เอาเข้าจริงๆ เธอก็ออกจะเสียความรู้สึกไม่น้อย กับคำสัญญาที่ถูกยกเลิก

"น่าเสียดายเนอะเจ้าจัน ... ฉันมีเรื่องจะคุยกับพี่วิชชุ์เยอะแยะไปหมด แต่ทำยังไงได้ล่ะ ... เขาต้องทำงาน"

คำถามเองตอบเองแบบหงอยเหงาของหญิงสาว เรียกความสนใจจากเจ้าแมวน้อยเหมือนกัน ขณะที่มันกำลังเพลิดเพลินนอนสบายใจบนตัก มันจึงผงกหัวเล็กน้อยถูไถมือที่ลูบเป็นการตอบรับ แล้วก็ก้มหน้างุดลงไปนอนต่อ

องก์อัมพุทยิ้มน้อยๆให้กับความน่ารักน่าหยอกของเจ้าจัน คงมีแต่เจ้าหน้าขนนี่ล่ะที่เป็นเพื่อนคุยปรับทุกข์ให้เธอได้ทุกเวลา

"น้องพุด ... ทำอะไรอยู่เอ่ย"

เสียงเรียกชื่อที่ให้ความสนิทสนม และเอื้อเอ็นดูดังขึ้นทางด้านหลัง ทำให้องก์อัมพุทนึกขึ้นได้ว่า ถึงแม้วันนี้จะขาดใครไป เธอก็ยังมาถึงบ้านของเธอได้โดยไม่ลำบาก

เหตุบังเอิญที่ต่อให้รถจะยังซ่อมไม่เสร็จ วิชชุ์วิธูมารับเธอไม่ได้ ดูเหมือนฟ้าจะยังปรานีอยู่บ้าง เพราะจู่ๆเพื่อนรุ่นพี่ของเมฆพัด แวะมาหาถึงบ้านแต่เช้า แล้วเข้ามาอำนวยความสะดวกราวกับนัดกันไว้

นี่เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ ที่พี่ชายมีเพื่อนมาหา และแนะนำเพื่อนชื่อ ทแกล้ว ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของรถดอดจ์สีดำทะมึนคันโต ให้คนเป็นน้องสาวได้รู้จักอย่างเป็นทางการ

พี่ชายและเพื่อนคุยกันไม่กี่คำ เห็นว่าเป็นวันหยุด หนุ่มๆจึงตกลงใจขับรถคลาสสิคแรงดี พาสาวน้อยคนเดียวในบ้าน กับเจ้าแมวเหมียวมาบ้านละอองชลแบบไม่มีใครต้องคิดมาก

"ไม่ได้ทำอะไรค่ะ พี่กล้า ... แล้วไม่ได้อยู่คุยกับพี่พัดหรือคะ หรือว่า แม่ให้มาตาม"

"เปล่าจ้ะ พี่เห็นบ้านน้องพุดร่มเย็น ต้นไม้เยอะดี เลยขอตัวลงมาเดินเล่น ให้ลูกชายเขาคุยกับคุณแม่ไป"

หนุ่มใหญ่วัยปลายสามสิบยิ้มกว้างให้น้องสาวของเพื่อนรุ่นน้อง มองด้วยแววตาอ่อนโยน ซึ่งก็ได้รับรอยยิ้มน่าเอ็นดูในความรู้สึกตอบกลับมา

"นั่งก่อนสิคะ ... พุดก็เพิ่งรู้นะคะ ว่าพี่ชายของพุด มีเพื่อนรุ่นพี่นิสัยดีแบบพี่กล้าด้วย"

"ฮ่าๆ"

ทแกล้วหัวเราะขันกับคำพูดตรงไปตรงมาขององก์อัมพุท พลางหย่อนกายลงนั่งตามคำเชื้อเชิญ เขาเว้นระยะไม่ให้ชิดหรือห่างได้พอดิบพอดี ดูท่าว่าจะสนใจพูดคุยกับหญิงสาวไม่น้อย

"นายพัดเคืองตาย ถ้าได้ยินน้องสาวพูดแบบนี้ ฮ่าๆ"

"แล้วพี่กล้าพอจะบอกได้ไหมคะ ว่าพวกพี่ทำงานอะไรกัน"

หญิงสาวกลายร่างเป็นน้องน้อยในพริบตา ความอยากรู้ในเรื่องต่างๆของพี่ชาย รบกวนจิตใจมาตลอดนับตั้งแต่เขาเรียนจบ แต่เพราะความเป็นส่วนตัวที่ถามอย่างไร ก็ไม่มีคำตอบให้ ตอนนี้เธอคิดว่า ไหนๆเพื่อนของเขาก็อยู่ที่นี่แล้ว น่าจะสืบเสาะหาความจริงได้บ้าง

"อะไรกัน พัดไม่เคยบอกเลยหรือว่า พวกเราทำงานวิจัยพันธุ์พืชกัน"

"งานวิจัย?"

หนุ่มใหญ่พยักหน้าอารมณ์ดี ไม่คิดว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย หรือเรื่องเสียหาย ถ้าจะเล่าสู่ให้น้องสาวเพื่อนฟัง จึงเอ่ยต่อไปอย่างนึกสนุกกับท่าทางกระหายใครรู้ขององก์อัมพุท

"๑๐ ปีได้แล้วมั้ง ที่เราทำวิจัยร่วมกัน ตอนนี้โครงการหลักๆของเราก็เน้นมาที่ไม้พะยูง ช่วงนี้เรามาประจำกันที่สถานีเพาะพันธุ์แถวราชบุรี เลยพอมีเวลาหายใจกันบ้าง"

"เดี๋ยวนะคะ พี่กล้า ... ๑๐ ปี นี่พี่พัดทำงานวิจัย ... กับพี่กล้ามา ๑๐ ปีแล้วหรือคะ"

"เอ๊ะ ... ทำไมต้องตกใจขนาดนั้น พี่ชักสังหรณ์ใจแล้วสิ ที่พี่เล่าให้ฟังเนี่ย พัดไม่เคยบอก ... ใครเลยเหรอ แล้วอย่างนี้ภัยจะมาถึงตัวพี่มั้ย"

ทแกล้วกระเซ้าแต่อดรู้สึกเช่นนั้นไม่ได้เหมือนกัน ปฏิกิริยาขององก์อัมพุทไม่ใช่แค่อาการตื่นเต้นธรรมดาเสียแล้ว แต่เขายังจับอารมณ์ที่แท้จริงของเธอไม่ได้ ว่ากำลังรู้สึกอย่างไรกันแน่ จึงเบี่ยงเบนความสนใจไปเรื่องอื่น โดยลืมนึกไปว่า บางเรื่องที่ต้องการเปลี่ยนประเด็นนั้นเข้าเนื้อตนเอง พอรู้ตัวก็แทบอยากกัดลิ้นเลยทีเดียว

"เออนี่ น้องพุด ... ช่วงนี้พัดมีปัญหาอะไรกับแฟนหรือเปล่า พี่เห็นมันเครียดๆมาหลายเดือน เมื่อวันก่อนก็อีกดูเหมือนคนอกหักยังไงไม่รู้ ..."

แต่คำถามของทแกล้ว ที่จู่ๆปลายเสียงก็เบาลงไปนั้น ยังไม่ทันได้คำตอบ พวกเขาก็ได้ยินเสียงรถแล่นจากหน้าบ้านเข้ามาจอดต่อท้ายดอดจ์สีดำ เนื่องจากพวกหนุ่มๆเห็นว่า เปิดประตูรั้วทิ้งไว้ก็ไม่เป็นไร

"ใครกัน ..."

เสียงทุ้มห้าวถามขึ้นอย่างแปลกใจแกมยินดี เหมือนมีคนมาช่วยออกจากสถานการณ์ย่ำแย่ แต่เมื่อมองหญิงสาวที่นั่งข้างๆ ก็เห็นว่า เธอเบิกตาโตก่อนจับแมวที่ชื่อ 'เจ้าจัน' วางลงบนเตียงไม้ที่นั่งอยู่ แล้วลุกขึ้นรีบเดินออกไปยังรถที่เข้ามาใหม่ไม่รีรอ







รวิรุจน์วางสายสนทนาจากช่ออัญชัน ก่อนจะยกถ้วยกาแฟหอมกรุ่นขึ้นชิดริมฝีปาก ละเลียดจิบแล้วดื่มในยามสายของวันหยุด มุมปากผุดพรายรอยยิ้มบ่งบอกความพึงใจ จนผู้ที่เข้ามาสมทบเห็นเข้าอดถามไม่ได้

"กาแฟที่หนูอัญเอามาฝาก อร่อยขนาดนั้นเลยหรือจ๊ะรุจน์"

"ครับ แม่ ..."

ชายหนุ่มตอบแหวนวงทั้งที่ขอบถ้วยยังจรดชิดราวกับไม่อาจละทิ้งรสชาติสักวินาที ทำเอามารดาแกล้งส่งค้อนให้หลังนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

"เห็นทีแม่คงต้องให้หนูอัญบอกร้านที่ขายเสียแล้ว เผื่อว่าถ้ามันหมดขวด ... ลูกแม่จะได้ไม่ขาดรสชาติกาแฟดีๆ"

"คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ"

ยามรื่นรมย์ ความสุขดูจะรายรอบตัวรวิรุจน์ แต่เขาไม่มีทางจะให้แหวนวงได้ทราบว่า สิ่งที่นำพาความรู้สึกนี้แก่เขา ... มันอาจทำให้ใครบางคนทุกข์ใจอย่างที่เขาเคยเป็น

"รุจน์ ... แล้วตกลง เรื่องหนูอัญนี่ ..."

"เพื่อนครับ ... เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ไม่ใช่อย่างที่แม่กำลังสงสัยแน่ ... ไม่มีทางเป็นไปได้ด้วย"

ชายหนุ่มเดาความคิดของผู้เป็นแม่ได้ทัน อาจเป็นเพราะเขาพาช่ออัญชันเข้านอกออกในบ้านนี้ ไม่ต่างจากหญิงสาวคนพิเศษ จนอาจทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน

"หรือลูกแม่ ยังไม่ลืมเธอคนนั้น"

แหวนวงรุกถามเอาความกับรวิรุจน์ เมื่อบุตรชายคนเล็กตอบเลี่ยงไปเลี่ยงมา ด้วยว่า เธอเป็นห่วงและกังวลแทน ไม่ว่าจะกับผู้หญิงคนไหน ที่จะก้าวเข้ามาใกล้ชิดลูกของเธอ

"ไว้มีโอกาส ผมจะพาคุณพุด มาทำความรู้จักกับแม่นะครับ"

รวิรุจน์เอ่ยถึงหญิงสาวคนเดียวที่ติดอยู่ในใจมาเนิ่นนาน นานเสียจนไม่อยากเสียเธอคนนี้ให้ใคร

ต่อให้ผู้ชายบางคน จะเป็นสายเลือดเดียวกับเขาก็ตาม





วิชชุ์วิธูควบคุมอารมณ์ไม่พึงประสงค์อย่างหนัก พยายามผ่อนคลาย สลายความหงุดหงิดให้หมดไป เมื่อมีงานด่วนจากปารตีเข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัวช่วงเช้าตรู่หลังตื่นนอน

ความตั้งใจที่จะไปพบองก์อัมพุทสายๆ ของวันนี้จึงมีอันยกเลิกโดยปริยาย ทั้งที่เมื่อคืนตกลงกันไว้ดิบดีว่า จะขับรถพาเธอกลับบ้านไปหาแม่

ในที่สุดเขาก็ต้องตัดใจสละเวลาส่วนตัวเพื่องาน ด้วยเห็นแก่ความสบายใจของพฤหัส และโดยตำแหน่งของปารตี เธอคือเจ้านาย ที่พ่วงสถานะภรรยาของบิดาอีกด้วย

องก์อัมพุทช่วยทำให้ชายหนุ่มรู้สึกดีขึ้น เมื่อเธอบอกสั้นๆง่ายๆว่า ‘ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง’ หลังจากโทรศัพท์ไปแจ้งว่า เขาไม่สามารถทำตามที่ให้สัญญาได้

ทว่า วิชชุ์วิธูจับความนัยของคำว่า ‘ไม่เป็นไร’ นั้นได้ ... เธอเป็นแน่ๆ

ไว้ครั้งหน้าเขาจะขอแก้ตัวใหม่ จะไม่ยอมทำผิดสัญญาที่ให้ซ้ำสองอีกแล้ว

ชายหนุ่มรับฟังความไม่สบายใจขององก์อัมพุท และคิดว่าเธอกำลังต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งเขาก็เสนอตัวออกไป ด้วยหวังว่า การพบกัน คุยกันแบบเห็นหน้า จะทำให้เข้าใจรับรู้ความรู้สึกของเธอได้เต็มที่

'งาน' ที่ปารตีถึงกับต้องตามวิชชุ์วิธูแต่เช้า คือ การเดินทางไปโรงงานไม้แปรรูปของเจ้าสัวอัญเชิญ ซึ่งเขาจำไม่ได้เลยว่า ภรรยาของพ่อกับหุ้นส่วนใหม่หมาด ไปคุยเรื่องนี้กันตอนไหน

ในเมื่องานเลี้ยงรับรองเพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อคืน !

ความเร็วในการขับรถระดับปกติแบบไม่รีบไม่ร้อน ทำให้วิชชุ์วิธูใช้เวลาเกือบ ๓ ชั่วโมง มาถึงเขตอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา

ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒ ที่ชื่อถนนมิตรภาพนั้น สร้างความรู้สึกบางอย่างแก่ตัวแทนโครงการร่วมทุนทางธุรกิจอย่างวิชชุ์วิธู ... เป็นความรู้สึกที่ต่างจากชื่อถนนโดยสิ้นเชิง






"เภา ... แกมาได้ยังไง"

องก์อัมพุทถามทันทีที่เห็นชัดเจนว่า รถยนต์คันคุ้นตาจอดสนิทดับเครื่องเรียบร้อย และเจ้าของของมันก็ลงมายืนข้างรถ ด้วยสีหน้าอันห่างไกลความสดใสร่าเริงอย่างที่เคยมี

"ฉันมีธุระ ... จะมาหาคุณแม่แก ท่านอยู่ไหม"

เภตราตอบวัตถุประสงค์ในการมาไม่อ้อมค้อม แต่สิ่งที่ชวนให้แปลกใจนิดหน่อยคือ บุรุษร่างสูงที่ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าพวกเธอ ก้าวมายืนสมทบด้านหลังเพื่อนสนิท

หญิงสาวลูกเจ้าของบ้าน อ่านสายตาเพื่อนก็เหลียวหลังไปยังบุคคลที่กำลังเป็นจุดสนใจ

"ก่อนขึ้นไปหาแม่ ฉันจะแนะนำพี่กล้า ให้แกรู้จัก ... นี่คุณทแกล้ว ... พี่กล้าเป็นเพื่อนรุ่นพี่ของ ... เอ่อ พี่พัดน่ะ"

องก์อัมพุทหันไปทางเภตรา กำลังจะแนะนำเพื่อนให้ทแกล้วรู้จักบ้าง ทว่า เพื่อนรักดูจะตกใจกับข้อมูลดังกล่าว จนทำให้หนุ่มใหญ่กับหญิงสาวเจ้าบ้านมองหน้ากันเลิกลั่ก

"ว่าไงนะ"

ว่าที่เจ้าสาวอุทานขึ้น จากที่คิดว่า ผู้ชายแปลกหน้าคนนี้ คงเป็นคนละแวกบ้าน แวะมาหาเพื่อนของเธอ แต่การณ์กลับเป็นว่า ... เขาคือ คนที่ว่าที่เจ้าบ่าวของเธอ เคยเผลอหลุดชื่อให้ได้ยิน

ความไว้วางใจ เชื่อใจกันเป็นพื้นฐาน ในเรื่องที่ต่างคนต่างมีคนรักของเภตราและมัตติก์ รวมถึงความเป็นลูกผู้ไม่ต้องการขัดใจแม่ แต่ก็ไม่ยอมอยู่นิ่งเฉย ยังดิ้นรนหาทางออกต่อให้ยากแค่ไหน

สุดท้าย มัตติก์ก็ยอมเล่าเรื่องที่เก็บงำออกมา ... อย่างหมดเปลือก

เภตราเบิกตาค้างจ้องไม่กะพริบ ราวตกตะลึงในรูปลักษณ์ของอีกฝ่าย เผลออดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเธอไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังมาก่อน ให้ไปบอกกับใคร ใครเลยจะเชื่อว่า บุรุษร่างสูงผึ่งผายแข็งแกร่งไปทั้งตัว เฉกเช่นชายชาตรีตรงหน้า จะเป็นคนที่มัตติก์ทุ่มเทชีวิตจิตใจให้ ... เท่าไหร่เท่ากัน

น่าแปลก ... ที่ความรู้สึกบางอย่าง กำลังตีตื้นท้นหัวใจขึ้นมา

มัตติก์ ทำเพื่อตนเอง ... เพื่อความรักของตนเอง

แล้วถ้าเธอจะทำอย่างเขาบ้าง ... คนที่เธอรักจะเข้าใจเธอบ้างไหม

ทั้งแม่ ... ทั้งเมฆพัด






บุตรชายคนโตของละอองชลยังดูเคร่งเครียดและหม่นหมอง แต่อย่างน้อยการอยู่ใกล้มารดา ก็ทำให้เมฆพัดไม่ถึงกับซวนเซเสียหลักมากนัก

ไหนจะทแกล้ว ... เพื่อนรุ่นพี่คนสนิท ที่ดูจะเข้าอกเข้าใจกับสภาวะจิตใจของหนุ่มรุ่นน้องอย่างไม่น่าเชื่อ จนอดคิดไมไ่ด้ว่า ถ้าเชื่อในสิ่งที่รุ่นพี่บอกรุ่นพี่สอน เขาคงไม่ต้องตกในสถานการณ์ยืนบนปากเหวเหมือนในขณะนี้

และยิ่งนักวิจัยหนุ่มยังมีสถานะเป็นพี่ชาย มองไปที่องก์อัมพุทครั้งใด ก็เห็นความห่วงใยจากน้องสาวส่งมาให้ ซึ่งเขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกผิด ที่มีส่วนทำให้เรื่องของผู้เป็นพี่ยุ่งยากอย่างไม่ควรเลย

ด้วยเหตุนั้น ... เขาก็ยิ่งไม่ควรทำตัวอ่อนแอ ท้อแท้จากปัญหาที่ตนเป็นคนผูกขึ้นเอง

หลายวันมานี้ เมฆพัดครุ่นคิดทุกวิถีทาง ให้ได้โอกาสอีกสักครั้ง

อีกสักครั้งที่จะได้พบ ได้บอกกับเภตราตรง ๆ เสียที ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเขาและเธอ มันไม่ใช่เรื่องของความมักง่าย และ ไม่ได้ซับซ้อน

เพียงแค่เมฆพัดกล้ามากกว่านี้ ... กล้าที่จะเผยความรู้สึกอันซ่อนอยู่ภายใน ให้เภตรามั่นใจได้ว่า ...

... เขารักเธอ ...












*******************************************







โปรดติดตามตอนต่อไป ...


ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม .. และขอบคุณสำหรับไลค์กำลังใจฮะ


คุณปอยอะนะ : คุณเมฆของคุณปอยอะนะ วันนี้ อาจมาไม่มาก แต่คงคิดได้บ้างแล้วว่า ควรทำยังไงดี ... // ขอบคุณคุณปอยอะนะฮะ



แรมรติ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 มี.ค. 2559, 04:36:48 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 มี.ค. 2559, 09:02:27 น.

จำนวนการเข้าชม : 984





<< บทที่ ๓๖ .. ความในใจ   บทที่ ๓๘ .. สมรู้ร่วมคิด >>
kaelek 23 มี.ค. 2559, 09:01:42 น.
เผชิญหน้าพร้อมกันเบยย


ปอยอะนะ 24 มี.ค. 2559, 15:37:58 น.
ลุ้นค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account