ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๓ ฤทธิ์ของหมอก

ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๓ ฤทธิ์ของหมอก


เจ้รู้ดีว่าพวกตนกำลังถูกหัวหน้าเผ่าหลอกใช้ รวมถึงทราบว่าอาวุธที่พกมาตกเป็นเป้าหมายการแย่งชิง แต่ก็ไม่คิดหนี เธอมองว่าถ้าถอยกลับไปตั้งหลักตอนนี้รังแต่จะเสียเวลา สงครามของพวกคนป่าไม่รู้จะยุติเมื่อใด กว่าจะได้ผู้ชนะ กว่าจะอารมณ์ดีพอให้เจรจาขอความช่วยเหลือเรื่องคนนำทาง ป่านนั้นคงไม่ทันกาล

เจ้กระซิบบอกโบ้ให้พยายามตีสนิทและหาข้อมูลแดนมายามาให้ได้ ส่วนคนอื่นๆ ให้คอยเฝ้าระวัง สังเกตทางหนีทีไล่และกำลังพลของพวกคนป่าให้ดีเผื่อมีเหตุฉุกเฉิน

ทุกคนตอบรับแผนการของเจ้เป็นอย่างดี ทว่าก็แทบไม่มีเวลาทำอะไรมากเพราะการต่อสู้เกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิด เนื่องจากพวกนักรบบังเอิญไปเจอพวกเจ้ระหว่างทางเลยย้อนกลับเข้ามาในหมู่บ้าน อีกฝ่ายรออยู่นานชักทนไม่ไหวก็เลยบุกข้ามเขตมาหาเอง

พวกเจ้ถูกพวกนักรบของหมู่บ้านรุนหลังให้ออกไปสู้ศึก แม้จะฟังภาษาคนป่าไม่ค่อยออก แต่ก็รู้ว่าศัตรูอยู่ที่ใดจากเสียงกลองกับเสียงโห่ร้องดังสนั่นป่า เท่าที่คะเนจากเสียง อย่างน้อยๆ ก็น่าจะมีมากกว่าสองถึงสามเท่า

เจ้มองกำลังพลที่มีเพียงครึ่งร้อยอย่างสิ้นหวัง สงครามของคนป่าครานี้มีเค้าว่าเผ่าอิโต่จะต้องปราชัยสูง เธอจึงปรับเปลี่ยนแผนใหม่

“ถ้าสู้ไม่ไหวก็อย่าฝืน รีบถอยออกมาทันที แล้วไปพบกันตรงต้นไม้ใหญ่ที่มีรอยกากบาท”

ตอนแรกเจี้ยหลุนเข้าใจว่าพวกนายจ้างเป็นยอดฝีมือ เพราะอาสาช่วยรบอย่างไม่กลัว แต่พอได้ฟังอย่างนี้ก็เริ่มใจเสีย ออกอาการคร่ำครวญว่าไม่อยากตาย

“พวกท่านอย่าทิ้งข้านะ ถ้าจะหนีก็ต้องหนีไปด้วยกัน”

“ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าตายหรอก แต่ในช่วงชุลมุน เจ้าก็ต้องรู้จักปกป้องตัวเองด้วย” หยางเจี้ยนเอ่ยเตือนสติ

เจี้ยหลุนพยักหน้ารับ เขากำมีดพร้าในมือไว้แน่นเพื่อใช้ปกป้องชีวิต

“พวกมันอยู่ข้างหน้านี่แล้ว ระวังหน้าไม้!” ไป๋อวี้ซึ่งตาดีกว่าใครตะโกนเตือน

ไม่ทันขาดคำ ลูกหน้าไม้ก็ลอยลงมาปักพื้นห่างจากจุดที่ยืนประมาณห้าช่วงก้าว ฝ่ายถูกโจมตีเห็นดังนั้นก็ถอยออกมา แต่ก็ไม่ลืมใช้ปลายหอกทิ่มหลังพวกคนนอก เร่งให้เดินไปข้างหน้าเพื่อทำหน้าที่โล่ อึดใจต่อมา ลูกหน้าไม้ชุดที่สองก็พุ่งเข้าหาพวกเจ้อีกครั้ง หนนี้อยู่ในระยะหวังผล หากไม่หลบคงเจ็บหนัก แต่ไม่มีใครคิดขยับ เพราะลูกหน้าไม้ทั้งหมดถูกโบ้ใช้พลังปราณจัดการก่อนพวกมันจะลอยมาถึงตัว

ตอนนี้เองที่เจ้ได้มีโอกาสเห็นฝ่ายตรงข้ามเต็มสองตา เธอรู้สึกอายขึ้นมาทันทีที่ก่อนหน้านี้คิดแผนหนีอย่างจริงจัง ทั้งที่ความจริงคนพวกนี้ไม่คณามือพวกเธอเลย จริงอยู่ที่ฝ่ายตรงข้ามมีคนมากกว่า แต่ก็มากกว่ากันเพียงไม่กี่สิบ ที่ได้ยินเสียงดังๆ นั่นคงจะแหกปากกระทืบเท้ากันเต็มที่

เรื่องมีอาวุธครบมือตามที่ได้ฟังมาจากหัวหน้าหมู่บ้านนั้นก็ไม่จริงสักเท่าไร พวกติโน่มีหน้าไม้อยู่แค่สิบคัน กับดาบผุๆ อีกประมาณครึ่งโหล คนที่เหลือก็ใช้หอกปลายแหลมเป็นหลัก ซึ่งส่วนใหญ่ถ้าไม่โดนจังๆ ก็แทบแทงไม่เข้า เทียบกับสงครามที่อี้ป่าย ศึกนี้ไม่ต่างอะไรกับนักเลงตีกัน

“ข้าจัดการเอง พวกเจ้ารออยู่ตรงนี้เถอะ” โบ้วิ่งลุยไปข้างหน้าอย่างไม่กลัว

พวกคนป่าพร้อมใจกันคิดว่าอีกไม่กี่อึดใจ ร่างผู้หญิงต่างเผ่าคนนี้ต้องพรุนด้วยลูกหน้าไม้ แต่แล้วก็ต้องอัศจรรย์ใจเมื่ออาวุธที่พุ่งมาทั้งหมดสิ้นฤทธิ์ก่อนจะทันได้สัมผัสตัวนาง

“แม่มด! นางเป็นแม่มด!”

พวกคนป่าทั้งสองฝ่ายพร้อมใจกันร้องตะโกน ยิ่งได้เห็นว่านางท่องมนตร์ประหลาดก็ยิ่งแตกตื่น คงมีแต่เจ้เท่านั้นที่รู้ความจริงว่าโบ้ไม่ได้ร่ายมนตร์ เขายังจำคำพูดแว่นว่าห้ามเล่นแปลงร่างได้ ขณะนี้เลยมีความสุขกับการสวมบทราชินีน้ำแข็ง ระเบิดพลังไปร้องเพลง ‘Let it Go’ ไปนี่ ยิ่งชัดว่าตอนนี้คือเอลซ่า

โบ้ร้องเพลงยังไม่ทันถึงท่อนฮุก พวกเผ่าติโน่ก็ทำท่าจะเผ่นหนีกันเสียแล้ว พวกมันต่างขวัญหนีดีฝ่อ เพราะแม่มดตามความเชื่อของคนป่าเป็นทั้งนักบุญและปีศาจในร่างเดียว ยามเมตตาจะรักษาโรคภัยให้ แต่ยามโหดร้ายจะทำลายเผ่าพันธุ์จนสูญสิ้น ตามตำนาน แม่มดส่วนใหญ่มักมีรูปลักษณ์ของสตรีหน้าตางาม มีพลังเหนือธรรมชาติ ซึ่งตรงกับคุณสมบัติของโบ้ทุกประการ

“ถ้าพวกเจ้ายอมส่งลูกสาวหัวหน้าเผ่าคืน ข้าจะไม่เอาโทษ!” โบ้ประกาศก้อง

น่ายินดีที่สองเผ่านี้ใช้ภาษาเดียวกัน เมื่ออีกฝ่ายเข้าใจว่าแม่มดต้องการสิ่งใด ก็รีบวางอาวุธ ก้มลงคุกเข่าว่าจะทำตามบัญชา

ลูกสาวหัวหน้าเผ่าถูกพาตัวกลับมาอย่างรวดเร็วโดยไร้รอยถลอก นางไม่ได้บาดเจ็บหรือถูกข่มเหง เพราะประเพณีของที่นี่ยึดความยินยอมของฝ่ายหญิงเป็นหลัก ผู้หญิงส่วนใหญ่มักชื่นชอบผู้กล้า บางทีก็วางแผนให้อีกเผ่าจับไปเพื่อพิสูจน์รักแท้

เจี้ยหลุนถึงกับอ้าปากค้างเมื่อเรื่องจบลงอย่างง่ายดายโดยไม่เสียเหงื่อสักหยด อีกทั้งความเข้าใจผิดว่านางเป็นแม่มดยังช่วยอำนวยความสะดวกให้หลายประการ เมื่อพวกเขากลับไปถึงหมู่บ้านอิโต่แล้ว ก็ได้รับการปรนนิบัติอย่างดีราวกับเป็นเทพเจ้า


งานฉลองชัย งานแต่งงานของลูกสาวหัวหน้าเผ่า ควบด้วยพิธีบูชาแม่มดถูกจัดขึ้นพร้อมกันในตอนค่ำ บัดนี้ไม่มีใครคิดร้ายหรือมองคนนอกไม่ดีอีกแล้ว พวกเขาต่างสำนึกบุญคุณและเกรงกลัวอำนาจของแม่มด สบโอกาสให้ถามเรื่องทางไปแดนมายา

“หมอกกินคนปรากฏขึ้นเป็นระยะ เอาแน่เอานอนไม่ได้” หัวหน้าหมู่บ้านให้ข้อมูล

“เรามีความจำเป็นต้องไปที่นั่น พวกท่านจะนำทางไปได้ไหม” โบ้แปลความตามคำพูดของเจ้

“หากเป็นความต้องการของท่าน พวกเราก็ยินดีจะจัดการให้ ข้าจะส่งคนไปเฝ้าที่ป่าผลไม้ให้ หากหมอกกินคนปรากฏขึ้นจะรีบมารายงาน”

พวกเจ้ตอบรับความช่วยเหลือของหัวหน้าเผ่าอย่างยินดี อีกทั้งถามทางไปยังป่าผลไม้เอาไว้ด้วย จะได้ไปสำรวจด้วยตัวเองในวันรุ่งขึ้น

หัวหน้าเผ่าได้มอบแผนที่ป่าแถบนี้ให้ แม้จะไม่ได้วาดโดยคำนวณจากสัดส่วนและระยะทางจริง แต่ก็มีจุดอ้างอิงที่สังเกตได้ จัดเป็นแผนที่อย่างหยาบที่ดีพอใช้

เจ้รับแผนที่มาเก็บไว้ จากนั้นค่อยดื่มกินกับพวกคนป่า คนเดียวที่ไม่ได้รับอนุญาตให้แตะต้องเหล้าก็คือโบ้ เพราะคออ่อนมากและทำหน้าที่เป็นล่ามอยู่ พวกเขาหวังพึ่งอาโตซึ่งเคยทำหน้าที่นี้มาตลอดไม่ได้ เพราะเมาพับไปตั้งแต่เพิ่งจะช่วยแปลให้ได้สองประโยค

เมื่องานเลี้ยงดำเนินมาได้สักพัก ก็มีชายหญิงจำนวนหนึ่งมายืนตรงหน้าเจ้กับหยางเจี้ยน พอถามว่าคนพวกนี้กำลังทำอะไร โบ้ก็บอกว่า

“พวกเขามาให้ดูตัว เผื่อสนใจอยากแต่งงานด้วย”

แต่เดิมเผ่าอิโต่ห้ามแต่งกับคนนอก เว้นแต่เจอคนที่เหมาะสมหรือมีผลประโยชน์ต่อส่วนรวม ชาวป่าพวกนี้ยังไม่ได้เห็นฝีมือชาวคณะคนอื่น แต่ก็เชื่อว่าพวกที่มากับแม่มดต้องเป็นคนมีความสามารถ จึงอยากแต่งเข้ามาจะได้ใช้ความสัมพันธ์นี้ให้เกิดประโยชน์

“ข้าขอปฏิเสธ!” เจ้กับหยางเจี้ยนพูดขึ้นแทบพร้อมกัน

“แปลดีๆ นะไป๋หลิน รักษาน้ำใจกันด้วย ให้เหตุผลว่ามีคนรักหรือคู่หมั้นแล้วก็ได้” เจ้ย้ำก่อนคนปากไวจะปฏิเสธโต้งๆ ไปว่าไม่เอา

โบ้พยักหน้ารับ พอเขาหันไปพูดกับผู้ใหญ่บ้าน ชายชราก็ทำท่าเสียดาย แต่ก็ยอมโบกมือไล่ให้ทุกคนกลับไปนั่งที่แต่โดยดี

“เจ้าบอกเขาไปว่าอย่างไร” หยางเจี้ยนถาม

“ข้าบอกไปว่าฟางเซียนแต่งงานแล้ว ส่วนพี่หยางก็มีคู่หมั้น”

“คู่หมั้น...” หยางเจี้ยนทวนคำแล้วทำหน้าเก้อ “เจ้าหมายถึง...”

ชายหนุ่มตั้งใจจะสื่อว่าเป็นตัวไป๋หลิน นานๆ ทีท่านจอมยุทธ์ผู้นี้จะกล้าเผยความนัยสักหน แต่อีกฝ่ายกลับไม่เข้าใจ โบ้เอียงคอมาหาแล้วกระซิบตอบ

“ก็พี่ใหญ่ของข้าไง ไม่ได้โกหกนะ พวกท่านหมั้นกันจริงๆ”

แซวเสร็จโบ้ก็หัวเราะคิกคัก โดยไม่สังเกตเลยว่าขณะนี้หยางเจี้ยนมีสีหน้าสลด เจ้เห็นแล้วก็สงสารผู้ชายคนนี้มาก ตลอดเวลาที่เดินทางด้วยกัน หยางเจี้ยนคอยดูแลเอาใจใส่โบ้เป็นอย่างดี สายตาเขาสื่อถึงความรักใคร่เป็นอย่างยิ่ง แต่โบ้กลับไม่สนใจมอง

เจ้เคยบอกด้วยความหวังดีว่าโบ้ควรลองมองคนใกล้ตัวดูบ้าง แต่โบ้กลับปฏิเสธเด็ดขาด จอมมโนศรัทธาอย่างแรงกล้าว่าฟ้าลิขิตให้มาอยู่ในโลกนี้เพราะมีภารกิจยิ่งใหญ่ อ้างอิงจากนิยายร้อยละร้อย นางเอกหลงยุคมาต้องได้ ‘สามี’ แล้วจะเป็นผู้ชายไก่กาหน้าตาบ้านๆ ไม่ได้ด้วย ต้องหล่อระดับตำนานเท่านั้น

เจ้บ่นพอเป็นพิธีว่าไม่ควรมองคนแต่ภายนอก จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะรู้ว่าจริงๆ แล้วโบ้ไม่ได้ไร้สติขนาดจ้องแต่จะจับผู้ชายที่ตรงสเปก เขากำลังมองหาสิ่งที่เรียกว่าพรหมลิขิต โบ้อยากเจอคนที่ฟ้าสร้างมาคู่กัน คนที่ทำให้ใจเต้นรัวเมื่อแรกสบตา คนที่ทำให้เขารู้สึกว่าไม่อยากพรากจากไปไหนตลอดชีวิต

เรื่องความรักนี้ตำหนิกันไม่ได้ ถ้าใจไม่ตรงกัน ต่อให้อีกฝ่ายแสนดีเพียงไหนก็ไม่อาจทนฝืนสานสัมพันธ์

“หัวหน้าเผ่าไม่แนะนำพวกผู้ชายให้เจ้าดูตัวบ้างหรือ” เจ้ชวนคุย

“พวกเขาเห็นข้าสูงส่งเกินไปเลยไม่อาจเอื้อม” โบ้ยืดอกอย่างภาคภูมิใจ

ความจริงคนป่าพวกนี้กลัวโบ้เกินกว่าจะเสนอตัวต่างหาก จอมยุทธ์หญิงตัวป่วนระเบิดพลังทีไร ผู้ชายกระเจิงทุกที

“ไม่ใช่แพ้หยกน้อยแล้วทำเป็นพูดดีนะ”

ขณะนี้รอบกายไป๋อวี้มีหนุ่มๆ มากมายมาคอยเอาใจ

“สงสัยจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นผู้หญิงอีก” หยางเจี้ยนแสดงความเห็น

“ไม่ใช่หรอก ข้าอธิบายแล้ว” โบ้ว่า

หัวหน้าเผ่าไม่แน่ใจว่าไป๋อวี้เป็นบุรุษหรือสตรีกันแน่จึงถามก่อนส่งคนไปหา โบ้ตอบทันทีว่าเป็นผู้ชาย แต่ชอบผู้ชายเหมือนกัน หัวหน้าเผ่าไม่คิดว่าจะหาคนที่สมัครใจแต่งงานกับผู้ชายด้วยกันได้ เลยส่งชายหนุ่มหน้าตาดีไปปรนนิบัติเป็นการชั่วคราวแทน นี่เองสาเหตุของความฮอตที่เจ้าตัวไม่ต้องการเลย


รุ่งเช้า คณะเดินทางก็ออกไปสำรวจบริเวณป่าผลไม้กัน ป่าผลไม้อยู่ไกลจากหมู่บ้านสามสิบกว่าลี้ พื้นที่โดยรอบมีแต่ไม้ผลสมชื่อ ทั้งสาลี่ ลูกพลับ และผลไม้ป่าสีสันน่ารับประทานซึ่งในป่าเขตนี้จะออกผลฤดูหนาว ต้นไม้ที่ออกผลฤดูกาลอื่นก็มีแซมเป็นระยะ บ่งบอกว่าเป็นแหล่งอาหารได้ตลอดทั้งปี แต่พวกคนป่าไม่ชอบกินผลไม้กันนัก อาหารของพวกเขาเน้นเนื้อสัตว์เป็นหลัก พอรวมกับข่าวเรื่องหมอกกินคน จึงไม่มีเผ่าใดคิดยึดครองเป็นอาณาเขตของตน

“แถวนั้นเป็นเขตห้ามเข้า มักจะมีหมอกโผล่มา” คนป่าซึ่งเป็นผู้นำทางว่า

“แถวไหนนะโดนาโต” เจ้ถามเพราะไม่ทันมอง

‘โดนาโต’ ที่ว่าไม่ใช่นักฟุตบอลหรือดาราที่ไหน แต่เป็นชื่อจริงของอาโต คนป่าซึ่งทำหน้าที่เป็นล่าม คนอื่นในหมู่บ้านล้วนมีชื่อแบบอิตาลีคล้ายเขา ตอนแรกเจ้ได้ยินก็รู้สึกขัดหู เพราะแต่ละคนล้วนมีหน้าตาออกไปทางเอเชีย ต้องปรับตัวอยู่พักหนึ่งเหมือนกันกว่าจะชินกับชื่อเรียก

“ตรงนั้น พื้นที่ว่างระหว่างต้นไม้ใหญ่สองต้น”

พอบอกว่าต้นไม้ใหญ่ สายตาทุกคนก็จับจ้องไปยังต้นสนซึ่งขึ้นอยู่แบบผิดที่ผิดทาง กลางลำต้นของมันมีสัญลักษณ์บางอย่างสลักอยู่ พอเข้าไปดูใกล้ๆ จึงเห็นว่าเป็นดวงจันทร์ที่ลอยอยู่กลางม่านเมฆทั้งคู่ ลวดลายอันอ่อนช้อยสวยงามบ่งบอกว่าไม่น่าใช่ฝีมือคนป่า

“สัญลักษณ์ของพรรคมาร!”

หยางเจี้ยนจับกระบี่โดยอัตโนมัติ เขาบอกให้ทุกคนระวังตัว แล้วแผ่จิตลงไปในผืนดินเพื่อตรวจจับการเคลื่อนไหวโดยรอบ พลังปราณของชายหนุ่มคือปราณดิน แม้จะยังห่างชั้นกับไป๋หลินซึ่งเป็นอัจฉริยะ แต่ก็มีความสามารถเหนือกว่าจอมยุทธ์ทั่วไป ทว่าเขากลับตรวจจับความเคลื่อนไหวของผืนดินบริเวณที่อยู่ด้านหลังต้นสนสองต้นนี้ไม่ได้เลย

หยางเจี้ยนรายงานสิ่งที่พบตามตรง เขาเตือนทุกคนว่าอย่าเพิ่งผลีผลามข้ามเขตต้นสนไป แต่ไม่ทันแล้ว โบ้ไปกระโดดโลดเต้นอยู่ฝั่งนั้นตั้งแต่เขาหลับตารีดเค้นพลังปราณออกมาแล้ว

“อันตรายนะไป๋หลิน!”

“ไม่เห็นมีอะไรเลย แหวนอันธการก็ไม่มีปฏิกิริยาด้วย!” โบ้ตะโกนกลับมา

หยางเจี้ยนสะกิดใจเรื่องชื่อแหวน แต่ยังไม่ถามทันที เขาขอให้นางข้ามฝั่งกลับมาก่อน ค่อยซักว่าไปได้แหวนมาจากไหน

“ข้าเป็นคนหามาเอง” เจ้บอก ช่วงที่เดินทางด้วยกัน เธอเล่าให้หยางเจี้ยนฟังคร่าวๆ ว่าแหวนสีดำที่โบ้ใส่ติดนิ้วเป็นอุปกรณ์ช่วยนำทางไปหาสุวรรณมาลี

“ท่านทราบหรือไม่ว่ามันเป็นของพรรคมาร” หยางเจี้ยนถาม เขาเริ่มสังหรณ์ใจไม่ดีเสียแล้วว่าแทนที่จะได้ยากลับไปอาจตกอยู่ในอันตรายแทน

“ข้าทราบดี ทุกคนด้วย”

หยางเจี้ยนถึงกับกุมขมับเมื่อได้ยิน เขาหันไปทางฝาแฝดอย่างอ่อนใจ ตอนหนีไปสนามรบก็ว่ารนหาที่ตายแล้ว แต่นี่ยังดั้นด้นมาถึงเขตพรรคมารทั้งๆ ที่รู้อีก

“หาผ้ามาพันด้ามกระบี่เดี๋ยวนี้” หยางเจี้ยนสั่งสองพี่น้อง

พรรคเทพสวรรค์กับพรรคมารเป็นอริกันมาช้านาน ต่างฝ่ายต่างก็มีข้อมูลของกันและกัน หากเห็นกระบี่ที่ได้รับสืบทอดมาของสองพี่น้อง ย่อมจำได้ว่าเป็นคนของพรรคเทพสวรรค์

“ข้าพันไว้แล้ว” ไป๋อวี้ชูกระบี่ให้ดู หยกน้อยไม่ได้ปกปิดแค่ด้ามจับ ตัวฝักก็ไม่ใช่ของเดิมที่ได้รับมาตั้งแต่ต้น ต่อให้มีเวลาพิจารณา ก็ยังเข้าใจว่าเป็นกระบี่ธรรมดาไม่มีราคาค่างวด

“เจ้าเตรียมการมาอย่างดีก็น่าจะใส่ใจพี่สาวด้วย” หยางเจี้ยนตำหนิ

“เตรียมการอะไรหรือพี่หยาง ข้าแค่ปิดตราพรรคไว้เพราะอายคนเท่านั้นเอง”

พอได้ยินคำสารภาพเช่นนั้น ชายหนุ่มก็ถอนใจยาว ฝาแฝดคู่นี้ต่างกันคนละขั้ว แต่ก็ยังอุตส่าห์มีนิสัยเหมือนกันคือ ไม่คำนึงถึงสถานะของตนเลย หยางเจี้ยนจึงสั่งให้ทุกคนถอยออกมาก่อน ไว้ค่อยอบรมให้สำนึกเรื่องอันตรายในยุทธภพ

ในระหว่างที่สองพี่น้องถูกดุ เจ้ก็สังเกตพื้นที่โดยรอบ แล้วซักถามเรื่องที่สงสัยเป็นระยะ เธออยากรู้ว่ามีคนที่หลงเข้าไปรอดกลับมาบ้างไหม โดนาโตทำท่าครุ่นคิด ในที่สุดก็นึกออกว่าตอนเด็กๆ เคยมีคนรอดกลับมา คนคนนั้นเล่าเพียงว่าหลงอยู่ในกลุ่มหมอกแล้วหมดสติไป พอฟื้นขึ้นมาก็ถูกพาตัวไปทิ้งไว้กลางป่า ไม่รู้ว่าเป็นที่ใด ต้องอาศัยเวลาแรมเดือนกว่าจะหาทางกลับหมู่บ้านได้

เจ้ฟังแล้วคิดว่ามีความเป็นไปได้ว่า กลุ่มหมอกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ อาจเป็นพลังของใครสักคนคล้ายปราณความมืดของเธอ ถ้าเดาไม่ผิด หมอกพวกนี้น่าจะถูกสร้างขึ้นเมื่อมีผู้บุกรุกเข้าไปในเขตที่ไม่สมควร หรือไม่ก็สร้างขึ้นเพื่อปกปิดบางอย่าง

“หมอกพวกนี้ส่วนใหญ่เกิดตอนกลางวันใช่ไหม”

“ใช่”

“แล้วตอนกลางคืนล่ะ มีใครเคยมาสำรวจหรือเปล่า”

“ไม่มี...ใครจะกล้า” โดนาโตส่ายหน้ารัว

เจ้ฟังแล้วก็เริ่มครุ่นคิดอีกหน เธอต้องรีบไขปริศนาเรื่องทางเข้าให้ได้โดยเร็วที่สุด


คณะเดินทางกลับมาถึงหมู่บ้านคนป่าในตอนบ่าย เมื่อรับประทานอาหารกันเรียบร้อยแล้ว เจ้จึงบอกความคิดตัวเองให้ทุกคนรู้

“ข้าว่าหมอกอาจเกิดเมื่อมีผู้บุกรุก หรือมีอะไรบางอย่างไปเหยียบกับดัก คืนนี้น่าจะลองสำรวจกันอีกครั้ง”

“อย่าเพิ่งดีกว่า ข้าว่าเราควรสำรวจกันตอนกลางวันก่อน” หยางเจี้ยนทัดทานอย่างจริงจัง “ข้าอยากให้เตรียมเชือกม้วนใหญ่ๆ ไปด้วย ก่อนเข้าไปก็ผูกเอาไว้กับต้นไม้ หากเกิดเหตุหมอกลงหนากะทันหันจะได้ไม่หลงทาง”

เจ้เห็นดีเห็นงามกับแผนการที่ชายหนุ่มเสนอ จึงบอกโบ้ให้ขอหัวหน้าหมู่บ้านจัดเตรียมเชือก หัวหน้าหมู่บ้านรับคำเป็นอย่างดี พอตกค่ำก็นำเชือกมาให้ ทว่าเชือกพวกนี้ไม่เส้นใหญ่เกินก็ล้วนสั้นเกินไป จึงต้องเกณฑ์คนทำขึ้นมาใหม่ เสียเวลาอยู่เป็นวันเลยทีเดียวกว่าจะได้เชือกที่มีความยาวตามต้องการ

เมื่ออุปกรณ์ครบ เตรียมตัวพร้อม คณะเดินทางก็เริ่มสำรวจพื้นที่ด้านหลังต้นสนกันอย่างจริงจังทั้งกลางวันกลางคืน ทว่าเจ็ดวันผ่านไปก็ยังไม่พบเบาะแสเพิ่มเติม แม้โบ้จะใช้ฐานะแม่มดหาข้อมูลจากอีกเผ่า ก็ยังได้รับคำยืนยันว่าหมอกกินคนโผล่มาแต่ในจุดนั้น ซ้ำร้ายยังไม่มีใครรู้จักเรื่องแดนมายาอีกต่างหาก พวกเขาจึงตัดสินใจยอมเสี่ยงเข้าไปในพื้นที่นั้นตอนกลางคืน และเพิ่มความยาวเชือกให้มากขึ้นด้วย

อีกสิบวันผ่านไปก็ยังไม่มีใครได้เบาะแส ความหวังที่เคยมีเต็มเปี่ยมเริ่มหรี่ลงทุกขณะ หากไม่ใช่เพราะเกี่ยวพันกับชีวิตเพื่อน เจ้คงถอดใจไปนานแล้วว่าแดนมายาและสุวรรณมาลีไม่มีอยู่จริง เจ้เรียกประชุมทุกคนอีกครั้งหนึ่งเพื่อหาหนทางว่าจะทำอย่างไรต่อ

หยางเจี้ยนเสนอให้ลองไปคุยกับเผ่าอื่นดู นอกจากเผ่าของอิโต่กับติโน่แล้ว ยังมีอีกสองเผ่าอาศัยอยู่ลึกไปทางตะวันออกเฉียงใต้

“ต้องใช้เวลาเดินทางอย่างน้อยเจ็ดวัน ข้าว่าเรากลับออกมาไม่ทันแน่” เจ้บอก

“แต่อยู่ตรงนี้ก็ไม่ได้อะไร” หยางเจี้ยนที่ถอดใจเรียบร้อยแล้วเอ่ย เขาคิดว่าหมอกพวกนั้นอาจเป็นเรื่องเข้าใจผิด ส่วนสัญลักษณ์บนต้นไม้น่าจะเป็นของที่พวกพรรคมารสลักขึ้นมาแกล้งคนเล่นมากกว่า

เจ้เถียงไม่ออกเพราะอับจนหนทางเช่นกัน ในขณะที่เงียบไป โบ้ก็เสนอวิธีตามแบบฉบับตัวเองขึ้นมา

“ให้หยกน้อยเดินคนเดียวสักหนดีไหม”

“ทำไมต้องเป็นข้าเล่า” ไป๋อวี้เริ่มสังหรณ์ใจว่าพี่สาวจะนำความซวยมาให้อีก

“ก็เจ้าถูกโฉลกกับพวกค่ายกลนี่นา เดินไปคนเดียวมั่วๆ ทีไรได้เรื่องทุกที”

โบ้ไม่ห่วงน้องนัก เพราะต่อให้หลงก็หาทางกลับออกมาได้แบบมั่วๆ ทุกทีเหมือนกัน

เจ้คิดว่าความคิดนี้ไร้สาระ แต่เมื่อไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วจึงยอมให้ทดลอง พวกเขามุ่งสู่ป่าผลไม้อีกหน แล้วส่งเชือกหอบใหญ่ให้ไป๋อวี้ถือไว้

หยกน้อยหอบเชือก แล้วเดินไปตามลำพังอย่างไม่เต็มใจนัก ชายหนุ่มไม่ชอบบรรยากาศในป่าแถบนี้เลย ทั้งที่ไม่มีอะไรแท้ๆ แต่กลับรู้สึกเหมือนถูกสายตาน่ากลัวจับจ้องอยู่

เวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม โชคร้ายของไป๋อวี้ก็ทำงาน เขาไปเหยียบค่ายกลบางอย่างเข้า ทำให้รอบบริเวณเกิดหมอกหนา หยางเจี้ยนจึงดึงเชือกเป็นสัญญาณให้หยุดเดินก่อน

“ไม่น่าเชื่อ!” เจ้อึ้งไปเลยเมื่อวิธีของโบ้ใช้ได้ผล

“ตามหยกน้อยไปกันเร็ว!”

โบ้ชวนอย่างตื่นเต้น แล้ววิ่งตามเชือกไปก่อนเพื่อน เจ้กับหยางเจี้ยนจึงเร่งตามไปทั้งที่ยังเตรียมตัวกันไม่เสร็จ

“อย่าเพิ่งรีบไป๋หลิน ให้ข้าจุดตะเกียงก่อน”

กลุ่มหมอกนี้หนามากจนบดบังแสงอาทิตย์แทบไม่เหลือ โบ้หยุดตามคำเตือน ที่เชื่อฟังหยางเจี้ยนผิดคาดเพราะกำลังตะลึงกับเหตุมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้น อยู่ๆ แหวนก็เปล่งแสง พอขยับมือ มันก็กลายเป็นลำแสงทอดยาวคล้ายจะบอกใบ้ว่า นี่คือเส้นทางมุ่งสู่แดนมายา

เจ้กับหยางเจี้ยนชะงักไปเช่นกันเมื่อเห็นแสงจากแหวน พวกเขาแทบลืมหยกน้อยทิ้งไว้ แล้วตามไปทันที ดีที่คนอยู่อีกด้านของปลายเชือกส่งเสียงเรียกก่อน ไป๋อวี้บอกว่าตามมาสมทบไม่ได้เพราะตกลงไปในหลุม คนอื่นๆ จึงต้องไปรับ

ทั้งสามเร่งตามปลายเชือกไปช่วยหยกน้อย ความรีบร้อนทำให้เจ้ลืมสังเกตว่าหมอกนี้มีกลิ่นอายที่คุ้นเคยมาก กว่าจะรู้ว่ามันมีฤทธิ์หลอนประสาท คนข้างๆ ก็กรี๊ดเป็นบ้าไปแล้ว

“โอปป้า! มากันได้ยังไงคะ ยกกันมาทั้งวง ขนพระเอกมาแบบสิบซีรีส์ โอ๊ย! ติ่งสลบ”

โบ้เจอฤทธิ์หมอกเข้าไปคนแรกเลยดีดดิ้นเป็นภาษาไทย เจ้รีบใช้พลังปราณขับพิษออกจากร่าง แล้วบอกให้หยางเจี้ยนทำตาม

“โอปป้าบ้านแกสิ นั่นมันต้นไม้ชัดๆ หมอกมันมีพิษทำให้เห็นภาพหลอน ตั้งสติหน่อย”

โบ้ได้ยินเต็มสองหู แต่ก็ไม่สนใจ ยังคงกรี๊ดกร๊าดต่อไปอย่างบ้าคลั่ง

“ทิ้งหนูไว้ที่นี่เถอะค่ะ คนสวยยอมแห้งตายคาอกโอปป้า”

“อิ real rhinoceros!” เจ้เขกกะโหลกเรียกสติ

“หือ อะไรเรลๆ เลียๆ นะคะ” โบ้ทำหน้างง ดูเหมือนความเจ็บจะทำให้รู้สึกตัวขึ้นมาบ้าง

“Real rhinoceros ก็แรดจริงๆ ไง” เจ้แปลให้

“อ๋อ! คราวหลังด่าเป็นภาษาไทยสิคะ ภาษาอังกฤษคนสวยไม่เกต”

“เอ่อ...อิแรดๆๆๆ” เจ้รัวลิ้นใส่ แล้วดึงแขนออกมาจากตรงนั้นทันที

สักพักหนึ่งทุกคนก็เจอหลุมที่ไป๋อวี้ตกลงไป มันลึกไม่ถึงคอด้วยซ้ำ แต่ไป๋อวี้ไม่มีปัญญาขึ้นมาเพราะเจอฤทธิ์หมอกพิษเล่นงาน หยางเจี้ยนจึงแนะให้เร่งขับพิษ

เมื่อรวบรวมพลังปราณเรียบร้อยแล้ว ภาพหลุมลึกน่ากลัวที่เคยเห็นก็หายไป ไป๋อวี้ยิ้มเก้อ ก่อนจะถามบางสิ่งที่ทำให้ทุกคนตื่นตระหนก

“อาเจ๊ไปไหน”

เจ้ขยับปากจะบอกว่าอยู่นี่ แต่สิ่งที่เธอคิดว่าเป็นชายเสื้อเพื่อนกลับกลายเป็นกิ่งไม้

‘อิโบ้หาย ซวยแล้วไหมล่ะ!’

-โปรดติดตามตอนต่อไป-



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 พ.ค. 2559, 00:52:56 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 พ.ค. 2559, 00:52:56 น.

จำนวนการเข้าชม : 1092





<< ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๒ หมู่บ้านคนป่า   ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๔ นกสีเงิน >>
Zephyr 12 พ.ค. 2559, 23:19:21 น.
เจ้ลากกิ่งไม้มาแต่แรกใช่ไหม
นางโบ้ควหลงวนกะโอปป้า


นักอ่านเหนียวหนึบ 12 พ.ค. 2559, 23:26:59 น.
โอ้ยยยยย หนีตามโอปป้าไปละม้างงงง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account