ลิขิตนครา มนตราบาบิโลน
ในหน้าประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์เเละโกลาหลแห่งอารยธรรมเมโสโปเตเมีย หรือตะวันออกใกล้โบราณ ณ อาณาจักรบาบิโลเนียผุดนามชนชาติหนึ่งที่ปกครองอาณาจักร พวกเขาเรียกตัวเองว่า ชาวคัชดู ขณะชาวกรีกเรียกพวกเขาว่า ชาวคาลเดียน
อาณาจักรของพวกเขายืนยงเพียง 75 ปี แต่กลับสรรค์สร้างสิ่งต่างๆ ให้โลกมากมาย
พวกเขาคือผู้สร้างสวนลอยบาบิโลน พวกเขาคือผู้บุกเบิกดาราศาสตร์ โหราศาสตร์ เเละคณิตศาสตร์ ผลงานของพวกเขาคือต้นเค้าความรุ่งเรืองแห่งอารยธรรมกรีกเเละโรมัน
ทว่าจะเป็นเช่นไร เมื่อนักบวชแห่งมหาเทพมาร์ดุคล่วงรู้ถึงชะตากรรมการล่มสลายเเห่งอาณาจักร
ทางเเก้วิธีเดียวคือ การอ้อนวอนร้องขอต่อทวยเทพประจำนครา
เเละทวยเทพก็มิได้พระทัยร้ายเกินรับฟัง ด้วยเหตุนี้บุรุษและสตรีคู่หนึ่งจึงถูกสรรค์เสกเพื่อสนองต่อคำขอนั้น
หนึ่งบุรุษ...เพชกัลดาราเมช เจ้าชายรัชทายาทแห่งอาณาจักรบาบิโลเนีย
หนึ่งสตรี...นลินนา เทวาสถิต นักศึกษามานุษยวิทยาสาวผู้ถูกส่งข้ามห้วงกาลเวลา
และนี่คือประวัติศาสตร์บทใหม่ที่ถูกถักทอ เรื่องราวของอาณาจักรโบราณอันได้ชื่อว่า เป็นมหานคราที่ใหญ่ที่สุดในโลกยุคโบราณ เเละเกือบได้เป็นเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิกรีกของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช
ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ถูกเขียนขึ้นแล้ว!
Tags: โรเเมนติก ดราม่า ย้อนเวลา ประวัติศาสตร์
ตอน: มัตติกาจารึกแผ่นที่ 4
มัตติกาจารึกแผ่นที่ ๔
ในที่สุดวันพิพากษาชะตากรรมของนครบาบิลิมก็มากรายมาถึง สุริยเทพชามาชขึ้นแย้มขอบนภา จนนภาเทพอานูต้องคลายการโอบอุ้มจันทราเทพซิน พร้อมปลดเปลื้องม่านเงาแห่งรัตติกาล
หญิงสาวจากอนาคตกาลถูกปลุกแต่เช้ามืด โดนลากไปขัดสีฉวีวรรณด้วยสบู่จากไขมันสัตว์ในอ่างดินเผาตั้งใกล้เตาผิงสำหรับต้มน้ำไว้อาบ ทั้งห้องอาบน้ำฉาบด้วยยางมะตอยกันชื้น ทางระบายน้ำตามริมห้องทำจากอิฐเจาะร่องเชื่อมกับท่อระบายดินเผาฝังลงดิน
เครื่องแต่งกายของนลินนายังคงเป็นชุดลินินพันหลวม ๆ เช่นเคย ส่วนที่เพิ่มมาคือผ้าคลุมไหล่ขนสัตว์หนานุ่มกันผิวเนื้ออ่อนบางจากความเย็นเยียบช่วงเช้า และเครื่องประดับจากหินคาร์เนเลียน แจสเปอร์ และลาพิส ลาซูรีบนตัวเรือนทองคำประดับประดาเต็มกาย ส่วนเส้นผมปล่อยยาวสยาย มีทาสสาวช่วยสางให้เรียบร้อยด้วยหวีสำริด
นลินนาเอ่ยถาม “จำเป็นต้องรีบขนาดนี้เลยเหรอนินซา?”
ทว่านักบวชสตรีเงียบงัน ไม่พูดอะไร มองดูทาสสาวจัดแจงเครื่องแต่งกายหล่อนจนเรียบร้อย ทิ้งนลินนาให้มองตามงง ๆ
สำรับถูกจัดเรียบง่ายที่สุดโดยมีเพียงขนมปังธัญพืชสามก้อน และเบียร์เย็น ๆ หนึ่งเหยือก
นินซาพาเธอไปพบนักบวชสูงสุดแห่งมหาเทพีอิชทาร์ วันนี้นักบวชสูงสุดเองก็เคร่งขรึมชอบกล อาภรณ์ขนแกะขาวสะอ้านจัดเรียบร้อย นลินนางันนิ่งสงบ ฟังคำนักบวชสูงสุด
“ไปเถิดนลินนา ถึงเวลาตัดสินชะตากรรมของเจ้าแล้ว”
หญิงสาวยืนนิ่งอั้น หัวหน้านักบวชแห่งมหาเทพีอิชทาร์เดินผ่านเธอไป รับรู้ได้ถึงรังสีหนักหน่วงเยียบเย็น
วันนี้หรือจะเป็นวันตัดสินชะตาของเธอว่า จะถูกขับไล่ หรือ พิทักษ์ปกป้อง
เจ้าชายหนุ่มทั้งสามแต่งพระองค์เสร็จโดยพร้อมเพรียง เตรียมสดับฟังคำพิพากษาชะตานครเฉกเดียวกับชาวเมืองทวาราแห่งทวยเทพทุกคน กษัตริย์อาเคอร์ดูอานาเสด็จออกจากห้องบัลลังก์ในพัสตราภรณ์สีม่วง สีแห่งกษัตริย์ พร้อมพระราชินีแทปปูติผู้ทรงสิริโฉม รั้งท้ายมาคือ สตรีผู้อ่อนเยาว์ ดวงพักตร์ประพิมพ์ประพายราชินีแทปปูติแลกษัตริย์อาเคอร์ดูอานา ทว่ามีแววสดใสเปิดเผย สตรีผู้อ่อนเยาว์นางนั้นคือ เจ้าหญิงเอนนิกิกาลดิ-นันนานั่นเอง
“วันนี้แล้วใช่ไหมเพคะ? ที่จะพิพากษาชะตาเมือง” เจ้าหญิงเอนนิกิกาลดิ-นันนาตรัสถามด้วยความสนพระทัย แววเนตรเป็นประกายระยิบระยับด้วยนาน ๆ ครั้งจักได้เสด็จออกนอกเขตพระราชฐาน เมื่อสดับถ้อยคำถาม นาโบนัสซาร์ พระเชษฐาผู้พระทัยดีที่สุดจึงตรัสตอบ
“ใช่แล้ว ‘นันนา” พระหัตถ์ขาวใหญ่ กร้านด้วยทรงจับศัสตราวุธวางลงบนเศียรส่วนไร้ศิราภรณ์ของพระขนิษฐาอย่างเอ็นดู
แต่แล้วเจ้าหญิงเอนนิกิกาลดิ-นันนาก็เป็นอันต้องสะดุ้ง เมื่อจู่ ๆ ก็ได้รับกระแสรับสั่งตำหนิ
“เงียบเถิด นันนา นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ” รับสั่งจริงจังของพระเชษฐาซามูลาเอล พาให้พระพักตร์แช่มชื่นของเจ้าหญิงเอนนิกิกาลดิ-นันนาม่อยลงทันควัน ปรกติ...หากเกิดสถานการณ์เช่นนี้จักต้องมีพระเชษฐาสักพระองค์ตรัสปลอบ ทว่าครานี้เงียบงัน กระไอกระอักกระอ่วนแผ่กำจาย
ทุกพระองค์แปรพระเนตรไปกลางโถง ณ ที่นั้น วรองค์ตระหง่านแห่งองค์รัชทายาทเพชกัลดาราเมชประทับยืนนิ่ง แววพระพักตร์ครุ่นคิดคล้ายกำลังดำริอะไรอยู่ในพระทัย
กระทั่งรู้สึกองค์ว่า พระบิดามารดา และอนุชาขนิษฐากำลังทอดพระเนตรมาก็ทรงสะดุ้งเล็กน้อย ทูลขึ้นด้วยสุรเสียงแผ่ว
“ลูกขอออกไปตรวจตราความเรียบร้อยด้านนอกก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ”
ทูลจบก็เสด็จออกทันควัน จนนายทวารต้องรีบชักหอกอันประสานขวางออกรวดเร็ว เจ้าชายนาโบนัสซาร์ทอดพระเนตรตามไปอย่างห่วงใย เข้าพระทัยทันทีว่า สาเหตุที่ทำให้พระเชษฐาเป็นเช่นนี้คือสิ่งใด หากก็ทำได้เพียงจับมอง ด้วยผู้จะปัดเป่าความกังวลนี้ได้มีเพียงทวยเทพประจำนครา
โถงชะตากรรม สถานพิพากษาชะตากรรมแห่งบาบิลิม
ภายใต้ความสลัวไสว มีเพียงแสงประทีปตามเสาจุดให้ประกายสว่าง กึ่งกลางโถงมีลักษณาการละม้ายท้องพระโรง บัลลังก์หรูหราลดหลั่นกันตามความสำคัญของเทพแต่ละองค์ นักบวชสูงสุดของแต่ละเทพเจ้าประทับบนบัลลังก์นิ่ง ดวงหน้าขึ้งสงบ กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์กรุ่นกำจายจนผู้ประสบเห็นรับรู้ได้ทันทีว่า บัดนี้ทวยเทพได้ประทับลงตามร่างของแต่ละนักบวชแล้ว
รอบโถงจัดแบ่งสัดส่วนที่นั่งตามบรรดาศักดิ์ ราชวงศ์แลนักบวชจักได้ตำแหน่งที่ดีที่สุดเสมอ รองลงมาคือขุนนางแลชาวบ้านชาวเมืองอันจักได้รับตำแหน่งดีเลวลดหลั่นกันไป ทั่วโถงเงียบกริบ พิธีกรรมดำเนินไป ท่ามกลางบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์ ทุกผู้ล้วนใจเต้นระทึก โดยเฉพาะนลินนาผู้ตกอยู่กลางสายตาจับจ้องของทุกคน
หญิงสาวกลืนน้ำลายฝืดคอ แค่กลัดกลุ้มในชะตากรรมของตนก็เกินพอแล้ว กลับต้องตกอยู่ในคลองสายตาเช่นนี้อีก นินซากุมมือหล่อนแน่น จนหญิงสาวสะดุ้ง ผินไปมอง ก็พบแววตาชวนให้อุ่นใจ แรงใจเพิ่มพูน สูดลมลึก รอฟัง เงยชะแง้หานักบวชสูงสุดแห่งมหาเทพีซึ่งบัดนี้สงบนิ่งโดยแท้ ดวงหน้าปรากฏความน่าเกรงขามเด่นชัด ขณะเดียวก็ให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ถัดไปข้าง ๆ บัลลังก์แห่งมหาเทพีอิชทาร์ มีบัลลังก์เดียวที่ประดับบนพื้นยก ชายบนบัลลังก์คือ นักบวชผู้นลินนาประสบพบคนแรกในยุคนี้ ที่แท้เขาคือนักบวชสูงสุดแห่งมหาเทพมาร์ดุคนี่เอง ทว่าแลเลยถัดไป หญิงสาวก็ถึงกับชะงักงัน...
ในประดานักบวชผู้ทำหน้าที่ร่างทรงแห่งเทพเจ้า นักบวชรูปนั้นดูจะหนุ่มที่สุด ดวงหน้านั้นละม้ายคล้ายคลึงใครบางคนที่หล่อนเคยเจอ ขณะเดียวกันประกายบางอย่างก็ให้ความรู้สึกนุ่มนวลอ่อนโยน หญิงสาวฉงนใจ เอียงลงกระซิบถามนินซา
“นินซา นั่นใครเหรอ?” จบคำ นินซาเอียงมอง แจ้งความ
“นั่นนักบวชสูงสุดแห่งเทพอีเอ หรือเอนกิ เทพเจ้าแห่งสายน้ำและปัญญา นอกจากจะเป็นนักบวช อีกอย่างที่เจ้าควรรู้คือ นักบวชรูปนั้นเป็นโอรสองค์สุดท้ายของกษัตริย์อาเคอร์ดูอานา เจ้าชายซัลมาร์เนเซอร์”
นลินนาฟังด้วยความสนใจ หัวใจเผลอเต้นแรง คล้ายระลึกถึงใครขึ้นมา แต่แล้วสรรพสิ่งในโถงชะตากรรมก็จำต้องชะงัก เมื่อการพิพากษากำลังจะเริ่มขึ้น หญิงสาวจากอนาคตกาลดวงใจแทบหยุดเต้น
โอ พระแม่ปารวตี ช่วยลูกด้วยเถิด
ลำดับของพิธีดำเนินไปด้วยการสนทนาของทวยเทพในโถงชะตากรรม เริ่มต้นจากมหาเทพมารดุคตรัสถามเทพอีเอ เทพเจ้าแห่งปัญญาเพื่อขอคำแนะนำ โดยเทพอีเอจักประทานคำแนะนำด้วยสุรเสียงแลดวงเนตรสะลึมสะลือ ส่วนมหาเทพีอิชทาร์ แม้จักตรัสนาน ๆ ครั้ง กระนั้นก็ทรงอำนาจจนเทพบุรุษทุกพระองค์ต้องหยุดฟัง
การพิพากษาความอุดมสมบูรณ์พายผ่านไป นักบวชอาลักษณ์รีบจาร แลถ่ายทอดคำพิพากษาว่า นครบาบิลิมศกนี้จักอุดมสมบูรณ์ด้วยข้าวปลาธัญญาหาร สายน้ำไหลระเรื่อยไม่ขาดสาย ฝนตกโปรยปราย มีกินมีใช้ตลอดทั้งปี
คำพิพากษานั้น ทำให้เกษตรกรแลกสิกรล้วนโล่งใจ มีแรงกายแรงใจเตรียมไถหว่านในวันมะรืนทันที ทว่าสำหรับเหล่าชนชั้นสูงแล้วมีอีกคำทำนายหนึ่งให้ต้องปริวิตก
“มหาเทพอีเอ ท่านคิดว่า ชะตากรรมแห่งบาบิลิมศกนี้จักเป็นเช่นไร?”
เพียงมหาเทพมาร์ดุคตรัสถาม สรรพเสียงก็เงียบสงัด นลินนาหัวใจแทบหยุดเต้น ไม่ผิดกับอีกพระองค์ที่จ้องเขม็งไปกลางแท่นพิพากษา เจ้าชายเพชกัลดาราเมชสดับฟังด้วยพระหทัยจดจ่อ จนพระอนุชานาโบนัสซาร์ทอดพระเนตรตามด้วยความกังวลปนอาทร
“ชะตากรรมแห่งบาบิลิมนั้นได้ดำเนินมาถึงจุดแยกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
รับสั่งของเทพอีเอพาให้ทุกผู้ตกตะลึง
“หากดำเนินไปในทางที่ดี มหาอาณาจักรจักรุ่งโรจน์ไม่พ่ายแพ้สมัยของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ทว่า...” กระแสรับสั่งขาดช่วง “หากดำเนินไปในทางร้าย ความพินาศย่อมมาเยือน”
รับสั่งนั้น ทำให้ทั่วโถงประหวั่นพรั่นพรึง
“ทว่าก็ยังพอมีทางแก้...” เทพอีเอรับสั่งพลางประทับยืน ดำเนินมายังส่วนที่นักบวชพากันนั่งอยู่ จนนักบวชทุกรูปมองหน้ากันเลิ่กลั่ก บนใบหน้าบุรุษหนุ่มรูปงาม รอยแย้มสรวลของเทพแห่งปัญญาช่างนุ่มนวล อ่อนโยน
นลินนาจับจ้องบุรุษตรงหน้าอย่างตกตะลึง คล้ายตกในภวังค์ เสียงแบบนี้ ประกายอ่อนโยนเช่นนี้คือสิ่งที่หล่อนเผชิญขณะตกอยู่ใต้กระแสวารีอันมืดมนอนธการ
หัตถ์ของร่างทรงเทพแห่งปัญญายื่นผายมาเบื้องหน้า
“นางจักเป็นกุญแจไขสู่ทางแก้ของชาวบาบิลิม”
ประกายเนตรลุ่มลึกอ่อนโยนทอดต่ำลงมา นลินนาตระหนักแน่ว่า สายตานั้นสอดส่องมายังเธอ หล่อนเผลอลุกยืนโดยไม่รู้ตัว ปรากฏกายต่อหน้าสาธารณชน
“นางคือสตรีผู้ถือกำเนิดจากโลหิตแห่งมหาเทพีอิชทาร์ ด้วยศรัทธาแลคำขออันแน่วแน่ของนักบวชแห่งมหาเทพผู้เกรียงไกร นางคือพรแห่งสรวงสวรรค์ และนางคือศัสตราวุธอันศักดิ์สิทธิ์แห่งสวรรคาลัย นางคือผู้กุมชะตากรรมแห่งบาบิลิม”
เกิดกระแสเสียงเป็นคลื่นระลอกกังวาน ใต้บรรยากาศขรึมขลังศักดิ์สิทธิ์ ใต้เปลวประทีปประกายสว่าง นลินนาตะลึงงันกับคำพิพากษาที่ได้รับ กังวลกังขา
เหตุใดตัวตนหล่อนจึงยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น
เสียงโห่ร้องยินดีสรรเสริญกึกก้อง ชาวเมืองมองหล่อนประหนึ่งเทพีจากสรวงสวรรค์ ขณะนินซาน้ำตาไหลพรากด้วยความยินดี พยายามสะกดกลั้นอาการสะอื้นสั่นสะเทิ้มของตน
หญิงสาวยังคงจดสายตาอยู่ในแววจักษุลุ่มลึกของเทพอีเอ อบอุ่น อ่อนโยน ไม่ได้สว่างไสว แต่เป็นความลุ่มลึกอ่อนโยนแห่งสายนที
เจ้าชายเพชกัลดาราเมชทอดพระเนตรสตรีผู้ยืนสง่าอยู่กลางกระแสชนด้วยความโล่งพระทัย อาการทอดถอนพระปัสสาสะ แลสีพระพักตร์แห่งความปีติ พาให้พระอนุชาอย่างเจ้าชายซามูลาเอลทอดพระเนตรด้วยความพิศวง
“ดีจริง ๆ นะพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพี่ราเมช” เจ้าชายนาโบนัสซาร์หันมาตรัสกับพระเชษฐา ผู้ยังคงจดจ้องสตรีผู้เป็นศัสตราแห่งสรวงสวรรค์
“ใช่ นัสซาร์...ดีมากจริง ๆ ”
เจ้าหญิงเอนกิกาลดิ-นันนาสดับฟังสองพระเชษฐาด้วยความงุนงง รับรู้เพียงทรงถูกชะตากับสตรีนางนั้น แล้วจึงหันไปทูลกระซิบกับพระมารดา จนวงพักตร์สิริโฉมบังเกิดรอยแย้มสรวลอ่อนโยน กษัตริย์อาเคอร์ดูอานาผู้ทรงนิ่งสดับตรับฟังมานาน จึงได้โอกาสเผยพระโอษฐ์
“ถ้าเช่นนั้นเรื่องนี้ก็ปล่อยให้วิหารแห่งเทพีอิชทาร์จัดการ” รอยแย้มสรวลบนริมพระโอษฐ์หนาคล้ำบังเกิดความพึงพระทัย “พ่อเชื่อว่า บาบิลิมจักต้องไม่ล่มสลาย”
สิ้นรับสั่งแห่งกษัตริย์อาเคอร์ดูอานา สำเนียงศักดิ์สิทธิ์แห่งดนตรีพิธีกรรมพลันบรรเลง ชาวเมืองสวดมนตร์สรรเสริญทวยเทพแห่งนครา ออกร่ายรำกันด้วยท่วงท่าแลทำนองสูงส่ง เพื่อส่งสารแด่ทวยเทวัญ
กลางอึกทึกอึงอล นลินนาฝ่าสายตาลอดกระแสวุ่นวายออกไป ณ ที่ประทับแห่งราชวงศ์ บุรุษผู้หนึ่งกำลังจับจ้องมาไม่วางตา หน่วยตาคมสีสนิมคู่นั้นจดจ้องมาทางหล่อน
คล้ายโลกาหยุดหมุน และนลินนารู้สึกว่า หล่อนคือศูนย์กลางแห่งจักรวาล
คล้ายที่มารดาเคยกล่าวให้ฟัง คราหล่อนสงสัยเรื่องความรักในวัยเยาว์
‘แม่คะ เราจะรู้ได้ไงว่า คน ๆ นั้น รักเราจริง ๆ ?’ ดวงตาโต ๆ สีน้ำตาลเข้มจ้องถามคาดคั้น
ดวงตาดำคมโตอ่อนโยนจึงทอดต่ำลงมา กลีบปากนุ่มนวลคลี่แย้มละมุนละไม
‘เมื่อลูกมองลงไปในตาเขา แล้วลูกรู้สึกว่า ตัวเองราวกับเป็นศูนย์กลางแห่งจักรวาล ผู้ชายคนนั้นแหละคือคนที่รักลูกโดยแท้จริง’
คำของมารดาผุดพราย ดวงหน้าซีดขาวเพราะความตระหนกงงงันเป็นอันต้องแดงระเรื่อ ใจเต้นโครมคราม พยายามสะกดกลั้นความเขินอายที่มี ทว่าใจดวงน้อยกลับไม่สงบนิ่งลงเลย เพียงพริบตาเดียวเธอก็รู้สึกว่า เธอเป็นศูนย์กลางจักรวาลของบุรุษผู้นั้นเสียแล้ว
บัดนี้วิหารแห่งมหาเทพีอิชทาร์ถูกปกคลุมไปด้วยกระแสแห่งความปีติยินดี นลินนาถูกประดานักบวชสตรีกลุ้มรุม ทุกนางแสดงความยินดีมิปิดบัง ทุกสายตาเปี่ยมแววรัก แลเทิดทูนบูชา สำหรับพวกนางตอนนี้หล่อนมิใช่มนุษย์เดินดิน หากคือเทพีจำแลง เป็นเทพธิดาจากสรวงสวรรค์ นักบวชสตรีบางรูปหลังได้ยินคำพิพากษาถึงกับถวายการคารวะลงอย่างต่ำ
นลินนาชะงักเก้กัง ไม่รู้จะทำเช่นไรดี เพราะสำหรับเธอ...ศักดิ์นี้สูงส่งเกินไป คือความยิ่งใหญ่ที่มนุษย์ธรรมดายากแม้อาจเอื้อม ราวกับมนุษย์ผู้หมายมาดครอบครองดวงตะวัน
นินซาที่ตามหลังมายังคงพยายามสะกดกลั้นหยาดน้ำแห่งความปีติ ดวงหน้าขรึมขึ้งค่อยกระจ่างใส แม้ไม่ได้โผกอด กระนั้นนลินนาก็ยังรับรู้ได้ถึงความรักของสตรีผู้เป็นทั้งครู ทั้งพี่สาว และเป็นกระทั่งสหาย
ระหว่างถูกลากไปลากมา นลินนาก็ถูกนักบวชสูงสุดแห่งมหาเทพีตามตัว
ในห้องบูชาลึกสุดอันน้อยผู้จะได้เหยียบย่างเข้าไป นักบวชสูงสุดแห่งมหาเทพีกลับมาเป็นนายหญิงผู้สูงศักดิ์เปี่ยมเมตตาคนเดิม หากยังคงหลงเหลือละอองแห่งเทพปกคลุม นินซาก้าวตามมาในฐานะพี่เลี้ยง ไร้ซึ่งอาการสะอื้นไห้
นลินนาเงยมองด้วยความสงสัย ทว่าพลันเผชิญดวงหน้าสงบนิ่ง คำพูดในห้วงคะนึงกลับเหือดหาย
“โชคดีจริง ๆ นะ นลินนา” คำแสดงความยินดีของนักบวชสูงสุดแห่งอิชทาร์ ทำให้หล่อนปลาบปลื้มยิ่งกว่าสิ่งใด ขานรับโดยเร็ว
“ค่ะ!”
“ถ้าเช่นนั้นก็คงถึงเวลาแล้ว”
สิ้นคำ นินซาก็ผลุบหายไปมุมหนึ่ง หยิบอาภรณ์สำหรับนักบวชออกมา
นลินนารู้ทันทีว่า สิ่งใดจะเกิดขึ้นเป็นลำดับถัดไป
“แม้จะให้เจ้าอยู่ที่นี่ในฐานะเจ้าหน้าที่ได้ กระนั้นข้าก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น” นักบวชสูงสุดแห่งมหาเทพีรับถาดบรรจุอาภรณ์แลหมวกทรงสูงสำหรับนักบวชมา โดยหนึ่งในสิ่งที่นักบวชทุกรูปต้องได้รับไม่ว่าบุรุษหรือสตรีคือ มีดโกนโลหะสำหรับกำจัดขนทุกส่วนของร่างกาย เนื่องด้วยนักบวชคือผู้ใกล้ชิดเทพเจ้าที่สุด และการไร้ขนคือสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์
นลินนาเผลอจับแพรผมตนทันควัน ใจหายวาบ อดเสียดายไม่ได้ว่า ผมอันอุตส่าห์บำรุงถนอมไว้หลายปีจะต้องโกนจนโล้นเลี่ยน มือสองข้างที่ต้องยื่นออกไปรับอาภรณ์สั่นเทา
ทว่าราวร่างทรงศักดิ์สิทธิ์ทราบถึงความกังวล “เจ้าไม่ต้องกลัวหรอกว่า จะต้องโกนผมเหมือนนักบวชรูปอื่น”
นินซาหยิบมีดโกนโลหะออกจากถาด
“เจ้าไม่เหมือนนักบวชรูปอื่น เจ้าถือกำเนิดจากโลหิตแห่งมหาเทพี เพราะฉะนั้น ร่างกายของเจ้าบริสุทธิ์ มิจำเป็นต้องปลงผมหรือขนใด ๆ ”
สตรีผู้ถือกำเนิดจากโลหิตแห่งมหาเทพีค่อยโล่งใจ แย้มกว้าง ยื่นมือรับถาดทอง ไม่นึกฝันว่า ตนจะได้เป็นนักบวชเช่นเดียวกับนินซา เช่นเดียวกับนักบวชสูงสุด และเช่นเดียวกับทุกคนที่หล่อนอยู่ร่วมชายคา
“นลินนา บัดนี้เจ้าคือ พวกเดียวกับเรา เจ้าคือนักบวชแห่งมหาเทพี เจ้าคือศัสตราวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งสรวงสวรรค์”
ดวงตาคู่นั้นให้ความรู้สึกอ่อนโยน จนตัวตนที่คิดว่ายิ่งใหญ่ถูกยอมรับอย่างง่ายดาย
“และมีอีกสิ่งหนึ่งที่เจ้าควรได้รับ”
นินซาพยักหน้ารับคำสั่ง ไปยกอ่างสำริดบนแท่นมา
นลินนารับอ่างใบใหญ่มาไว้ในอ้อมแขนอย่างงุนงง ไม่เข้าใจว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่หล่อนควรได้รับอย่างไร หากไม่ทันได้คิด...
นักบวชสูงสุดแห่งมหาเทพี และนินซาก็ยอบกายถวายความเคารพแด่เธอ
หญิงสาวสะดุ้งผงะเกือบเซ เพียงครู่ร่างทั้งสองก็ยืดขึ้น
“คงยากเกินไปสำหรับเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนเดียว” นักบวชสูงสุดแห่งอิชทาร์เอื้อนเอ่ยวาจา “แต่ข้าคงต้องขอบอกว่า ฝากชะตากรรมแห่งบาบิลิมไว้ในมือเจ้าด้วย แม้ฟังดูเป็นการเห็นแก่ตัว แต่ข้าก็เช่นเดียวกับชาวคัชดูคนอื่น ๆ ที่ไม่อยากให้มหานคราแห่งนี้สูญสิ้นไป ในฐานะตัวแทนแห่งชาวคัชดู ข้าอยากบอกว่า ชีวิตของชาวคัชดูกว่าสองแสนคนอยู่ในกำมือของเจ้า”
นลินนาสดับฟังด้วยความสลดใจ ตอนอ่านประวัติศาสตร์การสูญสิ้นของบาบิโลนมันดูเป็นเรื่องเล็กน้อยนักสำหรับคนยุคปัจจุบันอย่างนลินนา มันไม่ได้น่าใจหายเท่ากับตอนอียิปต์โบราณตกเป็นแคว้นหนึ่งของโรมัน แต่เมื่อมายืนอยู่ ณ จุด ๆ นี้ นลินนาจึงเข้าใจว่า ชาวคัชดูทุกผู้มีชีวิต การสูญสิ้นของนคราแห่งนี้คือการสูญสิ้นของชาวเมืองกว่าสองแสนคน มหานคราอันได้ชื่อว่ายิ่งใหญ่มั่งคั่งที่สุดแห่งยุคต้องกลายเป็นเพียงซากปรักหักพัง และจมอยู่ใต้กองดินกว่าสามพันปี
น้ำตาหล่อนเอ่อรื้น เป็นความรู้สึกเดียวกับการเสียน้ำตาในครั้งรับรู้ว่า สยามต้องสูญเสียดินแดนไปเท่าใดเพื่อเอกราชในทุกวันนี้
ไร้ซึ่งคำพูด เพราะความรู้สึกทั้งหมดอัดแน่นจนยากอธิบาย เธอทำได้เพียงน้อมศีรษะลง รับความหวังจากใจทุกดวงของชาวเมืองบาบิลิม
ภาพทุกอย่างเกิดขึ้น โดยนักบวชสตรีทั้งสามไม่ทราบเลยว่า กำลังตกอยู่ในคลองพระเนตรของมหาเทพี รอยแย้มสรวลอันเจิดจ้า ขณะเดียวกันก็นุ่มนวลค่อยแผ่ออกมา
ประวัติศาสตร์บทใหม่แห่งบาบิลิมกำลังถูกเขียนขึ้นแล้ว
********************************************************************************************
อัพตอนใหม่แล้วนะคะ เรื่องนี้ไม่รู้ทำสำนวนภาษาได้ดีหรือเปล่า เพราะเนื้อหาเริ่มเยอะแล้ว ต่อจากนี้คงหนักหน่วงขึ้นตามลำดับ เเต่ยังไงก็เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ เป็นอีกตอนที่แต่งแล้วรู้สึกอินมากๆ
ส่วนนี่เป็นลิงก์ของเพจเรานะคะ ถึงอย่างไรก็เข้าไปกดไลค์ กดติดตาม รับข่าวสารได้เลย จะมีมาบ่น ๆ กับนำเกร็ดประวัติศาสตร์มาฝาก ถึงอย่างไรก็ขอขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ ทีเเรกกลัวมากๆ ว่าจะไม่มีคนอ่าน เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยสนใจประวัติศาสตร์ของบาบิโลนเท่าไร เเต่ผลตอบรับชื่นใจเกินคาดเลยค่ะ ขอบคุณค่ะ
https://www.facebook.com/GrumweekR-ise-Sonne-Set-weret-472184492947166/
ในที่สุดวันพิพากษาชะตากรรมของนครบาบิลิมก็มากรายมาถึง สุริยเทพชามาชขึ้นแย้มขอบนภา จนนภาเทพอานูต้องคลายการโอบอุ้มจันทราเทพซิน พร้อมปลดเปลื้องม่านเงาแห่งรัตติกาล
หญิงสาวจากอนาคตกาลถูกปลุกแต่เช้ามืด โดนลากไปขัดสีฉวีวรรณด้วยสบู่จากไขมันสัตว์ในอ่างดินเผาตั้งใกล้เตาผิงสำหรับต้มน้ำไว้อาบ ทั้งห้องอาบน้ำฉาบด้วยยางมะตอยกันชื้น ทางระบายน้ำตามริมห้องทำจากอิฐเจาะร่องเชื่อมกับท่อระบายดินเผาฝังลงดิน
เครื่องแต่งกายของนลินนายังคงเป็นชุดลินินพันหลวม ๆ เช่นเคย ส่วนที่เพิ่มมาคือผ้าคลุมไหล่ขนสัตว์หนานุ่มกันผิวเนื้ออ่อนบางจากความเย็นเยียบช่วงเช้า และเครื่องประดับจากหินคาร์เนเลียน แจสเปอร์ และลาพิส ลาซูรีบนตัวเรือนทองคำประดับประดาเต็มกาย ส่วนเส้นผมปล่อยยาวสยาย มีทาสสาวช่วยสางให้เรียบร้อยด้วยหวีสำริด
นลินนาเอ่ยถาม “จำเป็นต้องรีบขนาดนี้เลยเหรอนินซา?”
ทว่านักบวชสตรีเงียบงัน ไม่พูดอะไร มองดูทาสสาวจัดแจงเครื่องแต่งกายหล่อนจนเรียบร้อย ทิ้งนลินนาให้มองตามงง ๆ
สำรับถูกจัดเรียบง่ายที่สุดโดยมีเพียงขนมปังธัญพืชสามก้อน และเบียร์เย็น ๆ หนึ่งเหยือก
นินซาพาเธอไปพบนักบวชสูงสุดแห่งมหาเทพีอิชทาร์ วันนี้นักบวชสูงสุดเองก็เคร่งขรึมชอบกล อาภรณ์ขนแกะขาวสะอ้านจัดเรียบร้อย นลินนางันนิ่งสงบ ฟังคำนักบวชสูงสุด
“ไปเถิดนลินนา ถึงเวลาตัดสินชะตากรรมของเจ้าแล้ว”
หญิงสาวยืนนิ่งอั้น หัวหน้านักบวชแห่งมหาเทพีอิชทาร์เดินผ่านเธอไป รับรู้ได้ถึงรังสีหนักหน่วงเยียบเย็น
วันนี้หรือจะเป็นวันตัดสินชะตาของเธอว่า จะถูกขับไล่ หรือ พิทักษ์ปกป้อง
เจ้าชายหนุ่มทั้งสามแต่งพระองค์เสร็จโดยพร้อมเพรียง เตรียมสดับฟังคำพิพากษาชะตานครเฉกเดียวกับชาวเมืองทวาราแห่งทวยเทพทุกคน กษัตริย์อาเคอร์ดูอานาเสด็จออกจากห้องบัลลังก์ในพัสตราภรณ์สีม่วง สีแห่งกษัตริย์ พร้อมพระราชินีแทปปูติผู้ทรงสิริโฉม รั้งท้ายมาคือ สตรีผู้อ่อนเยาว์ ดวงพักตร์ประพิมพ์ประพายราชินีแทปปูติแลกษัตริย์อาเคอร์ดูอานา ทว่ามีแววสดใสเปิดเผย สตรีผู้อ่อนเยาว์นางนั้นคือ เจ้าหญิงเอนนิกิกาลดิ-นันนานั่นเอง
“วันนี้แล้วใช่ไหมเพคะ? ที่จะพิพากษาชะตาเมือง” เจ้าหญิงเอนนิกิกาลดิ-นันนาตรัสถามด้วยความสนพระทัย แววเนตรเป็นประกายระยิบระยับด้วยนาน ๆ ครั้งจักได้เสด็จออกนอกเขตพระราชฐาน เมื่อสดับถ้อยคำถาม นาโบนัสซาร์ พระเชษฐาผู้พระทัยดีที่สุดจึงตรัสตอบ
“ใช่แล้ว ‘นันนา” พระหัตถ์ขาวใหญ่ กร้านด้วยทรงจับศัสตราวุธวางลงบนเศียรส่วนไร้ศิราภรณ์ของพระขนิษฐาอย่างเอ็นดู
แต่แล้วเจ้าหญิงเอนนิกิกาลดิ-นันนาก็เป็นอันต้องสะดุ้ง เมื่อจู่ ๆ ก็ได้รับกระแสรับสั่งตำหนิ
“เงียบเถิด นันนา นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ” รับสั่งจริงจังของพระเชษฐาซามูลาเอล พาให้พระพักตร์แช่มชื่นของเจ้าหญิงเอนนิกิกาลดิ-นันนาม่อยลงทันควัน ปรกติ...หากเกิดสถานการณ์เช่นนี้จักต้องมีพระเชษฐาสักพระองค์ตรัสปลอบ ทว่าครานี้เงียบงัน กระไอกระอักกระอ่วนแผ่กำจาย
ทุกพระองค์แปรพระเนตรไปกลางโถง ณ ที่นั้น วรองค์ตระหง่านแห่งองค์รัชทายาทเพชกัลดาราเมชประทับยืนนิ่ง แววพระพักตร์ครุ่นคิดคล้ายกำลังดำริอะไรอยู่ในพระทัย
กระทั่งรู้สึกองค์ว่า พระบิดามารดา และอนุชาขนิษฐากำลังทอดพระเนตรมาก็ทรงสะดุ้งเล็กน้อย ทูลขึ้นด้วยสุรเสียงแผ่ว
“ลูกขอออกไปตรวจตราความเรียบร้อยด้านนอกก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ”
ทูลจบก็เสด็จออกทันควัน จนนายทวารต้องรีบชักหอกอันประสานขวางออกรวดเร็ว เจ้าชายนาโบนัสซาร์ทอดพระเนตรตามไปอย่างห่วงใย เข้าพระทัยทันทีว่า สาเหตุที่ทำให้พระเชษฐาเป็นเช่นนี้คือสิ่งใด หากก็ทำได้เพียงจับมอง ด้วยผู้จะปัดเป่าความกังวลนี้ได้มีเพียงทวยเทพประจำนครา
โถงชะตากรรม สถานพิพากษาชะตากรรมแห่งบาบิลิม
ภายใต้ความสลัวไสว มีเพียงแสงประทีปตามเสาจุดให้ประกายสว่าง กึ่งกลางโถงมีลักษณาการละม้ายท้องพระโรง บัลลังก์หรูหราลดหลั่นกันตามความสำคัญของเทพแต่ละองค์ นักบวชสูงสุดของแต่ละเทพเจ้าประทับบนบัลลังก์นิ่ง ดวงหน้าขึ้งสงบ กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์กรุ่นกำจายจนผู้ประสบเห็นรับรู้ได้ทันทีว่า บัดนี้ทวยเทพได้ประทับลงตามร่างของแต่ละนักบวชแล้ว
รอบโถงจัดแบ่งสัดส่วนที่นั่งตามบรรดาศักดิ์ ราชวงศ์แลนักบวชจักได้ตำแหน่งที่ดีที่สุดเสมอ รองลงมาคือขุนนางแลชาวบ้านชาวเมืองอันจักได้รับตำแหน่งดีเลวลดหลั่นกันไป ทั่วโถงเงียบกริบ พิธีกรรมดำเนินไป ท่ามกลางบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์ ทุกผู้ล้วนใจเต้นระทึก โดยเฉพาะนลินนาผู้ตกอยู่กลางสายตาจับจ้องของทุกคน
หญิงสาวกลืนน้ำลายฝืดคอ แค่กลัดกลุ้มในชะตากรรมของตนก็เกินพอแล้ว กลับต้องตกอยู่ในคลองสายตาเช่นนี้อีก นินซากุมมือหล่อนแน่น จนหญิงสาวสะดุ้ง ผินไปมอง ก็พบแววตาชวนให้อุ่นใจ แรงใจเพิ่มพูน สูดลมลึก รอฟัง เงยชะแง้หานักบวชสูงสุดแห่งมหาเทพีซึ่งบัดนี้สงบนิ่งโดยแท้ ดวงหน้าปรากฏความน่าเกรงขามเด่นชัด ขณะเดียวก็ให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ถัดไปข้าง ๆ บัลลังก์แห่งมหาเทพีอิชทาร์ มีบัลลังก์เดียวที่ประดับบนพื้นยก ชายบนบัลลังก์คือ นักบวชผู้นลินนาประสบพบคนแรกในยุคนี้ ที่แท้เขาคือนักบวชสูงสุดแห่งมหาเทพมาร์ดุคนี่เอง ทว่าแลเลยถัดไป หญิงสาวก็ถึงกับชะงักงัน...
ในประดานักบวชผู้ทำหน้าที่ร่างทรงแห่งเทพเจ้า นักบวชรูปนั้นดูจะหนุ่มที่สุด ดวงหน้านั้นละม้ายคล้ายคลึงใครบางคนที่หล่อนเคยเจอ ขณะเดียวกันประกายบางอย่างก็ให้ความรู้สึกนุ่มนวลอ่อนโยน หญิงสาวฉงนใจ เอียงลงกระซิบถามนินซา
“นินซา นั่นใครเหรอ?” จบคำ นินซาเอียงมอง แจ้งความ
“นั่นนักบวชสูงสุดแห่งเทพอีเอ หรือเอนกิ เทพเจ้าแห่งสายน้ำและปัญญา นอกจากจะเป็นนักบวช อีกอย่างที่เจ้าควรรู้คือ นักบวชรูปนั้นเป็นโอรสองค์สุดท้ายของกษัตริย์อาเคอร์ดูอานา เจ้าชายซัลมาร์เนเซอร์”
นลินนาฟังด้วยความสนใจ หัวใจเผลอเต้นแรง คล้ายระลึกถึงใครขึ้นมา แต่แล้วสรรพสิ่งในโถงชะตากรรมก็จำต้องชะงัก เมื่อการพิพากษากำลังจะเริ่มขึ้น หญิงสาวจากอนาคตกาลดวงใจแทบหยุดเต้น
โอ พระแม่ปารวตี ช่วยลูกด้วยเถิด
ลำดับของพิธีดำเนินไปด้วยการสนทนาของทวยเทพในโถงชะตากรรม เริ่มต้นจากมหาเทพมารดุคตรัสถามเทพอีเอ เทพเจ้าแห่งปัญญาเพื่อขอคำแนะนำ โดยเทพอีเอจักประทานคำแนะนำด้วยสุรเสียงแลดวงเนตรสะลึมสะลือ ส่วนมหาเทพีอิชทาร์ แม้จักตรัสนาน ๆ ครั้ง กระนั้นก็ทรงอำนาจจนเทพบุรุษทุกพระองค์ต้องหยุดฟัง
การพิพากษาความอุดมสมบูรณ์พายผ่านไป นักบวชอาลักษณ์รีบจาร แลถ่ายทอดคำพิพากษาว่า นครบาบิลิมศกนี้จักอุดมสมบูรณ์ด้วยข้าวปลาธัญญาหาร สายน้ำไหลระเรื่อยไม่ขาดสาย ฝนตกโปรยปราย มีกินมีใช้ตลอดทั้งปี
คำพิพากษานั้น ทำให้เกษตรกรแลกสิกรล้วนโล่งใจ มีแรงกายแรงใจเตรียมไถหว่านในวันมะรืนทันที ทว่าสำหรับเหล่าชนชั้นสูงแล้วมีอีกคำทำนายหนึ่งให้ต้องปริวิตก
“มหาเทพอีเอ ท่านคิดว่า ชะตากรรมแห่งบาบิลิมศกนี้จักเป็นเช่นไร?”
เพียงมหาเทพมาร์ดุคตรัสถาม สรรพเสียงก็เงียบสงัด นลินนาหัวใจแทบหยุดเต้น ไม่ผิดกับอีกพระองค์ที่จ้องเขม็งไปกลางแท่นพิพากษา เจ้าชายเพชกัลดาราเมชสดับฟังด้วยพระหทัยจดจ่อ จนพระอนุชานาโบนัสซาร์ทอดพระเนตรตามด้วยความกังวลปนอาทร
“ชะตากรรมแห่งบาบิลิมนั้นได้ดำเนินมาถึงจุดแยกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
รับสั่งของเทพอีเอพาให้ทุกผู้ตกตะลึง
“หากดำเนินไปในทางที่ดี มหาอาณาจักรจักรุ่งโรจน์ไม่พ่ายแพ้สมัยของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ทว่า...” กระแสรับสั่งขาดช่วง “หากดำเนินไปในทางร้าย ความพินาศย่อมมาเยือน”
รับสั่งนั้น ทำให้ทั่วโถงประหวั่นพรั่นพรึง
“ทว่าก็ยังพอมีทางแก้...” เทพอีเอรับสั่งพลางประทับยืน ดำเนินมายังส่วนที่นักบวชพากันนั่งอยู่ จนนักบวชทุกรูปมองหน้ากันเลิ่กลั่ก บนใบหน้าบุรุษหนุ่มรูปงาม รอยแย้มสรวลของเทพแห่งปัญญาช่างนุ่มนวล อ่อนโยน
นลินนาจับจ้องบุรุษตรงหน้าอย่างตกตะลึง คล้ายตกในภวังค์ เสียงแบบนี้ ประกายอ่อนโยนเช่นนี้คือสิ่งที่หล่อนเผชิญขณะตกอยู่ใต้กระแสวารีอันมืดมนอนธการ
หัตถ์ของร่างทรงเทพแห่งปัญญายื่นผายมาเบื้องหน้า
“นางจักเป็นกุญแจไขสู่ทางแก้ของชาวบาบิลิม”
ประกายเนตรลุ่มลึกอ่อนโยนทอดต่ำลงมา นลินนาตระหนักแน่ว่า สายตานั้นสอดส่องมายังเธอ หล่อนเผลอลุกยืนโดยไม่รู้ตัว ปรากฏกายต่อหน้าสาธารณชน
“นางคือสตรีผู้ถือกำเนิดจากโลหิตแห่งมหาเทพีอิชทาร์ ด้วยศรัทธาแลคำขออันแน่วแน่ของนักบวชแห่งมหาเทพผู้เกรียงไกร นางคือพรแห่งสรวงสวรรค์ และนางคือศัสตราวุธอันศักดิ์สิทธิ์แห่งสวรรคาลัย นางคือผู้กุมชะตากรรมแห่งบาบิลิม”
เกิดกระแสเสียงเป็นคลื่นระลอกกังวาน ใต้บรรยากาศขรึมขลังศักดิ์สิทธิ์ ใต้เปลวประทีปประกายสว่าง นลินนาตะลึงงันกับคำพิพากษาที่ได้รับ กังวลกังขา
เหตุใดตัวตนหล่อนจึงยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น
เสียงโห่ร้องยินดีสรรเสริญกึกก้อง ชาวเมืองมองหล่อนประหนึ่งเทพีจากสรวงสวรรค์ ขณะนินซาน้ำตาไหลพรากด้วยความยินดี พยายามสะกดกลั้นอาการสะอื้นสั่นสะเทิ้มของตน
หญิงสาวยังคงจดสายตาอยู่ในแววจักษุลุ่มลึกของเทพอีเอ อบอุ่น อ่อนโยน ไม่ได้สว่างไสว แต่เป็นความลุ่มลึกอ่อนโยนแห่งสายนที
เจ้าชายเพชกัลดาราเมชทอดพระเนตรสตรีผู้ยืนสง่าอยู่กลางกระแสชนด้วยความโล่งพระทัย อาการทอดถอนพระปัสสาสะ แลสีพระพักตร์แห่งความปีติ พาให้พระอนุชาอย่างเจ้าชายซามูลาเอลทอดพระเนตรด้วยความพิศวง
“ดีจริง ๆ นะพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพี่ราเมช” เจ้าชายนาโบนัสซาร์หันมาตรัสกับพระเชษฐา ผู้ยังคงจดจ้องสตรีผู้เป็นศัสตราแห่งสรวงสวรรค์
“ใช่ นัสซาร์...ดีมากจริง ๆ ”
เจ้าหญิงเอนกิกาลดิ-นันนาสดับฟังสองพระเชษฐาด้วยความงุนงง รับรู้เพียงทรงถูกชะตากับสตรีนางนั้น แล้วจึงหันไปทูลกระซิบกับพระมารดา จนวงพักตร์สิริโฉมบังเกิดรอยแย้มสรวลอ่อนโยน กษัตริย์อาเคอร์ดูอานาผู้ทรงนิ่งสดับตรับฟังมานาน จึงได้โอกาสเผยพระโอษฐ์
“ถ้าเช่นนั้นเรื่องนี้ก็ปล่อยให้วิหารแห่งเทพีอิชทาร์จัดการ” รอยแย้มสรวลบนริมพระโอษฐ์หนาคล้ำบังเกิดความพึงพระทัย “พ่อเชื่อว่า บาบิลิมจักต้องไม่ล่มสลาย”
สิ้นรับสั่งแห่งกษัตริย์อาเคอร์ดูอานา สำเนียงศักดิ์สิทธิ์แห่งดนตรีพิธีกรรมพลันบรรเลง ชาวเมืองสวดมนตร์สรรเสริญทวยเทพแห่งนครา ออกร่ายรำกันด้วยท่วงท่าแลทำนองสูงส่ง เพื่อส่งสารแด่ทวยเทวัญ
กลางอึกทึกอึงอล นลินนาฝ่าสายตาลอดกระแสวุ่นวายออกไป ณ ที่ประทับแห่งราชวงศ์ บุรุษผู้หนึ่งกำลังจับจ้องมาไม่วางตา หน่วยตาคมสีสนิมคู่นั้นจดจ้องมาทางหล่อน
คล้ายโลกาหยุดหมุน และนลินนารู้สึกว่า หล่อนคือศูนย์กลางแห่งจักรวาล
คล้ายที่มารดาเคยกล่าวให้ฟัง คราหล่อนสงสัยเรื่องความรักในวัยเยาว์
‘แม่คะ เราจะรู้ได้ไงว่า คน ๆ นั้น รักเราจริง ๆ ?’ ดวงตาโต ๆ สีน้ำตาลเข้มจ้องถามคาดคั้น
ดวงตาดำคมโตอ่อนโยนจึงทอดต่ำลงมา กลีบปากนุ่มนวลคลี่แย้มละมุนละไม
‘เมื่อลูกมองลงไปในตาเขา แล้วลูกรู้สึกว่า ตัวเองราวกับเป็นศูนย์กลางแห่งจักรวาล ผู้ชายคนนั้นแหละคือคนที่รักลูกโดยแท้จริง’
คำของมารดาผุดพราย ดวงหน้าซีดขาวเพราะความตระหนกงงงันเป็นอันต้องแดงระเรื่อ ใจเต้นโครมคราม พยายามสะกดกลั้นความเขินอายที่มี ทว่าใจดวงน้อยกลับไม่สงบนิ่งลงเลย เพียงพริบตาเดียวเธอก็รู้สึกว่า เธอเป็นศูนย์กลางจักรวาลของบุรุษผู้นั้นเสียแล้ว
บัดนี้วิหารแห่งมหาเทพีอิชทาร์ถูกปกคลุมไปด้วยกระแสแห่งความปีติยินดี นลินนาถูกประดานักบวชสตรีกลุ้มรุม ทุกนางแสดงความยินดีมิปิดบัง ทุกสายตาเปี่ยมแววรัก แลเทิดทูนบูชา สำหรับพวกนางตอนนี้หล่อนมิใช่มนุษย์เดินดิน หากคือเทพีจำแลง เป็นเทพธิดาจากสรวงสวรรค์ นักบวชสตรีบางรูปหลังได้ยินคำพิพากษาถึงกับถวายการคารวะลงอย่างต่ำ
นลินนาชะงักเก้กัง ไม่รู้จะทำเช่นไรดี เพราะสำหรับเธอ...ศักดิ์นี้สูงส่งเกินไป คือความยิ่งใหญ่ที่มนุษย์ธรรมดายากแม้อาจเอื้อม ราวกับมนุษย์ผู้หมายมาดครอบครองดวงตะวัน
นินซาที่ตามหลังมายังคงพยายามสะกดกลั้นหยาดน้ำแห่งความปีติ ดวงหน้าขรึมขึ้งค่อยกระจ่างใส แม้ไม่ได้โผกอด กระนั้นนลินนาก็ยังรับรู้ได้ถึงความรักของสตรีผู้เป็นทั้งครู ทั้งพี่สาว และเป็นกระทั่งสหาย
ระหว่างถูกลากไปลากมา นลินนาก็ถูกนักบวชสูงสุดแห่งมหาเทพีตามตัว
ในห้องบูชาลึกสุดอันน้อยผู้จะได้เหยียบย่างเข้าไป นักบวชสูงสุดแห่งมหาเทพีกลับมาเป็นนายหญิงผู้สูงศักดิ์เปี่ยมเมตตาคนเดิม หากยังคงหลงเหลือละอองแห่งเทพปกคลุม นินซาก้าวตามมาในฐานะพี่เลี้ยง ไร้ซึ่งอาการสะอื้นไห้
นลินนาเงยมองด้วยความสงสัย ทว่าพลันเผชิญดวงหน้าสงบนิ่ง คำพูดในห้วงคะนึงกลับเหือดหาย
“โชคดีจริง ๆ นะ นลินนา” คำแสดงความยินดีของนักบวชสูงสุดแห่งอิชทาร์ ทำให้หล่อนปลาบปลื้มยิ่งกว่าสิ่งใด ขานรับโดยเร็ว
“ค่ะ!”
“ถ้าเช่นนั้นก็คงถึงเวลาแล้ว”
สิ้นคำ นินซาก็ผลุบหายไปมุมหนึ่ง หยิบอาภรณ์สำหรับนักบวชออกมา
นลินนารู้ทันทีว่า สิ่งใดจะเกิดขึ้นเป็นลำดับถัดไป
“แม้จะให้เจ้าอยู่ที่นี่ในฐานะเจ้าหน้าที่ได้ กระนั้นข้าก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น” นักบวชสูงสุดแห่งมหาเทพีรับถาดบรรจุอาภรณ์แลหมวกทรงสูงสำหรับนักบวชมา โดยหนึ่งในสิ่งที่นักบวชทุกรูปต้องได้รับไม่ว่าบุรุษหรือสตรีคือ มีดโกนโลหะสำหรับกำจัดขนทุกส่วนของร่างกาย เนื่องด้วยนักบวชคือผู้ใกล้ชิดเทพเจ้าที่สุด และการไร้ขนคือสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์
นลินนาเผลอจับแพรผมตนทันควัน ใจหายวาบ อดเสียดายไม่ได้ว่า ผมอันอุตส่าห์บำรุงถนอมไว้หลายปีจะต้องโกนจนโล้นเลี่ยน มือสองข้างที่ต้องยื่นออกไปรับอาภรณ์สั่นเทา
ทว่าราวร่างทรงศักดิ์สิทธิ์ทราบถึงความกังวล “เจ้าไม่ต้องกลัวหรอกว่า จะต้องโกนผมเหมือนนักบวชรูปอื่น”
นินซาหยิบมีดโกนโลหะออกจากถาด
“เจ้าไม่เหมือนนักบวชรูปอื่น เจ้าถือกำเนิดจากโลหิตแห่งมหาเทพี เพราะฉะนั้น ร่างกายของเจ้าบริสุทธิ์ มิจำเป็นต้องปลงผมหรือขนใด ๆ ”
สตรีผู้ถือกำเนิดจากโลหิตแห่งมหาเทพีค่อยโล่งใจ แย้มกว้าง ยื่นมือรับถาดทอง ไม่นึกฝันว่า ตนจะได้เป็นนักบวชเช่นเดียวกับนินซา เช่นเดียวกับนักบวชสูงสุด และเช่นเดียวกับทุกคนที่หล่อนอยู่ร่วมชายคา
“นลินนา บัดนี้เจ้าคือ พวกเดียวกับเรา เจ้าคือนักบวชแห่งมหาเทพี เจ้าคือศัสตราวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งสรวงสวรรค์”
ดวงตาคู่นั้นให้ความรู้สึกอ่อนโยน จนตัวตนที่คิดว่ายิ่งใหญ่ถูกยอมรับอย่างง่ายดาย
“และมีอีกสิ่งหนึ่งที่เจ้าควรได้รับ”
นินซาพยักหน้ารับคำสั่ง ไปยกอ่างสำริดบนแท่นมา
นลินนารับอ่างใบใหญ่มาไว้ในอ้อมแขนอย่างงุนงง ไม่เข้าใจว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่หล่อนควรได้รับอย่างไร หากไม่ทันได้คิด...
นักบวชสูงสุดแห่งมหาเทพี และนินซาก็ยอบกายถวายความเคารพแด่เธอ
หญิงสาวสะดุ้งผงะเกือบเซ เพียงครู่ร่างทั้งสองก็ยืดขึ้น
“คงยากเกินไปสำหรับเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนเดียว” นักบวชสูงสุดแห่งอิชทาร์เอื้อนเอ่ยวาจา “แต่ข้าคงต้องขอบอกว่า ฝากชะตากรรมแห่งบาบิลิมไว้ในมือเจ้าด้วย แม้ฟังดูเป็นการเห็นแก่ตัว แต่ข้าก็เช่นเดียวกับชาวคัชดูคนอื่น ๆ ที่ไม่อยากให้มหานคราแห่งนี้สูญสิ้นไป ในฐานะตัวแทนแห่งชาวคัชดู ข้าอยากบอกว่า ชีวิตของชาวคัชดูกว่าสองแสนคนอยู่ในกำมือของเจ้า”
นลินนาสดับฟังด้วยความสลดใจ ตอนอ่านประวัติศาสตร์การสูญสิ้นของบาบิโลนมันดูเป็นเรื่องเล็กน้อยนักสำหรับคนยุคปัจจุบันอย่างนลินนา มันไม่ได้น่าใจหายเท่ากับตอนอียิปต์โบราณตกเป็นแคว้นหนึ่งของโรมัน แต่เมื่อมายืนอยู่ ณ จุด ๆ นี้ นลินนาจึงเข้าใจว่า ชาวคัชดูทุกผู้มีชีวิต การสูญสิ้นของนคราแห่งนี้คือการสูญสิ้นของชาวเมืองกว่าสองแสนคน มหานคราอันได้ชื่อว่ายิ่งใหญ่มั่งคั่งที่สุดแห่งยุคต้องกลายเป็นเพียงซากปรักหักพัง และจมอยู่ใต้กองดินกว่าสามพันปี
น้ำตาหล่อนเอ่อรื้น เป็นความรู้สึกเดียวกับการเสียน้ำตาในครั้งรับรู้ว่า สยามต้องสูญเสียดินแดนไปเท่าใดเพื่อเอกราชในทุกวันนี้
ไร้ซึ่งคำพูด เพราะความรู้สึกทั้งหมดอัดแน่นจนยากอธิบาย เธอทำได้เพียงน้อมศีรษะลง รับความหวังจากใจทุกดวงของชาวเมืองบาบิลิม
ภาพทุกอย่างเกิดขึ้น โดยนักบวชสตรีทั้งสามไม่ทราบเลยว่า กำลังตกอยู่ในคลองพระเนตรของมหาเทพี รอยแย้มสรวลอันเจิดจ้า ขณะเดียวกันก็นุ่มนวลค่อยแผ่ออกมา
ประวัติศาสตร์บทใหม่แห่งบาบิลิมกำลังถูกเขียนขึ้นแล้ว
********************************************************************************************
อัพตอนใหม่แล้วนะคะ เรื่องนี้ไม่รู้ทำสำนวนภาษาได้ดีหรือเปล่า เพราะเนื้อหาเริ่มเยอะแล้ว ต่อจากนี้คงหนักหน่วงขึ้นตามลำดับ เเต่ยังไงก็เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ เป็นอีกตอนที่แต่งแล้วรู้สึกอินมากๆ
ส่วนนี่เป็นลิงก์ของเพจเรานะคะ ถึงอย่างไรก็เข้าไปกดไลค์ กดติดตาม รับข่าวสารได้เลย จะมีมาบ่น ๆ กับนำเกร็ดประวัติศาสตร์มาฝาก ถึงอย่างไรก็ขอขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ ทีเเรกกลัวมากๆ ว่าจะไม่มีคนอ่าน เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยสนใจประวัติศาสตร์ของบาบิโลนเท่าไร เเต่ผลตอบรับชื่นใจเกินคาดเลยค่ะ ขอบคุณค่ะ
https://www.facebook.com/GrumweekR-ise-Sonne-Set-weret-472184492947166/
เซธเวเรท
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 พ.ค. 2559, 18:54:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ก.ค. 2559, 13:22:17 น.
จำนวนการเข้าชม : 1101
<< มัตติกาจารึกแผ่นที่ 3 | มัตติกาจารึกแผ่นที่ 5 >> |
แว่นใส 23 พ.ค. 2559, 19:44:18 น.
จะช่วยเหลือยังไงนะ
จะช่วยเหลือยังไงนะ
Likewizy 12 มิ.ย. 2559, 23:39:22 น.
จะช่วยเหลือบาบิโลนยังไงนะ ด้วยมันสมองหรือ เพราะตั้งแต่มาเรียนอย่างเดียว
จะช่วยเหลือบาบิโลนยังไงนะ ด้วยมันสมองหรือ เพราะตั้งแต่มาเรียนอย่างเดียว