เพรงพรหมข้ามภพ
บ้านเช่าหลังหนึ่งนำพาหล่อนให้พบกับเขา 'หลวงเดชาอักษร' ผู้ซึ่งกล่าวหาว่าหล่อนเป็นสตรีวิปลาสในคราวแรกที่ได้พบกัน อีกทั้งยังบอกว่าหล่อนหน้าตาเหมือนเจ้าสาวของเขาที่หายตัวไปเมื่อสามปีก่อน!
โชคชะตากำลังกลั่นแกล้งกับหล่อนหรือไร จึงทำให้หล่อนข้ามผ่านกาลเวลา มาโผล่บนเรือนของคุณหลวงผู้นี้ และจำต้องปลอมตัวเป็น 'แม่วาด' เจ้าสาวที่หายตัวไปของเขาอีกด้วย!

Tags: พีเรียด,รัตนโกสินทร์ตอนต้น,ลิขิตเหนือกาล

ตอน: บทที่ ๖ : โชคชะตานำทาง




หายไปนานนน มาอัปแล้วค่าาา :)




เสียงโทรศัพท์กรีดร้องจนแสบแก้วหูทำให้คนที่หลับอย่างสบายต้องครางออกมาอย่างขัดใจ ข้าวหอมพ่นลมหายใจอย่างแรงก่อนผงกศีรษะขึ้นมา กดรับ กรอกเสียงลงไปอย่างงัวเงีย เพียงเพื่อพบว่าเป็นการโทรศัพท์มาโฆษณาอะไรสักอย่าง หล่อนถึงสบถคำ รีบตัดสัญญาณอย่างมีน้ำโห ในตอนนั้นที่หล่อนรับรู้ถึงความอึดอัดไม่สบายตัว จึงก้มมองตัวเอง

คิ้วเรียวสวยยิ่งขมวดเข้าหากันจนแทบเป็นปม

...ก็จะไม่ให้ขมวดคิ้วได้อย่างไร ในเมื่อสภาพของหล่อนในเวลานี้นั้นจะเรียกว่านอนก็คงไม่ถูกต้องนัก เพราะหล่อนกำลังนอนคว่ำหน้าราบไปกับพื้น...บนพื้นกระเบื้องเย็นเยียบและแข็งเสียจนทำให้เมื่อยขบไปทั้งตัว แล้วหล่อนหลับลงไปได้อย่างไรกันหนอ

เจ้าหล่อนยกมือขยี้ผมของตนเอง พลางเอียงคอ เหล่มองไปที่เตียง พร้อมกับความสงสัย

...เตียงอยู่ใกล้เอื้อมแค่นี้ ทำไมถึงไม่คลานขึ้นไปนอนบนเตียงวะ!

พลันที่ถามคำถามนั้น ความทรงจำเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาจึงค่อยๆ ผุดพราย ฉุดดึงหล่อนกลับสู่อดีต ในค่ำคืนอันเงียบสงัด ในเรือนไทยโบราณ และอยู่กันสองต่อสองกับคุณหลวงหน้ายักษ์

ข้าวหอมเบิกตาโพลง ความง่วงงุนหายเป็ยปลิดทิ้งเมื่อจดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ได้ หล่อนผลุนผลันลุกขึ้นยืน โผเข้าไปเกาะโต๊ะเครื่องแป้งจับจ้องมองตัวเองในกระจก

สิ่งที่สะท้อนออกมานักแม้ไม่ถึงกับน่าเกลียด แต่ก็ใช่ว่าจะน่าดู...ผมเผ้านั้นยังไม่ค่อยยุ่งเท่าไร แต่ไอ้น้ำลายที่แห้งเกรอะกรังตรงมุมปาก ย้อยมาถึงลำคอนี่สิ!...มันน่าเกลียดไปเปล่าวะ!

นึกภาพคุณหลวงหนุ่มจับจ้องมองหล่อนด้วยแววตาตำหนิแกมสมเพชเวทนาแล้วก็ได้แต่ซุกซบใบหน้ากับฝ่ามือทั้งสองของตนเองด้วยความอับอายขายขี้หน้า

ไอ้ข้าวเอ๊ย ไอ้ข้าว! ขายหน้าเขาแล้วไหมล่ะ!

ข้าวหอมขยี้ผมของตนเองจนยุ่งเหยิงยิ่งกว่าเดิมอย่างหงุดหงิดแกมโมโห ก่อนจะเดินคอตกไปที่เตียง มองนาฬิกาตั้งโต๊ะ เมื่อพบว่าเป็นเวลาเกือบบ่ายสามโมงแล้ว หล่อนถึงกับครางอย่างคาดไม่ถึง

...อะไรวะไอ้ข้าว! แกหลับกินบ้านกินเมืองขนาดนี้ได้ยังไงเนี่ย!

วินาทีนั้นหล่อนพลันนึกขึ้นได้...ตายละ! วันนี้นัดกับคุณนฤมลไว้นี่หว่า!

หล่อนนัดกับคุณนฤมลตั้งแต่สองวันที่แล้วไว้ว่าจะไปช่วยงานที่บ้านของอีกฝ่าย...เป็นงานวันเกิดของคุณพ่อของคุณนฤมล มีการจัดเวทีเพื่อแสดงการร้องรำแบบไทยๆ เพราะท่านชื่นชอบการแสดงเช่นนี้มาก ยิ่งไปกว่านั้นหล่อนได้ยินว่าสตีฟมาเที่ยวเมืองไทยได้หกเจ็ดวันแล้วและจะแวะไปหาคุณนฤมลที่บ้านด้วย นี่จึงเป็นโอกาสอันดีที่หล่อนจะได้นำทับทรวงอันล้ำค่านั้นไปคืนให้เขา คิดได้ดังนั้นเจ้าหล่อนก็จึงรีบสาวเท้าไปที่ระเบียง คว้าผ้าเช็ดตัวที่ตากไว้แล้วหายลับเข้าไปในห้องน้ำ เพียงสิบนาทีก็กลับออกมาพร้อมกับผมเผ้ายุ่งเหยิงที่เปียกลู่แนบกับแก้มป่องๆ ของหล่อน คราบน้ำลายอันเกรอะกรังถูกล้างออกไปจนหมดแล้ว เหลือเพียงผิวผุดผ่องนวลเนียน...แบบที่เห็นแล้ว ข้าวหอมก็นึกชมตัวเอง

‘ค่อยดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาหน่อย’

หญิงสาวไดร์ผมจนแห้ง หวีให้เข้าทรง แล้วจึงแต่งตัว หล่อนเลือกเสื้อยืด กางเกงยีนตัวที่ใส่เป็นประจำ จากนั้นจึงกลับมานั่งแต่งหน้าที่โต๊ะเครื่องแป้ง พลางนึกสงสัยว่ากลับมาที่ห้องนี้ได้อย่างไร ตอนไหน เผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไร และหลับนานไหม...นานจนนอนน้ำลายยืดให้เขามองอย่างดูถูกดูแคลนหรือไม่ หรือส่งเสียงประหลาดๆ ให้เขาส่ายหน้าอย่างรังเกียจเดียดฉันท์หรือเปล่า

ยิ่งคิด ก็ยิ่งกลุ้ม จนข้าวหอมต้องสั่งตัวเองไม่ให้คิดเรื่องอันน่าอับอายขายหน้านี้เสีย

...เอาน่า ถึงเขาเห็นเช่นนั้นก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ หล่อนกับเขารู้จักกันเพียงผิวเผิน เจอกันบางครั้งบางคราว ไม่ได้มีความสำคัญจนต้องใส่ใจความรู้สึกนึกคิดของเขาเลยสักนิดนี่นา

ครั้นสบายอกสบายใจขึ้นแล้ว สีหน้าของเธอก็แช่มชื่นมากขึ้น หญิงสาวหย่อนโทรศัพท์มือถือ สมุดโน้ต ปากกาสองสามด้ามลงไปในกระเป๋าสะพาย และสิ่งสุดท้ายที่หล่อนไม่ลืมคือกล่องกำมะหยี่ที่วางอยู่ในลิ้นชัก หล่อนหยิบมันขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ค่อยๆ หย่อนมันลงไปในกระเป๋า

ความรู้สึกชั่วขณะหนึ่ง...มีความเสียดายและอาลัย ราวกับหล่อนกำลังจะจากพรากสิ่งที่ตัวเองรักไปอย่างไรอย่างนั้น

เพราะอะไร ทำไม...ข้าวหอมไม่อาจหาคำตอบให้ตัวเองได้เลยจริงๆ

หญิงสาวก้มมองสิ่งนั้นนิ่งนาน ก่อนตัดใจ ปิดกระเป๋า แล้วสะพายมันออกจากห้องไปโดยเร็ว


บ้านของคุณนฤมลอยู่แถบชานเมือง ไกลกับเรือนพิกุล และบ้านของหล่อนพอสมควร กว่าจะเดินทางมาถึงต้องใช้เวลาเกือบชั่วโมงเลยทีเดียว ตอนที่หล่อนเดินจากปากซอยเข้ามานั้น มีรถขับผ่านหล่อนไปหลายคัน และส่วนใหญ่แล้วจะมาจอดตรงรั้วสีขาวสูงท่วมศีรษะแทบทุกคัน

รั้วนั้นคือรั้วบ้านของคุณนฤมล...บริเวณทั้งกว้างขวางและใหญ่โต เฉกเช่นเดียวกับตัวบ้านที่เพียงแค่หล่อนมองเข้าไปก็รู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กราวมดขึ้นมาเสียเฉยๆ ระหว่างที่ยืนละล้าละลังอยุ่ตรงประตูอัลลอยด์ที่กว้างต้อนรับแขกผู้มาเยือน หญิงสาวผู้หญิงอายุอานามน่าจะพอๆ กับหล่อนก็ปรี่เข้ามาหา

“ใช่ข้าวหอมหรือเปล่าจ๊ะ”

“จ้ะ...ใช่จ้ะ ฉันมาช่วยงานคุณนฤมลน่ะจ้ะ”

“มาทางนี้เลยจ้ะ คุณนายเพิ่งถามถึงเมื่อกี้นี้เอง”

หญิงสาวผู้นั้นพาหล่อนผ่านประตูเล็ก เดินอ้อมไปทางหลังบ้าน ยามกวาดตามองหล่อนเห็นมีโต๊ะปูด้วยผ้าสีขาวสะอาดตาวางเรียงรายอยู่ตรงสนามหญ้าหน้าบ้านเป็นสิบๆ โต๊ะ แขกที่มาร่วมงานในวันนี้ คะเนคร่าวๆ คงน่าจะเกือบร้อยเลยทีเดียว

“ทางนี้จ้ะ”

เสียงของคนเดินนำทำให้หล่อนต้องละสายตาจากมา แล้วรีบเร่งฝีเท้าให้มัน

อีกฝ่ายพาหล่อนมาด้านหลังบ้าน...ในส่วนห้องครัวซึ่งใหญ่กว่าห้องนอนของหล่อนเกือบสองเท่า

คุณนฤมลกำลังสั่งงานไม่หยุดปาก ครั้นหันมาเห็นหล่อนเข้าก็อุทานอย่างดีใจ

“ข้าวหอม! เธอมาตรงเวลาเสมอเลยนะ มาๆ รีบขึ้นไปแต่งตัวเถอะ ฉันให้ช่างแต่งหน้าขึ้นไปรอข้างบนหมดแล้ว”

พูดจบก็รีบรุนหลังหล่อนเข้าไปภายในบ้าน พาขึ้นไปยังชั้นสอง ตรงไปยังห้องนอนขนาดใหญ่ที่คงมีไว้สำหรับรับแขก ในนั้นมีช่างแต่งหน้าสี่คนกำลังพูดคุยกกันอย่างสนุกสนาน ครั้นเห็นเจ้าของบ้านก็รีบเงียบเสียงลงในทันใด

“มาแล้วจ้า...รีบๆ แต่งหน้าเข้า อีกสองชั่วโมงคุณพ่อก็คงลงมาทักทายแขกแล้ว”

ช่างแต่งหน้าทั้งหมดรับคำพร้อมเพรียง พลางกุลีกุจอเตรียมข้าวของอย่างขะมักเขม้น เวลานั้นคุณนฤมลก็หันมากระซิบบอกหล่อน

“หนูข้าวไม่ต้องตื่นเต้นนะจ๊ะ ให้รำเหมือนทุกวันที่เคยรำที่ร้านนั่นแหละ อ้อ...เมื่อกี้สตีฟเพิ่งโทร.มา บอกว่ามีธุระด่วนต้องรีบกลับเมลเบิร์นด่วนเลย รู้สึกว่ามีคนที่บ้านไม่สบาย ไม่แน่ใจว่าเป็นลูกสาวหรือลูกชาย ไว้เจอกันคราวหน้าแล้วกันนะหนูข้าว”


ข้าวหอมหน้าสลดลงเล็กน้อย หล่อนรับคำเบาๆ พลางล้วงเข้าไปในกระเป๋าสะพายของตัวเอง สัมผัสความแข็งแกร่งของกล่องกำมะหยี่นั้นด้วยความรู้สึกหลากหลาย...ทั้งโล่งใจและเป็นกังวล ทั้งดีใจและผิดหวัง

นี่หล่อนเป็นอะไรกันหนอ?

ความรู้สึกของหล่อนเสมือนคนคุ้มดีคุ้มร้าย หรือหล่อนจะกลายเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ?

“ฉันลงไปดูแลแขกก่อนนะจ๊ะ...ฝากด้วยนะ” ประโยคหลังหันไปบอกช่างแต่งหน้าทั้งสี่คน แล้วเดินออกจากห้องไป

พลันที่ประตูปิดลง ช่างแต่งหน้าผู้หนึ่งก็รีบกุลีกุจอทั้งลากทั้งดึงหล่อนเข้าไปหลังฉากกั้นซึ่งแบ่งไว้สำหรับแต่งตัว จากนั้นก็จัดการแปลงโฉมหล่อน จากสาวห้าว ผมยุ่ง หน้าซีดเซียว กลายเป็นสาวไทยหน้าหวาน นุ่มผ้าจีบ ห่มสไบเฉียง

“ต๊าย!! งามมากๆ เลยค่ะคุณน้อง” หนึ่งในช่างแต่งหน้าเหล่านั้นผู้ซึ่งมีกายเป็นชายแต่ใจเป็นหญิงเอ่ยชม ส่วนอีกคนที่กอดอกมองสำรวจก็สำทับไปว่า

“จริงที่สุดจ้ะ! หนูนี่แต่งชุดไทยขึ้นนะ”


ข้าวหอมเพียงยิ้มรับคำชมนั้น ก่อนขอตัวรีบลงไปข้างล่าง เพื่อถามคิวการแสดงของตน






กว่าข้าวหอมจะได้กลับบ้านก็เกือบเที่ยงคืนเพราะอยู่คุยกับบิดาของคุณนฤมลเสียหลายชั่วโมง ท่านชื่นชอบการแสดงของหล่อนมากจึงเรียกหล่อนไปคุยด้วยและซักถามนู่นนี่นั่นด้วยความเอ็นดู คุยกันเพลินจนล่วงเลยไปเกือบสามชั่วโมง คุณนฤมลเห็นว่าดึกมากแล้ว เป็นห่วงหล่อน กลัวว่าหล่อนจะเป็นอันตรายจึงให้คนขับรถที่ชื่อพันมาส่ง

“ไม่ต้องเสียเปลี่ยนหรอก ฉันให้...ใส่กลับบ้านไปได้เลยจ้ะ”

เจ้าของบ้านเอ่ยขึ้นมาทันทีที่หล่อนขอเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนกลับ

“คะ? คุณจะให้ชุดนี้กับหนูหรือคะ”

“ฟังไม่ผิดหรอก ไปไป๊ ดึกมากแล้ว...เดินทางกลางค่ำกลางคืนอันตรายนะ” ว่าพลางหยิบเสื้อผ้าของหล่อนที่วางอยู่ตรงปลายเตียงใส่กระเป๋าสะพาย แล้วจับจูงมือหล่อนพาเดินลงจากชั้นสอง

ครั้นมาถึงหน้าบ้านก็พบว่ามีรถยุโรปคันหนึ่งจอดรออยู่ก่อนแล้ว

“เดี๋ยวให้นายพันไปส่งนะ หมอนี่ไว้ใจได้ ทำงานกับฉันมานานแล้ว มันนิสัยดี เรียบร้อย รับรองไม่เป็นอันตรายแน่นอนจ้ะ”

“แต่ว่า...” ข้าวหอมอยากจะทักท้วงเรื่องชุดที่หล่อนสวมอยู่ แต่คุณนฤมลไม่เปิดโอกาสเสียหล่อน เธอทั้งดัน ทั้งผลักให้หล่อนเข้าไปนั่งในตัวรถ วางกระเป๋าสะพายไว้ข้างหล่อน

“เจอกันพรุ่งนี้นะหนูข้าว” เอ่ยเสร็จก็ปิดประตูแล้วก้าวฉับๆ หายลับเข้าไปในบ้านอย่างว่องไว ส่วนนายพันนั้นก็รีบออกรถอย่างทันท่วงที

ข้าวหอมพรูลมออกจากปาก ก้มมองตัวเองด้วยความไม่สบายใจ

เอาเถอะ...เอากลับไปซักก่อนแล้วกัน วันมะรืนค่อยเอาไปคืนก็ได้นี่นะ

คิดได้ดังนั้น หล่อนก็ค่อยสบายใจ สองมือกอดกระเป๋าสะพายของตัวเองแน่น กระชับมันไว้อยู่ในอก น่าแปลกที่หล่อนรู้สึกถึงความอุ่นที่แผ่รัศมีออกมาจากกระเป๋าของตน

...คงเป็นอุปาทาน หล่อนรำพึงในใจพลางส่ายหน้า ...นี่หล่อนคงเจออะไรแปลกๆ มากเกินไป ถึงได้คิดหรือจินตนาการอะไรเป็นตุเป็นตะได้ขนาดนี้

หล่อนทอดถอนใจยาว ก่อนจะเงยหน้าพิงพนักเบาะแล้วหลับตาปิดการรับรู้ต่างๆ ไปเสีย

ข้าวหอมผล็อยหลับไปเพียงครู่เดียว มาสะดุ้งตื่นก็ตอนได้ยินเสียงของนายพัน

“คุณครับ ถึงแล้วครับ”

หล่อนลืมตาขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ กวาดตามองออกไปนอกหน้าต่างรถ ก็พบว่ามาถึงจุดหมายแล้วจึงรีบเอ่ยขอบคุณ แล้วกุลีกุจอลงจากรถ พลางบอกอีกฝ่ายว่า

“ขับรถระวังๆ นะคะ”

หล่อนยืนดูจนอีกฝ่ายขับรถออกสู่ถนนใหญ่แล้ว จึงไขกุญแจประตูเข้าไปในบ้าน หล่อนไม่ได้แวะห้องรับแขกหรือห้องครัวเลย แต่ตรงดิ่งขึ้นห้องนอน ปากก็หาวหวอดอย่างคนที่ง่วงเสียเต็มประดา

หญิงสาวเอื้อมมือไปเปิดสวิตซ์ไฟ ครั้นไฟสว่างจ้าก็เห็นสภาพห้องอันแสนรกของตัวเอง ในจริงอยากจะอาบน้ำแล้วเข้านอนเลย หากก็ทนความรกนั้นไม่ไหว จึงเดินโซซัดโซเซเข้าไปในห้องน้ำ ตั้งใจจะแค่ล้างหน้าล้างตาให้ตาสว่างกว่านี้อีกสักหน่อยเพื่อเก็บห้องให้ ‘ดูดี’ กว่านี้อีกนิดแล้วค่อยอาบน้ำนอน

เพียงไม่ถึงนาที ข้าวหอมก็กลับออกมาพร้อมกับใบหน้าที่สดใสขึ้น ผมเปียกลู่น้ำหยดเป็นทาง เพราะหล่อนเอาศีรษะจุ่มลงในถังน้ำ ด้วยหวังว่าตนเองจะตื่นเต็มที่ หญิงสาวกำลังจะเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง พลันต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อปลายหางตากระทบเข้ากับบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ควรจะอยู่ในห้องนี้...ไม่ควรเลย!

ข้าวหอมแทบจะหวีดร้องออกมายามที่เห็นเงาตะคุ่มๆ นั้นไม่ชัด แต่เมื่อเพ่งมองเสียงร้องของหล่อนกลับกลืนหายไปในลำคอ

ใบหน้าคมสันแบบนี้ คิ้วเข้มๆ ตาดุๆ แบบนี้จะเป็นใครไปได้!

ใช่เลย! ใช่เขาแน่ๆ...หลวงเดชาอักษร!

เขาเปลือยท่อนบน นุ่มโจงกระเบนสีเข้มและกำลังนั่งอยู่บนพื้น...ข้างเตียงหล่อนนี่เอง!

ข้าวหอมผงะถอยหลังไปจนชิดผนัง ยกมือข้างขวาขึ้นมาชี้ไปที่เขา มันสั่นระริกอย่างน่าขัน

“คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง!”

แม้แต่เสียงของหล่อนก็สั่นจนน่าอับอายไม่แพ้กัน!

ข้าวหอมตกใจจริงๆ...แต่จะตกใจทำไม หล่อนก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ก็ในเมื่อหล่อนกับเขาก็พบกันในลักษณะนี้อยู่บ่อยครั้ง เขาไม่ใช่ภูติผี เขามีตัวตน เป็นแค่คนที่อยู่อีกมิติหนึ่งเท่านั้น แล้วมีอะไรต้องกลัว?

กลัวว่าเขาจะเห็นหล่อนในสภาพย่ำแย่ หน้าสด โทรม และตาลึกโหล...งั้นหรือ?

ไม่ใช่แน่ เพราะเขาคงเห็นจนชินชาแล้ว

หรือกลัวว่าเขาจะ ‘ทำมิดีมิร้าย’?

...บ้าน่า! ผู้ชายที่มองหล่อนราวกับหล่อนไม่ใช่ผู้หญิงคงไม่คิดพิศวาสหล่อนแน่

แล้วหล่อนกลัวอะไรล่ะ?

คงเป็นเพราะยังไม่ชินกับการที่เขามาปรากฏตัวที่นี่กระมัง ส่วนใหญ่แล้วเป็นหล่อนเองที่มักจะโผล่ไปที่นู่นมากกว่านี่นา

“ขอโทษด้วยที่ทำให้หล่อนตกใจ” เขาเพ่งมองหล่อนดวงตาเป็นประกาย “วันนี้หล่อน...ดูแปลกกว่าทุกวัน”

...ก็แน่ละ วันนี้หล่อนสวมชุดไทยไม่ใช่เสื้อยืดกางเกงยีนแบบครั้งก่อน

“แปลกหรือคะ...คุณหลวงไม่ชอบเหรอ” หล่อนหมุนตัวให้เขาดู แล้วกะพริบตาปริบๆ รอคำตอบ

คนถูกถามสูดลมหายใจยาว พลางละสายตาจากหล่อน หันมองไปรอบห้อง แล้วเอ่ยถาม “ฉันจักกลับไปเรือนฉันได้เยี่ยงไร หล่อนรู้ฤๅไม่”

พอเขาเลี่ยง ไม่ยอมตอบคำถามหล่อน ข้าวหอมก็ไม่เซ้าซี้ หล่อนเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง วางกระเป๋าสะพายลงบนนั้น ปากก็ตอบไปว่า

“ถ้าฉันรู้ ฉันคงไปนู่นมานี่แบบสั่งได้แล้วละ ฉันบอกได้คำเดียว...” หล่อนมองสบตาเขาจากเงาสะท้อนในกระจก “...แล้วแต่โชคชะตา!”

พูดจบก็หันไปมองสบตาเขาตรงๆ เขาเองก็จ้องกลับมาเช่นกัน แต่หล่อนมองไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรหรือรู้สึกเช่นไร...อาจจะกำลังช็อคล่ะมัง หรือไม่ก็กำลังกลัว ก็ในละครที่หล่อนเคยดู ส่วนใหญ่คนสมัยโบราณมักจะตื่นตระหนกกับข้าวของหรือวิวัฒนาการสมัยใหม่กันทุกคนเลยนี่นา เขาเองถึงจะเป็นคนจิตแข็งก็คงตกใจไม่น้อยเหมือนกันละน่า

ข้าวหอมกัดริมฝีปากขณะครุ่นคิดว่าควรจะปลอบประโลมคุณหลวงผู้นี้เช่นไรดี ระหว่างนั้นก็ค่อยๆ สืบเท้าเข้าไปใกล้เขา...ทีละนิดๆ จนมาใกล้เท่าที่ปลายมือจะเอื้อมถึง หล่อนคิดอะไรไม่ออกยื่นมือออกไป หมายจะวางบนบ่าของเขาเพื่อปลอบใจ คนตัวโตก็ลุกพรวด ก้าวถอยหลังไปจนชิดกำแพงอีกฝั่ง ทิ้งให้คนหวังดียกมือค้างอยู่เช่นนั้น

ข้าวหอมสูดลมหายใจลึก ข่มความโกรธไว้แต่เพียงในใจ ลดมือลงข้างตัวและพร้อมจะอธิบายในสิ่งที่ตนเองกำลังจะทำ ผู้บุกรุกยามวิกาลกลับพูดขัดขึ้นมาเสียก่อน

“หล่อนอยู่กับผู้ใด?”

“ฉันอยู่ที่นี่คนเดียว คุณไม่ต้องห่วงหรอกว่าใครจะมาเห็นคุณเข้า”

ริมฝีปากหยักลึกที่เผยอค้างจึงหุบลง หากเพียงอึดใจเขาก็พูดต่อว่า

“ฉันไม่ได้กลัวว่าใครจักมาเห็น ฉันห่วงหล่อนต่างหาก”

“ห่วงฉัน?” ข้าวหอมชี้มือไปที่ตัวเองแล้วย้อนถามเสียงสูง “เรื่องอะไรคะคุณหลวง ในเมื่อที่นี่บ้านฉัน โลกของฉัน ถิ่นของฉัน คุณจะมาห่วงอะไร?”

คุณหลวงขี้เก๊กเอามือไพล่หลังแล้วส่ายหน้าช้าๆ อีกทั้งยังทอดถอนใจราวกับระอาหล่อนเต็มทน

“หล่อนไม่เข้าใจที่ฉันพูดเลยรึ...” ไม่รอให้หล่อนเถียง เขารีบพูดต่อทันทีว่า “ฉันห่วงหล่อนเพราะฉันเป็นบุรุษ หากมีผู้ใดรู้ว่าหล่อนกับฉันอยู่ด้วยกันในห้องหับมิดชิด หล่อนจักเสียหาย”

“โธ่เอ๊ย! นึกว่าเรื่องอะไร คุณจะห่วงทำไม คืนก่อนๆ ฉันก็อยู่กับคุณสองต่อสองเหมือนกัน ไม่เห็นคุณจะเป็นเดือดเป็นร้อนอะไรเลย”

“นั่นเป็นห้องอ่านหนังสือ แต่ที่นี่...ห้องนอน” เขายืดตัวตรง สูดลมหายใจลึก ก่อนจะจ้องมองหล่อนราวกับกำลังสอนเด็กคนหนึ่งที่ยังไม่รู้ความใดๆ “ห้องนอนกับห้องอ่านหนังสือ มันต่างกันอย่างไร หล่อนคงเข้าใจดี”

ข้าวหอมนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะทำเสียงอือออในลำคอแล้วพยักหน้าหงึกหงัก

“ผู้ชายกับผู้หญิงไม่ควรอยู่ด้วยกันในห้องนอน คุณตั้งใจจะพูดแบบนี้ใช่ไหม”

ทันทีที่หลวงเดชาอักษรพยักหน้า หญิงสาวก็ทิ้งตัวลงนอนหงายบนเตียงอย่างอยากจะแกล้ง อยากเห็นว่าคนขี้เก๊กเวลาขัดเขินหรือวางตัวไม่ถูกนั้นเป็นเช่นไร จึงทำในสิ่งทำให้เขาต้องเบิกตากว้าง

...แบบนี้นี่แหละ! สายตาที่จ้องมาอย่างไม่อยากจะเชื่อนี่แหละ ทำให้หล่อนแทบจะกลั้นเสียงหัวเราะไว้ไม่ไหว

“ทำไมคะคุณหลวง อยู่ในห้องสองต่อสองกับฉันมันจะมีปัญหาตรงไหน เราก็ไม่ได้...ทำอะไรๆ กันซะหน่อย” ไม่พูดเปล่า ยังพลิกตัวนอนตะแคง ผงกศีรษะขึ้นแล้วใช้มือรองรับไว้ จากนั้นก็ยกคิ้วหลิ่วตาให้เขาอย่างนึกสนุก “หรือคุณหลวงกลัวว่าฉันจะลวนลามคุณคะ”

คุณหลวงขี้เก๊กหน้าแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด ตอนนี้ผิวกายอันคมเข้มก็ไม่อาจซ่อนความรู้สึกของเขาไว้ได้อีกแล้ว ข้าวหอมเชื่อ...หากเขาไม่โกรธจนเลือดขึ้นหน้า ก็คงเขินเสียจนอยากจะไปให้พ้นๆ จากห้องนี้เสียทีกระมัง

แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร เขาก็ทำในสิ่งที่หล่อนคาดคิดไว้ล่วงหน้าอยู่ก่อนแล้ว...คือการหมุนตัวตรงไปยังประตูห้อง หมายจะหนีไปให้พ้นจากสถานการณ์อันหน้าสิ่วหน้าขวาน หากก็ต้องชะงักงันไป เมื่อไม่รู้ว่าจะเปิดประตูห้องได้อย่างไร หลวงเดชาอักษรจ้องแผ่นประตูอยู่พักใหญ่ทีเดียว ก่อนจะวางมือทาบลงไป แล้วลากมือไปมาซ้ายขวา จนสะดุดเข้ากับลูกบิด เขาย่อตัวลงจ้องมองมันอย่างสงสัยใคร่รู้ แต่น่าเสียดาย เมื่อไม่รู้วิธีเปิดจึงไม่อาจหนีหล่อนไปไหนได้ คนตัวเล็กก้าวเร็วๆ ไม่กี่ก้าวก็มาประชิดตัวเขาเสียแล้ว

แต่คุณหลวงช่างโชคร้ายเพราะคนซุ่มซ่ามอย่างข้าวหอมดันเหยียบชายผ้าจีบ สะดุดหน้าคะมำ คุณหหลวงผงะถอยหลังล้มลงบนพื้น ส่วนข้าวหอมก็เซซวนล้มทับลงบนตัวเขา...เป็นการถูกเนื้อต้องตัวอีกครั้งแบบเลี่ยงไม่ได้

“ฉันขอ...” ยังพูดไม่ทันจบห้องทั้งห้องกลับสว่างเจิดจ้าด้วยสีแดงอมเขียว ตามมาด้วยลมหอบใหญ่ที่พัดเข้ามาจากทิศทางใดไม่ทราบได้ มันปะทะเข้าใส่ตัวหล่อนอย่างรุนแรง

“เฮ้ย!” ข้าวหอมอุทาย รีบกอดคนที่อยู่ใต้ร่างไว้ด้วยเกรงว่าตัวเองจะปลิวไปปะทะกับประตูหรือผนังห้องเข้า ลำแขนล่ำสันก็กอดรัดหล่อนไว้เช่นเดียวกัน

ราวกับพลัดหล่นลงมาในหุบเหวที่พายุกำลังโหมกระหน่ำ หาใช่ห้องนอนที่หล่อนใช้ซุกหัวนอนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันไม่ รอบด้านกลายเป็นความมืดดำ ทั้งสองลอยคว้างอย่ากลางพายุโหมกระหน่ำ หล่อนลืมตาไม่ได้จึงมองอะไรไม่เห็น ได้ยินแต่เสียงหวิววู่ของลมที่พัดผ่านใบหูของหล่อน

ร่างทั้งสองหมุนวนตามแรงลมครั้งแล้วครั้งเล่า จนในที่สุดเมื่อแผ่นหลังของหลวงเดชาอักษรกระทบกับอะไรแข็งๆ

ผลัก!

วินาทีนั้น พายุอ่อนกำลังลง เหลือไว้เพียงสายลมบางเบาที่ลูบไล้บนผิวกายอย่างอ่อนโยนเท่านั้น

“ไม่เป็นไรแล้ว”

เสียงอันเคยคุ้นทำให้หล่อนค่อยๆ ผงกศีรษะขึ้นมา เมื่อปรือตามอง สิ่งที่หล่อนเห็นคือใบหน้าคมสัน และแววตาคมกริบที่บ่งบอกถึงความโล่งใจ

ตาสองตาประสานกันชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะรีบผละออกจากกัน

“เกิดอะไรขึ้น” พร้อมกับถาม หล่อนเหลียวมองรอบกาย สิ่งที่เห็นคือห้องทำงานของหลวงเดชาอักษร หาใช่สถานที่แปลกประหลาดใดๆ “ที่นี่...ห้องของคุณนี่”

หญิงสาวลุกขึ้นยืน โผไปที่หน้าต่าง ชะแง้แลมองออกไปเบื้องนอก พบเห็นศาลาริมน้ำและลำคลองที่เคยเห็นก่อนหน้านี้ก็พรูลมออกจากปากอย่างโล่งอก

“โธ่...มาที่นี่เอง ฉันนึกว่า...”

ฉับพลันนั้นก็ฉุกใจคิด...แสงจ้าๆ บาดตานั่นมาจากไหน แล้วยังพายุบ้าๆ นั่นอีก เกิดขึ้นได้อย่างไรกัน? มันเกิดอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หนำซ้ำยังหอบหล่อนมาถึงนี่อีก

บ้าน่า...ไอ้พายุนั้นคงไม่ได้พัดหล่อนข้ามมิติเวลามาหรอกนะ?!



สั่งจองราคาพิเศษได้ถึง 25 มิ.ย.นะค้าาา สั่งได้ที่เว็บ www.sasiaksornbook.com ได้เลยค่า



ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 มิ.ย. 2559, 15:56:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 มิ.ย. 2559, 15:56:54 น.

จำนวนการเข้าชม : 1234





<< บทที่ ๕ - ข้ามเวลามาพบกัน ๒   บทที่ ๗ - เจ้าสาวความจำเสื่อม >>
แว่นใส 5 มิ.ย. 2559, 22:25:40 น.
ข้ามเวลามาแล้ว


Zephyr 5 มิ.ย. 2559, 23:15:39 น.
มาแบบงงๆเนอะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account