Love Me Love My Chef...คุณเชฟที่รัก
เมื่อสิ่งที่ฝันไม่เป็นดั่งใจหวัง ผลักดันให้ 'กันติชา' ต้องมารับมือกับผู้ชายจอมเฮี้ยบอย่าง 'ตะวัน' ที่มีดีกรีเป็นถึงระดับเชฟตัวพ่อ

แต่พ่อก็พ่อเถอะ! หล่อนจะอ่อย เอ๊ย ปราบพยศคุณเชฟที่รักให้กลายเป็นแมวน้อยแสนเชื่องให้ได้...คอยดูแล้วกัน!

**แนวโรแมนติก-คอมเมดี้**
Tags: เชฟ นักเขียน อ่อย เฮี้ยบ อา หลาน

ตอน: บทที่ 1---50%

บทที่ 1



กันติชานั่งเท้าคางเซ็งๆ อยู่หน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์ มองหน้านิยายตัวเองบนเว็บไซต์วัยรุ่นชื่อดังด้วยสายตาว่างเปล่า เมื่อเห็นยอดวิวนิยายตัวเองกระเตื้องขึ้นมาแค่เกือบพันทั้งที่ลงให้คนในโลกโซเชียลได้อ่านกันมาร่วมสามเดือนกว่าแล้ว ยังไม่นับรวมยอดคอมเม้นท์ที่มีไม่ถึงสิบ ซึ่งมาจากนักอ่านเจ้าเก่าที่คอยตามอ่านตามให้กำลังใจกันอยู่คนสองคนเฉพาะเวลาที่มีลงบทใหม่ นอกนั้นเหรอ เงียบสนิทชนิดป่าช้ายังเรียกพี่ นี่หล่อนไม่ได้แต่งนิยายโคตรรักโคตรวิญญาณหลอนนะ!

‘เป็นไงล่ะเจ้ากอหญ้า ฉันเตือนแกแล้ว งานมีเป็นพัน...รั้นจะเป็นนักเขียนไส้แห้ง’

คำปรามาสของกัญญา...พี่สาวเจ้ากรรมนายเวรของหล่อนกับรอยยิ้มกระหยิ่มดั่งผู้ได้รับชัยชนะผุดลอยมาแต่ไกล และนั่นทำให้กันติชาถึงกับจิตใจห่อเหี่ยว หมดเรี่ยวแรงฟุบหน้าลงกับโต๊ะไม่ต่างจากคนสิ้นหวัง ไม่สิ ต้องบอกว่าหญิงสาวเลยผ่านจุดของคนท้อแท้สิ้นหวังมาได้สักระยะแล้วจนตอนนี้เหลือแต่เพียงความชินชา หรือถ้าเปรียบกันติชาเป็นสาวชาวไร่ปลูกต้นแห้วไว้ขาย ป่านนี้หญิงสาวคงปลูกได้เป็นหลายร้อยไร่แล้วล่ะ เพราะตั้งแต่ลืมตาดูโลกมา ไม่มีทางไหนที่ลูกเป็ดอย่างกันติชาจะไปได้ดีเลยสักทาง...นึกย้อนไปตั้งแต่สมัยเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา ศักยภาพของกันติชานั้นสายวิทย์ก็ไม่ใช่ สายศิลป์ก็ไม่เชิง เข้ามหาวิทยาลัยหญิงสาวก็เลือกเรียนคณะบริหารเพราะเห็นคนส่วนใหญ่บอกว่าจบออกมาแล้วมีทางเลือกในการทำงานกว้างกว่าคณะอื่น กระทั่งขึ้นปีสอง ด้วยความที่กันติชาชอบอ่านนิยายเพ้อฝันตามประสาผู้หญิงทั่วไป หล่อนถึงเพิ่งมารู้ตัวว่าชอบแต่งนิยาย จนมีนิยายได้ตีพิมพ์อยู่สามเล่ม เหตุนี้พอเรียนจบปริญญาตรี กันติชาเลยตัดสินใจขอเวลาทางบ้านหนึ่งปีเพื่อพิสูจน์ตัวเองในเส้นทางนักเขียน

'หนึ่งปี!....โอ๊ย ตายๆๆ เจ้ากอหญ้า แกจะยอมเสียเวลาตั้งหนึ่งปีเพื่อพิสูจน์เรื่องไร้สาระอะไรเนี่ย'

พี่สาวเจ้ากรรมนายเวรซึ่งอายุห่างจากกันติชาสามปี โวยวายยกใหญ่เมื่อได้ยินความคิดอุตริของน้องสาว ขณะที่ภาสกรกับเยาวมาลย์...บิดามารดาของทั้งสองซึ่งอยู่ในวัยห้าสิบตอนปลายยังคงนั่งเงียบประเมินสถานการณ์อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเนื่องจากกำลังรับประทานอาหารเย็นด้วยกันที่ร้านอาหารริมน้ำแห่งหนึ่งฉลองที่กันติชาเรียนจบ

'ไร้สาระที่ไหนกันละพี่น้ำ อาชีพนักเขียนถ้าได้อยู่สำนักพิมพ์ดังๆ มีชื่อเสียง เงินหลักหมื่นหลักแสนเห็นๆ เลยนะ' กันติชาออกโรงปกป้องอาชีพในฝันเต็มที่

‘แต่ฉันกลัวแกจะเป็นนักเขียนไส้แห้งก่อนน่ะสิ’ พี่สาวยังคงค้านหัวชนฝา

‘เวลาหนึ่งปีมันนานไปเจ้ากอหญ้า สำนักพิมพ์ชื่อดังก็ใช่ว่าจะรับงานกันง่ายๆ ระหว่างที่แกมัวแต่ก้มหน้าก้มตาเป็นนักเขียนไส้แห้ง เพื่อนแกเขาจบออกไปมีงานมีการทำ ได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งกันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว หรือแกจะเถียงว่ามันไม่จริง’

'ก็ที่พูดๆ ว่าไส้แห้งเพราะกอหญ้ายังเป็นนักเขียนโนเนมอยู่นี่ไง กอหญ้าถึงอยากขอเวลาหนึ่งปีเพื่อมาทุ่มกับตรงนี้ก่อน...ทีพี่ยังได้ทำงานที่พี่รักเลย'

‘ก็ฉันมุ่งมั่นมาแต่ไหนแต่ไรแล้วว่าจะเป็นเชฟ เรียนก็มาทางนี้ แกจะให้ฉันระเห็จไปรับดูดส้วมรึไงเจ้ากอหญ้า...นี่ ไม่ต้องมาเบี่ยงประเด็น’ ประโยคหลังกัญญาทำท่าจะเขกกะโหลกน้องสาวเข้าให้ที แต่คนน้องหลบทันเลยยิ่งถูกพี่สาวสวดยับ

‘แกนี่มันจริงๆ รั้นไม่เคยเปลี่ยน พูดอย่างกับฉันนึกอยากเป็นเชฟก็เป็นได้ง่ายๆ รึไง ที่ฉันได้เป็นผู้ช่วยเชฟอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะโชคดีด้วยที่ได้รุ่นพี่ที่คณะช่วยฝากฝัง ฉันยังไม่รู้เลยว่าต้องใช้เวลาอีกกี่ปีถึงจะได้เป็นเชฟกับเขา แล้วอย่างแกริจะหันไปเอาดีทางนักเขียน แต่ไม่ได้จบมาทางที่มันเกี่ยวกับงานขีดๆ เขียนๆ เลยด้วยซ้ำ ฝีมือก็ใช่ว่าจะเด็ดดวง เพื่อนฝูงคนรู้จักในแวดวงสื่อสิ่งพิมพ์ที่พอจะช่วยพยุงแกได้ก็ไม่มี คิดรึว่าจะไปรอด ลูกเป็ดหลงฝูงชัดๆ ไอ้เจ้ากอหญ้า’

‘ไม่เอาน้ำ ไม่พูดกับน้องแบบนั้น’ เยาวมาลย์อดไม่ได้ปรามลูกสาวคนโตที่ชอบทำตัวเป็นแม่คนที่สองเป็นนิสัย นั่นแหละแม่คนที่สองถึงได้ยอมเงียบ

‘พ่อคะ แม่คะ’ เห็นว่าพูดกับพี่สาวไปก็เสียเวลาเปล่า กันติชาเลยหันมาอ้อนบิดามารดาอีกตามเคย

‘ให้กอหญ้าได้พิสูจน์ตัวเองก่อนนะคะ นะคะพ่อ นะคะแม่...กอหญ้ารู้ค่ะว่าพ่อกับแม่อยากให้กอหญ้าหางานประจำทำมากกว่า แต่ตอนนี้อาชีพนักเขียนเป็นสิ่งเดียวที่กอหญ้ามั่นใจว่ามันใช่กอหญ้าจริงๆ ขืนให้กอหญ้าฝืนทำงานประจำไปตอนนี้ ใจก็ไม่ไปอยู่ดี พ่อกับแม่ทนได้เหรอคะที่เห็นลูกสาวสุดที่รักต้องมานั่งทนทำงานหน้าตาอมทุกข์ทุกวันๆ'

'น้อยๆ หน่อยเจ้ากอหญ้า' พี่สาวยังอุตส่าห์หันมาแขวะ กันติชาเลยย่นจมูกใส่อย่างหมั่นไส้ก่อนหันไปส่งสายตาปริบๆ อ้อนบิดามารดา รู้ว่าเดี๋ยวก็ต้องใจอ่อนให้ บิดามารดาจึงสบมองกันอย่างอ่อนใจในอาการรั้นของลูกสาวคนเล็ก เยาวมาลย์นั้นไม่เถียงลูกสาวที่ว่าหล่อนอยากให้ทำงานประจำ เพราะตัวหล่อนเองทำงานเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจมาเกือบสามสิบปีแล้ว เวลานี้ได้แต่รอเวลาเกษียณจึงรับรู้มาตลอดว่าเป็นงานที่มั่นคงและมีสวัสดิการดี ถ้าลูกสาวคนเล็กได้เข้าทำงานเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจตามรอยหล่อนคงหมดห่วงได้มากโข ภาสกรเองก็คิดแบบเดียวกันกับภรรยา

‘งานเขียนไม่เห็นจำเป็นต้องทำเป็นอาชีพหลักเลยเจ้ากอหญ้า ทำเป็นงานอดิเรกไปก่อนดีมั้ย’ บิดาเอ่ยขึ้นบ้าง หากใจเย็นกว่าลูกสาวคนโตมาก

‘โธ่พ่อคะ ที่กอหญ้าขอเวลาหนึ่งปีเพราะกอหญ้าอยากมีเวลาแต่งนิยายให้เต็มที่ ถ้ากอหญ้าทำเป็นงานอดิเรกเมื่อไหร่กอหญ้าจะได้เข้าสำนักพิมพ์ใหญ่ๆ ละคะ เผลอๆ งานประจำมาเบียดเวลาแต่งนิยายของกอหญ้าอีก อาชีพนักเขียนก็เหมือนดาราศิลปิน ถ้ากอหญ้านานๆ มีผลงานออกมาที คนอ่านได้ลืมกอหญ้าตายเลย ตีเหล็กต้องตีตอนร้อนๆ ค่ะ’

‘แล้วถ้าเส้นทางนักเขียนไม่เป็นอย่างที่ลูกหวัง...’

‘กอหญ้าสัญญาค่ะว่าถ้าภายในหนึ่งปี งานเขียนมันไม่รุ่งอย่างที่กอหญ้าหวัง กอหญ้าจะยอมหางานประจำทำตามที่พ่อกับแม่ต้องการค่ะ’

‘ให้มันจริงเถอะ’

‘พี่น้ำ !’ กันติชาทนไม่ไหวหันไปแวดใส่พี่สาวเพราะชอบพูดขัดอยู่นั่นเอง เล่นเอาคนถูกแวดใส่สะดุ้ง

คำขอของกันติชาดูเหมือนจะเป็นการบอกกล่าวให้คนในบ้านทราบถึงการตัดสินใจของหล่อนเสียมากกว่า เพราะต่อให้บิดามารดาไม่เห็นด้วย หรือแม้แต่พี่สาวค้านอะไรไปก็คงไม่มีประโยชน์ เวลานั้นกันติชามีกำลังแรงใจที่เต็มเปี่ยมด้วยพลังและความหวัง หญิงสาวรับปากกับบิดามารดาด้วยความมาดมั่นพอๆ กับที่เชื่อมั่นในฝีมือตัวเองว่าจะก้าวเดินไปในเส้นทางนักเขียนได้อย่างราบรื่นและเติบโตอย่างที่หวัง บิดามารดาไม่อยากฝืนใจลูกสาวเลยจำยอมตกลงให้กันติชาได้ลองพิสูจน์ตัวเองภายในระยะเวลาหนึ่งปีตามที่รับปากไว้

หากทว่าคล้อยหลังจากที่กันติชาตกปากรับคำบิดามารดาได้เพียงไม่กี่เดือน ก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองคิดผิด...

สำนักพิมพ์หลายแห่งไม่ว่าจะเป็นสำนักพิมพ์ใหญ่หรือเล็กเรียงแถวกันปฏิเสธที่จะตีพิมพ์ต้นฉบับนิยายของกันติชา โดยให้เหตุผลว่านิยายรักของหญิงสาวยังไม่น่าสนใจเท่าที่ควร บางแห่งเล่นง่ายบอกสั้นๆ แค่ว่านิยายไม่ผ่านการพิจารณาโดยไม่มีคำติชมใดๆ ให้หญิงสาวได้นำไปปรับปรุงแก้ไขต้นฉบับสักนิด ทั้งที่กันติชาอุตส่าห์เสียเวลารอผลพิจารณาจากสำนักพิมพ์แห่งนั้นถึงห้าเดือนเต็ม ! ครั้นหญิงสาวจะกลับไปตายรังส่งต้นฉบับนิยายให้สำนักพิมพ์เดิมที่เคยตีพิมพ์ผลงานหล่อน สำนักพิมพ์เจ้ากรรมก็ดันปิดตัวไปแล้วเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจไทยที่ซบเซา บวกกับพฤติกรรมการบริโภคสินค้าของนักอ่านที่เปลี่ยนไปตามเทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อยอดขายของสำนักพิมพ์หลายแห่งที่ต้องปิดตัวลงอย่างน่าเศร้า ส่วนสำนักพิมพ์ที่ยังคงยืนหยัดจำต้องยอมลดยอดพิมพ์หนังสือลงและมีการคัดต้นฉบับกันเข้มกว่าเดิม

กันติชานั้นยังถือว่าเป็นนักเขียนหน้าใหม่ มีแฟนคลับแทบนับคนได้ ประหนึ่งอยู่ในสถานะไม่ต่างจาก ‘ลูกเมียน้อย’ หญิงสาวเลยพลอยซวยไปด้วย แต่ถึงอย่างนั้น ไม่ว่ากันติชาจะบาดเจ็บสาหัสจากการถูกสำนักพิมพ์แทงจนพรุนไปทั้งตัวแล้วก็ตาม กันติชายังคงเดินหน้ามุ่งมั่นทำตามความฝันอย่างเต็มที่ หญิงสาวเพียรพยายามลงนิยายตามเว็บไซต์ต่างๆ ตลอดจนสร้างแฟนเพจในนามปากกาของตัวเองเพื่อสร้างฐานแฟนคลับและโปรโมทนิยายที่ตัวเองแต่ง หากทว่ามันก็ยังไม่เป็นผล

ถ้าเส้นทางนักเขียนของกันติชาพล็อตออกมาเป็นกราฟได้ มันคงเป็นกราฟสีแดงแจ๋ร่วงดิ่งลงเหว !



****************

มาลงตอนแรกให้อ่านกันแล้วค่า ตามอ่านตามเม้นกันด้วยน้าาา



สรัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 มิ.ย. 2559, 18:35:35 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 มิ.ย. 2559, 18:35:35 น.

จำนวนการเข้าชม : 878





   บทที่ 1---100% >>
Zephyr 9 มิ.ย. 2559, 00:39:06 น.
ท่าจะสนุกนะคะ
ปักๆๆๆ


สรัน 9 มิ.ย. 2559, 10:25:51 น.
น่ารักฝุดๆ เห็นเม้นรีบเปิดมาดู5555555 อัพเรื่อยๆ เหนื่อยก็กิน เอ๊ย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account