Love Me Love My Chef...คุณเชฟที่รัก
เมื่อสิ่งที่ฝันไม่เป็นดั่งใจหวัง ผลักดันให้ 'กันติชา' ต้องมารับมือกับผู้ชายจอมเฮี้ยบอย่าง 'ตะวัน' ที่มีดีกรีเป็นถึงระดับเชฟตัวพ่อ
แต่พ่อก็พ่อเถอะ! หล่อนจะอ่อย เอ๊ย ปราบพยศคุณเชฟที่รักให้กลายเป็นแมวน้อยแสนเชื่องให้ได้...คอยดูแล้วกัน!
**แนวโรแมนติก-คอมเมดี้**
แต่พ่อก็พ่อเถอะ! หล่อนจะอ่อย เอ๊ย ปราบพยศคุณเชฟที่รักให้กลายเป็นแมวน้อยแสนเชื่องให้ได้...คอยดูแล้วกัน!
**แนวโรแมนติก-คอมเมดี้**
Tags: เชฟ นักเขียน อ่อย เฮี้ยบ อา หลาน
ตอน: บทที่ 1---100%
บทที่ 1 (ต่อ)
“พ่อ...”
กันติชามัวแต่รันทดชีวิตตัวเอง ไม่ทันรู้ตัวว่าภาสกรเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนตั้งแต่เมื่อไหร่หยุดยืนอยู่ข้างกาย ไออุ่นจากมือของบิดาวัยห้าสิบตอนปลายที่สัมผัสแผ่นหลังอย่างอ่อนโยน ฉุดลูกสาวเงยหน้าขึ้นจากอาการหมดสภาพนั้น สบประสานสายตา
ภาสกรยิ้มให้ลูกสาว เป็นรอยยิ้มที่ละมุนละไมให้ความรู้สึกถึงความอ่อนโยนและอบอุ่นไม่แพ้สัมผัสเมื่อครู่ ลูกสาวเลยกระตือรือร้นลุกขึ้น หันซ้ายแลขวามองหาที่นั่งให้บิดา พอเห็นแต่ข้าวของตัวเองวางระเกะระกะเต็มห้องไปหมดเลยเข้ามาโอบเอวบิดาพาไปนั่งที่ปลายเตียงด้วยกัน
"ไหนว่าวันนี้มีไปกินเลี้ยงกับเพื่อนไงคะพ่อ นึกว่าจะกลับบ้านค่ำเสียอีก" ลูกสาวพูดแล้วเอี้ยวตัวดูเวลาจากนาฬิกาบนโต๊ะข้างหัวเตียง "เพิ่งจะห้าโมงเย็นเองค่ะ"
"เพื่อนมากันอยู่สามสี่คนเองลูก ได้คุยกันพอหอมปากหอมคอก็ต่างคนต่างกลับ นี่พ่อก็เพิ่งถึงบ้านเมื่อกี้นี้เอง ไม่เห็นลูกอยู่ข้างล่างก็เลยขึ้นมาหา...พ่อไม่ได้เข้ามารบกวนเวลาแต่งนิยายใช่มั้ย"
“กวนเกินอะไรกันละคะพ่อ กอหญ้าแค่ เอ่อ พักสายตานิดหน่อยน่ะค่ะ นั่งแต่งนิยายซะเมื่อยไปทั้งตัว” ไม่พูดเปล่าลูกสาวยังบิดกายไปมา กลัวบิดาไม่เชื่อว่ารู้สึกเมื่อยจริงๆ นั่นแหละบิดาเลยมีรอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นที่มุมปากแต่เป็นรอยยิ้มขันแกมเอ็นดูเสียมากกว่า โยกศีรษะลูกสาวไปมา ในสายตาของผู้เป็นบิดายังไงลูกก็ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ อยู่วันยังค่ำ
“ถ้าเมื่อยก็ลงไปเดินเล่นพักสมองบ้าง บ้านเราออกตั้งกว้าง สวนหน้าบ้านก็มี ลูกอุดอู้อยู่แต่ในห้องนอนทั้งวันไอเดียไม่น่าแล่นนะ”
คำว่า ‘ไอเดียไม่น่าแล่น’ ลูกสาวได้แต่ยิ้มแห้งๆ อยากบอกบิดาว่าตอนนี้อย่าว่าแต่ไอเดียจะแล่นไม่แล่นเลย ขอให้วิญญาณนักเขียนกลับเข้าร่างให้ได้ก่อน หรือมันหลุดออกจากร่างหล่อนไปกองๆ อยู่ใต้โต๊ะเมื่อกี้นี้รึเปล่าก็ไม่รู้ สงสัยต้องเรียกคุณริวจิตสัมผัสมาติดต่อวิญญาณนักเขียนของหล่อนเสียหน่อย
“หาอะไรเจ้ากอหญ้า”
“คะ?” ลูกสาวลืมตัวเผลอก้มๆ เงยๆ มองใต้โต๊ะคอมพิวเตอร์ที่เพิ่งลุกมาเมื่อครู่ ได้ยินบิดาทักเลยหันกลับมามีสีหน้าเหรอหรา
“เจ้ากอหญ้านะเจ้ากอหญ้า” ภาสกรมักเรียกชื่อลูกสาวแบบนี้เสมอเวลาอ่อนใจ เดาได้ว่าลูกสาวคงมโนอะไรไปเรื่อยเปื่อยอีกตามเคยเลยส่ายหน้าระอา...ที่เข้ามาหาลูกสาวในห้องเพราะมีเรื่องสำคัญอยากจะคุยด้วยต่างหาก
“ลูกไม่อยากรู้หน่อยหรอว่าพ่อไปกินเลี้ยงกับเพื่อนร้านไหนมา รับรองลูกต้องนึกไม่ถึงแน่ๆ...ร้านอาตะวันเขาไงลูก” บิดาเล่นถามเองตอบเองเสร็จสรรพ
“เอ๊ะ ลูกเคยเจออาเขาใช่มั้ย”
กันติชานิ่วหน้า ก่อนหน้านี้บิดาแค่บอกไว้ว่าจะไปสังสรรค์กับเพื่อนเก่าสมัยเรียนชั้นมัธยมศึกษา ชื่อของคนที่ถูกเอ่ยถึงเลยชวนให้กันติชางุนงงเล็กน้อย วินาทีนั้นเอง หน้าน้องชายคนเล็กสุดของบิดาแวบผ่านเข้ามาในความทรงจำ ร้องอ๋อขึ้นมาทันที
‘อาตะวัน’ เป็นน้องชายของภาสกร แต่คนละพ่อคนละแม่ พูดง่ายๆ คืออาตะวันเป็นลูกติดของภรรยาใหม่ของปู่กันติชาอีกที เลยมีศักดิ์เป็นน้อง(ไม่แท้)ของภาสกรที่มีอายุห่างกันถึงยี่สิบกว่าปี
แต่แล้วกันติชากลับเบ้หน้า
“พ่อกับเพื่อนๆ นึกยังไงไปกินเลี้ยงร้านอาตะวัน เจอเจ้าของร้านแบบนั้น กินกันลงเหรอคะ”
“ทำไมลูกพูดถึงอาเขาแบบนั้น”
“โห พ่อไม่รู้อะไร” กันติชาเสียงสูงชนิดที่ถ้าติดเพดานได้คงติดเพดานห้องไปแล้ว “กอหญ้าเจออาตะวันแค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้วค่ะ ก็วันที่คุณปู่จดทะเบียนกับคุณเสาวภาไง พ่อกับแม่พากอหญ้ากับพี่น้ำไปร่วมกินข้าวเย็นที่บ้านใหญ่ด้วย อาตะวันงี้หน้าหงิกหน้างออย่างกับยักษ์ขมูขี แถมชอบเต๊ะท่าทำเหมือนตัวเองหล่อตาย กอหญ้าเข้าไปคุยเล่นด้วยก็หยิ่งไม่ตอบ บรื๋อ น่ากลัวชะมัด"
"...ก็นานแล้วเหมือนกันนะ" ภาสกรนึกตามที่ลูกสาวเล่า แอบทึ่งอยู่ในใจที่ลูกสาวยังจำได้แม่น
ตอนนั้นกันติชาน่าจะอายุแค่เก้าขวบเห็นจะได้ ด้วยความที่ภาสกรพอแต่งงานกับเยาวมาลย์ก็แยกออกไปอยู่ข้างนอก ไม่ได้อยู่กับน้องๆ ที่บ้านใหญ่ของบิดา พอรู้ข่าวเรื่องแต่งงานใหม่ภาสกรเลยพาภรรยาและลูกสาวทั้งสองซึ่งก็คือกัญญากับกันติชาไปร่วมแสดงความยินดีด้วยที่บ้านใหญ่ เพราะบิดาจดทะเบียนสมรสใหม่กับเสาวภา...มารดาของตะวัน และมีกินเลี้ยงกันแค่ภายในครอบครัว ซึ่งจัดที่บ้านใหญ่แทนการจัดงานแต่ง วันนั้นกันติชาถึงได้รู้จักกับเสาวภาและตะวันในฐานะคุณย่าคนใหม่และคุณอาจำเป็น
“วันนั้นอาตะวันคงอารมณ์ไม่ค่อยดีมั้ง” ภาสกรพอจะรู้สถานการณ์ของคนในบ้านใหญ่อยู่บ้างเลยช่วยหาข้ออ้าง เผื่อลูกสาวจะมองอาชายของตัวเองในแง่ดีขึ้นมานิด
“ที่จริงพ่อก็ไม่ได้เป็นคนชวนเพื่อนๆ ไปกินร้านอาตะวันเขาหรอก เผอิญมีเพื่อนในกลุ่มเคยไปกินแล้วติดใจก็เลยนัดกันไป จะว่าไปนึกแล้วพ่อยังขำไม่หาย เพื่อนพ่อไม่รู้หรอกว่าร้านนั้นเป็นของใคร อย่าว่าแต่มันเลย พ่อเองทีแรกตอนเห็นชื่อร้านก็คุ้นนะ แต่จำแทบไม่ได้ว่าเป็นร้านของอาตะวันเขา ไม่น่าเชื่อ ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่ปีร้านดูกว้างขวางขึ้นเยอะ ล่าสุดที่เจอกันเห็นยังเป็นแค่ตึกแถวโทรมๆ อยู่เลย”
“อย่าบอกนะคะว่าพ่อไปกินแล้วเกิดติดใจอีกคน จะชวนกอหญ้าไปกิน?”
ระหว่างที่สองพ่อลูกกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเรียกความสนใจจากทั้งสอง หยุดการสนทนาถึงบุคคลที่สามชั่วขณะ
ด้วยความที่ห้องนอนกันติชาไม่ได้ล็อค คนเคาะจึงเปิดประตูเข้ามาได้อย่างง่ายดาย เยาวมาลย์นั่นเอง หล่อนกลับมาจากที่ทำงานก่อนหน้าที่สามีจะกลับมาจากกินเลี้ยงแล้วล่ะ เห็นสามีหายไปนานเลยโผล่หน้าเข้ามาหาลูกสาวเช่นกัน
“กินขนมหน่อยมั้ยเจ้ากอหญ้า พ่อเขาซื้อมาเยอะเลย แต่งนิยายไปกินไปสมองจะได้ลื่นไหล”
เยาวมาลย์วางจานขนมที่ว่าไว้ข้างคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงานของลูกสาว
“มาการองนี่คะแม่” กันติชาตาวาวเมื่อเห็นขนมสุดโปรดลอยมาเสิร์ฟถึงที่ ไม่รีรอลุกมาคว้าใส่ปาก เคี้ยวตุ้ย
ขนมที่กันติชาเรียกว่า ‘มาการอง’ นั้น มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคุกกี้ชิ้นเล็กแผ่นเรียบกลมสองชิ้นประกบกัน สอดไส้ช็อกโกแลต มีหลากหลายสีคละกันไปแต่มีสีสันแสบทรวงทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นสีชมพู สีเขียว และสีส้ม กันติชามักซื้อทานตอนไปห้างสรรพสินค้าหรูกับครอบครัว
ทว่าคำแรกที่ได้ลิ้มรสมาการองชิ้นที่มารดาจัดใส่จานมาให้ กันติชาถึงกับร้องอื้อหืออยู่ในคอ สัมผัสได้ถึงความหอมหวานนุ่มละมุนละลายในปาก ไม่รู้ว่าคนทำทำอร่อยหรือคนทานกำลังหิวกันแน่ เพราะตั้งแต่เที่ยงกันติชายังไม่ได้ทานอะไรสักอย่าง มัวแต่เครียดเรื่องนิยายนั่นแหละ
“ลูกว่ายังไงบ้างคะคุณ”
“ผมกำลังจะบอกลูกอยู่พอดี คุณก็เข้ามาก่อน”
“อ้าว ก็ฉันนึกว่าคุณ....”
ภาสกรกับเยาวมาลย์ซุบซิบกันอยู่ด้านหลัง คนที่กำลังเคี้ยวตุ้ยๆ เอร็ดอร่อยกับมาการองเลยชะงัก เหลือบสายตามองเงาสะท้อนบนบานกระจกเหนือโต๊ะเครื่องแป้งซึ่งอยู่ติดกับโต๊ะทำงาน เห็นมารดาเอาขนมมาให้แล้วก็ยังยืนคุยอยู่กับบิดาที่ปลายเตียง
ลูกสาวเริ่มได้กลิ่นตุๆ เพราะได้ยินทั้งสองเอ่ยถึง ไม่วายมารดาตอนเปิดประตูเข้ามาในห้อง มีท่าทางแปลกๆ เหมือนคนกระวนกระวายใจอดรนทนไม่ไหวถึงได้เข้ามามากกว่าที่จะตั้งใจเอาขนมมาให้
“พ่อกับแม่มีอะไรรึเปล่าคะ” กันติชาหันกลับมาคุยด้วย นั่นเองภาสกรกับเยาวมาลย์ถึงได้เลิกซุบซิบ หากไม่มีคำตอบให้ลูกสาว บิดามารดากำลังเกี่ยงกันอย่างกับกลัวลูกสาวระเบิดลง หารู้ไม่ว่าสีหน้ากระอักกระอ่วนของทั้งสองยิ่งทำให้คนได้กลิ่นตุๆ หวั่นใจ มีสีหน้าไม่ดีให้เห็นเหมือนกัน ร้อนถึงเยาวมาลย์กระทุ้งแขนภาสกรให้เป็นฝ่ายเข้าเรื่อง ภาสกรเลยทำเสียงฮึดฮัดในลำคอ เอ่ยบอกลูกสาวว่า
“คืองี้เจ้ากอหญ้า”
คราวนี้เป็นบิดาที่ดึงลูกสาวให้กลับมานั่งบนเตียงด้วยกัน สีหน้าและท่าทางจริงจังกว่าตอนแรกมาก
“ที่เมื่อกี้พ่อเล่าเรื่องอาตะวันให้ลูกฟัง พ่อกับแม่ตัดสินใจกันแล้วว่าอยากให้ลูกไปช่วยงานอาตะวันเขา ร้านอาเขากำลังขาดคนน่ะลูก” #
“พ่อ...”
กันติชามัวแต่รันทดชีวิตตัวเอง ไม่ทันรู้ตัวว่าภาสกรเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนตั้งแต่เมื่อไหร่หยุดยืนอยู่ข้างกาย ไออุ่นจากมือของบิดาวัยห้าสิบตอนปลายที่สัมผัสแผ่นหลังอย่างอ่อนโยน ฉุดลูกสาวเงยหน้าขึ้นจากอาการหมดสภาพนั้น สบประสานสายตา
ภาสกรยิ้มให้ลูกสาว เป็นรอยยิ้มที่ละมุนละไมให้ความรู้สึกถึงความอ่อนโยนและอบอุ่นไม่แพ้สัมผัสเมื่อครู่ ลูกสาวเลยกระตือรือร้นลุกขึ้น หันซ้ายแลขวามองหาที่นั่งให้บิดา พอเห็นแต่ข้าวของตัวเองวางระเกะระกะเต็มห้องไปหมดเลยเข้ามาโอบเอวบิดาพาไปนั่งที่ปลายเตียงด้วยกัน
"ไหนว่าวันนี้มีไปกินเลี้ยงกับเพื่อนไงคะพ่อ นึกว่าจะกลับบ้านค่ำเสียอีก" ลูกสาวพูดแล้วเอี้ยวตัวดูเวลาจากนาฬิกาบนโต๊ะข้างหัวเตียง "เพิ่งจะห้าโมงเย็นเองค่ะ"
"เพื่อนมากันอยู่สามสี่คนเองลูก ได้คุยกันพอหอมปากหอมคอก็ต่างคนต่างกลับ นี่พ่อก็เพิ่งถึงบ้านเมื่อกี้นี้เอง ไม่เห็นลูกอยู่ข้างล่างก็เลยขึ้นมาหา...พ่อไม่ได้เข้ามารบกวนเวลาแต่งนิยายใช่มั้ย"
“กวนเกินอะไรกันละคะพ่อ กอหญ้าแค่ เอ่อ พักสายตานิดหน่อยน่ะค่ะ นั่งแต่งนิยายซะเมื่อยไปทั้งตัว” ไม่พูดเปล่าลูกสาวยังบิดกายไปมา กลัวบิดาไม่เชื่อว่ารู้สึกเมื่อยจริงๆ นั่นแหละบิดาเลยมีรอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นที่มุมปากแต่เป็นรอยยิ้มขันแกมเอ็นดูเสียมากกว่า โยกศีรษะลูกสาวไปมา ในสายตาของผู้เป็นบิดายังไงลูกก็ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ อยู่วันยังค่ำ
“ถ้าเมื่อยก็ลงไปเดินเล่นพักสมองบ้าง บ้านเราออกตั้งกว้าง สวนหน้าบ้านก็มี ลูกอุดอู้อยู่แต่ในห้องนอนทั้งวันไอเดียไม่น่าแล่นนะ”
คำว่า ‘ไอเดียไม่น่าแล่น’ ลูกสาวได้แต่ยิ้มแห้งๆ อยากบอกบิดาว่าตอนนี้อย่าว่าแต่ไอเดียจะแล่นไม่แล่นเลย ขอให้วิญญาณนักเขียนกลับเข้าร่างให้ได้ก่อน หรือมันหลุดออกจากร่างหล่อนไปกองๆ อยู่ใต้โต๊ะเมื่อกี้นี้รึเปล่าก็ไม่รู้ สงสัยต้องเรียกคุณริวจิตสัมผัสมาติดต่อวิญญาณนักเขียนของหล่อนเสียหน่อย
“หาอะไรเจ้ากอหญ้า”
“คะ?” ลูกสาวลืมตัวเผลอก้มๆ เงยๆ มองใต้โต๊ะคอมพิวเตอร์ที่เพิ่งลุกมาเมื่อครู่ ได้ยินบิดาทักเลยหันกลับมามีสีหน้าเหรอหรา
“เจ้ากอหญ้านะเจ้ากอหญ้า” ภาสกรมักเรียกชื่อลูกสาวแบบนี้เสมอเวลาอ่อนใจ เดาได้ว่าลูกสาวคงมโนอะไรไปเรื่อยเปื่อยอีกตามเคยเลยส่ายหน้าระอา...ที่เข้ามาหาลูกสาวในห้องเพราะมีเรื่องสำคัญอยากจะคุยด้วยต่างหาก
“ลูกไม่อยากรู้หน่อยหรอว่าพ่อไปกินเลี้ยงกับเพื่อนร้านไหนมา รับรองลูกต้องนึกไม่ถึงแน่ๆ...ร้านอาตะวันเขาไงลูก” บิดาเล่นถามเองตอบเองเสร็จสรรพ
“เอ๊ะ ลูกเคยเจออาเขาใช่มั้ย”
กันติชานิ่วหน้า ก่อนหน้านี้บิดาแค่บอกไว้ว่าจะไปสังสรรค์กับเพื่อนเก่าสมัยเรียนชั้นมัธยมศึกษา ชื่อของคนที่ถูกเอ่ยถึงเลยชวนให้กันติชางุนงงเล็กน้อย วินาทีนั้นเอง หน้าน้องชายคนเล็กสุดของบิดาแวบผ่านเข้ามาในความทรงจำ ร้องอ๋อขึ้นมาทันที
‘อาตะวัน’ เป็นน้องชายของภาสกร แต่คนละพ่อคนละแม่ พูดง่ายๆ คืออาตะวันเป็นลูกติดของภรรยาใหม่ของปู่กันติชาอีกที เลยมีศักดิ์เป็นน้อง(ไม่แท้)ของภาสกรที่มีอายุห่างกันถึงยี่สิบกว่าปี
แต่แล้วกันติชากลับเบ้หน้า
“พ่อกับเพื่อนๆ นึกยังไงไปกินเลี้ยงร้านอาตะวัน เจอเจ้าของร้านแบบนั้น กินกันลงเหรอคะ”
“ทำไมลูกพูดถึงอาเขาแบบนั้น”
“โห พ่อไม่รู้อะไร” กันติชาเสียงสูงชนิดที่ถ้าติดเพดานได้คงติดเพดานห้องไปแล้ว “กอหญ้าเจออาตะวันแค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้วค่ะ ก็วันที่คุณปู่จดทะเบียนกับคุณเสาวภาไง พ่อกับแม่พากอหญ้ากับพี่น้ำไปร่วมกินข้าวเย็นที่บ้านใหญ่ด้วย อาตะวันงี้หน้าหงิกหน้างออย่างกับยักษ์ขมูขี แถมชอบเต๊ะท่าทำเหมือนตัวเองหล่อตาย กอหญ้าเข้าไปคุยเล่นด้วยก็หยิ่งไม่ตอบ บรื๋อ น่ากลัวชะมัด"
"...ก็นานแล้วเหมือนกันนะ" ภาสกรนึกตามที่ลูกสาวเล่า แอบทึ่งอยู่ในใจที่ลูกสาวยังจำได้แม่น
ตอนนั้นกันติชาน่าจะอายุแค่เก้าขวบเห็นจะได้ ด้วยความที่ภาสกรพอแต่งงานกับเยาวมาลย์ก็แยกออกไปอยู่ข้างนอก ไม่ได้อยู่กับน้องๆ ที่บ้านใหญ่ของบิดา พอรู้ข่าวเรื่องแต่งงานใหม่ภาสกรเลยพาภรรยาและลูกสาวทั้งสองซึ่งก็คือกัญญากับกันติชาไปร่วมแสดงความยินดีด้วยที่บ้านใหญ่ เพราะบิดาจดทะเบียนสมรสใหม่กับเสาวภา...มารดาของตะวัน และมีกินเลี้ยงกันแค่ภายในครอบครัว ซึ่งจัดที่บ้านใหญ่แทนการจัดงานแต่ง วันนั้นกันติชาถึงได้รู้จักกับเสาวภาและตะวันในฐานะคุณย่าคนใหม่และคุณอาจำเป็น
“วันนั้นอาตะวันคงอารมณ์ไม่ค่อยดีมั้ง” ภาสกรพอจะรู้สถานการณ์ของคนในบ้านใหญ่อยู่บ้างเลยช่วยหาข้ออ้าง เผื่อลูกสาวจะมองอาชายของตัวเองในแง่ดีขึ้นมานิด
“ที่จริงพ่อก็ไม่ได้เป็นคนชวนเพื่อนๆ ไปกินร้านอาตะวันเขาหรอก เผอิญมีเพื่อนในกลุ่มเคยไปกินแล้วติดใจก็เลยนัดกันไป จะว่าไปนึกแล้วพ่อยังขำไม่หาย เพื่อนพ่อไม่รู้หรอกว่าร้านนั้นเป็นของใคร อย่าว่าแต่มันเลย พ่อเองทีแรกตอนเห็นชื่อร้านก็คุ้นนะ แต่จำแทบไม่ได้ว่าเป็นร้านของอาตะวันเขา ไม่น่าเชื่อ ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่ปีร้านดูกว้างขวางขึ้นเยอะ ล่าสุดที่เจอกันเห็นยังเป็นแค่ตึกแถวโทรมๆ อยู่เลย”
“อย่าบอกนะคะว่าพ่อไปกินแล้วเกิดติดใจอีกคน จะชวนกอหญ้าไปกิน?”
ระหว่างที่สองพ่อลูกกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเรียกความสนใจจากทั้งสอง หยุดการสนทนาถึงบุคคลที่สามชั่วขณะ
ด้วยความที่ห้องนอนกันติชาไม่ได้ล็อค คนเคาะจึงเปิดประตูเข้ามาได้อย่างง่ายดาย เยาวมาลย์นั่นเอง หล่อนกลับมาจากที่ทำงานก่อนหน้าที่สามีจะกลับมาจากกินเลี้ยงแล้วล่ะ เห็นสามีหายไปนานเลยโผล่หน้าเข้ามาหาลูกสาวเช่นกัน
“กินขนมหน่อยมั้ยเจ้ากอหญ้า พ่อเขาซื้อมาเยอะเลย แต่งนิยายไปกินไปสมองจะได้ลื่นไหล”
เยาวมาลย์วางจานขนมที่ว่าไว้ข้างคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงานของลูกสาว
“มาการองนี่คะแม่” กันติชาตาวาวเมื่อเห็นขนมสุดโปรดลอยมาเสิร์ฟถึงที่ ไม่รีรอลุกมาคว้าใส่ปาก เคี้ยวตุ้ย
ขนมที่กันติชาเรียกว่า ‘มาการอง’ นั้น มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคุกกี้ชิ้นเล็กแผ่นเรียบกลมสองชิ้นประกบกัน สอดไส้ช็อกโกแลต มีหลากหลายสีคละกันไปแต่มีสีสันแสบทรวงทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นสีชมพู สีเขียว และสีส้ม กันติชามักซื้อทานตอนไปห้างสรรพสินค้าหรูกับครอบครัว
ทว่าคำแรกที่ได้ลิ้มรสมาการองชิ้นที่มารดาจัดใส่จานมาให้ กันติชาถึงกับร้องอื้อหืออยู่ในคอ สัมผัสได้ถึงความหอมหวานนุ่มละมุนละลายในปาก ไม่รู้ว่าคนทำทำอร่อยหรือคนทานกำลังหิวกันแน่ เพราะตั้งแต่เที่ยงกันติชายังไม่ได้ทานอะไรสักอย่าง มัวแต่เครียดเรื่องนิยายนั่นแหละ
“ลูกว่ายังไงบ้างคะคุณ”
“ผมกำลังจะบอกลูกอยู่พอดี คุณก็เข้ามาก่อน”
“อ้าว ก็ฉันนึกว่าคุณ....”
ภาสกรกับเยาวมาลย์ซุบซิบกันอยู่ด้านหลัง คนที่กำลังเคี้ยวตุ้ยๆ เอร็ดอร่อยกับมาการองเลยชะงัก เหลือบสายตามองเงาสะท้อนบนบานกระจกเหนือโต๊ะเครื่องแป้งซึ่งอยู่ติดกับโต๊ะทำงาน เห็นมารดาเอาขนมมาให้แล้วก็ยังยืนคุยอยู่กับบิดาที่ปลายเตียง
ลูกสาวเริ่มได้กลิ่นตุๆ เพราะได้ยินทั้งสองเอ่ยถึง ไม่วายมารดาตอนเปิดประตูเข้ามาในห้อง มีท่าทางแปลกๆ เหมือนคนกระวนกระวายใจอดรนทนไม่ไหวถึงได้เข้ามามากกว่าที่จะตั้งใจเอาขนมมาให้
“พ่อกับแม่มีอะไรรึเปล่าคะ” กันติชาหันกลับมาคุยด้วย นั่นเองภาสกรกับเยาวมาลย์ถึงได้เลิกซุบซิบ หากไม่มีคำตอบให้ลูกสาว บิดามารดากำลังเกี่ยงกันอย่างกับกลัวลูกสาวระเบิดลง หารู้ไม่ว่าสีหน้ากระอักกระอ่วนของทั้งสองยิ่งทำให้คนได้กลิ่นตุๆ หวั่นใจ มีสีหน้าไม่ดีให้เห็นเหมือนกัน ร้อนถึงเยาวมาลย์กระทุ้งแขนภาสกรให้เป็นฝ่ายเข้าเรื่อง ภาสกรเลยทำเสียงฮึดฮัดในลำคอ เอ่ยบอกลูกสาวว่า
“คืองี้เจ้ากอหญ้า”
คราวนี้เป็นบิดาที่ดึงลูกสาวให้กลับมานั่งบนเตียงด้วยกัน สีหน้าและท่าทางจริงจังกว่าตอนแรกมาก
“ที่เมื่อกี้พ่อเล่าเรื่องอาตะวันให้ลูกฟัง พ่อกับแม่ตัดสินใจกันแล้วว่าอยากให้ลูกไปช่วยงานอาตะวันเขา ร้านอาเขากำลังขาดคนน่ะลูก” #
สรัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 มิ.ย. 2559, 19:49:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 มิ.ย. 2559, 19:49:12 น.
จำนวนการเข้าชม : 885
<< บทที่ 1---50% | บทที่ 2---35% >> |
แว่นใส 17 มิ.ย. 2559, 20:36:21 น.
จะรอดไหมล่ะเนี่ย
จะรอดไหมล่ะเนี่ย
สรัน 18 มิ.ย. 2559, 00:03:13 น.
@แว่นใส---อ๊ายยย จำได้^^ ว่าแต่จะรอดรึเปล่านั้น ถามรันหรือกอหญ้า คิกๆๆๆๆ
@แว่นใส---อ๊ายยย จำได้^^ ว่าแต่จะรอดรึเปล่านั้น ถามรันหรือกอหญ้า คิกๆๆๆๆ
Zephyr 19 มิ.ย. 2559, 10:30:39 น.
ระวังร้านระเบิดตั้งแต่วิแรกที่นางเหนียบร้านนะ
ระวังร้านระเบิดตั้งแต่วิแรกที่นางเหนียบร้านนะ
สรัน 24 มิ.ย. 2559, 20:18:09 น.
@Zephyr----อาตะวันคงต้องคิดหนักแล้วล่ะถ้าจะรับลูกจ้างอย่างกอหญ้า5555555
@Zephyr----อาตะวันคงต้องคิดหนักแล้วล่ะถ้าจะรับลูกจ้างอย่างกอหญ้า5555555