ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๗ ปณิธานความขี้เกียจ

ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๗ ปณิธานความขี้เกียจ

ในโลกใบนี้ ‘ยุทธภพ’ หาใช่เมืองหรืออาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่ง แต่สื่อถึงทุกเขตแดนที่มีผู้ฝึกยุทธ์อาศัย ดังนั้นการได้ขึ้นเป็นผู้นำยุทธภพ ย่อมหมายถึงการได้ครอบครองอิทธิพลและกำลังคนมหาศาล เพื่อป้องกันมิให้อำนาจตกอยู่ในมือคนคนเดียว จึงให้มีผู้นำสูงสุดสี่ตำแหน่ง แบ่งตามเขตอิทธิพล ประกอบด้วย ประมุขแดนอุดร ประมุขแดนทักษิณ ประมุขแดนบูรพา และประมุขแดนประจิม

นับแต่โบราณกาลมา ผู้นำสูงสุดทั้งสี่ล้วนยึดหลักการเกื้อหนุน ภายใต้ข้อตกลงว่าจะไม่ก้าวก่ายเรื่องภายในของกัน ยุทธภพจึงอยู่ในความสุขสงบเป็นส่วนใหญ่ จนกระทั่งเมื่อสองร้อยปีก่อน บุรุษผู้ที่ได้รับการขนานนามว่า ‘มารเงิน’ ได้ถือกำเนิด เขาประกาศตัวอย่างชัดแจ้งว่าอยู่ฝ่ายอธรรมและตั้งพรรคมารขึ้นมา โดยมีคติว่าจะปราบอริให้สิ้น คำประกาศของมารเงินหาใช่เพียงลมปาก แม้จะทำการอย่างบุ่มบ่ามโผงผาง แต่การเคลื่อนไหวของคนผู้นี้ก็ได้ทำลายสมดุลอำนาจจนย่อยยับ รวมถึงส่งผลกระทบให้เกิดกลียุคที่เรียกว่า ‘มหาสงคราม’

มารเงินเข้าไปยุยงปลุกปั่นราชสำนักในแต่ละแคว้น ให้หันดาบเข้าหาเหล่าชาวยุทธ์ที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อตน เขาชักนำเจ้าแคว้นที่ละโมบให้ทำสงครามขยายอำนาจ ส่งผลให้ให้ดวงวิญญาณของผู้บริสุทธิ์หลายล้านดวงถูกเซ่นสังเวย ผู้คนเดือดร้อนทุกย่อมหญ้า เมฆหมอกแห่งความตายและความหวาดกลัวแผ่ขยายลุกลามไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งมันได้

ผู้คนล้วนเฝ้าภาวนาให้มีผู้กล้ามาปราบมาร ไม่ก็วิงวอนให้ชาวยุทธ์ผนึกกำลังกันเพื่อกำจัดมารเงิน ทว่าคำภาวนานี้ไร้ผล ใครที่อาจหาญลุกขึ้นมาต่อกรกับมารเงินล้วนถูกปลิดชีพก่อนจะทันได้ชี้นิ้วท้าสู้ เมื่อความหวังถูกทำลายครั้งแล้วครั้งเล่า ผู้คนก็ต้องยอมรับชะตา ใช้ชีวิตอยู่ใต้เงามืดของมารร้าย เพื่อปกป้องลมหายใจให้อยู่รอดไปวันๆ

หลายสิบปีผ่านไปพอผู้คนคุ้นชินกับการปกครองของพรรคมาร อำนาจชั่วร้ายกลับอ่อนกำลังลงดื้อๆ เหตุเพราะมารเงินแก่ชรา สุดท้ายก็ไม่ลืมตาขึ้นมาอีก ฝ่ายที่ต้องทนถูกกดขี่อยู่ใต้ฝ่าเท้าล้วนเฉลิมฉลองให้กับความตายของประมุขพรรคมาร โดยที่ไม่รู้เลยว่านี่เป็นเพียงการหลับไปชั่วคราวเท่านั้น

มารเงินได้สำเร็จวิชาอมตะก่อนความตายจะมาเยือน ทำให้สามารถถือกำเนิดใหม่ กลับมาหนุ่มแน่นได้ทุกครั้งที่สังขารร่วงโรย การกลับมาครั้งที่สองของมารเงินนำมาซึ่งหายนะตามคาด ทว่าหนนี้เขาไม่บุ่มบ่ามทวงสิทธิ์ของตนคืน แต่เคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง กว่าเหล่าชาวยุทธ์จะรู้ตัว พรรคมารก็กลับมาเรืองอำนาจอีกครั้งอย่างมั่นคง

บทเรียนจากหายนะคราวก่อนทำให้หลายพรรคตัดสินใจสวามิภักดิ์ต่อพรรคมาร ความเสียหายจึงเบาบางลง แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะยอมศิโรราบ ทำตัวอย่างเต่าหัวหด ชายหนุ่มผู้กล้าหาญคนหนึ่ง ปรากฏกายขึ้นพร้อมกับกระบี่หิมะ แล้วใช้มันสังหารประมุขพรรคมารจนดับแดดิ้น

ข่าวลือว่ามารเงินตายแล้วทำให้ชาวยุทธ์ล้วนยินดี มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่รู้ว่าอิสรภาพที่เห็นอยู่นี้ไม่ยั่งยืน ศพมารเงินหายไปก่อนจะถูกทำลาย ผู้นำของพรรคมารต้องกลับมาแน่ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ความจริงอันน่าหวาดหวั่นนี้ถูกเก็บเอาไว้เป็นความลับ มิเคยแพร่งพรายออกไปเพื่อให้การขุดรากถอนโคนพรรคมารเป็นไปอย่างราบรื่น ถึงกระนั้นก็ยังต้องใช้เวลากว่าสิบปี พรรคมารจึงเสื่อมอำนาจอย่างแท้จริง

เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไปมารเงินก็กลายเป็นเพียงตำนาน ทิ้งเมล็ดพันธุ์แห่งความหวาดวิตกเอาไว้ในจิตใจของผู้ที่ทราบความจริง ทุกคนได้แต่หวังว่าอย่าให้ประมุขพรรคมารฟื้นขึ้นมาอีกเลยตลอดกาล ทว่าความหวังนี้กลับเป็นเพียงฝันเลื่อนลอย บัดนี้ประมุขพรรคมารได้ฟื้นตื่นขึ้นมาอีกครั้งและพร้อมจะประกาศศักดาในไม่ช้านี้

พรรคเทพสวรรค์เป็นที่แรกที่รับรู้การเคลื่อนไหวของพรรคมาร เหตุเพราะส่งคนมาจับตาดูความเคลื่อนไหวเอาไว้ตั้งแต่ต้น เนื่องจากที่ตั้งพรรคก็ไม่ห่างจากแดนมายามากนัก หากเกิดอะไรขึ้นพรรคเทพสวรรค์จะเป็นปราการด่านแรกที่ต้องรับศึก

ประมุขมู่หรือประมุขอุดรคนปัจจุบันเร่งส่งจดหมายเตือนไปทั่วยุทธภพ รวมถึงเรียกประชุมผู้นำสูงสุดและเหล่าผู้อาวุโสในยุทธภพโดยด่วน ชาวยุทธ์ทั้งหลายต่างเร่งรีบกันมารวมตัวที่หุบเขาหิมะ ไม่ก็ตั้งค่ายที่ชายป่าเพื่อดูลาดเลาและเตรียมรับศึก ทว่าพรรคมารกลับไม่มีการเคลื่อนไหว พอฤดูหนาวย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิ พวกคนรุ่นใหม่ก็เริ่มเบื่อหน่าย เห็นว่าการเตรียมพร้อมในครั้งนี้เป็นการตื่นตูมที่เสียเวลายิ่ง

“ข้ามาอยู่นี่สองเดือนแล้วนะ ไม่เห็นจะมีพวกพรรคมารที่ไหนบุกมาเลย เห็นทีจะเป็นแค่ข่าวโคมลอยกระมัง” จอมยุทธ์วัยยี่สิบเศษมองผืนป่าอันเงียบสงบแล้วถอนใจ

เขามาอยู่นี่ตั้งแต่ได้รับการแจ้งเตือน นับเวลาก็สองเดือนเข้าไปแล้ว ความกระตือรือร้นที่เคยมีแห้งเหือดไปจนสิ้น

“ลำพังแค่รอไม่เท่าไรหรอก แต่อาหารการกินนี่สิที่เหลือทน” เพื่อนสนิทที่มาด้วยกันเสริม

ข่าวเรื่องมารเงินฟื้นคืนทำให้สำนักต่างๆ ส่งตัวแทนเดินทางมาที่นี่เป็นจำนวนมาก ความที่เร่งรีบมาจึงมิได้คำนึงถึงเรื่องเสบียงอาหาร อาศัยหาเอาตามรายทางเป็นหลัก พอคนมากเข้าก็เป็นเหตุให้เกิดการแย่งชิง กลายเป็นขัดแย้งกันเอง แม้ตอนหลังจะแก้ไขด้วยการสั่งห้ามล่าตามอำเภอใจและมีการแจกอาหาร แต่คุณภาพก็ไม่ดีนัก จำต้องฝืนกินกันตาย

“เจ้าไม่เคยไปรบ ไม่รู้หรอกว่าอาหารที่กินทุกวันนี้ดีกว่าเสบียงกรังของกองทัพมากมาย ถ้าเป็นลูกผู้ชายก็อย่าได้บ่นอีก” ชายที่เป็นพี่ใหญ่ของกลุ่มตำหนิ

“เรื่องความเป็นอยู่ข้าไม่บ่นก็ได้ แต่เจ้ากร่างพวกนั้นมันเหลือรับจริงๆ เรียกใช้เราอย่างกับเป็นขี้ข้ามัน อยากทำนั่นก็ไม่ได้ ทำนี่ก็ห้าม ไม่มีใครเลือกให้เป็นหัวหน้าสักหน่อย กลับวางท่าเป็นผู้คุมกฎ” คนที่บ่นเรื่องอาหารเอ่ยอย่างอัดอั้น

“ใช่ๆ ข้าก็เกลียดขี้หน้ามัน โดยเฉพาะเจ้าไป๋เจี้ยนถือดีว่าเป็นบุตรของประมุขแดนอุดรเลยทำเป็นวางมาด”

ในยามที่ต้องการความสามัคคีและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเช่นนี้ การนินทาว่าร้ายพวกเดียวกันเป็นสิ่งที่ไม่สมควร แต่คนอายุมากที่สุดก็มิได้ตำหนิใคร เหตุเพราะคิดไม่ต่างกัน คนจากพรรคเทพสวรรค์แม้ไม่ได้วางอำนาจบาตรใหญ่ แต่ก็ไม่เคยเห็นคนจากที่อื่นอยู่ในสายตา ยิ่งมาจากสำนักที่ไม่สังกัดพรรคใดเช่นพวกเขายังถูกมองว่าต้อยต่ำ

“ข้าอยากหนีกลับเต็มทน ต่อให้ถูกผู้อาวุโสลงโทษก็ยอม”

เมื่อไม่ถูกห้าม ความในใจของชายหนุ่มก็พรั่งพรูออกมา

“ข้าไปด้วยสิ เก็บของไปเดี๋ยวนี้กันเลย” คนที่บ่นเรื่องอาหารรีบหันไปรวบห่อผ้า

ยังไม่ทันที่หัวหน้ากลุ่มจะห้ามปราม ทั้งสองก็ถูกไม้เท้าฟาดเข้าให้คนละทีแล้ว

“ใครบังอาจมาทำข้า!” ตัวตั้งตัวตีจะหนีกลับโวยลั่น

ในขณะที่อีกคนไม่ร้องให้เสียเวลา เขาปล่อยหมัดสวนกลับไปในทันที ผลคือหมัดหนักๆ ถูกหยุดเอาไว้อย่างง่ายดายด้วยอุ้งมือเหี่ยวย่น พอเหลียวไปมองทุกคนก็มีอันต้องหน้าซีดเพราะท่านผู้เฒ่าท่านนี้คืออดีตประมุขแดนทักษิณ เจ้าของฉายา ‘แขนเหล็กพิฆาต’

“ขะ…ขออภัยท่านผู้อาวุโส” คนพลั้งมือปล่อยหมัดรีบทรุดลงไปคุกเข่าขอขมา

พวกเขามาจากแดนใต้ จึงได้ยินกิตติศัพท์ความเด็ดขาดเข้มงวดของผู้อาวุโสท่านนี้มาไม่น้อย จึงทั้งนับถือและเกรงกลัวเป็นอย่างมาก อีกคนไม่ทันนึกออกว่าท่านผู้นี้เป็นใคร เห็นเพื่อนคุกเข่าก็คุกตามเพราะสังเกตได้ว่าเป็นผู้เฒ่าที่มีวรยุทธ์สูง

ท่านผู้เฒ่าทำหน้านิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด พี่ใหญ่ของกลุ่มจึงคุกเข่าด้วยอีกคน

“ข้าขออภัยที่อบรบดูแลศิษย์น้องร่วมสำนักไม่ดี ท่านผู้อาวุโสได้โปรดอย่าถือสา”

แขนเหล็กพิฆาตมองคนรุ่นหลานที่ท่าทางไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวแล้วก็พ่นลมหายใจออกมา

“พวกเจ้ายังเยาว์จึงเขลานัก หากไม่มีใจจะอยู่ก็จงไปเสีย อยู่ที่นี่เนิ่นนานไปรังแต่จะเอาชีวิตมาทิ้ง”

ทุกคนนิ่งงันไปเมื่อได้ยิน ทุกคนล้วนอับอายกับถ้อยคำตำหนิ แต่พี่ใหญ่ของกลุ่มนั้นพอมีสติปัญญาอยู่บ้างจึงค้อมกายขอคำชี้แนะจากผู้อาวุโส ชายชราเห็นเด็กน้อยโอนอ่อนเข้าหาจึงพูดให้ได้คิด

“พวกเจ้ารู้ไหมเหตุใดคนของพรรคเทพสวรรค์จึงดูถูกพวกเจ้า”

“เพราะ...เอ่อ...เพราะสำนักเล็กๆ ของเราไม่มีสังกัด”

แขนเหล็กพิฆาตส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าผิด

“วันๆ พวกเจ้าทำอะไรบ้าง แล้วพวกเขาทำอะไรบ้าง ลองสังเกตแล้วเปรียบเทียบดู”

ชายชราทิ้งคำพูดเอาไว้ก่อนจะเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ทั้งสามได้แต่มองหน้ากันอย่างงงงัน ความคิดที่จะกลับนั้นยังอยู่ในใจชายหนุ่มไม่เปลี่ยน แต่พวกเขาก็เลือกที่จะอยู่อีกระยะหนึ่งเพื่อสังเกต

สองสามวันผ่านไป พวกเขาก็ได้เข้าใจว่าเหตุใดจึงถูกดูแคลน คนของพรรคเทพสวรรค์ที่เห็นว่าทำตัวกร่างเดินไปเดินมาเที่ยวใช้คนอื่นนั้นความจริงมีงานยุ่งตลอด พวกเขาคอยประสานงานและไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของเหล่าจอมยุทธ์เพื่อให้ร่วมมือกันอย่างสมานฉันท์ ที่เดินไปเดินมาก็คือการตรวจตราดูความเรียบร้อย ส่วนที่ตั้งกฎว่าห้ามล่าสัตว์เองก็เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งและเพื่อความปลอดภัย

ป่านี้ค่อนข้างอันตรายและไม่รู้ว่าฝ่ายศัตรูจะบุกมาเมื่อใด ให้คนมีฝีมือสูงออกล่าจะเหมาะกว่า เนื้อที่ได้มากก็แบ่งสันปันส่วนอย่างยุติธรรม ที่น่าชื่นชมคือต่อให้งานล้นมือหรือมีเรื่องต้องทำมากมายเพียงใด พวกเขาก็ไม่เคยหยุดฝึกซ้อมเลย เสียงที่คิดว่าน่ารำคาญในตอนเช้าที่แท้ก็มาจากความขยันขันแข็งของพรรคเทพสวรรค์กับคนที่มาขอร่วมฝึกด้วย

เมื่อเปรียบเทียบกับตัวเองที่วันๆ เอาแต่กินๆ นอนๆ แล้วพร่ำบ่น ชายหนุ่มทั้งสามก็ละอายใจเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาตัดสินใจว่าจะปรับปรุงตัวใหม่ และใช้โอกาสนี้ในการพัฒนาฝีมือ

นับเป็นเรื่องดีที่ฝ่ายธรรมะได้นักสู้ฝีมือดีที่ขยันฝึกฝนเพิ่มขึ้นมาอีกสาม ทว่าต่อให้มีคนเช่นนี้เพิ่มขึ้นเป็นพันเท่า ก็ยังเป็นเพียงน้ำหยดเดียวไม่อาจดับกองไฟ นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดเรื่องสถานที่ตั้งของพรรคมารซึ่งเป็นความลับอีก หรือต่อให้รู้ทางเข้าแน่นอนก็ด่วนทำอะไรผลีผลามไม่ได้เพราะที่นี่เป็นแคว้นที่มีกำลังทหารเข้มแข็ง การเรียกระดมพลอย่างไร้เหตุผลจะทำให้เกิดข้อพิพาทกับทางการได้

เหล่าชาวยุทธ์ไม่ยึดติดกับเรื่องบาดหมางทางการเมือง ต่อให้มาจากแคว้นอริก็ยังปรองดองกันได้ แต่ราชสำนักไม่คิดเช่นนั้น หากมีกำลังพลจากต่างแคว้นหลั่งไหลมามากเกินไป ทางการย่อมต้องผลักดันออกไปเพื่อไม่ให้สั่นคลอนความมั่นคง สิ่งที่ทำได้ในขณะนี้คือเตรียมรับมือให้พร้อมที่สุดและจับตาดูการเคลื่อนไหวของพรรคมารโดยไม่ให้คลาดสายตาเท่านั้น


สี่เดือนผ่านไปนับจากวันที่มีจดหมายเตือน จนบัดนี้พรรคมารก็ยังไม่เคลื่อนไหว ตัวแทนจากสำนักต่างๆ ได้หายไปถึงสามในสิบเพราะทนรอไม่ไหว ส่วนที่ยังอยู่ต่อนั้นต่างก็ร่วมมือกันพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนให้ดีขึ้นด้วยการปลูกผักเลี้ยงสัตว์ สร้างกระท่อมขึ้นมาใช้หลบแดดฝน มีหอสังเกตการณ์เพื่อเฝ้าระวัง รวมถึงสร้างกำลังล้อมรอบเขตอาศัย จนเขตทุรกันดารติดชายแดนแปลสภาพเป็นค่ายฝึก ทางการเองก็ส่งคนมาสังเกตการณ์เช่นกัน แต่ก็กระทำการอย่างสันติวิธี จึงไม่เกิดความบาดหมาง

แม้ต้องรออย่างยาวนานจอมยุทธ์ที่อยู่ในค่ายนี้ก็ยังยึดมั่นในหน้าที่ พวกเขาล้วนเต็มใจพลีชีพเพื่อความสงบสุขของยุทธภพ ไม่ใส่ใจว่าใครจะพูดว่าเป็นการรออย่างไร้จุดหมาย ทุกคนเชื่อมั่นว่าพวกพรรคมารต้องออกมาจากที่ซ่อนไม่วันใดก็วันหนึ่ง ไม่ก็คิดอย่างหยิ่งทระนงว่าที่พวกมันไม่ยอมโผล่หัวออกมาเพราะเกรงกลัวพวกตน น่าเศร้ายิ่งนักที่ไม่มีใครรู้เลยว่าการตื่นของมารเงินในครั้งที่สามนี้มาพร้อมกับ ‘ความขี้เกียจ’ อย่างมหาศาล

หากไม่นับช่วงที่หลับใหลไป มารเงินได้ใช้ชีวิตมาแล้วกว่าร้อยปี เขาขึ้นสู่จุดสูงสุดของชีวิตอย่างการครองโลก แล้วตกต่ำลงมาในวัยชรา ก่อนจะทวงคืนอำนาจให้ตัวเองอีกครั้งเมื่อถือกำเนิดใหม่ เขาสังหารผู้คน ดิ้นรนต่อสู้มามาก เมื่อถึงจุดอิ่มตัวอาละวาดอย่างหนำใจแล้วความเบื่อหน่ายก็เข้ามาแทนที่ ประมุขพรรคมารผู้งามล่มเมืองและมีฝีมือสะเทือนฟ้าจึงตัดสินใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างขี้เกียจและเรื่อยเฉื่อยบ้าง ด้วยเหตุนี้เมื่อมีคนมารายงานว่าศัตรูมาตั้งค่ายอยู่ที่ชายป่า มารเงินก็ได้แต่โบกมืออันประกอบด้วยนิ้วเรียวยาวสองสามที แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า

“ปล่อยพวกมันบ้ากันไป”

เหล่าลูกสมุนที่ล้วนต่างกระเหี้ยนกระหือรืออยากให้พรรคมารกลับมาเรืองอำนาจเลยเข้าใจผิด ว่าท่านประมุขผู้ฉลาดล้ำของตนต้องการยั่วโทสะเหล่าอริ โดยเล่นสงครามจิตวิทยากับพวกมัน จึงพร้อมใจกันอยู่อย่างสงบและแซ่ซ้องสรรเสริญนายเหนือหัวของตนต่อไป

มารเงินเก็บตัวอยู่อย่างขี้เกียจกับสัตว์เลี้ยงตัวโตขนปุยได้ระยะหนึ่ง คนสนิทในอดีตซึ่งบัดนี้แก่ชราลงมาก ได้มาขอร้องให้เขาออกไปปรากฏโฉมให้ทุกคนได้ชมบารมีสักครั้ง

“ทำไมข้าต้องออกไป” ชายหนุ่มถามพลางปิดปากหาว

“พวกเราทุกคนล้วนรอคอยการตื่นของท่านประมุขด้วยความภักดี แต่ลำพังแค่คำพูดว่าท่านตื่นขึ้นมาแล้วยังไม่พร้อมสร้างขวัญกำลังใจให้คนหมู่มากได้ทั้งหมด ขอท่านประมุขโปรดเมตตา” ซีหยุนคุกเข่าวิงวอน

มารเงินเห็นซีหยุนมาตั้งแต่เล็ก เจ้าเด็กนี่ร้ายนักหยิ่งทระนงเป็นที่สุด ต้องลงมือสั่งสอนเสียมากมายกว่าจะได้ความเคารพกลับมา ทว่าพอแก่ตัวลงกลับนอบน้อบผิดหูผิดตา

“ไม่สมกับเป็นเจ้า ในพรรคเกิดปัญหารึ”

“มิได้ขอรับ ด้วยบารมีของท่านประมุข ทุกอย่างจึงยังเรียบร้อยดี ข้าเพียงแต่อยากให้เหล่าเด็กๆ ที่ขึ้นมาเป็นผู้อาวุโสได้กล่าวปฏิญาณแสดงความภักดีต่อท่าน และอยากให้ท่านทดสอบว่าเหมาะสมหรือไม่”

ผู้อาวุโสของพรรคมารนั้นมีด้วยกันหกลำดับ ตอนที่ประมุขฟื้นคืนชีพ ผู้อาวุโสลำดับสอง สี่และหกได้สิ้นชีวิตไปแล้ว ซีหยุนจึงขึ้นมาเป็นผู้อาวุโสลำดับสองแทน ที่ว่างอีกสามที่ที่เหลือจึงเป็นคนรุ่นใหม่ที่เข้ามารับตำแหน่ง มองอย่างผิวเผินมีคนเก่าสามคนใหม่สามสมดุลอำนาจก็เหมาะสมดี ทว่าในความเป็นจริงแล้วกลับไม่เป็นเช่นนั้น

จงชวี่ผู้อาวุโสลำดับหนึ่งไม่อาจฝึกวิชาอมตะได้สำเร็จ จึงใช้วิธีหยุดชีพจรของตนเอาไว้และลงไปนอนในโลงน้ำแข็ง โดยกำหนดเวลาเอาไว้ก่อนนายเหนือหัวระยะหนึ่ง ทว่าไม่รู้เกิดเหตุผิดพลาดประการใด จนบัดนี้ร่างของเขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะขยับเคลื่อนไหว ส่วนจิวซือสตรีหนึ่งเดียวในหมู่ผู้อาวุโสทั้งหก ก็มิได้มีความสนใจเรื่องการบริหารจัดการพรรค นางเอาเวลาช่วงที่ประมุขหลับใหลไปท่องเที่ยวและทดลองยาพิษตามที่ตนถนัด เหลือแต่ซีหยุนที่แก่ชราลงทุกวัน ไม่อาจต้านทานคลื่นลูกใหม่ได้

“ยังจะกล้าโกหกข้าอีก” ประมุขพรรคมารวางหนังสือในมือลงด้วยความไม่พอใจ

“ข้าน้อยด้อยสามารถ ขอท่านประมุขโปรดลงโทษด้วย” ซีหยุนเอ่ยเสียงเครืออย่างรู้สึกผิด

มารเงินมองเด็กหนุ่มที่กลายเป็นตาแก่เจ้าน้ำตาอย่างอ่อนใจ หลายเดือนมานี้เขาใช้ชีวิตอย่างเอื่อยเฉื่อยก็จริง แต่ก็ใช่ว่าจะปิดหูปิดตาไม่รับรู้สิ่งใด ความขัดแย้งระหว่างผู้ภักดีในกาลก่อนกับคนรุ่นใหม่มักเกิดขึ้นเสมอ และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก มารเงินรู้ว่าควรทำสิ่งใดเพื่อกำราบคนเหล่านั้น ทว่ามันขัดกับปณิธานความเกียจคร้านที่ตั้งเอาไว้มากทีเดียว

‘ไว้ข้าขี้เกียจจนเบื่อแล้วจะจัดการให้ก็แล้วกัน’

มารเงินต้องการจะเอ่ยเช่นนั้น ทว่าเมื่อได้มองเห็นแววตาอันเหนื่อยล้าของข้ารับใช้ผู้จงรักภักดีแล้ว คำพูดที่เปล่งออกมาก็เปลี่ยนไป

“ข้าจะออกไปเจอเด็กน้อยพวกนั้นสักครั้งก็ได้”

นี่ไม่ใช่ความสงสารแต่เป็นการตัดรำคาญให้พ้นตัว หากไม่รับคำคงถูกรบกวนความสงบอีกเรื่อยๆ

ซีหยุนรีบคำนับให้ด้วยความยินดี พร้อมกำหนดเองเบ็ดเสร็จว่าจะมีงานเลี้ยงฉลองให้ท่านประมุขได้พบปะกับคนอื่นๆ ในตอนหัวค่ำวันพรุ่งนี้ กำหนดเวลาอันกระชั้นชิดนี้บอกได้เป็นอย่างดีว่าผู้อาวุโสลำดับสองกลัวท่านประมุขจะเปลี่ยนใจเป็นอย่างยิ่ง

“อย่าให้เอิกเกริกนัก”

“ข้าน้อยรับบัญชา”

ซีหยุดรับคำอย่างกระฉับกระเฉงผิดกับท่าทีตอนเข้ามาเป็นอย่างมาก มองแล้วสังหรณ์ใจว่างานเลี้ยงคงจะไม่เล็กอย่างที่หวัง แรกเริ่มเดิมทีแดนมายาเปรียบเสมือนที่หลบภัยสำหรับผู้อ่อนแอ แต่บัดนี้กลับกลายเป็นเมืองที่มีผู้คนอาศัยกว่าห้าพันคน ซึ่งยังไม่นับรวมพวกที่ออกไปทำงานข้างนอก กระจายตัวแทรกซึมอยู่ทั่วยุทธภพอีกจำนวนมาก ส่วนใหญ่ล้วนอยากประจบเอาใจผู้นำที่เป็นเสมือนบุคคลในตำนาน งานเลี้ยงต้องน่ารำคาญมากแน่

คนที่อยากขี้เกียจคิดอย่างอ่อนใจ ก่อนคว้าหนังสือรวมเรื่องชวนหัวมาอ่านต่อ เรื่องเล่าเหล่านี้เก็บรวบรวมมาแต่เรื่องชั้นเยี่ยมทั้งนั้น มีตั้งแต่เรื่องเล่าโบราณยันเรื่องขำขันทันสมัย เรื่องเก่าๆ นั้นทำให้พอยิ้มได้ แต่เรื่องใหม่นี่ไม่เข้าหัวเอาเลย อ่านยังไม่ทันจบเล่มก็เบื่อหน่ายจนต้องโยนมันทิ้ง แล้วลุกขึ้นนั่งสมาธิเดินลมปราณให้เวลาหมดไปเล่นๆ อีกหนึ่งวัน

ในขณะที่เขาหลับตาลงนั้นชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าแดนมายามีผู้บุกรุกเป็นหญิงสาวแสนงาม นางไม่เพียงแต่ทำให้คืนวันอันน่าเบื่อหมดไป ยังทำลายความสงบสุขในชีวิตจนไม่เหลือชิ้นดี


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สวัสดีท้ายตอนค่ะ ในที่สุดเราก็ได้อ่านเนื้อหาเล่ม 5 กันสักที
ชะตาชีวิตท่านประมุขกับโบโบ้จะเป็นอย่างไรต่อไป มาร่วมลุ้นไปด้วยกันนะคะ

อีกเรื่องคือโน้มเปลี่ยนเพลงในหน้านิยายใหม่
แบบเพลงนี้เก็บเอาไว้ให้ภาคโบ้โดยเฉพาะเลยค่ะ
ขอรั่วสักระยะ พอหมดภาคนางแล้วจะหาเพลงจีนเพราะๆ มาใส่ให้แทนนะคะ
คืนนี้ฝันดีราตรีสวัสดิ์ค่า ^O^



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 มิ.ย. 2559, 22:19:09 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 มิ.ย. 2559, 22:32:38 น.

จำนวนการเข้าชม : 985





<< ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๖ เหนือบุพเพคือตนลิขิต   ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๘ ตัววุ่นวายอยู่ในกล่อง ๑ >>
Zephyr 21 มิ.ย. 2559, 02:55:41 น.
น่ะ มีคนมาช่วยใช้ชีวิตเรื่อยเฉื่อยละไง
น่าจะดีใจนะ หึหึ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account