ณ ที่ซึ่งเรารักกัน
ถ้าเธอมานั่งทำตัวเรียบร้อยเจี๋ยมเจี้ยมดีงามเหมือนสาวหลงยุคในนิยายทั้งหลาย
หรือจะมาทำตัวโดดเด่นเป็นสง่ามีความรู้ความสามารถด้านภาษาก็ไม่ได้อีก
เพราะกว่าจะพอเอ่ยถามฝรั่งที่มาแต่งงานกับพี่สาวข้างบ้านว่ากินข้าวหรือยังได้คล่องปากก็เพิ่งไม่กี่เดือนมานี้นี่เอง
ดังนั้นจะให้เธอแปลเอกสารสัญญาระหว่างชาติเหมือนแม่มณีจันทร์...คงเป็นชาติหน้าที่จะทำได้
แล้วฟ้าให้เธอมาทำอะไรที่นี่?
คนคิดมากนั่งเหม่อมองท้องฟ้าสดใส โอเค...ฟ้ายุคนี้สวยกว่าเมืองฟ้าอมรยุคเธอนัก แต่ก็นั่นแหละ
มันไม่ใช่บ้านเธอ ไม่ใช่ที่ทางของเธอ
เฮ้อ...ขืนอยู่นานต่อไปอีกหน่อยคงไม่ได้ความ
คุณหลวงยุคนี้ถูกสาวสมัยใหม่หลงยุคมางาบไปหมดแล้ว สาวสมัยเก่าขาดดุลคนรุ่นเธอมามากพอละ
อีกอย่าง...เธอไม่นิยมคนแก่กว่า...หลายร้อยปี
เพราะฉะนั้น ต่อให้จะหวั่นไหวกับ ‘คุณหลวง’ รูปงามตาคมปลาบนั่นมากเท่าไหร่ เธอก็ควรจะกลับบ้านไปหาพี่อดัม เลวีนกับเพลง Lost star ดีกว่า
เพราะตอนนี้...เธอรู้สึกหลงทางอยู่จริงๆ
หรือจะมาทำตัวโดดเด่นเป็นสง่ามีความรู้ความสามารถด้านภาษาก็ไม่ได้อีก
เพราะกว่าจะพอเอ่ยถามฝรั่งที่มาแต่งงานกับพี่สาวข้างบ้านว่ากินข้าวหรือยังได้คล่องปากก็เพิ่งไม่กี่เดือนมานี้นี่เอง
ดังนั้นจะให้เธอแปลเอกสารสัญญาระหว่างชาติเหมือนแม่มณีจันทร์...คงเป็นชาติหน้าที่จะทำได้
แล้วฟ้าให้เธอมาทำอะไรที่นี่?
คนคิดมากนั่งเหม่อมองท้องฟ้าสดใส โอเค...ฟ้ายุคนี้สวยกว่าเมืองฟ้าอมรยุคเธอนัก แต่ก็นั่นแหละ
มันไม่ใช่บ้านเธอ ไม่ใช่ที่ทางของเธอ
เฮ้อ...ขืนอยู่นานต่อไปอีกหน่อยคงไม่ได้ความ
คุณหลวงยุคนี้ถูกสาวสมัยใหม่หลงยุคมางาบไปหมดแล้ว สาวสมัยเก่าขาดดุลคนรุ่นเธอมามากพอละ
อีกอย่าง...เธอไม่นิยมคนแก่กว่า...หลายร้อยปี
เพราะฉะนั้น ต่อให้จะหวั่นไหวกับ ‘คุณหลวง’ รูปงามตาคมปลาบนั่นมากเท่าไหร่ เธอก็ควรจะกลับบ้านไปหาพี่อดัม เลวีนกับเพลง Lost star ดีกว่า
เพราะตอนนี้...เธอรู้สึกหลงทางอยู่จริงๆ
Tags: ย้อนเวลา, รัก, ไทยโบราณ, รัชกาลที่ 5, คุณหลวง
ตอน: บทนำ
บทนำ
เจ็บ...
ภาพแรกที่ปรากฎตรงหน้าคือหญ้าแฝกที่ถูกผูกเอาไว้เป็นตับแล้วเอามามัดเรียงเป็นหลังคา แปลกเสียจนคนที่ก่อนตื่นยังนั่งอยู่ในรถยนต์คิดว่าต้องเป็นภาพหลอนล้านเปอร์เซ็นต์
ดวงตากลมโตหลับลงอีกครั้ง คิ้วเรียวที่ใช้เวลาเขียนหน้ากระจกให้ออกมาเป็นสไตล์เกาหลีขมวดเล็กน้อย
ขมับทั้งสองข้างปวดตุบเป็นจังหวะเหมือนตีกลอง เจ็บเสียจนเก็ดถวากลั้นเสียงครางเอาไว้ไม่อยู่ แสงสว่างนวลตาที่ส่องเข้ามาจากหน้าต่างที่เปิดอ้ากว้างแยงตาเสียจนเธอต้องลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
เอาล่ะ...ไม่หลับตาก็ได้
เก็ดถวาเหลียวมองรอบตัวเท่าที่ความปวดศีรษะจะอำนวย หลังคาที่เธอเห็นยังคงเป็นหลังคามุงจากที่เก่าจนแทบไม่น่าเชื่อว่ามันจะรอดพ้นแดดลมฝนมาได้หลายฤดูกาล เมื่อหันไปมองยังต้นกำเนิดแสงสว่างก็พบว่ามันมาจากทางหน้าต่างที่เปิดกว้าง...ค้ำยันด้วยไม้ท่อนหนึ่ง หน้าต่างบานนั้นติดอยู่กับฝาไม้ไผ่สานขัดกันอย่างเรียบง่าย
ลมอ่อนที่โชยเข้ามาปะทะใบหน้าคนนอนอยู่เย็นระเรื่อย ทำให้หญิงสาวเริ่มคิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย
เมื่อวานเธอขับรถ กำลังจะมาที่บางปะกง หลังจากค้นพบว่ามีญาติที่ไม่เคยรู้จักยกมรดกส่วนหนึ่งเอาไว้ให้ตัวเอง พอทราบข่าวน่าประหลาดใจ เก็ดถวาก็ใช้เวลาอีกหลายวันเพื่อสืบหาว่าข่าวคราวของ ‘ญาติ’ คนนั้นมีจริง ไม่ได้เป็นเพียงการเล่นสนุกของใคร หรือที่แย่กว่านั้นคือเป็นการหลอกลวงจากพวกแก๊งค์มิจฉาชีพ
ไม่มีใครมาหลอกเธอก็กรอบพออยู่แล้ว ไม่ต้องการคนมาช่วยแชร์เงินอันน้อยนิดในกระเป๋าอีกหรอก ขอบคุณ!
รถเธอเก่าแล้ว...เป็นรถที่รับสืบต่อมาจากที่บ้าน ส่วนคันที่เธอกัดฟันผ่อนด้วยเงินเดือนสองหมื่นกว่าอยู่นั้นแม่กับน้องอีกสองคนเอาไว้ใช้ ส่วนเธอซึ่งทุกคนในบ้านลงมติว่าไม่จำเป็นต้องใช้รถมากนัก เพราะในกรุงเทพก็มีระบบขนส่งสะดวกสบายอยู่แล้ว จึงต้องเป็นคนรับเอากระป๋องเคลื่อนที่ได้คันนี้มาใช้อย่างจำใจอยู่บ้าง
ใช่...เธอขับเจ้ากระป๋องมาจนเกือบถึงบางปะกง ที่ที่บ้าน ‘ญาติ’ ปริศนาคนนั้นอาศัยอยู่ แต่เมื่อถึงแยกหนึ่ง รถยนต์ของใครสักคนก็ขับพุ่งพรวดออกมาตัดหน้าอย่างกระชั้นชิด ทำให้เธอต้องรีบหักหลบอย่างรวดเร็วจนเสียหลักลงข้างทาง...
เก็ดถวาครางเบาๆ อีกครั้ง
“ฉิบ...แล้ว...”
รถเธอน่ะประกันชั้นสามนะ! แล้วถ้าอิคนที่หักหลบเธอหนีไปล่ะ เธอจำป้ายทะเบียนกับลักษณะรถก็ไม่ได้ด้วย แล้วเธอควรจะต้องไปเรียกร้องเงินค่าซ่อมรถจากใครเล่า!
เอาล่ะ เธอขับรถลงข้างทาง ยังโชคดีหน่อยที่ไม่ไปชนเอาต้นไม้ใหญ่ที่สูงตระหง่านอยู่แถวนั้น ไม่อย่างนั้นเธอก็คงไม่รอดแน่ๆ
หญิงสาวค่อยๆ ประคองตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง ขณะกวาดตามองไปรอบบ้าน...ใช่...บ้านหลังเล็กๆ อีกครั้งหนึ่ง
นี่คงเป็นบ้านของชาวบ้านสักคนที่มาช่วยเธอเอาไว้กระมัง? ถ้าอย่างนั้นเธอก็ควรจะไปเสียที
เก็ดถวากำลังจะเลื่อนตัวเองลงจากแคร่ไม้ไผ่เมื่อจู่ๆ ประตูเรือนก็เปิดผลัวะเข้ามาพร้อมกับร่างอวบท้วมของหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่ง หญิงสาวเงยหน้าขึ้น รอยยิ้มแต้มอยู่บนใบหน้า แต่กลับชะงักงันเมื่อเห็นผู้ที่เข้ามาใหม่
หญิงคนนั้นไม่ได้ใส่เสื้อกางเกง แต่กลับพันผ้าไว้รอบอกเหมือนผ้าแถบ แล้วก็นุ่งโจง อ้อ...ทรงผมยังเป็นทรงสั้นเสย แบบที่เก็ดถวานิยามได้ภายในประโยคเดียวคือ แต่งตัวเหมือนสมัย ร.5 แน่ะ
หรือป้าเขาจะแต่งไปคอสเพลย์?
ไม่ทันได้พูดหรือถามอะไร ‘ป้า’ ในความคิดของร่างโปร่งบางก็ส่งยิ้มซื่อๆ ให้เธอพลางเอ่ย “เอ้า ตื่นพอดี ดีเลยๆ”
เก็ดถวากะพริบตาปริบๆ ขณะกำลังจะอ้าปากเอ่ยขอบคุณ อีกฝ่ายก็ผลุบหายออกไปนอกเรือนเสียแล้ว แต่ชั่วอึดใจหนึ่งก็กลับมา พร้อมกับส่งเสียงโหวกเหวกเสียจนคนที่ยังปวดหัวหนักมากแทบอยากกลับไปหมดสติต่อ
“ตื่นแล้วเจ้าค่ะ ท่าน”
ประตูไม้ไผ่เปิดออกอีกครั้งหนึ่ง ป้าเจ้าของบ้านเป็นคนเปิดก็จริง แต่กลับถอยออกห่างจากประตูแล้วค้อมตัวเปิดทางให้ผู้มาใหม่อย่างนอบน้อมเสียจนเก็ดถวาเกร็งตามไปด้วย
ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นอีกเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคนมาใหม่เป็นชายหนุ่มร่างสูง เครื่องแต่งกายของเขาไม่ได้เป็นโจงกระเบนหยักรั้งเปลือยอก (แบบที่เธออยากให้เป็น เมื่อคำนึงว่าคุณป้าเจ้าของบ้านแต่งคอสเพลย์ยังไง) แต่กลับเป็นเสื้อผ้าป่านคอกลม กับกางเกงแพรเนื้อนุ่ม ในมืออีกฝ่ายมีล่วมยา เดินตรงมาที่เธอด้วยฝีเท้าเบาผิดกับความสูงใหญ่ของร่างกาย ก่อนจะหยุดเมื่อเข้ามาใกล้เตียง ส่งยิ้มให้เธอ แล้วเอ่ยปาก
“Good morning, I’m a doctor. How are you feeling?”
เก็ดถวาอ้าปากค้าง กะพริบตาปริบๆ หน้าฉันเหมือนฝรั่งอย่างนั้นเลยเหรอ?
เห็นเธอยังคงอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น ชายหนุ่มก็แย้มรอยยิ้มบ่งบอกความเมตตานั้นกว้างขึ้นไปอีก “Forgive me, I don’t know whose citizen you are. Are you speak English?”
เอ่อ...มันเรื่องอะไรกันมาพ่นภาษาอังกฤษใส่เธอเป็นฉากๆ ล่ะนี่?
หญิงสาวทบทวนประโยคที่เขาพูดเมื่อครู่ ทบทวนไปถึงภาษาอังกฤษที่คืนครูไปนานแล้วชั่วอึดใจก่อนตอบ “I’m Thai. และฉันสามารถพูดภาษาไทยได้ค่ะ คุณ...หมอ”
หมอแผนโบราณรึเปล่าฟะเนี่ย...เสื้อผ้าออกปฏิบัติการเหมือนใส่อยู่บ้านเด๊ะ
“อ้อ ขออภัย” รอยยิ้มของคุณหมอในเสื้อป่านคอกลมแข็งค้างบนใบหน้าเล็กน้อย ขณะที่สบตาเธอ “ป้าปริกเห็นตาเธอเป็นสีม่วงจึงคิดว่าเธอเป็นพวกฝรั่ง”
“ตานี่เหรอคะ?” เก็ดถวาชี้ไปที่ดวงตาของตัวเองด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ นี่ฉันกำลังหลงมานอกเมืองขนาดไหนเนี่ย ป้าแกไม่เคยเห็นบิ๊กอายสีรึไง ป้าไม่รู้จักไม่เท่าไหร่ แต่ตาคนที่เคลมตัวเองว่าเป็นหมอนี่แหละที่แปลกกว่า “คอนแทคเลนส์ไงคะ ไม่ใช่สีตาจริงของฉันสักหน่อย”
“คอน...แทค...” คนเป็นหมอผุดสีหน้าเหรอหราขึ้นมาทันควัน เห็นแล้วหญิงสาวอยากจะบอกเหลือเกินว่าบางทีเขาเองนั่นล่ะที่อาจจะต้องการคอนแทคเลนส์สายตาดีๆ สักคู่
“คอนแทคเลนส์ค่ะ” เธอยิ้มกว้าง “นี่ไงคะ”
เธอเอื้อมมือขึ้นไปแตะนัยน์ตาของตัวเองเพื่อเอาคอนแทคเลนส์ออก แต่กลับต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างเสียขวัญของทั้งป้าปริกและ ‘คุณหมอแผนโบราณ’ ที่ต่างร้องลั่น
“กรี๊ด แม่หนูจะทำอะไรน่ะ!”
“อย่าทำนะ!”
ร่างสองร่างต่างโผนเข้ามาหาเธอคนละด้าน ก่อนจะตะครุบข้อมือหญิงสาวเอาไว้ทันควัน
เก็ดถวาอ้าปากค้าง มองดูสองคนที่ทำหน้าเลิกลั่กอยู่คนละด้านก่อนเอ่ย “เอ่อ...คือ...ทำไมต้องจับมือฉันเอาไว้ด้วยล่ะคะ?”
คุณหมอที่หน้าซีดลงเล็กน้อยตอบเสียงดุ “ก็หล่อนกำลังจะควักลูกตาตัวเอง ใครที่ไหนจะปล่อยให้ทำเล่า!”
“มีอะไรค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันนะแม่หนู” ป้าปริกที่หน้าซีดยิ่งกว่าคุณหมอใช้มือข้างที่ว่างลูบแขนเรียวไปมา “อย่าคิดสั้นอย่างนั้นเลยนะจ๊ะ”
“คิดสั้น?” เก็ดถวาอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหัวเราะ “ไม่ได้คิดสั้นค่ะ ไม่ได้จะควักตาตัวเองด้วย แค่จะให้ดูว่าตานี่ไม่ได้เป็นสีม่วง...คือ...อธิบายยังไงดีหว่า...คือตาเนี่ย มีแผ่นสีม่วงแปะอยู่ พอเอาออกมา ก็จะเห็นสีตาจริงๆ น่ะค่ะ แค่จะเอาแผ่นม่วงๆ นี่ออกมาเฉยๆ”
แถมถ้าไม่เอาออกมาตอนนี้ ไม่รู้ว่าตาเธอจะอักเสบเมื่อไหร่ นี่มันคอนแทครายวันนะยะ!
“หล่อนมิได้จะ...ควักตาตัวเอง?”
“ฉันจะทำบ้าอย่างนั้นไปทำไม” หญิงสาวหัวเราะขัน “ปล่อยเถอะค่ะ คุณ...หมอ ป้าปริก เดี๋ยวจะเอาตา เอ้ย! แผ่นที่แปะตาอยู่ออกมาให้ดู รับรองตาไม่โบ๋”
คนทั้งสองสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ปล่อยมือออกจากข้อมือเล็กนั้นอย่างเชื่องช้า แล้วจ้องมองดูอีกฝ่ายเอื้อมมือไปใช้นิ้วแตะลงที่ลูกตาตัวเอง เพียงอึดใจเดียว ที่ปลายนิ้วนั้นก็ปรากฎแผ่นเล็กบางที่ใสจนเกือบจะมองไม่เห็นสีม่วงเมื่อครู่ ส่วนดวงตาข้างนั้นก็กลับเป็นสีน้ำตาลอ่อนราวกับน้ำผึ้ง
‘คุณหมอ’ มองอย่างทึ่งๆ ทว่าป้าปริกกลับถอยกรูดไปสุดมุมห้อง แล้วร้องกรี๊ดออกมาอีกรอบ
“น...นี่ต้องเป็นผีแน่ๆ สีตาไม่เหมือนกัน ผ...ผีดิบ กรี๊ดดดดดดด...”
ไม่พูดเปล่า ร่างอวบท้วมยังวิ่งตุบตับจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้เก็ดถวาอึ้งหนัก ก่อนจะหันมาหาคุณหมอที่ดูหน้าซีดลงไปอีกเฉดหนึ่งแล้วถาม “ป้าแกไม่รู้จักคอนแทคเลนส์จริงๆ ดิคุณ?”
คุณหมอส่ายหัวดิก ดวงตาฉายแววตื่นๆ เมื่อมองดูแผ่นบางเฉียบบนปลายนิ้วของอีกฝ่าย “ฉันก็...ไม่รู้จัก”
อ้าว แล้วกัน แล้วนี่ไม่ใช่หมอเถื่อนแน่ใช่มั้ยเนี่ย?
“แน่ใจนะว่าได้ใบประกอบโรคมาแล้วน่ะ?” หญิงสาวทำปากขมุบขมิบแผ่วเบา แต่ชายหนุ่มดูท่าจะไม่ได้สนใจเธอเท่าคอนแทคเลนส์ในมือ เธอจึงถอดอีกข้างแล้วยื่นให้เขาดูให้รู้แล้วรู้รอดไป
“เอ้า! อยากดูก็ดูให้เต็มตา”
ชายหนุ่มพลิกคอนแทคในมือไปมาครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยถาม “เหตุใดจึงต้องเปลี่ยนสีตาตัวเองด้วย?”
“มันเป็นเทรน เข้าใจป่ะ เทรน อินเทรน...เอ้อ เทรนดี้อ่ะ”
“Trendy?” อีกฝ่ายกลับเปล่งสำเนียงผู้ดีชัดเป๊ะสวนออกมาทันควัน
เก็ดถวาตาเบิกค้าง ตานี่ไม่รู้จักคอนแทคเลนส์ แต่ฉันสังเกตแล้วนะว่าสำเนียงนายน่ะพอชโคตรๆ นี่ตกลงรู้หรือไม่รู้เนี่ย?
‘คุณหมอ’ ดูจะติดอกติดใจคอนแทคเลนส์ของเธอมากพอสมควร เมื่อพลิกดูไปมาต่ออีกครู่หนึ่งแล้วจึงยื่นคืนให้เธอ พลางเอ่ย “จริงสิ แม่ปริกตามฉันมาดูอาการเธอ เป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกเจ็บตรงไหนหรือไม่?”
พูดถึงเรื่องอุบัติเหตุ ความเจ็บก็ดูเหมือนจะแล่นขึ้นมาตามกระดูกทั่วร่างเสียอย่างนั้น หญิงสาวขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงเครือลงเล็กน้อย
“เจ็บไปทั้งตัวเลย เจ็บจนนึกว่าเบาะนิรภัยไม่ทำงานแล้วด้วยซ้ำเนี่ย” จริงๆ นะ ความเจ็บที่แถวๆ หน้าอกเธอนี่มันเหมือนจะชนเข้ากับพวงมาลัยเต็มๆ เลยด้วยซ้ำ “ว่าแต่ รถฉันอยู่ไหนแล้วล่ะคะ?”
อีกฝ่ายทำหน้าเหรอหราสุดชีวิต “รถ? รถอะไร? รถลากหรือรถม้า?”
“หมอเอาฮาหรือเอาจริงอ่ะ รถยนต์สิค้า”
“รถยนต์?”
“อื้อ รถยนต์น่ะ ก็ฉันขับรถตกข้างทางไม่ใช่เหรอ แล้วป้าปริกกับคุณหมอไม่ได้เป็นคนช่วยฉันออกจากรถเหรอคะ แล้วคนช่วยเค้าอยู่ไหนอ่ะ ฉันอยากจะขอบคุณสักหน่อย แล้วก็จะได้ขอกุญแจรถด้วย”
คนฟังทำหน้าเหมือนได้ยินอะไรที่แปลกประหลาดที่สุดในชีวิต ก่อนจะค่อยๆ เอ่ย คล้ายกำลังพูดกับเด็กอ่อน
“ตอนที่แม่ปริกไปเจอหล่อน...หล่อนกำลังนอนสลบอยู่ตรงท้องร่องฝั่งขะโน้น ฉันกับแม่ปริกช่วยกันพาหล่อนมาไว้ที่นี่เพราะใกล้ที่สุด ไม่เจอรถ...อะไรสักอย่างเดียว”
“อ้าว! ไม่เจอรถฉันเหรอคะ?”
“กระทั่งรถลากหรือรถม้าก็ไม่มีสักคัน”
“ตายหอง!” เก็ดถวาแทบกระโดดลงจากแคร่ ทว่าความเจ็บแปลบที่ขาข้างซ้ายทำให้ต้องชะงัก “รถนั้นถ้าหายไปฉันซวยแน่ๆ เพิ่งผ่อนได้สามงวดเองนะ!”
น้ำตาเริ่มปริ่มนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน ก่อนจะไหลลงเป็นทางอาบแก้ม กระทันหันเสียจนคนอ้างตัวเป็นหมอเงอะงะขึ้นมาทันใด
“เอ้อ...หล่อน...ร้องไห้เพราะเหตุใดกัน...”
“รถหายทั้งคัน ไม่ร้องก็แปลกแล้ว!” อีกฝ่ายสวนกลับรวดเร็ว แต่เพียงพริบตาเดียวน้ำเสียงนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นอ้อนวอนอย่างน่าเวทนา “ฮือ...คุณหมอขา ช่วยฉันหน่อยเถอะ ช่วยไปตามตำรวจมาหน่อย ไม่งั้นพาฉันไปโรงพักก็ได้ ฉันจะแจ้งความรถหาย!”
เจ็บ...
ภาพแรกที่ปรากฎตรงหน้าคือหญ้าแฝกที่ถูกผูกเอาไว้เป็นตับแล้วเอามามัดเรียงเป็นหลังคา แปลกเสียจนคนที่ก่อนตื่นยังนั่งอยู่ในรถยนต์คิดว่าต้องเป็นภาพหลอนล้านเปอร์เซ็นต์
ดวงตากลมโตหลับลงอีกครั้ง คิ้วเรียวที่ใช้เวลาเขียนหน้ากระจกให้ออกมาเป็นสไตล์เกาหลีขมวดเล็กน้อย
ขมับทั้งสองข้างปวดตุบเป็นจังหวะเหมือนตีกลอง เจ็บเสียจนเก็ดถวากลั้นเสียงครางเอาไว้ไม่อยู่ แสงสว่างนวลตาที่ส่องเข้ามาจากหน้าต่างที่เปิดอ้ากว้างแยงตาเสียจนเธอต้องลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
เอาล่ะ...ไม่หลับตาก็ได้
เก็ดถวาเหลียวมองรอบตัวเท่าที่ความปวดศีรษะจะอำนวย หลังคาที่เธอเห็นยังคงเป็นหลังคามุงจากที่เก่าจนแทบไม่น่าเชื่อว่ามันจะรอดพ้นแดดลมฝนมาได้หลายฤดูกาล เมื่อหันไปมองยังต้นกำเนิดแสงสว่างก็พบว่ามันมาจากทางหน้าต่างที่เปิดกว้าง...ค้ำยันด้วยไม้ท่อนหนึ่ง หน้าต่างบานนั้นติดอยู่กับฝาไม้ไผ่สานขัดกันอย่างเรียบง่าย
ลมอ่อนที่โชยเข้ามาปะทะใบหน้าคนนอนอยู่เย็นระเรื่อย ทำให้หญิงสาวเริ่มคิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย
เมื่อวานเธอขับรถ กำลังจะมาที่บางปะกง หลังจากค้นพบว่ามีญาติที่ไม่เคยรู้จักยกมรดกส่วนหนึ่งเอาไว้ให้ตัวเอง พอทราบข่าวน่าประหลาดใจ เก็ดถวาก็ใช้เวลาอีกหลายวันเพื่อสืบหาว่าข่าวคราวของ ‘ญาติ’ คนนั้นมีจริง ไม่ได้เป็นเพียงการเล่นสนุกของใคร หรือที่แย่กว่านั้นคือเป็นการหลอกลวงจากพวกแก๊งค์มิจฉาชีพ
ไม่มีใครมาหลอกเธอก็กรอบพออยู่แล้ว ไม่ต้องการคนมาช่วยแชร์เงินอันน้อยนิดในกระเป๋าอีกหรอก ขอบคุณ!
รถเธอเก่าแล้ว...เป็นรถที่รับสืบต่อมาจากที่บ้าน ส่วนคันที่เธอกัดฟันผ่อนด้วยเงินเดือนสองหมื่นกว่าอยู่นั้นแม่กับน้องอีกสองคนเอาไว้ใช้ ส่วนเธอซึ่งทุกคนในบ้านลงมติว่าไม่จำเป็นต้องใช้รถมากนัก เพราะในกรุงเทพก็มีระบบขนส่งสะดวกสบายอยู่แล้ว จึงต้องเป็นคนรับเอากระป๋องเคลื่อนที่ได้คันนี้มาใช้อย่างจำใจอยู่บ้าง
ใช่...เธอขับเจ้ากระป๋องมาจนเกือบถึงบางปะกง ที่ที่บ้าน ‘ญาติ’ ปริศนาคนนั้นอาศัยอยู่ แต่เมื่อถึงแยกหนึ่ง รถยนต์ของใครสักคนก็ขับพุ่งพรวดออกมาตัดหน้าอย่างกระชั้นชิด ทำให้เธอต้องรีบหักหลบอย่างรวดเร็วจนเสียหลักลงข้างทาง...
เก็ดถวาครางเบาๆ อีกครั้ง
“ฉิบ...แล้ว...”
รถเธอน่ะประกันชั้นสามนะ! แล้วถ้าอิคนที่หักหลบเธอหนีไปล่ะ เธอจำป้ายทะเบียนกับลักษณะรถก็ไม่ได้ด้วย แล้วเธอควรจะต้องไปเรียกร้องเงินค่าซ่อมรถจากใครเล่า!
เอาล่ะ เธอขับรถลงข้างทาง ยังโชคดีหน่อยที่ไม่ไปชนเอาต้นไม้ใหญ่ที่สูงตระหง่านอยู่แถวนั้น ไม่อย่างนั้นเธอก็คงไม่รอดแน่ๆ
หญิงสาวค่อยๆ ประคองตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง ขณะกวาดตามองไปรอบบ้าน...ใช่...บ้านหลังเล็กๆ อีกครั้งหนึ่ง
นี่คงเป็นบ้านของชาวบ้านสักคนที่มาช่วยเธอเอาไว้กระมัง? ถ้าอย่างนั้นเธอก็ควรจะไปเสียที
เก็ดถวากำลังจะเลื่อนตัวเองลงจากแคร่ไม้ไผ่เมื่อจู่ๆ ประตูเรือนก็เปิดผลัวะเข้ามาพร้อมกับร่างอวบท้วมของหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่ง หญิงสาวเงยหน้าขึ้น รอยยิ้มแต้มอยู่บนใบหน้า แต่กลับชะงักงันเมื่อเห็นผู้ที่เข้ามาใหม่
หญิงคนนั้นไม่ได้ใส่เสื้อกางเกง แต่กลับพันผ้าไว้รอบอกเหมือนผ้าแถบ แล้วก็นุ่งโจง อ้อ...ทรงผมยังเป็นทรงสั้นเสย แบบที่เก็ดถวานิยามได้ภายในประโยคเดียวคือ แต่งตัวเหมือนสมัย ร.5 แน่ะ
หรือป้าเขาจะแต่งไปคอสเพลย์?
ไม่ทันได้พูดหรือถามอะไร ‘ป้า’ ในความคิดของร่างโปร่งบางก็ส่งยิ้มซื่อๆ ให้เธอพลางเอ่ย “เอ้า ตื่นพอดี ดีเลยๆ”
เก็ดถวากะพริบตาปริบๆ ขณะกำลังจะอ้าปากเอ่ยขอบคุณ อีกฝ่ายก็ผลุบหายออกไปนอกเรือนเสียแล้ว แต่ชั่วอึดใจหนึ่งก็กลับมา พร้อมกับส่งเสียงโหวกเหวกเสียจนคนที่ยังปวดหัวหนักมากแทบอยากกลับไปหมดสติต่อ
“ตื่นแล้วเจ้าค่ะ ท่าน”
ประตูไม้ไผ่เปิดออกอีกครั้งหนึ่ง ป้าเจ้าของบ้านเป็นคนเปิดก็จริง แต่กลับถอยออกห่างจากประตูแล้วค้อมตัวเปิดทางให้ผู้มาใหม่อย่างนอบน้อมเสียจนเก็ดถวาเกร็งตามไปด้วย
ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นอีกเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคนมาใหม่เป็นชายหนุ่มร่างสูง เครื่องแต่งกายของเขาไม่ได้เป็นโจงกระเบนหยักรั้งเปลือยอก (แบบที่เธออยากให้เป็น เมื่อคำนึงว่าคุณป้าเจ้าของบ้านแต่งคอสเพลย์ยังไง) แต่กลับเป็นเสื้อผ้าป่านคอกลม กับกางเกงแพรเนื้อนุ่ม ในมืออีกฝ่ายมีล่วมยา เดินตรงมาที่เธอด้วยฝีเท้าเบาผิดกับความสูงใหญ่ของร่างกาย ก่อนจะหยุดเมื่อเข้ามาใกล้เตียง ส่งยิ้มให้เธอ แล้วเอ่ยปาก
“Good morning, I’m a doctor. How are you feeling?”
เก็ดถวาอ้าปากค้าง กะพริบตาปริบๆ หน้าฉันเหมือนฝรั่งอย่างนั้นเลยเหรอ?
เห็นเธอยังคงอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น ชายหนุ่มก็แย้มรอยยิ้มบ่งบอกความเมตตานั้นกว้างขึ้นไปอีก “Forgive me, I don’t know whose citizen you are. Are you speak English?”
เอ่อ...มันเรื่องอะไรกันมาพ่นภาษาอังกฤษใส่เธอเป็นฉากๆ ล่ะนี่?
หญิงสาวทบทวนประโยคที่เขาพูดเมื่อครู่ ทบทวนไปถึงภาษาอังกฤษที่คืนครูไปนานแล้วชั่วอึดใจก่อนตอบ “I’m Thai. และฉันสามารถพูดภาษาไทยได้ค่ะ คุณ...หมอ”
หมอแผนโบราณรึเปล่าฟะเนี่ย...เสื้อผ้าออกปฏิบัติการเหมือนใส่อยู่บ้านเด๊ะ
“อ้อ ขออภัย” รอยยิ้มของคุณหมอในเสื้อป่านคอกลมแข็งค้างบนใบหน้าเล็กน้อย ขณะที่สบตาเธอ “ป้าปริกเห็นตาเธอเป็นสีม่วงจึงคิดว่าเธอเป็นพวกฝรั่ง”
“ตานี่เหรอคะ?” เก็ดถวาชี้ไปที่ดวงตาของตัวเองด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ นี่ฉันกำลังหลงมานอกเมืองขนาดไหนเนี่ย ป้าแกไม่เคยเห็นบิ๊กอายสีรึไง ป้าไม่รู้จักไม่เท่าไหร่ แต่ตาคนที่เคลมตัวเองว่าเป็นหมอนี่แหละที่แปลกกว่า “คอนแทคเลนส์ไงคะ ไม่ใช่สีตาจริงของฉันสักหน่อย”
“คอน...แทค...” คนเป็นหมอผุดสีหน้าเหรอหราขึ้นมาทันควัน เห็นแล้วหญิงสาวอยากจะบอกเหลือเกินว่าบางทีเขาเองนั่นล่ะที่อาจจะต้องการคอนแทคเลนส์สายตาดีๆ สักคู่
“คอนแทคเลนส์ค่ะ” เธอยิ้มกว้าง “นี่ไงคะ”
เธอเอื้อมมือขึ้นไปแตะนัยน์ตาของตัวเองเพื่อเอาคอนแทคเลนส์ออก แต่กลับต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างเสียขวัญของทั้งป้าปริกและ ‘คุณหมอแผนโบราณ’ ที่ต่างร้องลั่น
“กรี๊ด แม่หนูจะทำอะไรน่ะ!”
“อย่าทำนะ!”
ร่างสองร่างต่างโผนเข้ามาหาเธอคนละด้าน ก่อนจะตะครุบข้อมือหญิงสาวเอาไว้ทันควัน
เก็ดถวาอ้าปากค้าง มองดูสองคนที่ทำหน้าเลิกลั่กอยู่คนละด้านก่อนเอ่ย “เอ่อ...คือ...ทำไมต้องจับมือฉันเอาไว้ด้วยล่ะคะ?”
คุณหมอที่หน้าซีดลงเล็กน้อยตอบเสียงดุ “ก็หล่อนกำลังจะควักลูกตาตัวเอง ใครที่ไหนจะปล่อยให้ทำเล่า!”
“มีอะไรค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันนะแม่หนู” ป้าปริกที่หน้าซีดยิ่งกว่าคุณหมอใช้มือข้างที่ว่างลูบแขนเรียวไปมา “อย่าคิดสั้นอย่างนั้นเลยนะจ๊ะ”
“คิดสั้น?” เก็ดถวาอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหัวเราะ “ไม่ได้คิดสั้นค่ะ ไม่ได้จะควักตาตัวเองด้วย แค่จะให้ดูว่าตานี่ไม่ได้เป็นสีม่วง...คือ...อธิบายยังไงดีหว่า...คือตาเนี่ย มีแผ่นสีม่วงแปะอยู่ พอเอาออกมา ก็จะเห็นสีตาจริงๆ น่ะค่ะ แค่จะเอาแผ่นม่วงๆ นี่ออกมาเฉยๆ”
แถมถ้าไม่เอาออกมาตอนนี้ ไม่รู้ว่าตาเธอจะอักเสบเมื่อไหร่ นี่มันคอนแทครายวันนะยะ!
“หล่อนมิได้จะ...ควักตาตัวเอง?”
“ฉันจะทำบ้าอย่างนั้นไปทำไม” หญิงสาวหัวเราะขัน “ปล่อยเถอะค่ะ คุณ...หมอ ป้าปริก เดี๋ยวจะเอาตา เอ้ย! แผ่นที่แปะตาอยู่ออกมาให้ดู รับรองตาไม่โบ๋”
คนทั้งสองสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ปล่อยมือออกจากข้อมือเล็กนั้นอย่างเชื่องช้า แล้วจ้องมองดูอีกฝ่ายเอื้อมมือไปใช้นิ้วแตะลงที่ลูกตาตัวเอง เพียงอึดใจเดียว ที่ปลายนิ้วนั้นก็ปรากฎแผ่นเล็กบางที่ใสจนเกือบจะมองไม่เห็นสีม่วงเมื่อครู่ ส่วนดวงตาข้างนั้นก็กลับเป็นสีน้ำตาลอ่อนราวกับน้ำผึ้ง
‘คุณหมอ’ มองอย่างทึ่งๆ ทว่าป้าปริกกลับถอยกรูดไปสุดมุมห้อง แล้วร้องกรี๊ดออกมาอีกรอบ
“น...นี่ต้องเป็นผีแน่ๆ สีตาไม่เหมือนกัน ผ...ผีดิบ กรี๊ดดดดดดด...”
ไม่พูดเปล่า ร่างอวบท้วมยังวิ่งตุบตับจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้เก็ดถวาอึ้งหนัก ก่อนจะหันมาหาคุณหมอที่ดูหน้าซีดลงไปอีกเฉดหนึ่งแล้วถาม “ป้าแกไม่รู้จักคอนแทคเลนส์จริงๆ ดิคุณ?”
คุณหมอส่ายหัวดิก ดวงตาฉายแววตื่นๆ เมื่อมองดูแผ่นบางเฉียบบนปลายนิ้วของอีกฝ่าย “ฉันก็...ไม่รู้จัก”
อ้าว แล้วกัน แล้วนี่ไม่ใช่หมอเถื่อนแน่ใช่มั้ยเนี่ย?
“แน่ใจนะว่าได้ใบประกอบโรคมาแล้วน่ะ?” หญิงสาวทำปากขมุบขมิบแผ่วเบา แต่ชายหนุ่มดูท่าจะไม่ได้สนใจเธอเท่าคอนแทคเลนส์ในมือ เธอจึงถอดอีกข้างแล้วยื่นให้เขาดูให้รู้แล้วรู้รอดไป
“เอ้า! อยากดูก็ดูให้เต็มตา”
ชายหนุ่มพลิกคอนแทคในมือไปมาครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยถาม “เหตุใดจึงต้องเปลี่ยนสีตาตัวเองด้วย?”
“มันเป็นเทรน เข้าใจป่ะ เทรน อินเทรน...เอ้อ เทรนดี้อ่ะ”
“Trendy?” อีกฝ่ายกลับเปล่งสำเนียงผู้ดีชัดเป๊ะสวนออกมาทันควัน
เก็ดถวาตาเบิกค้าง ตานี่ไม่รู้จักคอนแทคเลนส์ แต่ฉันสังเกตแล้วนะว่าสำเนียงนายน่ะพอชโคตรๆ นี่ตกลงรู้หรือไม่รู้เนี่ย?
‘คุณหมอ’ ดูจะติดอกติดใจคอนแทคเลนส์ของเธอมากพอสมควร เมื่อพลิกดูไปมาต่ออีกครู่หนึ่งแล้วจึงยื่นคืนให้เธอ พลางเอ่ย “จริงสิ แม่ปริกตามฉันมาดูอาการเธอ เป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกเจ็บตรงไหนหรือไม่?”
พูดถึงเรื่องอุบัติเหตุ ความเจ็บก็ดูเหมือนจะแล่นขึ้นมาตามกระดูกทั่วร่างเสียอย่างนั้น หญิงสาวขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงเครือลงเล็กน้อย
“เจ็บไปทั้งตัวเลย เจ็บจนนึกว่าเบาะนิรภัยไม่ทำงานแล้วด้วยซ้ำเนี่ย” จริงๆ นะ ความเจ็บที่แถวๆ หน้าอกเธอนี่มันเหมือนจะชนเข้ากับพวงมาลัยเต็มๆ เลยด้วยซ้ำ “ว่าแต่ รถฉันอยู่ไหนแล้วล่ะคะ?”
อีกฝ่ายทำหน้าเหรอหราสุดชีวิต “รถ? รถอะไร? รถลากหรือรถม้า?”
“หมอเอาฮาหรือเอาจริงอ่ะ รถยนต์สิค้า”
“รถยนต์?”
“อื้อ รถยนต์น่ะ ก็ฉันขับรถตกข้างทางไม่ใช่เหรอ แล้วป้าปริกกับคุณหมอไม่ได้เป็นคนช่วยฉันออกจากรถเหรอคะ แล้วคนช่วยเค้าอยู่ไหนอ่ะ ฉันอยากจะขอบคุณสักหน่อย แล้วก็จะได้ขอกุญแจรถด้วย”
คนฟังทำหน้าเหมือนได้ยินอะไรที่แปลกประหลาดที่สุดในชีวิต ก่อนจะค่อยๆ เอ่ย คล้ายกำลังพูดกับเด็กอ่อน
“ตอนที่แม่ปริกไปเจอหล่อน...หล่อนกำลังนอนสลบอยู่ตรงท้องร่องฝั่งขะโน้น ฉันกับแม่ปริกช่วยกันพาหล่อนมาไว้ที่นี่เพราะใกล้ที่สุด ไม่เจอรถ...อะไรสักอย่างเดียว”
“อ้าว! ไม่เจอรถฉันเหรอคะ?”
“กระทั่งรถลากหรือรถม้าก็ไม่มีสักคัน”
“ตายหอง!” เก็ดถวาแทบกระโดดลงจากแคร่ ทว่าความเจ็บแปลบที่ขาข้างซ้ายทำให้ต้องชะงัก “รถนั้นถ้าหายไปฉันซวยแน่ๆ เพิ่งผ่อนได้สามงวดเองนะ!”
น้ำตาเริ่มปริ่มนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน ก่อนจะไหลลงเป็นทางอาบแก้ม กระทันหันเสียจนคนอ้างตัวเป็นหมอเงอะงะขึ้นมาทันใด
“เอ้อ...หล่อน...ร้องไห้เพราะเหตุใดกัน...”
“รถหายทั้งคัน ไม่ร้องก็แปลกแล้ว!” อีกฝ่ายสวนกลับรวดเร็ว แต่เพียงพริบตาเดียวน้ำเสียงนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นอ้อนวอนอย่างน่าเวทนา “ฮือ...คุณหมอขา ช่วยฉันหน่อยเถอะ ช่วยไปตามตำรวจมาหน่อย ไม่งั้นพาฉันไปโรงพักก็ได้ ฉันจะแจ้งความรถหาย!”
ปณัชญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 มิ.ย. 2559, 00:13:47 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 มิ.ย. 2559, 00:13:47 น.
จำนวนการเข้าชม : 797
บทที่ 1 : วันแรกของการย้อนเวลา [50%] >> |
Pat 22 มิ.ย. 2559, 05:57:47 น.
แว่นใส 24 มิ.ย. 2559, 11:24:25 น.
หลงอดีต
หลงอดีต