Love Me Love My Chef...คุณเชฟที่รัก
เมื่อสิ่งที่ฝันไม่เป็นดั่งใจหวัง ผลักดันให้ 'กันติชา' ต้องมารับมือกับผู้ชายจอมเฮี้ยบอย่าง 'ตะวัน' ที่มีดีกรีเป็นถึงระดับเชฟตัวพ่อ

แต่พ่อก็พ่อเถอะ! หล่อนจะอ่อย เอ๊ย ปราบพยศคุณเชฟที่รักให้กลายเป็นแมวน้อยแสนเชื่องให้ได้...คอยดูแล้วกัน!

**แนวโรแมนติก-คอมเมดี้**
Tags: เชฟ นักเขียน อ่อย เฮี้ยบ อา หลาน

ตอน: บทที่ 2---35%

บทที่ 2



กันติชาถึงกับ ‘สตั๊น’ ไปสองวินาที

แวบแรกที่ผุดขึ้นในใจคือหล่อนหูเพี้ยนไปเองแน่ๆ บิดามารดาเนี่ยนะอยากให้หล่อนไปทำงานที่ร้านอาหาร แถมเป็นร้านของคนที่หล่อนอุตส่าห์บรรยายสรรพคุณติดลบไปเสียตั้งมากมายขนาดนั้น !

"พ่อเข้าใจนะเรื่องที่ลูกไม่ค่อยถูกชะตากับอาตะวันเขา แต่พ่อว่าลูกตัดสินอาเขาเร็วเกินไป"

"แต่นี่ยังไม่ครบปีตามที่กอหญ้าขอเลยนะคะพ่อ" ลูกสาวท้วง

"โธ่เจ้ากอหญ้า..." ภาสกรเรียกชื่อลูกสาวอย่างอ่อนใจเหมือนเคย

เดิมทีภาสกรนั้นใช่ว่าจะเห็นด้วยกับสิ่งที่ลูกสาวตัดสินใจ แต่เพราะไม่อยากบังคับฝืนใจกันเลยเลือกที่จะให้ลูกสาวลองเสี่ยงโดยที่ตัวเขาคอยเฝ้าดูพฤติกรรมอยู่ห่างๆ และด้วยความที่ภาสกรลาออกจากงานบริษัทมา ‘เล่น’ หุ้นอยู่กับบ้านได้สักระยะแล้ว เลยเรียกได้ว่าแทบจะเห็นพฤติกรรมลูกสาวยี่สิบสี่ชั่วโมง ซึ่งสิ่งที่ภาสกรรับรู้ได้คืองานเขียนของลูกสาวไม่เห็นจะคืบหน้าตรงไหน ไอ้ครั้นจะพูดออกมาตรงๆ อย่างใจคิดก็กลัวจะทำร้ายจิตใจกันเกินไป...

เมื่อสามีไม่รู้จะเกลี้ยกล่อมลูกสาวยังไงต่อ เยาวมาลย์ซึ่งเห็นด้วยกับการตัดสินใจนั้นเพราะปรึกษากันก่อนที่จะขึ้นมาหาลูกสาวแล้ว เลยช่วยพูดอีกแรงโดยพยายามสรรหาข้อดีของอาตะวันมาเชยชมให้ลูกสาวฟัง เยาวมาลย์พอจะจับใจความได้ว่าลูกสาวไม่ค่อยชอบอาตะวันเท่าไหร่

"อย่าเพิ่งตีโพยตีพายไปเจ้ากอหญ้า อาตะวันเขาก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ลูกคิดนักหรอกจ้ะ ดูอย่างวันนี้สิ พออาตะวันเห็นว่าพ่อเขาพาเพื่อนมากินอาหารที่ร้านก็ลงมือทำอาหารเองเลยนะลูก เห็นว่าเมนูเด็ดๆ ของร้านทั้งนั้น แถมยังลดราคาให้เป็นพิเศษอีก ขนมมาการองที่ลูกกินอยู่นี้ก็เหมือนกัน เพื่อนพ่อเขาคุยโวว่าอร่อยอย่างนั้นอย่างนี้ พ่อเขาเห็นว่าลูกชอบกินก็เลยลองซื้อมาด้วย"

กันติชาเพิ่งคว้ามาการองอีกชิ้นมาเคี้ยวตุ้ยแก้เครียดแทบพุ่งออกจากปาก แต่ดันติดคอ สำลักไอโขลก เยาวมาลย์เห็นก็ตกใจ ดีที่รินน้ำใส่แก้วมาให้ด้วยวางอยู่ข้างจานขนมรีบคว้ามาให้ลูกสาวดื่มน้ำไล่ลงคอ

"แต่...แค่กๆ...ยังไงกอหญ้าก็ไม่อยากไปทำงานที่ร้านอาหารอยู่ดี” ลูกสาวยังคงรั้น เถียงคำไม่ตกฟาก

“ถ้าพ่อกับแม่อยากหาคนไปช่วยงานอาตะวัน ทำไมพ่อกับแม่ไม่ส่งพี่น้ำไปละคะ งานร้านอาหารน่าจะเหมาะกับพี่น้ำมากกว่ากอหญ้าตั้งเยอะ”

“ก็พี่น้ำเขาทำงานที่ร้านอื่นอยู่ ไม่มีเวลามาช่วยอาตะวันหรอกลูก”

“กอหญ้าเองก็ต้องแต่งนิยายค่ะแม่ ไม่มีเวลาไปช่วยเหมือนกัน แล้วนี่ก็ยังไม่ครบหนึ่งปีด้วย”

"ตอนนี้ยังไม่ครบ แต่อีกเดี๋ยวก็ครบ" ภาสกรชักทนไม่ไหวเสียงเข้มขึ้นมา ก็ลูกสาวชักเกเร ทว่าคนเสียงเข้มกลับถูกเยาวมาลย์มองมาด้วยสายตาตำหนิเสียเองกึ่งเตือนให้ใจเย็น กลัวจะพลั้งปากพูดกับลูกสาวแรง ภาสกรเลยพยายามหายใจเข้า-ออกลึกๆ ข่มใจให้เย็นลง เอ่ยกับลูกสาวต่อว่า

"โอเค พ่อก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้ลูกเลิกแต่งนิยาย แต่เวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ลูกเองก็น่าจะได้คำตอบแล้วว่าทางที่ลูกเลือก มันไม่เวิร์ค...แล้วที่ลูกสัญญาไว้ว่าครบหนึ่งปีจะยอมหางานประจำทำ สมัยนี้งานมันหายากนะเจ้ากอหญ้า ไม่ใช่นึกอยากจะหางานทำก็ได้ทำเลย ยิ่งถ้าไม่เก่งจริงหรือมีฝีมือหาตัวจับยาก โอกาสได้งานน้อยมาก เห็นชัดก็พวกบริษัทเอกชนทั้งหลายแหล่นั่นแหละ ส่วนงานราชการเดี๋ยวนี้ก็สอบบรรจุกันเคี่ยวกว่าสมัยก่อนเยอะ งานรัฐวิสาหกิจก็พอกัน ล่าสุดที่ทำงานแม่เขาเปิดสอบไปเห็นคนแย่งกันสมัครสอบเข้าเป็นหมื่น”

"พ่อกำลังจะบอกว่ากอหญ้ามันไม่ได้เรื่องสักอย่างใช่มั้ยคะ เลยจะให้กอหญ้าไปเป็นเบ้ที่ร้านอาหาร จะได้หมดเรื่องหมดราว"

"ไม่ใช่อย่างนั้นลูก" เยาวมาลย์ใจหายวาบที่ได้ยินลูกสาวพูดถึงตัวเองเช่นนั้น มิหนำซ้ำเริ่มตาแดงๆ ร้อนถึงผู้เป็นมารดาต้องเข้ามานั่งขนาบข้างลูกสาว

"พ่อกับแม่ไม่ได้คิดแบบนั้นเลยนะเจ้ากอหญ้า ที่พ่อกับแม่อยากให้ลูกไปช่วยงานอาตะวัน เพราะเห็นว่าช่วงนี้ไหนๆ ลูกก็อยู่แต่กับบ้านแต่งนิยายทั้งวันอยู่แล้ว น่าจะใช้โอกาสนี้ลองเก็บเกี่ยวประสบการณ์อื่นดูบ้าง ก็แค่ทำไปพลางๆ ก่อนเองลูก ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ที่ร้านอาตะวันเขากำลังขาดคนพอดี นี่พ่อเขาก็เกริ่นๆ กับอาตะวันไว้บ้างแล้วว่าจะลองให้ลูกมาช่วย"

"ตอนกลางวันลูกไปช่วยงานอาตะวันเขา ตอนเย็นกลับบ้านมาลูกจะแต่งนิยายก็ยังได้" ภาสกรเสริม

คราวนี้ลูกสาวไม่เถียง รู้ตัวว่ากำลังถูกบิดามารดาใช้พลังจิตหมู่สะกดจิตให้ยอมโอนอ่อนผ่อนตามซึ่งไม่ใช่นิสัยของคนหัวรั้นอย่างกันติชาแน่ๆ เลยได้แต่ทำหน้าบูด รู้สึกเหมือนบิดามารดายังเห็นหล่อนเป็นเด็กห้าขวบ ที่แค่พูดหลอกล่อเอาใจนิดหน่อยก็หลงเชื่อทำตามยังไงยั้งงั้น

กันติชาอุตส่าห์ขอเวลาตั้งหนึ่งปีเพื่อที่จะได้พิสูจน์ตัวเองทางงานเขียนให้เต็มที่ ถ้าให้ไปทำงานที่ร้านอาหาร ก็ไม่ต่างอะไรกับบังคับให้หล่อนทำงานเขียนเป็นงานอดิเรกอยู่ดี...ที่ขอเวลาไป มันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ

จากที่ท้อแท้สิ้นหวังในเส้นทางงานเขียนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว กันติชาเลยพาลรู้สึกเหมือนถูกซ้ำเติม เพียงแต่คราวนี้เป็นบิดามารดาของหล่อนเอง ซึ่งทำให้ลูกสาวอย่างกันติชาบอบช้ำกว่าล้านเท่า

"ไม่เอาน่ะเจ้ากอหญ้า"

พอลูกสาวไม่เถียงเหมือนเคย ภาสกรก็อ่อนลง รู้สึกสงสารอยู่ไม่น้อยเลยดึงลูกสาวมากอดปลอบในอ้อมแขน...ที่ผ่านมาเขาคงตามใจลูกสาวคนเล็กมากเกินไป ถึงเวลาแล้วที่กันติชาควรที่จะเข้าใจในความหวังดีของคนเป็นพ่อเป็นแม่บ้าง

"ฟังพ่อนะเจ้ากอหญ้า...เรื่องที่ลูกอยากเป็นนักเขียน ถ้ามันเป็นสิ่งที่ลูกมั่นใจแล้วว่าคือทางของลูกจริงๆ พ่อกับแม่ไม่ห้ามแน่นอน เพราะพ่อกับแม่เองก็ไม่ได้หวังถึงขั้นที่จะให้ลูกทำงานที่มีเงินเดือนสูงๆ หรืองานที่มันมั่นคงอะไรเพื่อที่จะมาคอยดูแลพ่อกับแม่เหมือนกัน แค่ลูกสามารถเลี้ยงตัวเองได้พ่อกับแม่ก็หายห่วงแล้ว แต่อย่าลืมว่าอนาคตข้างหน้ามันไม่แน่นอน อย่างวันนี้ลูกอาจมั่นใจในสิ่งที่คิด แต่ถ้าวันข้างหน้าลูกเกิดไปเจออะไรที่มันไม่เป็นอย่างที่ลูกคิด ลูกจะยังมั่นใจใช่มั้ยว่าลูกอยู่ได้ด้วยอาชีพนักเขียนจริงๆ...ลูกคิดเผื่อตรงนี้ไว้รึยัง"



*******************

กอหญ้าจะตัดสินใจเช่นไร ต้องติดตาม...^___^



สรัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 มิ.ย. 2559, 20:17:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 มิ.ย. 2559, 20:17:05 น.

จำนวนการเข้าชม : 837





<< บทที่ 1---100%   บทที่ 2---70% >>
Zephyr 24 มิ.ย. 2559, 21:08:45 น.
นิสัยนางไม่น่ารักเลยค่ะ
เฮ้อออ เอาแต่ใจตัว
รอดูยาวๆว่านางจะงี่เง่ามั้ย


สรัน 24 มิ.ย. 2559, 21:27:57 น.
ต้องให้อาตะวันดัดนิสัยด่วน คริคริ


แว่นใส 24 มิ.ย. 2559, 23:30:57 น.
ยังไงก็ต้องยอมเนอะ


สรัน 25 มิ.ย. 2559, 10:52:09 น.
@แว่นใส---มีความรู้สึกว่านางจะยอมแบบดื้อเงียบ ป๊าดดด ลั่น55555555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account