ลิขิตนครา มนตราบาบิโลน
ในหน้าประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์เเละโกลาหลแห่งอารยธรรมเมโสโปเตเมีย หรือตะวันออกใกล้โบราณ ณ อาณาจักรบาบิโลเนียผุดนามชนชาติหนึ่งที่ปกครองอาณาจักร พวกเขาเรียกตัวเองว่า ชาวคัชดู ขณะชาวกรีกเรียกพวกเขาว่า ชาวคาลเดียน
อาณาจักรของพวกเขายืนยงเพียง 75 ปี แต่กลับสรรค์สร้างสิ่งต่างๆ ให้โลกมากมาย
พวกเขาคือผู้สร้างสวนลอยบาบิโลน พวกเขาคือผู้บุกเบิกดาราศาสตร์ โหราศาสตร์ เเละคณิตศาสตร์ ผลงานของพวกเขาคือต้นเค้าความรุ่งเรืองแห่งอารยธรรมกรีกเเละโรมัน
ทว่าจะเป็นเช่นไร เมื่อนักบวชแห่งมหาเทพมาร์ดุคล่วงรู้ถึงชะตากรรมการล่มสลายเเห่งอาณาจักร
ทางเเก้วิธีเดียวคือ การอ้อนวอนร้องขอต่อทวยเทพประจำนครา
เเละทวยเทพก็มิได้พระทัยร้ายเกินรับฟัง ด้วยเหตุนี้บุรุษและสตรีคู่หนึ่งจึงถูกสรรค์เสกเพื่อสนองต่อคำขอนั้น
หนึ่งบุรุษ...เพชกัลดาราเมช เจ้าชายรัชทายาทแห่งอาณาจักรบาบิโลเนีย
หนึ่งสตรี...นลินนา เทวาสถิต นักศึกษามานุษยวิทยาสาวผู้ถูกส่งข้ามห้วงกาลเวลา
และนี่คือประวัติศาสตร์บทใหม่ที่ถูกถักทอ เรื่องราวของอาณาจักรโบราณอันได้ชื่อว่า เป็นมหานคราที่ใหญ่ที่สุดในโลกยุคโบราณ เเละเกือบได้เป็นเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิกรีกของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช
ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ถูกเขียนขึ้นแล้ว!
Tags: โรเเมนติก ดราม่า ย้อนเวลา ประวัติศาสตร์
ตอน: มัตติกาจารึกแผ่นที่ 9
มัตติกาจารึกแผ่นที่ ๙
“ถ้าเจ้าปรับอยู่ที่เสียงนี้ แล้วเสียงนี้ไม่ค่อยชัด เจ้าก็ลองปรับสายนี้ให้ตึงขึ้นดู จะช่วยให้เสียงนี้ชัดขึ้น เวลาเล่นไม่ต้องเกร็ง ส่วนมือเจ้าต้องงุ้มเข้ามาอีก อา...ลองเล่นดูสิ”
นักบวชพี่เลี้ยงสตรีทำการสอน พลางจัดท่าทางให้ลูกศิษย์สาวผู้ประทับบนเก้าอี้ไม้ไร้พนัก โอบประคองดุริยางค์จำพวกเครื่องสายรูปทรงดั่งผลแพร์ผ่าซีกไว้ในอ้อมแขน ลูกศิษย์สาวขยับแขนตามผู้เป็นอาจารย์สอนสั่ง พลันได้ท่วงท่าถูกต้องเหมาะสม ผู้เป็นอาจารย์จึงส่งสัญญาณให้เริ่มบรรเลง
ลูกศิษย์สาวสูดลมลึก ชั่วพริบตา อากัปกิริยาจึงแปรเปลี่ยนไป ดวงเนตรอันเมื่อครู่ทอแววสับสนบัดนี้สงบขรึม เรือนร่างวางสง่าประหนึ่งเทพี‘คูลิตตา’1ลงประทับ เนตรคู่นั้นจรดมองมัตติกาจารึกอันจารสลักท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นจึงเริ่มกรีดกรายเรียวนิ้วไปตามแต่ละเส้นสายอย่างพลิ้วไหวแม่นยำ ดวงพักตร์อันสงบนิ่งดูราวร่ายมนตร์ขลังไปทั่วห้องอันสว่างสลัวด้วยรัศมิมานแห่งสุริยเทพ นางร่ายบรรเลงไปสักพักก็หยุดมือ จากนั้นผู้เป็นอาจารย์จึงสอนต่ออีกระยะ แล้วให้ลูกศิษย์สาวไปฝึกซ้อมต่อเอง
เสร็จสิ้นการสอน นินซาก็ปลีกตัวไปทำงานของตน นลินนาถอนปัสสาสะพรั่งพรู เก็บ ‘ลูธ’ หรือเครื่องดนตรีจำพวกเครื่องสายรูปทรงดั่งผลแพร์ผ่าซีกในอ้อมแขนเมื่อครู่ไว้มุมห้อง แล้วจึงหยิบตำราอันกักเก็บทฤษฎีดนตรีที่เก่าแก่ที่สุดในโลก2ออกดู จดจ้องไปยังโน้ตดนตรีอันแทบกลืนไปกับอักษรลิ่ม
ในปัจจุบันนักโบราณคดียังคงจนปัญญาไม่รู้จะถอดเสียงของโน้ตเหล่านี้ออกมาอย่างไร ทว่าบัดนี้นลินนากลับล่วงรู้ปริศนานั้นเข้าเสียแล้ว ทว่าแทนที่จะดีอกดีใจตามประสาผู้คลั่งไคล้ประวัติศาสตร์ ความกังวลใจมากมายกลับถั่งโถมจนลืมสิ่งที่ควรดีใจไปเกือบสิ้น
นับแต่กลับจากพระราชวังใต้หล่อนยังคงครุ่นคิดไม่วางวาย ว่าจักช่วยนครบาบิลิมได้เช่นไร หนำซ้ำยังมีเรื่องเจ้าชายเพชกัลดาราเมชมาให้กังวล แม้คราไปเยือนงานเลี้ยง องค์รัชทายาทแห่งบาบิลิมจักไม่ได้ตรัสถามถึงเรื่องของในกระเป๋าผ้าลวดลายวิจิตร แลไม่ได้แสดงพระอาการใดๆ ออกมา กระนั้นก็มิได้แปลว่า จักไม่ทรงสงสัย พระบุคลิกสงบขรึมขององค์รัชทายาท ทำให้เธอไม่ทราบว่า ใต้ดวงเนตรสีสนิมทรงซุกซ่อนอะไรไว้บ้าง แล้วเจ้าชายนาโบนัสซาร์เล่าทรงล่วงรู้หรือไม่ และยิ่งไปกว่านั้น คือ...เจ้าชายซามูลาเอล
แค่ดำริถึงพระนาม ลมหายใจก็พลันสะดุดไปเสียดื้อๆ ด้วยยังจดจำสายพระเนตรพิฆาตประดุจจักษุหมาป่านั่นได้
นลินนาไม่ทราบว่า เหตุใดเจ้าชายซามูลาเอลจึงทอดพระเนตรเธอแลพระเชษฐาด้วยสายพระเนตรเช่นนั้น กระนั้นการถูกเพ่งเล็งก็มิใช่เรื่องดี
เมื่อคิดได้ว่า ควรพักเรื่องพวกนี้ไว้ก่อน นลินนาจึงเก็บข้าวของเข้าที่ ภาวนาต่อเทพีอิชทาร์แลพระแม่ปารวตีให้วันนี้ผ่านพ้นไปด้วยดีอีกวัน จากนั้นจึงไปกินสำรับร่วมกับนักบวชสตรีแลเจ้าหน้าที่ประจำวิหาร ในมื้อยังคงมีขนมปัง เบียร์ ไวน์ แลเนื้อสัตว์หลากชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...เนื้อปลาอันเป็นอาหารหลักของชาวเมโสโปเตเมีย
นลินนารีบจัดการสำรับอย่างรวดเร็ว หมายจะรีบไปช่วยงานนินซา แล้วค่อยมาซ้อมลูธต่อ ทว่าระหว่างกำลังลุก สาวใช้แห่งหัวหน้านักบวชก็มาตาม ร่างเพรียวระหงจึงเดินตามไปอย่างเคยชิน
ในห้องของนักบวชสูงสุดแห่งมหาเทพียังคงสลัวราวมีบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์โอบคลุมอยู่เช่นเดิม บนบัลลังก์งาช้างสลักเสลาลวดลายตรงพนักบ่งว่าได้รับอิทธิพลจากศิลปะไอยคุปต์นั้น สรีระสมส่วนของนักบวชสูงสุดยังคงประทับสง่า รอยแย้มสรวลเมตตาปรานี ก่อให้จิตใจบังเกิดความศรัทธา
“ไม่ได้พบกันนาน ไปงานเลี้ยงมาเป็นเช่นไรบ้าง ส่วนเรื่องไปพระราชวัง พระนางแทปปูติได้มีพระเสาวนีย์มาเรียบร้อยแล้ว หากเจ้าประสงค์จะไปเมื่อใดก็แจ้งเรื่องผ่านนินซาได้ทันที นินซาบอกว่า ตอนนี้นางกำลังฝึกหัดดนตรีให้เจ้างั้นหรือ”
พลันพบพักตร์ นักบวชสูงสุดก็เอ่ยถามด้วยความปรานี
“กษัตริย์อาเคอร์ดูอานาต้อนรับฉันดีมากเลยค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง ส่วนเรื่องฝึกหัดดนตรี เพิ่งเริ่มฝึกเมื่อวานเองค่ะ ตอนนี้กำลังลองเล่นแบบง่าย ๆ ไปก่อน คงยังถึงขั้นบรรเลงเพลงสวดไม่ได้”
นักบวชสาวแจ้งเรื่องทุกประการแก่นักบวชผู้เป็นประมุขสูงสุด จึงได้รับรอยแย้มอารีตอบแทน จากนั้นประมุขแห่งนักบวชมหาเทพีจึงพาเข้าประเด็น
“ความจริงแล้ว ข้ามีเรื่องอยากให้เจ้าช่วยข้าเรื่องหนึ่ง”
ถ้อยเกริ่นของนักบวชสูงสุดแห่งเทพีการสงครามนำความกระตือรือร้นมาสู่หล่อน รีบขานกลับ
“เรื่องอะไรหรือคะ?” เนตรเรียวสีเดียวกับเกศาเบิกโตใสซื่อ
“แท้จริงแล้ว ข้ามีสาส์นฉบับหนึ่งจำต้องนำไปส่งมอบ จึงอยากวานให้เจ้าช่วยนำไปส่งให้ข้า”
“สาส์นอะไรหรือคะ?”
รอยแย้มพึงใจคลี่ขึ้นทันควัน สาวใช้รีบค้นสาส์นฉบับนั้นมายื่นแด่นักบวชสูงสุดโดยไว และแล้วสาส์นฉบับนั้นก็ย้ายมาสู่มือเธอ นลินนาจับจ้องสาส์นที่ผิดแผกกับในความคิดตนลิบลับ ด้วยสาส์นที่ว่านี้เป็นมัตติกาจารึกห่อหุ้มด้วยแผ่นดินเหนียวอีกทบ คงเอาไว้กันผู้รับรู้เนื้อหาภายใน ลองเขย่าดูก็ได้ยินเสียงซ่า ๆ ของเศษดินแห้ง คงโปรยไว้ช่วยให้มัตติกาจารึกด้านในไม่ติดกับดินสำหรับห่อหุ้ม แต่ด้านหน้าซองห่อหุ้มกลับมิผิดแผกอะไรกับจดหมายยุคปัจจุบัน ด้วยมันมีจ่าหน้าซองถึงผู้รับครบถ้วน และบุคคลที่หล่อนต้องนำสาส์นไปส่งก็มิใช่ใคร นักบวชสูงสุดแห่งเทพอีเอ เจ้าชายซัลมาร์เนเซอร์!
ภาพบุรุษผู้อ่อนเยาว์ หากเยือกเย็นแวบเข้ามา เจ้าชายซัลมาร์เนเซอร์คือ ร่างทรงศักดิ์สิทธิ์ผู้ประทานคำทำนายแห่งบาบิลิม! และบุรุษผู้นี้เองคือผู้ประกาศชะตาชีวิตเธอ นลินนาไม่คิดเลยว่า จักได้พบพระองค์รวดเร็วปานนี้
คงเพราะเห็นเธอนิ่งไปพัก จึงกล่าวขึ้น “สาส์นฉบับนี้เป็นสาส์นสำคัญ ข้าอยากให้เจ้าส่งถึงพระหัตถ์นักบวชสูงสุดแห่งอีเอเองกับมือ ดินห่อหุ้มสาส์นต้องถูกทุบให้แตกเบื้องพระพักตร์เท่านั้น ห้ามฝากผู้ใดเป็นอันขาด เจ้าทำได้หรือไม่นลินนา?”
สิ้นคำของนักบวชสูงสุด นักบวชสาวจึงพยักหน้ารับรัวเร็ว ภาพพระพักตร์เยือกเย็นของร่างทรงศักดิ์สิทธิ์แห่งเทพอีเอลอยวาบเข้ามา พลันรับคำ นักบวชสูงสุดก็เรียกเสลี่ยงให้นำเธอมุ่งสู่วิหารแห่งนทีเทพทันที ไม่ทิ้งจังหวะให้พักหายใจ
“เสด็จพี่ราเมช เสด็จพี่ราเมชพ่ะย่ะค่ะ!!!”
สุรเสียงร้องเรียกดังแต่ไกลของพระอนุชานาโบนัสซาร์ หยุดพระหัตถ์อันกำลังน้าวเกาทัณฑ์ขององค์รัชทายาทแห่งบาบิลิมได้อย่างชะงัดงัน
ณ เบื้องพระพักตร์คือ ลานฝึกซ้อมในศูนย์ฝึกทหาร นับแต่ตีซูบาร์ตูแตกพ่าย ราชวงศ์คัชดูก็วุ่นวายกับการขยายราชอาณาจักรให้แผ่ไพศาล กำราบนคราน้อยใหญ่ บนหน้าประวัติศาสตร์หลายสิบปีเต็มไปด้วยการพุ่งรบแย่งชิง เพราะฉะนั้น การฝึกทหารให้เพียงพอต่อการรณรงค์จึงเป็นสิ่งจำเป็น ในระนาบเดียวกัน มีทหารใหม่แลทหารชาญศึกกำลังฝึกรบแข็งขัน ลูกธนูบางส่วนร่วงตกลงปักทราย บางส่วนพุ่งสู่เป้า ทั่วลานจึงบังเกิดเสียงเสียบเป้าแหวกอากาศของลูกธนูอึงอล ทหารใหม่บางนายอ่อนล้า ทว่าพลันแลเห็นสหายกำลังฝึกอย่างแข็งขันก็รีบลุกมาฝึกใหม่ ใจกลางลานมีรถศึกตะบึงลดเลี้ยวพุ่งชนหุ่น ทหารผู้ประจำบนรถศึกต่างน้าวธนู แกว่งหอก เสียบฟันหุ่นจนแหว่งวิ่น
สายตาของทหารหลายนายเบือนมาจับจ้ององค์รัชทายาทแห่งบาบิลิม ประทับใจเป็นอย่างยิ่งกับพระบุคลิกอันสง่างามแลความชาญศึกมิพ่ายแพ้ผู้ใด บนพระพักตร์โซมพระเสโทงดงามประหนึ่งเทวรูปสลัก แต่แล้วพระกรแกร่งเกร็งด้วยน้าวพระแสงเกาทัณฑ์ก็ชะงักงัน ผินพักตร์ไปสดับพระอนุชา
“มีอะไร นาโบนัสซาร์?”
พระสุรเสียงเรียบนิ่งแห่งพระเชษฐาพาให้ผู้เป็นอนุชานิ่งอั้น จากนั้นจึงกราบทูล
“เสด็จพ่อมีพระราชประสงค์ให้เสด็จพี่เข้าเฝ้าด่วนพ่ะย่ะค่ะ”
พักตร์เคร่งขรึมปรากฏรอยสนเท่ห์ “จักเป็นไปได้เช่นไร บัดนี้เสด็จพ่อเข้าประชุมอยู่”
สิ้นถ้อยรับสั่ง พระพักตร์แห่งเจ้าชายนาโบนัสซาร์ก็สะท้อนแววเดียวกัน “หม่อมฉันก็ไม่ทราบเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ แต่รีบเสด็จเถิด”
สดับดังนั้น ก็ทรงวางพระแสงเกาทัณฑ์ลงทันที องครักษ์ประจำพระองค์ปราดมารับศัสตราวุธทันควัน ทรงสาวพระบาทออกจากลานฝึกซ้อมมุ่งสู่ห้องบัลลังก์ สถานที่ประชุมราชการแห่งบาบิโลน
ทวารสนซีดาร์เปิดผางออก ทวารบาลรีบชักหอกอันประสานขวางเก็บเข้าข้างตัว เปิดทางให้องค์รัชทายาทแลเจ้าชายแห่งบาบิลิมเสด็จสู่ภายใน
ณ ที่ประชุม บรรยากาศเงียบสงัดคลุมแผ่ไปรอบอาณาบริเวณ ตลอดสองฟากอันกรุยสู่พื้นยกที่พระบิดาประทับอยู่ ประดาขุนนางแลเสนาบดีล้วนนั่งนิ่งเงียบงัน กระทั่งอาลักษณ์ผู้นั่งต่ำลงไปข้างพระราชบัลลังก์ยังจารจารึกค้างคา มีเพียงท่านมานิชตูชู อัครมหาเสนาบดีเท่านั้นผู้ยังคงลักษณาการสุขุมคัมภีรภาพดังเดิม ครั้นถึงที่ประชุม รัชทายาทแลเจ้าชายแห่งบาบิลิมก็ทรงยอบองค์ลงทันที ทูลถาม
“มีเหตุใดจึงเรียกลูกมาหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
บนพระราชบัลลังก์ กษัตริย์แห่งบาบิโลเนียประทับนิ่ง พยักพระพักตร์แก่มานิชตูชู ใบหน้าเปี่ยมความสุขุมนั้นจึงหลับตาลงสงบขรึม ลุกขึ้น แล้วจึงอัญเชิญพระบรมราชโองการ
“องค์รัชทายาทแห่งบาบิลิม เจ้าชายเพชกัลดาราเมช...รับราชโองการ”
สดับดังนั้น เจ้าชายเพชกัลดาราเมชแลพระอนุชาก็รีบยอบองค์ลงทันที ไม่เข้าพระทัยในสิ่งอันกำลังบังเกิด
“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป กษัตริย์อาเคอร์ดูอานา กษัตริย์แห่งบาบิลิมผู้ได้รับอำนาจการปกครองโดยชอบธรรมจากมหาเทพมาร์ดุคได้มีพระราชประสงค์จักตรากฎมนเฑียรบาลขึ้นมาใหม่ นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป องค์รัชทายาทแห่งบาบิลิมทุกพระองค์จักต้องว่าราชการร่วมกับกษัตริย์แห่งบาบิลิม แลยามขึ้นครองราชย์ จักต้องมีกษัตริย์พระองค์เก่าเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญ แลมีสิทธิร่วมในการตัดสินทุกกรณี รับราชโองการ!”
พลันได้สดับครบถ้วนกระบวนความ พระราชโอรสทั้งสองในกษัตริย์อาเคอร์ดูอานาก็ตกอยู่ในภวังค์ ยืดพระกรัชกายขึ้นอย่างงวยงง ยังคงสับสนในพระหทัย ได้เพียงทบทวนสิ่งที่สดับวกไปวนมา ก่อนจักตระหนักว่า นับแต่บัดนี้เป็นต้นไปพระองค์จักต้องปกครองอาณาจักรร่วมกับพระบิดา
เสลี่ยงคานหามตรงจากวิหารแห่งเทพีการสงครามมุ่งสู่วิหารแห่งเทพผู้ทรงปัญญาอันอยู่อีกฟากของนคราบาบิลิม ประดาทาสย่างเท้าแหวกฝ่าฝูงชน ยาตราไปตามสะพานข้ามธาราพูรัตตูอันสรรค์จากหินปูนแลอิฐดิบฉาบน้ำมันดินกันน้ำ ตามกระแสธารากรากเชี่ยวแลเห็นเรือขนส่งสินค้าล่องแล่นพลุกพล่าน บนท่ามีกุลีกรรมกรขนถ่ายสินค้าขึ้นฝั่งวุ่นวาย
ด้วยฝีเท้าทาสถี่กระชั้น ชั่วอึดใจจึงลุถึงวิหารแห่งอีเอ เทพพระบิดาแห่งมหาเทพีอิชทาร์ นลินนาแหงนมองวิหารอันตระหง่านก่อด้วยอิฐดิบ ทำการแจ้งเรื่องต่อเจ้าหน้าที่ประจำวิหาร พร้อมยื่นตราประทับแห่งวิหารเทพีอิชทาร์ให้ดู จึงสามารถเข้าไปโดยง่ายดาย
นักบวชสาวเดินตามนักบวชหนุ่มแห่งเทพอีเอเข้าไปภายใน เทพอีเอเป็นเทพบุรุษ ด้วยเหตุนี้นักบวชส่วนใหญ่จึงเป็นบุรุษตามไปด้วย กระนั้นก็ยังมีนักบวชสตรีให้เห็นประปราย แม้จักไม่ได้รับตำแหน่งสำคัญ ๆ ก็ตาม ระหว่างทางหล่อนได้ยินเสียงอ่านจารึกเจื้อยแจ้ว คงเป็นเด็กชายฐานะร่ำรวยผู้มาร่ำเรียนตามวิหารต่าง ๆ
ณ ส่วนลึกสุดคือ ห้องบูชาอันมีเพียงนักบวชสูงสุดสามารถล่วงล้ำเข้าไป ณ ที่นั้นเอง นลินนาก็แลเห็นบุรุษร่างเพรียวสมส่วนกำลังหันหลังทำพิธี มิพักต้องสงสัยเลยว่า บุรุษผู้นั้นคือนักบวชสูงสุดแห่งอีเอ เจ้าชายซัลมาร์เนเซอร์!
“มีคนจากวิหารเทพีอิชทาร์มาขอพบขอรับ”
สิ้นคำ องค์อันหันพระปฤษฎางค์ประทานก็หมุนกลับมา
นลินนานิ่งอั้น แทบหยุดหายใจ ด้วยบุรุษตรงหน้ายังคงลักษณาการเดียวกับครั้งที่เธอพบในโถงชะตากรรม ดวงพักตร์คลับคล้ายประดาเจ้าชายแห่งบาบิลิม ทว่าสงบเยือกเย็น ในโครงพระพักตร์มีความอ่อนหวานของพระนางแทปปูติเคลือบฉาบ แลสิ่งที่เหนือยิ่งไปกว่านั้นก็คือ แววเนตรล้ำลึกดุจห้วงนที
นลินนาถือสาส์นบนมือมั่น ทัศนานักบวชหนุ่มตรงหน้า ทั้งที่เจ้าชายซัลมาร์เนเซอร์ทรงพระเยาว์กว่าพระเชษฐาองค์อื่น ๆ กระนั้นกลับมีพระรัศมีแรงกล้าบางอย่างคลุมแผ่ ขณะเดียวก็ชวนให้รู้สึกสบายใจ
แลข้ามวรองค์ไปในห้องบูชา บรรยากาศภายในกลับเย็นยะเยือกยิ่งกว่าเป็นทบทวี ความมืดสลัวในนั้นช่างประหลาดล้ำ จนนลินนาผู้เริ่มชินกับบรรยากาศวิหารยังรับรู้ได้ ความสลัวนี้เอง ทำให้เธอเห็นเพียงเงาวอมแวมทัศนาไม่ชัดเจน
“ทางวิหารอิชทาร์มีเรื่องอันใดหรือ?”
สุรเสียงสงบเยือกเย็นดึงสตินลินนา หล่อนสะดุ้ง รีบยื่นสาส์นนั้นถวายแด่นักบวชสูงสุดแห่งเทพอีเอ กระทำตามบัญชาของนักบวชสูงสุดแห่งอิชทาร์ทุกประการ แอบชื่นชมในความสุขุม ทั้งที่ยังเยาว์วัยของเจ้าชายองค์เล็กแห่งบาบิลิม
พระเนตรแห่งเจ้าชายซัลมาร์เนเซอร์จรดลงบนดินห่อหุ้ม ซองด้านนอกถูกทุบแตกโดยฝีมือของนักบวชหนุ่มผู้นำเธอมา จึงเผยให้เห็นสาส์นอันซุกซ่อนอยู่ภายใน ครั้นสาส์นฉบับนั้นอยู่ในพระหัตถ์ของร่างทรงแห่งเทพอีเอ แววเนตรก็พลันแปรเปลี่ยน ทรงนิ่งไปคล้ายครุ่นคิด ก่อนจักยื่นสาส์นนั้นประทานแก่เธอ
นลินนารับสาสน์กลับคืนอย่างงุนงง “เจ้าช่วยอ่านสาส์นนี้ให้ข้าฟังที”
ผู้ถูกร้องขอไม่เข้าใจนัก จรดเนตรมองก็พบว่า เป็นภาษาซูเมอร์ ซึ่งมิมีทางที่เจ้าชายซัลมาร์เนเซอร์จักทรงพระอักษรไม่ได้
ด้วยมิได้เอะใจ สตรีผู้ถือกำเนิดจากมหาเทพีจึงเปล่งสำเนียงถ่ายทอดเนื้อความในสาส์นนั้น
สำเนียงหล่อนสูงต่ำเจื้อยแจ้วไปตามท่วงทำนองแห่งอักขระ ทว่ายิ่งอ่าน ก็ยิ่งขมวดคิ้ว ด้วยเริ่มรู้สึกว่า เนื้อความในสาส์นหาใช่จดหมายโต้ตอบ แต่เป็นบทสวด...บทสวดสำหรับอะไรสักอย่าง
ยังมิทันเข้าใจแจ่มแจ้ง รอบกายก็พลันเย็นเยียบ อนุภาคในห้วงอากาศสั่นสะเทือน อุณหภูมิลดลงรวดเร็วจนขนทั่วกายลุกชัน หากร่างทรงศักดิ์สิทธิ์แห่งเทพอีเอยังคงประทับยืนนิ่งมิสะทกสะท้าน และหว่างหล่อนกำลังสังวัธยายความในสาส์นไปนั้น กระแสวารีกลับเอ่อล้นหลั่งไหลมาจากภายในห้องบูชา พริบตาเดียวคลื่นวารีก็ซัดสาด ร่างเพรียวระหงปะทะเข้ากับกระแสวารีกรากเชี่ยว มันหลั่งทะลักรวดเร็วจนเธอไม่ทันตั้งตัว ได้เพียงปัดป่ายดิ้นรน ใต้นทีมืดมิดจนแทบไม่เห็นอะไร หล่อนพยายามเพ่งไปยังตำแหน่งของเจ้าชายซัลมาร์เนเซอร์ ทว่าจักษุประสาทเริ่มพร่าเลือน จะอ้าปาก น้ำก็ทะลักเข้า สำนวนว่า น้ำท่วมปากเป็นเช่นไร นลินนาเพิ่งเข้าใจในวินาทีนี้เอง
อาการขาดอากาศ พาให้สติสัมปชัญญะเริ่มเลือนลง กระแสวารีถูกดูดหวนกลับไปยังห้องบูชา พาร่างหล่อนด่ำดึงลงสู่ความลึกอันแม้แต่ทวยเทพก็ยังมิอาจคะเน
“...นลินนา นลินนา นลินนา นลินนา...”
เสียงเพรียกหาของใครบางคนดึงสตินักบวชสาวให้ฟื้นคืน หล่อนพยายามลืมตาอย่างยากเย็น บรรยากาศรอบตัวยังคงเย็นยะเยือก กระนั้นกลับรู้สึกอุ่นใจอย่างประหลาด ดุจเดียวกับครารู้สึกอุ่นวาบในโพรงอกครั้งย้อนกาลมายังนครทวาราแห่งทวยเทวัญ
จักษุประสาทใช้การได้ในที่สุด แม้ทั่วสรรพางค์ยังคงหนักอึ้ง หล่อนค่อย ๆ ลืมตา รอจนม่านตาขยายเต็มที่ ภาพเบื้องพักตร์จึงประจักษ์ชัดแก่สายตา ก่อนจักอ้าปากค้าง ไม่อยากเชื่อในสิ่งอันกำลังเผชิญ!
1 Kulitta เทพีแห่งการดนตรีของชาวบาบิโลเนียนและฮิตไทต์ มักได้ยินพระนามควบคู่กับเทพี Ninatta เทพีการดนตรีเช่นเดียวกัน
2 เมโสโปเตเมียนับว่า มีโน้ตดนตรีปรากฏให้เห็นเป็นครั้งแรกๆ ของโลก นักโบราณคดีได้ขุดพบจารึกอักษรลิ่มบนแผ่นดินเหนียวอายุราว ๒,๐๐๐ ปีก่อนคริสตกาลที่เมืองอูรุค(Uruk) ซึ่งเป็นยุคเดียวกับสมัยบาบิโลนเก่า เนื้อหาในจารึกกล่าวถึงชิ้นส่วนต่างๆ สเกล(scale) และระบบการตั้งเสียงของเครื่องดนตรีจำพวกเครื่องสาย
****************************************************************************************************************************
สวัสดีค่าาา มาพบกันอีกครั้งนะคะ ขอโทษนะคะที่รอบนี้มาช้า เนื่องจากเป็นตอนที่เเต่งยากมากๆ ตอนหนึ่งทีเดียวค่ะ เพราะต้องหาข้อมูลเผื่อไว้สำหรับตอนหน้าด้วย ไม่งั้นเดี๋ยวมันจะมาเเย้งกันเอง หากอ่านแล้วรู้สึกยังไงก็คอมเมนต์บอกกันได้นะคะ จะนำไปพัฒนาต่อไปค่ะ จนถึงตอนนี้ก็ขอขอบคุณทุกท่านที่เเวะเข้ามาอ่านมากๆ เลยนะคะ
เซธเวเรท
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ก.ค. 2559, 17:45:24 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ส.ค. 2559, 17:29:28 น.
จำนวนการเข้าชม : 1089
<< มัตติกาจารึกแผ่นที่ 8 | มัตติกาจารึกแผ่นที่ 10 >> |
Likewizy 8 ก.ค. 2559, 20:27:35 น.
นางเอกแลดูกลัวเจ้าชายนะ ชอบฉากบรรยายซ้อมรบ ดูมีชีวิตชีวาดีครับ
นางเอกแลดูกลัวเจ้าชายนะ ชอบฉากบรรยายซ้อมรบ ดูมีชีวิตชีวาดีครับ
แว่นใส 8 ก.ค. 2559, 22:10:01 น.
เจออะไรเปลก ๆ แล้ว
เจออะไรเปลก ๆ แล้ว
Zephyr 13 ก.ค. 2559, 21:58:01 น.
ไปโผล่ไหนอีกเนี่ย
ไปโผล่ไหนอีกเนี่ย