ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๑๑ ชะตากรรมอันโหดร้าย

ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๑๑ ชะตากรรมอันโหดร้าย

ก่อนที่ฮ่องเต้ชางหลงจะเร้นกายไปอีกหน พระองค์ได้ทรงฝากฝังกุ้ยฮวาเอาไว้กับไทเฮาและสนมเฉิน ดังนั้นเมื่อสุขภาพของนางกลับมาแข็งแรง ทั้งคู่จึงส่งนางกำนัลมาทำการอบรมหญิงสาว ให้สามารถวางตัวในฐานะองค์หญิงได้อย่างเหมาะสม คนของสองนางพญาแห่งวังหลังไม่ถูกกันตามคาด ความสามัคคีเดียวที่มีคือพร้อมใจกันถ่ายทอดศิลปะวิชาและขัดเกลากิริยามารยาทขององค์หญิงตราตั้งคนใหม่อย่างเข้มงวด แว่นจึงแทบขยับตัวไปไหนไม่ได้

คนของสนมเฉินคุ้นเคยกันมาก่อน เมื่อรู้นิสัยก็พอจะคุยกันได้ แต่คนของไทเฮาต่างออกไป นางกำนัลชิงไฉเป็นสตรีสูงวัยที่น่ายำเกรง ไม่ว่าจะด่าหรือชมสีหน้าก็ไม่เปลี่ยนสักนิด แว่นเข้าใจว่านางต้องการให้กุ้ยฮวาตั้งใจเรียนและไม่อยากให้หลงระเริงกับยศศักดิ์จนลืมตัว จึงก้มหน้าก้มตาเรียนรู้หลักปฏิบัติ ซึมซับทุกองค์ความรู้โดยไม่โต้เถียง ความที่หัวดีอยู่แล้ว นางกำนัลอาวุโสบอกอะไรมาก็ไม่เคยลืม ทั้งยังเป็นคนที่ระมัดระวังตัวโดยนิสัย ชิงไฉจึงไม่ติติงอะไรมาก และปล่อยให้ผ่านการทดสอบโดยง่าย

แว่นโชคดีมากที่จับหลักสำคัญถูก แม้การเป็นองค์หญิงจะมีธรรมเนียมยิบย่อยมากมาย แต่ก็ไม่มีใครมานั่งถกหรือจับผิด คุณสมบัติที่ควรมีติดกายมากที่สุดคือความสงบสำรวม ต้องไว้ตัวแต่ไม่เย่อหยิ่ง รู้จักใช้พระเดชพระคุณให้เป็น ข้อหลังนี้ยากหน่อย เพราะแว่นเป็นจำพวกชอบทำอะไรเองมากกว่าไหว้วานคนอื่น แต่เป็นองค์หญิงแล้วจะทำตัวดังเช่นเมื่อก่อนไม่ได้ จำเป็นต้องใช้หัวสักหน่อย

พวกนางกำนัลไม่มีใครสอนเรื่องนี้ หนังสือฮาวทูองค์หญิงมือใหม่ก็ไม่มีให้อ่าน แว่นเลยสังเกตเอาจากองค์หญิงสิบสี่ ที่แวะเวียนมาหาเรื่องเป็นระยะแทน แว่นไม่ถือสาเด็กน้อยที่กำลังจะกลายเป็นวัยรุ่น เขาเข้าใจว่านางเหงา ที่พี่สาวสุดที่รักแต่งงานออกเรือนไป จึงชวนมานั่งดื่มชาสนทนากัน

“ทำไมข้าต้องมานั่งดื่มชากับคนที่มีฐานะต่ำกว่าด้วย” นางเชิดหน้าอย่างเย่อหยิ่ง

คนที่ไม่อยากอยู่เดี๋ยวเดียวก็คงสะบัดหน้าไปแต่นางกลับยืนรอให้งอนง้อ แว่นขำเด็กปากไม่ตรงกับใจ จนไพล่คิดไปถึงองค์ชายน้องเล็กจอมเอาแต่ใจ ไม่รู้ว่านิสัยอย่างนี้เป็นเฉพาะพวกลูกคนเล็ก หรือมันบังเอิญถ่ายทอดมาจากสายเลือด ถ้าจำไม่ผิดดูเหมือนมารดาขององค์หญิงสิบสี่จะเป็นญาติกับสนมเหอ

“เพราะองค์หญิงน้ำใจงาม เมตตาคนหัวเดียวกระเทียบลีบอย่างหม่อมฉันไงเพคะ”

พอหยอดคำชมผสมคำอ้อนวอนลงไปหน่อย องค์หญิงน้อยก็ยอมนั่งลงสนทนาด้วย นางบ่นว่าชาไม่อร่อย ขนมก็ไม่ได้เรื่อง มองอะไรก็ติไปทั่ว ถึงกระนั้นแว่นก็ได้ประโยชน์จากการสังเกตองค์หญิงน้อยหลายอย่าง

ข้อแรกคือนางเป็นคนง่ายๆ กว่าที่คาด ถามอะไรก็ตอบมาหมด เรียกได้ว่าเป็นแหล่งข้อมูลเคลื่อนที่ชั้นดี

ข้อสองแม้นางจะเป็นน้องเล็กจอมเอาแต่ใจ แต่ก็เป็นองค์หญิงโดยกำเนิด แว่นเอากิริยาการวางอำนาจบาตรใหญ่ของนาง มาปรับใช้กับบางสถานการณ์ได้ดีทีเดียว

จะว่าไปแล้วการเป็นองค์หญิงก็มีข้อดีหลายประการ นอกจากจะถูกหาเรื่องน้อยลงแล้ว ยังชี้นิ้วสั่งใครต่อใครได้สบาย อยากได้หรือต้องการสิ่งใดก็มีคนจัดหามาให้ทันที เสียก็แต่ความเป็นส่วนตัวไม่มีเหลือ มีนางกำนัลตามติดตลอด แม้กระทั่งตอนเข้าห้องน้ำก็ไม่เว้น

อาหญิงหงจิงเข้าใจว่าอึดอัด จึงปลอบว่าให้อดทนอีกระยะ ถ้าประพฤติตัวได้เป็นที่น่าพอใจ ไม่นานพวกนางกำนัลที่ดูแลก็ลดความเข้มงวดลง อีกทั้งยังแนะนำว่าเวลาเขียนจดหมายให้ระวังให้มาก เพราะจะถูกเปิดอ่านก่อนส่ง ช่วงที่อยู่ในวังแว่นจึงตัดปัญหาไม่ติดต่อใครเลย กับครอบครัวก็ฝากแค่คำพูดไป

กุ้ยฮวาเข้าวังมาตั้งแต่ฤดูหนาว เผลอพริบตาเดียวก็ฤดูร้อนแล้ว ฤดูร้อนในเจียงเฉียงเริ่มต้นขึ้นตอนเดือนสี่ อุณหภูมิในช่วงนี้จะสูงขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นร้อนอบอ้าวตอนกลางเดือนห้า ปีที่แล้วกุ้ยฮวาอาการทรุดหนักเพราะความร้อนมีผลกับโรคประจำตัว มาปีนี้แม้อาการจะทุเลาลง สุขภาพกลับมาใกล้เคียงกับคนปกติ ก็ยังได้รับคำแนะนำว่าควรจะไปพักผ่อนในที่ที่มีอากาศเย็น เสนาบดีเฉินเห็นว่าธิดาผ่านการอบรมหลักในฐานะเชื้อพระวงศ์แล้ว จึงทูลขออนุญาตไทเฮา ให้กุ้ยฮวาเดินทางไปพักรักษาตัวที่ตำหนักพักร้อนของฮ่องเต้ชางหลงในไห้ซิว

การที่องค์หญิงจะออกนอกวังถือเป็นเรื่องใหญ่ แต่เนื่องจากกุ้ยฮวาเป็นธิดาบุญธรรมของอดีตจักรพรรดิ อีกทั้งฮ่องเต้ชางหลงยังมีราชโองการให้เสนาบดีเฉินรับหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ดูแลนางขณะที่พระองค์ออกเดินทาง สามารถกลับมาพำนักที่สกุลเฉินได้ตามความเห็นชอบของผู้พิทักษ์ ดังนั้นขั้นตอนการออกจากวังจึงไม่ยุ่งวุ่นวายมาก มีเพียงนางกำนัลติดตามออกไปข้างนอกด้วยสองสามคนกับองครักษ์อีกจำนวนหนึ่งเท่านั้น

แว่นรู้สึกหายใจคล่องขึ้นมาก เมื่อรถม้าเคลื่อนตัวออกจากประตูวัง ซีอิ๋งเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน แต่ก็เก็บอาการเอาไว้ได้เป็นอย่างดี นางเปลี่ยนไปมากหลังจากถูกอบรมอย่างหนัก เพื่อให้คู่ควรกับตำแหน่งนางกำนัลคนสนิทขององค์หญิงรุ่ยฟาง

ตอนรู้ว่าซีอิ๋งต้องเจอกับอะไรบ้าง แว่นคิดว่านางต้องทนไม่ไหวแน่ๆ เผลอๆ อาจจะร้องห่มร้องไห้บอกว่าเปลี่ยนใจอยากแต่งงานออกเรือนมากกว่า แต่สิ่งที่คิดเอาไว้ก็ไม่เกิดขึ้น ซีอิ๋งยังยืนกรานว่าอยากรับใช้กุ้ยฮวาอย่างไม่หวั่นไหว นางเมินทุกข้อเสนอของแม่สื่อ แล้วตั้งหน้าขัดเกลาตัวเองให้เป็นสุดยอดนางกำนัล

ซีอิ๋งเคยเป็นเด็กสาวช่างฝัน แต่พอโตเป็นหญิงสาวเต็มตัวก็เริ่มมองโลกตามความเป็นจริง รู้จักขวนขวายหาความรู้ เพราะได้รับอิทธิพลจากแว่นและอาเปา แว่นใช้เวลาว่างส่วนใหญ่จมอยู่กับตำรา จึงเป็นแบบอย่างที่ดีให้ ส่วนอาเปาขณะนี้สอบผ่านได้ทำงานในกรมอาลักษณ์แล้ว เขาก้าวหน้าถึงเพียงนี้ แล้วซีอิ๋งที่เป็นคนสอนอ่านเขียนให้จะยอมน้อยหน้าได้อย่างไร

กำหนดการเดินทางไปไห้ซิวคืออีกสิบวันข้างหน้า ช่วงนี้กุ้ยฮวาและนางกำนัลผู้ติดตามจึงกลับมาพักอยู่ที่บ้านสกุลเฉินก่อนเพื่อเตรียมตัว บรรยากาศในบ้านยังคงเหมือนเดิมแม้จะจากไปนาน แม่เลี้ยงกับบ่าวไพร่ก็ยังแข็งแรงกันดี มีแต่จื่อซ่านเท่านั้นกระมังที่โตขึ้นผิดหูผิดตา ทั้งยังช่างพูดขึ้นมากด้วย จื่อซ่านเล่าให้พี่สาวฟังอย่างตื่นเต้นว่ากำลังฝึกเฟยให้ทำตามคำสั่ง ถึงมันจะบินไม่ได้แต่ก็รู้ภาษา ไม่ว่าจะสั่งให้นั่ง หมอบ ผงกหัว หรือไปคาบของมาให้ก็ทำได้ ดูท่าทางสติปัญญาจะไม่เป็นรองเหยี่ยวดำกับจิ๊บน้อยเลย

แว่นทักทายทุกคนในครอบครัวจนหายคิดถึง แล้วจึงกลับมายังเรือนที่พัก ห้องที่ไม่ได้ใช้มานานยังคงสะอาดสะอ้าน มีแจกันปักดอกไม้สดประดับอยู่ทั่ว บ่งบอกถึงความเอาใจใส่ของหย่าลี่ ที่ทำให้แปลกใจก็คือจดหมายมากมายบนโต๊ะเขียนหนังสือ

“ส่งมาเมื่อไรกัน ทำไมไม่เอาไปให้ข้าในวัง”

ช่วงที่ผ่านมาแว่นไม่ได้เขียนตอบใคร แต่ก็มีจดหมายจากหน่อมส่งมาถึงมือเป็นระยะ

“ฮูหยินคิดว่าไม่สมควรเจ้าค่ะ” สาวใช้ที่ตามมาด้วยตอบ

แว่นพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ถ้าหย่าลี่เห็นว่ามันไม่สมควร ก็คงไม่สมควรจริงๆ เขาหยิบฉบับบนสุดออกมาดู เห็นชื่อคนส่งเป็นองค์ชายห้าก็เข้าใจ องค์ชายห้าส่งจดหมายมาที่บ้านสกุลเฉินแทนเข้าวัง เพราะห่วงเรื่องชื่อเสียงของนาง ไม่อยากให้ผู้ไม่ประสงค์ดี หาเหตุมาติฉินนินทา

จดหมายขององค์ชายห้ามีฉบับเดียว แว่นจึงเก็บเอาไว้อ่านหลังสุด เหมือนอย่างที่เก็บของโปรดเอาไว้กินตอนท้าย เขาหันมาสำรวจจดหมายอื่นๆ ต่อ แล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าเกินครึ่งมาจากจางไห่ ก่อนองครักษ์หนุ่มจะติดตามองค์ชายแปดไปเจียนเจี๋ย แว่นเคยบอกจางไห่ว่าถ้ามีเวลาให้ส่งข่าวมาบ้าง ไม่คิดว่าจะเขาจะขยันเขียนขนาดนี้ แว่นเลยลองสุ่มหยิบมาอ่านฉบับหนึ่ง

‘...องค์ชายแปดจับได้เสียแล้วว่าข้าเขียนจดหมายส่งมารายงานท่านหญิง องค์ชายไม่โกรธแต่สั่งห้ามไม่ให้ข้าเขียนเรื่องไม่ดีของเขาลงไป เรียนตามตรง องค์ชายมาอยู่ที่นี่ประพฤติตัวต่างจากอยู่ในวังมาก ไม่เพียงขยันฝึกวิชาหลากหลายแขนง ตอนนี้ก็ยังได้รับความนับถือจากขุนนางท้องที่ด้วย ความพยายามที่ข้าสุดแสนจะนับถืออีกอย่างหนึ่งคือการหัดว่ายน้ำ องค์ชายฝึกซ้อมอย่างไม่ย่อท้อ เมื่อครึ่งปีก่อนว่ายได้ไกลไม่ถึงสามช่วงตัว ข้าต้องรีบโดดลงไปช่วยขึ้นมา ตอนนี้ว่ายได้ไกลห้าช่วงตัวและสามารถกลับเข้าฝั่งเองได้...’

แว่นหัวเราะจนตัวสั่น จางไห่ไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลยว่าเผาองค์ชายแปดในจดหมายเสียไม่มีดี หัดว่ายน้ำมาตั้งครึ่งปี แต่เพิ่งจะไปไกลได้ห้าช่วงตัว

“มีความพยายามแต่ยังอ่อนหัดนะหรู่เผย”

แว่นคิดว่าควรจะเขียนคำแนะนำเกี่ยวกับหลักการว่ายน้ำไปให้สักหน่อย ในฐานะที่ตัวเองว่ายน้ำแข็งและเคยสอนคนจนว่ายน้ำเป็นมาหลายคน แต่ก่อนอื่นต้องจัดการกับจดหมายกองมหึมาพวกนี้ก่อน

แว่นพบว่าจดหมายหลายฉบับมาจากคนที่หวังประจบประแจง เพื่อหาผลประโยชน์จากยศศักดิ์ของกุ้ยฮวา เมื่อก่อนเคยมีจดหมายเช่นนี้มาบ้าง ซึ่งแว่นก็ไม่เคยตอบกลับ แต่ให้พ่อบ้านเป็นคนจัดการตามคำแนะนำของหย่าลี่ แว่นคัดจดหมายออกจากกองเรื่อยๆ ในที่สุดก็พบจดหมายจากเจ้ถูกทับอยู่ล่างสุด

เจ้เขียนมาบอกว่าจะไม่อยู่เมืองหลวงสักระยะ เพราะมีภารกิจตามหาสินค้ากับฝักวานิลามาทำขนม วานิลาเป็นกล้วยไม้ชนิดหนึ่ง ฝักของมันมีกลิ่นหอมมักนำมาใช้แต่งกลิ่นในอาหารหรือขนม ที่เจียงเฉียงนี่ไม่มีใครรู้จักต้นไม้ชนิดนี้ เจ้เลยถอดใจหันไปใช้อย่างอื่นแต่งกลิ่น จนกระทั่งได้คุยกับพวกพ่อค้าเร่ เห็นว่าท่าเรือของหรงซิ่งมีของคล้ายๆ กันขายอยู่ เลยตัดสินใจเดินทางไปดูด้วยตัวเอง ถ้าใช่จะได้ซื้อกลับมา รวมถึงไปหาวัตถุดิบใหม่ๆ มาทดลองทำอาหารด้วย

เจ้ซึ่งบัดนี้สลัดคราบคณิกาทิ้ง กลายเป็นแม่นางหลงชิงชิงเต็มตัว ดูมีความสุขกับกิจการของตัวเองจนแว่นริษยา เขาเริ่มอยากกลับไปทำยาขาย แต่ผู้ช่วยฝีมือดีอย่างอาเปาก็ไปทำงานอยู่ที่กรมอาลักษณ์เสียแล้ว ตัวแว่นเองก็ใช่ว่าจะมีเวลามาดูแลเรื่องนี้เต็มที่ เลยต้องพับโครงการหารายได้เข้ากระเป๋าไว้ก่อน

แว่นอยากพักอยู่ที่บ้านแบบสบายๆ ทว่ากลับมีแขกมาหาไม่เว้นแต่ละวัน เขารำคาญอยู่บ้าง แต่ก็ต้องรักษามารยาท เลยทำให้ได้รู้เหตุการณ์บ้านเมืองและเรื่องของชาวบ้านที่พลาดไปหลายอย่าง คนรู้จักของแว่นที่ถูกเอ่ยถึงมากที่สุดก็คือหน่อม องค์หญิงลี่จูกับท่านแม่ทัพไปไหนก็สร้างวีรกรรมช่วยเหลือชาวบ้านไปทั่ว ฟังแล้วเริ่มจะสงสัยว่าคู่นี้เขาไปฮันนีมูนหรือไปเป็นอาสาพัฒนาชุมชนกันแน่

คนเดียวที่แว่นไม่ได้ข่าวเลยก็คือโบ้ โบ้เงียบไปจริงๆ แม้แต่ไป๋อวี้ที่สนิทกับองค์ชายหกและติดต่อกันเสมอก็พลอยเงียบหายไปด้วย ไม่รู้ว่าป่านนี้เป็นอย่างไร

“คงไม่เป็นไรหรอก อิโบ้มันถึกจะตาย”

แว่นมั่นใจว่าเพื่อนเอาตัวรอดได้ จึงไม่ได้สนใจตามข่าวอย่างจริงจัง กว่าจะรู้ว่าโบ้เกิดเรื่องก็ครึ่งเดือนให้หลัง


ตำหนักสายลมสงบ สงบดังชื่อของมัน ที่นี่แทบไม่เคยมีแขกมาเยี่ยมเยือน แม้แต่ยามที่แว่นมาพักรักษาตัว ตำหนักอันโอ่อ่านี้ก็ไม่เคยได้ต้อนรับคนนอก ในแต่ละวันแว่นจึงแต่งกายอย่างธรรมดา ไม่ได้สวมเสื้อผ้าหรูหราหลายชั้นตามฐานะ พวกนางกำนัลที่ตามมาด้วยต่างพยายามที่จะจับองค์หญิงรุ่ยฟางแต่งตัวเหมือนดังเช่นตอนอยู่ในวัง แต่แว่นอ้างว่าเสื้อผ้าหนาหนักทำให้ร่างกายร้อน มีผลต่อโรคประจำตัว

“ข้ามาที่นี่เพื่อรักษาตัว ถ้าเอาแต่ห่วงสวยจนอาการทรุด พวกเจ้ารับผิดชอบกันไหวหรือ”

พอได้ยินแบบนั้นก็ไม่มีใครมาวุ่นวายเรื่องการแต่งตัวอีกเลย

แว่นได้ปล่อยตัวตามสบายอยู่สัปดาห์หนึ่งก็มีจดหมายด่วนจากหน่อมส่งมา ทำให้เขาต้องเตรียมเก็บข้าวของและลุกขึ้นมาแต่งตัวเต็มยศ

“เกิดอะไรขึ้นหรือเพคะองค์หญิง” นางกำนัลที่ติดตามมาถาม

“องค์หญิงลี่จูบอกว่าจะส่งคนมารับเที่ยงนี้”

ม้าเร็วคล่องตัวกว่าจึงล่วงหน้ามาแจ้งข่าวก่อนรถม้าที่อีกระยะใหญ่กว่าจะมาถึง เรื่องคำนวณเวลาหน่อมทำได้แม่นยำไม่เคยพลาด แว่นเลยต้องรีบเตรียมตัว เขาสังหรณ์ใจชอบกลว่าอาจเกิดเรื่อง สังเกตจากเนื้อความในจดหมายที่สั้นห้วนเหมือนรีบร้อนเขียน

“มารับไปที่ใดกันเพคะ”

“หุบเขาหิมะ ข้าจะไปเยี่ยมเคารพประมุขพรรคเทพสวรรค์เสียหน่อย”

“ท่านเป็นองค์หญิงนะเพคะ จะลดตัวลงไปเคารพสามัญชนไม่ได้ ให้คนส่งของขวัญไปก็พอ” นางกำนัลที่อายุมากที่สุดห้าม

แว่นไม่โต้เถียง แต่สั่งให้คนเตรียมของขวัญที่เตรียมมาใส่หีบไปด้วย เลยเป็นที่รู้กันว่าองค์หญิงไม่ทำตามคำแนะนำแน่ นางกำนัลเลยจำเป็นต้องหลับตาข้างหนึ่ง กุ้ยฮวามิได้หัวอ่อนดังภาพลักษณ์ที่แสดงออก นางเป็นสตรีที่ฉลาดเฉลียวและใจเด็ดมาก บทจะรั้นขึ้นมาทั้งตำหนักผนึกกำลังกันก็รั้งไม่อยู่

“จะให้ใครติดตามไปบ้างเพคะ”

“ให้ซีอิ๋งกับใครสักคนไปก็พอ ที่เหลือรออยู่นี่”

แว่นไม่อยากให้มีผู้ติดตามเลยด้วยซ้ำแต่เพื่อความสบายใจของทุกคน เลยต้องพาซีอิ๋งกับนางกำนัลไปด้วยอีกคนหนึ่ง

“แล้วองครักษ์ล่ะเพคะ”

“ถ้าคนของลี่จูมีน้อย ก็จัดคนของเราไปเพิ่มอีกสักหน่อยก็ได้ ไม่ต้องให้เอิกเกริกมากนัก เดี๋ยวจะรบกวนทางประมุขมู่เปล่าๆ”

“เรื่องความปลอดภัยไม่ควรละเลยนะเพคะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็จัดตามที่เจ้าเห็นสมควรก็แล้วกัน” แว่นตัดบทเพราะคร้านจะเถียง

เขามีความตั้งใจมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าจะไปเยี่ยมโบ้ที่หุบเขาหิมะ จึงศึกษาเรื่องเส้นทางมาอย่างดี แถบนี้ค่อนข้างปลอดภัยไม่มีโจรผู้ร้ายเพราะใกล้เขตปกครองของพรรคเทพสวรรค์ หุบเขาหิมะถือเป็นดินแดนของอาณาจักรเจียงเฉียง แต่ทางการไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยว ขอเพียงเสียภาษีตามกำหนด จะบริหารจัดการอย่างไรก็สุดแล้วแต่ใจ รัศมีร้อยลี้รอบหุบเขาก็ปลอดคนของทางการเช่นกัน ถึงกระนั้นก็ไม่มีปัญหาเพราะชาวบ้านอยู่ภายใต้การดูแลของพรรคเทพสวรรค์ กฎของชาวยุทธ์เด็ดขาดและรุนแรง ใครที่ริอ่านเป็นโจรบุกปล้นฆ่าฟัน ไม่เคยมีชีวิตอยู่ได้เกินเจ็ดวัน


เที่ยงตรงไม่ขาดไม่เกินก็มีคนมารับกุ้ยฮวาดังที่แจ้งในจดหมาย คนที่มารับเป็นทหารยอดฝีมือของแม่ทัพต่ง และคนหน้าคุ้นอย่างอู๋อี้ ขุนพลแห่งต้าต่านมาเอง พวกนางกำนัลเลยไม่กล้าสั่งให้องครักษ์ตามไปด้วย เนื่องจากเกรงว่าจะเป็นการสบประมาทฝีมือท่านขุนพล

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ ท่านจึงมาด้วยตัวเอง” แว่นเริ่มสงสัย

“มิได้ๆ ข้า เอ๊ย! กระหม่อมอาสามาเพราะกำลังว่างงาน เอ่อ...กระหม่อมหมายถึงว่าอยากมาอารักขาองค์หญิงด้วยความสมัครใจ มิได้มีใครสั่ง”

“พูดตามปกติเหมือนเดิมเถอะ ข้าเองก็ไม่ค่อยชินกับคำว่าองค์หญิงนัก”

ขุนพลคนซื่อทำตามทันที ขนาดถูกนางกำนัลที่ตามมาด้วยค้อนจนหน้าคว่ำ คนซื่อบื้อก็ยังไม่รู้เนื้อรู้ตัว

“องค์หญิงลี่จูสั่งอะไรมาบ้างไหม”

“ไม่มีอะไรเป็นพิเศษขอรับ บอกแค่อยากให้เร่งเดินทางสักหน่อย แต่ท่านหญิงต้องไม่ฝืนตัวเองนะขอรับ ธรรมชาติแถวนี้งดงาม แวะชมให้คลายเหนื่อย ก็ไม่ถือว่าเสียเวลา”

แว่นฟังแล้วรู้สึกว่ามันแปลกๆ อย่างไรชอบกล อู๋อี้เป็นทหารที่เคร่งครัดในคำสั่ง แต่กลับแสดงออกเหมือนว่าอยากให้การเดินทางยืดยาวออกไป แว่นจับพิรุธได้แต่ก็ไม่ซักไซ้ เขาเลือกที่จะเร่งเดินทางแทน ซึ่งขุนพลหนุ่มก็ไม่ว่ากระไร เพียงแต่ยิ่งเข้าใกล้หุบเขาหิมะมากเท่าใดก็ยิ่งดูซึมมากขึ้นเท่านั้น

เดินทางมาสองวันสองคืน แว่นก็มาถึงบริเวณทางขึ้นหุบเขาหิมะซึ่งเป็นจุดนัดหมาย ในที่สุดเขาก็รู้ว่าเหตุใดขุนพลหนุ่มจึงดูผิดปกติไป ที่แท้สาเหตุก็มาจากคนที่ยืนรอรับแว่นอยู่ อู๋อี้ก็ยังช้ำรักไม่หาย เลยไม่อาจทนพบหน้าคนที่เข้าใจว่าเป็นอนุชายาขององค์ชายสามได้

เจ้ปรี่มาหาเพื่อน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังลงมาจากรถม้า

“เจ้ามาได้อย่างไร” แว่นถาม

“ข้าเปลี่ยนแผนนิดหน่อย”

เจ้ไม่ได้ตามหาฝักวานิลาอย่างเดียว แต่อยากได้ต้นของมันด้วย พ่อค้าบอกว่าอีกสิบวันจะมีของมาส่ง เจ้เลยถือโอกาสมาเยี่ยมโบ้ที่ขาดการติดต่อไปนาน เป็นเหตุให้มาเจอกับหน่อม

“ไปหาลี่จูกัน”

เจ้ฉุดแขนพาแว่นเดินไป โดยไม่สนใจสภาพหมาหงอยของคนอกหัก งานนี้จะว่าเจ้ใจร้ายก็ไม่ถูกนัก เพราะการเมินเฉยนั้นดีกว่าให้ความหวัง ฝ่ายที่หลงรักเขาข้างเดียวต่างหากต้องจัดการกับอารมณ์ตัวเองให้ได้

อันที่จริงแผลใจของอู๋อี้ใกล้หายดีแล้ว แต่พอได้พบนางในฝันอีกครั้งแผลมันก็กลับมาอักเสบ ซ้ำร้ายยังไม่มีพี่น้องเพื่อนฝูงอยู่ช่วยปลอบใจ เดิมทีในระหว่างที่แม่ทัพต่งหยุดพักราชการ อู๋อี้ต้องทำหน้าที่รักษาการณ์อยู่ต้าต่าน แล้วไปดูตัวกับน้องสาวของฟู่จูในวันหยุดครั้งหน้า แต่พวกพี่น้องคนอื่นเห็นว่าคนที่ถนัดใช้แรงมากกว่าสมองอย่างเขา เฝ้าค่ายที่ไม่มีศัตรูมาบุกไปก็เปล่าประโยชน์ เลยส่งมาเป็นตัวแทนทำหน้าที่อารักขาท่านแม่ทัพกับองค์หญิง

แว่นส่งสายตาเห็นใจไปให้อู๋อี้ ก่อนจะเดินตามเจ้ไปยังบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง เขามาทราบทีหลังว่าบ้านพักหลังนี้ พรรคเทพสวรรค์สร้างขึ้นมาเอาไว้ใช้รับรองแขกสำคัญ ถ้าตระกูลของแม่ทัพต่งไม่มีความสัมพันธ์อันดีกับเหล่าจอมยุทธ์ในเจียงเฉียง คงยากที่จะได้ใช้ที่นี่

“กุ้ยฮวามาถึงแล้ว” เจ้ส่งเสียงบอก

อึดใจต่อมาหน่อมก็วิ่งออกมาหาเพื่อนด้วยความยินดี ตามมาติดๆ ด้วยนางกำนัลหน้าคุ้นอย่างซูเสียกับเพ่ยอิง ทั้งสองลาออกจากตำแหน่งนางกำนัลหลวง แล้วตามมารับใช้องค์หญิงสิบด้วยความสมัครใจ

แว่นทักทายหน่อมพอเป็นพิธี แล้วค่อยหันไปคุยกับซูเสียและเพ่ยอิง

“พวกเจ้าเป็นอย่างไรกันบ้าง สบายดีไหม”

“สบายดีเจ้าค่ะท่านหญิง” เพ่ยอิงว่า

“องค์หญิงต่างหาก” ซูเสียแก้

“ขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันลืมไปเสียสนิท” เพ่ยอิงปรับเปลี่ยนคำพูดในทันที

“เรียกอย่างเดิมเถอะ ตอนนี้อยู่นอกวังไม่ต้องเคร่งมากนักก็ได้” แว่นเอ่ยอย่างไม่ถือสา “อีกอย่างมีองค์หญิงสององค์ เวลาพูดถึงองค์หญิงจะทำให้สับสนเปล่าๆ”

เพ่ยอิงรับคำและปฏิบัติตามโดยง่าย แต่ซูเสียดูเหมือนจะลำบากใจเพราะยังยึดติดกับกฎเกณฑ์อันเข้มงวดในวังหลวงอยู่

“ท่านแม่ทัพไม่อยู่หรือ” เจ้พูดขึ้นมาบ้าง

ตั้งแต่ได้พบหน่อม เจ้ก็ยังไม่เคยเห็นจินไท่อยู่ห่างกายภรรยาแม้แต่วินาทีเดียว

“ท่านแม่ทัพไปพบอาจารย์น่ะ บอกว่าจะกลับมาค่ำๆ” หน่อมตอบ

อาจารย์ที่ชายหนุ่มให้ความนับถือ เป็นสหายร่วมสาบานของประมุขพรรคเทพสวรรค์ อาจารย์ออกพเนจรเมื่อจินไท่อายุได้สิบแปดปี หลังจากนั้นก็ไม่ได้พบกันอีกเลย เพิ่งจะได้ข่าวมาเมื่อไม่กี่วันก่อนว่าท่านพักอยู่โรงเตี๊ยมในเมือง

“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรอจนกว่าจะถึงพรุ่งนี้น่ะสิ” เจ้ทำท่าเสียดาย

ตอนนี้ยังไม่เที่ยง ไม่ต้องรีบร้อนก็ถึงที่หมายก่อนค่ำหลายชั่วยาม แต่ทางขึ้นนั้นมีคนเฝ้า อีกทั้งยังไม่อนุญาตให้คนนอกเข้า เจ้เคยฝากคนส่งจดหมายไปให้โบ้ แต่ก็ไม่มีการตอบกลับ ถ้าไม่เจอหน่อมเสียก่อน เธอคงลอบขึ้นหุบเขาหิมะไปแล้ว

“ไม่ต้องรอหรอก ท่านแม่ทัพจัดการให้แล้ว นี่ป้ายผ่านทาง พร้อมเมื่อไรก็ไปกันได้เลย” หน่อมหยิบป้ายไม้อันเล็ก ที่มีสัญลักษณ์ของพรรคขึ้นมาอวด

“ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเลยไหม” แว่นเอ่ยอย่างกระตือรือร้น

เขาอยากอวดให้เพื่อนๆ เห็นว่าตอนนี้สุขภาพแข็งแรงขึ้นมาก แล้วก็อยากเจอโบ้เร็วๆ ด้วย

เมื่อแว่นเสนอมาอย่างนี้ คนอื่นจึงไม่ขัด จะมีก็แต่ซูเสียเท่านั้นที่ติงว่าน่าจะรอแม่ทัพต่งกลับมาก่อน หน่อมรับฟังความคิดเห็นแต่โดยดี ทว่าไม่ได้ปฏิบัติตาม


การเดินทางขึ้นลงหุบเขาหิมะสามารถใช้สัตว์พาหนะเดินทางได้เพื่อประหยัดเวลา แต่คนบังคับต้องมีประสบการณ์สูงและม้าที่ใช้เคยได้รับการฝึกให้วิ่งในทางชัน ไม่อย่างนั้นอาจเกิดอุบัติเหตุได้ พวกแว่นและเหล่าผู้ติดตามจึงต้องใช้วิธีเดินเท้าขึ้นไปข้างบนแทน คะเนแล้วประมาณสามชั่วยามน่าจะถึงจุดหมายปลายทาง

ยามที่เฝ้าอยู่ตีนเขายอมให้ผ่านโดยง่ายเมื่อเห็นป้ายผ่านทาง แต่ขบวนของขวัญที่ตามมาด้านหลังต้องถูกตรวจสอบก่อนนำขึ้นไป ซูเสียโมโหมาก เมื่อเห็นของขวัญถูกรื้อค้นจนหีบห่อที่บรรจงตกแต่งมาอย่างดีเสียหาย

“พวกเจ้าช่างบังอาจนัก กล้าล่วงเกินองค์หญิงถึงเพียงนี้”

“มีคำสั่งมาให้ตรวจตราอย่างเข้มงวด ไม่มีข้อละเว้น ต่อให้เป็นของที่ส่งมาจากฮ่องเต้ก็ต้องเปิดดูก่อน” หัวหน้ายามรักษาการณ์ชี้แจ้ง

ชายหนุ่มไม่มีเจตนาหาเรื่อง แต่ความที่เป็นจอมยุทธ์ไม่รู้จักใช้คำ คิดอะไรก็พูดออกมาอย่างโผงผาง ซูเสียจึงโกรธหนักกว่าเดิม ถ้าองค์หญิงลี่จูไม่ปรามเอาไว้ คงได้ทะเลาะกันยาว

แว่นไม่พอใจอยู่บ้างที่คนของพรรคเทพสวรรค์ตรวจสอบข้าวของแบบไม่ระวัง แต่ก็ไม่เก็บมาเป็นอารมณ์เพราะติดใจเรื่องอื่นมากกว่า ช่วงที่ซูเสียโวยวาย แว่นได้ยินชัดเต็มสองหูว่าที่ต้องกวดขันเพราะหลายวันก่อนมีของขวัญที่มีปัญหาถูกส่งมา

แว่นไม่รู้ว่ามันคืออะไรเลยได้แต่เดาไปเรื่อยเปื่อย เรื่องนี้แม้แต่คนที่มีตำแหน่งสูงในพรรคเทพสวรรค์ก็ไม่ทราบรายละเอียด ทราบเพียงแค่มีของขวัญกล่องใหญ่ถูกนำไปวางไว้กลางโถงของคฤหาสน์สกุลมู่ โดยไม่มีผู้ใดรู้ที่มาที่ไป

แท้ที่จริงแล้วภายในกล่องนั้นบรรจุร่างของธิดาประมุขพรรคเทพสวรรค์เอาไว้ นางยังมีลมหายใจแต่ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลและรอยฟกช้ำ นอกจากนี้ยังมีจดหมายที่ประทับตราพรรคมารถูกส่งมาพร้อมกันด้วย พอประมุขมู่ได้อ่านก็โกรธจนตัวสั่น เผาจดหมายทิ้งทันที แล้วสั่งให้ปิดเรื่องเอาไว้ให้เงียบที่สุด แต่แม้จะพยายามปิดข่าวปานใด ก็ยังมีเสียงกระซิบลอยออกไปว่า

‘ไป๋หลินถูกคนของพรรคมารรุมย่ำยี’

-โปรดติดตามตอนต่อไป-

สวัสดีท้ายตอนค่า
บทนี้แก้หลายรอบมากกกกกก (กอไก่ล้านตัว)
เนื่องจากเป็นภาคโบ้เลยลังเลที่จะใช้มุมมองแว่น
แต่สุดท้ายก็ใช้อ่ะนะ 5555

คือคิดว่าทุกคนต้องอยากรู้ความเป็นไปของแก๊งตุ๊ดที่เหลือ
และบรรดาหนุ่มๆ โดยเฉพาะชายแปด
(อันนี่สำคัญ เดี๋ยนถูกแม่ยกแกว่งป้ายขู่อย่างดุร้าย T^T)
แต่โบ้มัวแต่แอ๊วผู้ชาย ไม่สนใจเพื่อนฝูง
เลยต้องตัดฉากกันด้วยประการฉะนี้

พบกันใหม่วันพุธหน้านะคะ
ขอลงอาทิตย์ละตอนไปอีกสักระยะ
ได้กำหนดนิยายวางแผงแล้วเราค่อยมาปรับเปลี่ยนกันนะค้า

หมายเหตุ
ใครอยากเห็นภาพสะเกตฟูนุ่ม ไปที่แฟนเพจได้นะจ๊ะ
นักวาดวาดมากลมๆ น่ารักเชียว



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ก.ค. 2559, 22:25:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ก.ค. 2559, 22:25:07 น.

จำนวนการเข้าชม : 953





<< ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๑๐ สนทนาบนเตียง   ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๑๒ ความจริงของเหตุการณ์ >>
Zephyr 16 ก.ค. 2559, 17:36:08 น.
อ่าว นางโดนประมุขพรรคมารจับตรก้นรึ
น่วมเชียว ไม่ถนอมเลยอ่ะปู่
ใช้งานหนักไป พัง จะใช้อีกไม่ได้นะ


นักอ่านเหนียวหนึบ 16 ก.ค. 2559, 20:53:42 น.
อร๊ายยย นางไปทำไรระหกระเหินเองมากกว่าป๊าวววว


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account