ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๑๒ ความจริงของเหตุการณ์

ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๑๒ ความจริงของเหตุการณ์

หุบเขาหิมะไม่เพียงแต่เป็นที่ตั้งพรรคเทพสวรรค์ กลางหุบเขายังมีชุมชนชาวยุทธ์ รวมถึงสำนักที่เปิดสอนศิลปะวิชาการต่อสู้ต่างๆ เหล่าชาวยุทธภพจึงยกให้สถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งการศึกษาสำคัญ เลยจากเขตชุมชนขึ้นเหนือไปอีกประมาณหกลี้ จะพบกับสิ่งปลูกสร้างที่เรียกว่า ‘ปราการเทพสวรรค์’ ด้านหน้าของปราการเป็นกำแพงสูง ด้านหลังโอบล้อมด้วยขุนเขา ด้วยชัยภูมิอันยากต่อการบุกรุก ภายในจึงเต็มไปด้วยสิ่งปลูกสร้างสำคัญ ซึ่งหนึ่งในนั้นมีคฤหาสน์สกุลมู่รวมอยู่ด้วย

หน่อมหยิบป้ายผ่านทางขึ้นมาแสดงให้ยามดูอีกครั้ง เมื่อมาถึงทางเข้าปราการเทพสวรรค์ หนนี้ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปทันที ต้องนำจดหมายรับรองที่ได้มาจากแม่ทัพต่งส่งให้ตรวจสอบด้วย คณะเดินทางต้องรอการยืนยันพักใหญ่ทีเดียวกว่าจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปด้านใน ยังดีที่คนเฝ้าทางเข้าป้อมมารยาทดีกว่าพวกด้านล่างมาก มีการจัดหาที่ให้นั่งรอ และแจ้งข่าวไปยังสกุลมู่อย่างรวดเร็ว

คนสกุลมู่นำรถม้ามารับที่ประตูทางเข้า เมื่อถึงคฤหาสน์ก็เปิดห้องรับรองให้แขกผู้ทรงเกียรตินั่งพัก ส่วนผู้ติดตามคนอื่นๆ ถูกเชิญให้นั่งรออีกห้อง

“กระหม่อมขอประทานอภัยที่ให้องค์หญิงต้องทรงลำบาก ขณะนี้ท่านประมุขของเราติดงานสำคัญไม่สามารถปลีกตัวมารับรองได้ ท่านประมุขจะมาขออภัยองค์หญิงด้วยตัวเองอีกหน ระหว่างนี้ขอองค์หญิงโปรดเมตตาให้คุณชายรองทำหน้าที่เจ้าบ้านแทนด้วย”

กล่าวจบบุรุษร่างกำยำผู้หนึ่งก็แสดงตัว ไป๋หลงค้อมกายให้อย่างสง่า เขาหมายจะเอ่ยต้อนรับดังที่ได้ซักซ้อมมา แต่คำพูดก็มีอันติดขัด เมื่อได้พบกับหญิงสาวโฉมสะคราญถึงสามนาง พวกนางแต่ละคนล้วนงามอย่างมีเอกลักษณ์ จนไม่รู้ว่าควรหยุดสายตาที่ใครก่อน พ่อบ้านต้องกระแอมเตือนหลายหน กว่าคุณชายรองจะมีสติกลับมาทำหน้าที่เจ้าบ้านได้

“ขะ...ขออภัยที่ทางเราบกพร่องเรื่องการรับรอง”

“คำขออภัยนี้เราไม่กล้ารับ เราต่างหากที่มารบกวน” หน่อมส่งยิ้มหวานไปให้ ทำเอาไป๋หลงถึงกับเคลิ้มไป

ดูเหมือนองค์หญิงลี่จูจะดูคล้ายกับนางในฝันของไป๋หลงมากที่สุด ชายหนุ่มเกือบน้ำตาไหลตอนที่นึกได้ว่านางแต่งงานแล้ว

“มิได้มิได้ ทางนี้ต่างหากที่บกพร่อง”

ไป๋หลงต้อนรับแขกอย่างกระตือรือร้น เขาสั่งคนให้จัดหาอาหารและขนมมาต้อนรับอย่างมากมาย รวมถึงอาสาพาเดินชมรอบๆ ปราการเทพสวรรค์ด้วย

“พวกเราไม่กล้ารบกวนขนาดนั้น ขอแค่ได้พบไป๋หลินก็พอ” แว่นเอ่ยจุดประสงค์สำคัญออกไป

ชื่อของน้องสาวทำให้สีหน้าของไป๋หลงเปลี่ยนไปทันที

“เอ่อ...คือตอนนี้น้องสาวข้าไม่ค่อยสะดวก นาง...”

“คุณหนูป่วยอยู่ขอรับ” พ่อบ้านช่วยตอบคำถามให้

ไม่ต้องฉลาดมากมายก็รู้สึกได้ว่ามีเรื่องปิดบัง เจ้จึงตั้งคำถามอย่างจงใจจับผิด

“ไม่ทราบว่านางป่วยเป็นอะไรหรือ”

“ขาเจ็บ/เป็นหวัด” พ่อบ้านกับคุณชายตอบแบบไม่สามัคคีกันเสียอย่างนั้น

“สรุปขาเจ็บหรือเป็นหวัดกันแน่” เจ้ทำเสียงเข้มขึ้นพลางจ้องตาเพื่อเค้นเอาความจริง

“คือ...คุณหนูเป็นหวัด มีไข้ขึ้นสูง นางมึนศีรษะมากเลยสะดุดล้มขาเจ็บ ตอนนี้ไม่สะดวกจะออกมาพบและให้เข้าเยี่ยม ขอทุกท่านโปรดอภัย” พ่อบ้านมากประสบการณ์รีบแก้สถานการณ์

ถึงจะตอบดีอย่างไร ก็ไม่ได้ทำให้ดูน่าเชื่อถือขึ้น เจ้ทำท่าจะเค้นเอาความจริงมาให้ได้ แต่แว่นใช้สายตาห้ามเสียก่อน เขากระซิบเป็นภาษาไทยว่าให้ปล่อยไป ดูเหมือนว่าคนที่นี่จะพยายามกีดกันไม่ให้พวกเธอได้พบกับโบ้ ตื๊อให้ตายก็ไม่ได้ผล ถ้าอยากเจอก็ต้องเออออตามไปก่อน แล้วค่อยหาทางทีหลัง

เจ้เข้าใจแผนการของแว่นจึงเงียบเสีย เพื่อให้เพื่อนเป็นฝ่ายดำเนินการสนทนา

“ถ้าไป๋หลินไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร ฝากความห่วงใยไปถึงนางด้วย” แว่นเอ่ยด้วยท่าทีตัดใจ ก่อนจะเปลี่ยนประเด็น

“คฤหาสน์หลังนี้งามมาก สวนก็สวยแปลกตา ไม่ทราบว่าคุณชายพอจะพาชมรอบๆ ได้หรือไม่”

ไป๋หลงลอบถอนใจที่พวกนางไม่ติดใจเรื่องน้องสาว เขาพาสาวงามทั้งสามคนเดินชมรอบๆ คฤหาสน์ โดยไม่รู้ตัวว่ากำลังโดนหลอกถามข้อมูล

“จริงสิ! ไป๋หลินป่วย ไม่ทราบว่าท่านจัดห้องให้นางแบบไหน”

“ท่านหญิงถามทำไมหรือ” ไป๋หลงทำหน้าสงสัย

“ข้ามีความรู้เรื่องวิชาการแพทย์อยู่บ้าง หวัดฤดูร้อนอย่างนี้ควรจะจัดให้คนป่วยอยู่ในห้องที่มีอากาศถ่ายเท ถ้าได้อยู่ในห้องที่มองออกไปแล้วเห็นสวน นางต้องหายเร็วขึ้นแน่”

“ท่านหญิงเป็นศิษย์เอกของหมอเทวดาเชียวนะ ความรู้ของนางเชื่อถือได้แน่นอน” เจ้เอ่ยเสริมเพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ

“ท่านหญิงอย่างได้กังวล ห้องของนางอยู่ติดกับสวนอยู่แล้ว”

แว่นยิ้มรับแล้วหันไปประสานสายตากับเจ้และหน่อม เป็นเชิงให้ลองมองหาห้องที่ติดกับสวนดู ส่วนตัวเองนั้นชวนคุยดึงความสนใจไปเรื่อยๆ

“แล้วอาหารเล่า ไป๋หลินกินได้ปกติหรือไม่”

“นางไม่ค่อยกินเลย” สีหน้าของไป๋หลงดูกังวล ท่าทางค่อนข้างชัดว่านี่ไม่ใช่การแสดง โบ้อาจจะป่วยจริงก็ได้

“ชิงชิงมีฝีมือทำอาหารที่ยอดเยี่ยมมาก ถ้าให้นางเป็นคนทำอาหารให้ บางทีไป๋หลินอาจกินได้มากขึ้น”

แว่นหาทางให้เจ้ได้เดินไปมาในคฤหาสน์ได้สะดวกขึ้น แรกๆ ไป๋หลงก็ปฏิเสธ แต่พอถูกโน้มน้าวมากเข้าชายหนุ่มก็คล้อยตาม

“พวกองค์หญิงช่างมีน้ำใจกับน้องสาวข้า”

“เท่านี้ยังถือว่าเล็กน้อย ถ้าเทียบกับสิ่งที่นางทำเพื่อพวกเรา สหายเช่นนางให้เกิดใหม่พันชาติก็หาไม่ได้” หน่อมว่า

ความจริงใจขององค์หญิงลี่จูทำให้คนฟังรู้ว่าคำพูดนี้ปราศจากการปรุงแต่ง ไป๋หลงเคยคิดว่าสตรีชั้นสูงพวกนี้คบหาน้องสาวของตนอย่างไม่จริงใจ แต่พอเห็นพวกนางดั้นด้นมาหาไป๋หลินถึงนี่ ทั้งยังแสดงออกว่าห่วงใยอย่างมากมาย อคติที่เคยมีก็มลายหายไป

“ถ้าได้ยินคำพูดขององค์หญิง ไป๋หลินต้องดีใจมากแน่”

แว่นเห็นว่าไป๋หลงเริ่มอ่อนลงมากแล้ว เลยตั้งใจจะหลอกถามข้อมูลต่อ ทว่ายังไม่ทันได้ลงมือ ความพยายามทั้งหลายที่ทำมาตั้งแต่ต้นก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป

“พี่รองเรียกหาข้าหรือ ไป๋หลินมาแล้วเจ้าค่ะ”

สตรีชุดขาวใบหน้าละม้ายคล้ายกับไป๋หลินโผล่มาจากด้านหลังเถาไม้เลื้อย จุดที่พวกแว่นยืนอยู่อับสายตา นางจึงไม่ทันเห็นว่ามีแขก

ไป๋หลงพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ เมื่อไป๋หลินตัวปลอมปรากฏกาย ชายหนุ่มพยายามคิดหาคำพูดมาแก้ต่างทว่าก็ไม่ทันเสียแล้ว สตรีทั้งสามนางไม่เพียงแต่จับได้ ยังรู้ด้วยว่าไป๋หลินตัวปลอมเป็นใคร

“ไป๋อวี้!” แว่นเรียกชื่อน้องชายฝาแฝดของโบ้เสียงดัง

เขาเคยเห็นชายหนุ่มแต่งหญิงมาก่อน ก็เลยจำได้ทันที ผิดกับเจ้และหน่อมที่มองออกว่านี่เป็นแค่คนหน้าคล้ายเพื่อนของตัวเอง

“ท่านหญิง องค์หญิง แม่นางชิงชิง!” ไป๋อวี้ตกใจจนเผลอพูดออกมาด้วยเสียงปกติ

ได้ยินอย่างนี้แล้วก็ยิ่งมั่นใจว่าใช่ไป๋อวี้แน่

“ไป๋อวี้!” ไป๋หลงมองน้องชายตาเขียว

ชายหนุ่มทำท่าจะตรงเข้าไปบีบคอคนทำเสียเรื่อง แต่ก็ต้องชะงักเสียก่อนเพราะเสียงเข้มๆ ของเจ้

“นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน ทำไมไป๋อวี้ต้องปลอมตัวเป็นไป๋หลิน”

“คือ...ไป๋หลินต้องออกงาน แต่นางไปไม่ได้ ไป๋อวี้เลยต้องปลอมตัวแทน” ไป๋หลงยังคงปากแข็ง

การเค้นคอเขาถือว่าเป็นเรื่องยาก แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะหยกน้อยอยู่ตรงนี้แล้วพร้อมจะบอกเล่าความจริงทุกอย่าง

“พี่รองไม่จำเป็นต้องปิดบังพวกนางหรอก ทุกคนไว้ใจได้ ไม่แน่ถ้าได้พบกันอาเจ๊อาจยอมออกมาจากห้องก็ได้”

“เจ้าโง่! รู้ไหมพูดอะไรออกไป” ไป๋หลงตวาดลั่นแล้วตรงมากระชากคอเสื้อ

ปกติไป๋อวี้ต้องรีบขอโทษไป๋หลง ไม่ก็เผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว แต่หนนี้ชายหนุ่มยืนนิ่ง เขาเผชิญหน้ากับพี่ชายด้วยความกล้าอย่างที่ไม่เคยเป็น

“เกิดอะไรขึ้นข้ารับผิดชอบเอง พี่รองน่าจะรู้ว่าเราลองมาทุกวิธีแล้ว เหลือก็แต่ยืมมือคนอื่นเท่านั้น”

แววตาของหยกน้อยขณะนี้ไม่เหลือร่องรอยของคนขี้ขลาดไม่เอาไหน ไป๋หลงที่อารมณ์ร้อนหมายจะชกน้องชายให้คว่ำ มองแล้วยังใจอ่อนลงกว่าครึ่ง เขาคลายมือออกมาจากคอเสื้อน้องชาย แล้วสะบัดแขนมาวางไว้ข้างตัวดังเก่า

“ข้าไม่รู้ด้วยแล้ว หากท่านพ่อสืบสาวราวเรื่องก็จงรับผิดไปคนเดียว”

กล่าวจบเขาก็หันมาเตือนสตรีทั้งสาม

“ไม่ว่าไป๋อวี้จะพูดอะไร พวกท่านต้องเก็บทุกอย่างเป็นความลับ หากเรื่องของไป๋หลินแพร่งพรายออกไป เราคงไม่สามารถปฏิบัติต่อท่านอย่างแขกได้อีก”

ไป๋หลงผละออกไปยืนคุมเชิงอยู่ห่างๆ ไป๋อวี้เห็นแบบนั้นก็รีบหันหลังให้แล้วซับเหงื่อ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโต้เถียงพี่แล้วรอดจากหมัดพิฆาตมาได้ เนื้อแท้ไป๋หลงไม่ใช่คนใจร้าย ที่เขาทำรุนแรงกับไป๋อวี้เพราะต้องการกระตุ้นให้แสดงความกล้า เมื่อน้องชายเปลี่ยนไปอย่างที่ต้องการก็ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังสั่งสอน ทว่าแทนที่จะเข้าใจ เจ้าตัวกลับไพล่คิดไปว่านี่เป็นประโยชน์ของการแต่งหญิง พี่รองมองแล้วนึกถึงไป๋หลินเลยต่อยไม่ลง

“ไป๋อวี้รีบเล่ามาว่าเกิดอะไรขึ้น ไป๋หลินเป็นอะไร” เจ้เร่ง

เจ้รู้ดีว่าโบ้ไม่มีนิสัยชอบเก็บตัว เว้นแต่จะเจอเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง ตั้งแต่คบกันมาโบ้มีอาการแบบนี้เพียงครั้งเดียว คือตอนบิดาเสียชีวิต โบ้ไม่ได้บอกลาผู้ให้กำเนิด ทั้งยังเกือบไม่ได้ไปงานศพเพราะพวกพี่ๆ ไม่ยอมส่งข่าว

“ข้าก็ไม่รู้ ได้ยินแต่คนเขาเล่ามา ถามอาเจ๊อาเจ๊ก็ไม่ยอมพูด ข้าสับสนไปหมด”

ปกติเวลาไป๋หลินเกิดเรื่องไป๋อวี้มักรับรู้ได้เพราะสายสัมพันธ์ของฝาแฝด หรือเพราะอยู่ใกล้กันก็ไม่รู้ สังหรณ์ใจสักนิดก็ไม่มี รู้ตัวอีกทีนางก็อยู่ในสภาพย่ำแย่แล้ว

“ใจเย็นๆ ค่อยๆ เรียบเรียง ตามลำดับเหตุการณ์ เลือกเฉพาะที่คิดว่าสำคัญก่อนก็ได้” แว่นแนะนำ

ไป๋อวี้เรียบเรียงความคิดอยู่พักหนึ่ง เรื่องราวอันน่าตกใจก็หลั่งไหลออกมา เขาเล่าว่าไป๋หลินแอบหนีไปจากหุบเขาหิมะ เท่าที่ฟังจากไป๋ซาน ดูเหมือนว่านางกำลังตกหลุมรักใครสักคน และอาจจะไปตามหาคนคนนั้น ไป๋อวี้อยากติดตามไปก็ทำไม่ได้ เพราะต้องอยู่เป็นตัวแทนของไป๋หลิน

ขณะนี้ประมุขพรรคมารกำลังต้องการตัวไป๋หลิน เขาเลยต้องแสร้งทำเป็นนาง ออกไปพบปะผู้คนเป็นระยะ เพื่อให้ทุกคนเข้าใจว่าผู้ครอบครองกระบี่หิมะอยู่ในสถานที่ที่มีการคุ้มกันแน่นหนา ไป๋หลินหายไปเป็นเดือน อยู่ๆ นางก็ถูกจับใส่หีบส่งตัวกลับมา

ไป๋หลินไม่ได้บาดเจ็บสาหัส รอยแผลตามร่างกายนางไม่กี่วันก็จางหาย แต่เรื่องของจิตใจนี่สิที่ย่ำแย่ นางเอาแต่เก็บตัวเงียบไม่ยอมพูดจา จนคนคิดไปว่านางอาจถูกคนของพรรคมารข่มเหง

“จริงเหรอ” หน่อมหน้าซีดกับเหตุร้ายที่เกิดกับเพื่อน

เขายังเห็นอนาคตล่วงหน้านานๆ ครั้ง ทว่าเรื่องของโบ้กลับไม่เคยปรากฏในความฝัน หน่อมก็เลยรู้สึกว่าที่เพื่อนต้องเจอกับเหตุร้ายเป็นความผิดของตัวเอง

“ข้าไม่แน่ใจ รู้แต่ว่าหลายวันก่อนพี่หยางรวบรวมความกล้าไปหานาง บอกว่าถ้าตั้งครรภ์เขาจะรับผิดชอบเป็นพ่อเด็กให้เอง พออาเจ๊ได้ยินอย่างนั้นก็ร้องไห้โฮ อาการหนักขึ้นกว่าเดิม ข้าวปลาไม่แตะ แล้วไม่ยอมให้ใครเข้าไปในห้องอีกเลย บอกขออยู่คนเดียวสักพัก ทุกคนไม่รู้จะทำอย่างไรเลยได้แต่ปล่อยไป”

ไป๋อวี้ไม่กังวลเรื่องชื่อเสียงของพี่สาวเท่ากับเป็นห่วงมารดา จนบัดนี้ท่านแม่ก็ยังไม่รู้ว่าบุตรสาวเกิดเรื่อง ก่อนไป๋หลินจะหนีออกจากหุบเขาหิมะ ท่านแม่ได้เดินทางไปหาท่านยายที่หรงซิ่ง แม้ท่านตาซึ่งเป็นผู้กำราบมารเงินจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่คู่ชีวิตของท่านก็ยังอยู่ ท่านแม่กลัวมารเงินจะคิดแค้นจึงนำกำลังพลส่วนหนึ่งไปคอยคุ้มกัน และอยู่เป็นเพื่อนท่านยายซึ่งชรามากแล้ว ท่านแม่เองก็ใช้ว่าจะแข็งแรง เกิดป่วยเป็นไข้ใจไปอีกคนจะทำอย่างไร

“พาพวกเราไปหาไป๋หลินเดี๋ยวนี้เลย” แว่นออกคำสั่ง

“ข้าก็ตั้งใจจะทำแบบนั้นอยู่แล้ว ตามมาทางนี้เลย”

ไป๋อวี้ฝากความหวังเอาไว้ที่สามสาวอย่างเต็มเปี่ยม เขาพาทุกคนเดินตัดสวนเข้าไปในตัวคฤหาสน์ แล้วอ้อมไปยังห้องห้องหนึ่งซึ่งมีหน้าต่างหันไปทางสวนพอดี

“อาเจ๊...นี่หยกน้อยเอง หยกน้อยพาเพื่อนๆ ของอาเจ๊มาหา” ชายหนุ่มเคาะประตูเรียก

เงียบไม่มีเสียงตอบรับ ต้องตะโกนอีกหลายทีกว่าคนด้านในจะขานตอบ

“ข้าอยากอยู่เงียบๆ คนเดียว อย่าเพิ่งรบกวนได้ไหม” เสียงอ่อนแรงเจือไปด้วยกระแสแห่งความเศร้าดังลอดประตูออกมา

สามสาวที่อยู่ด้านนอกเลยพร้อมใจกันตะโกนเรียก แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ ทุกคนเลยหันมามองหน้ากันเป็นเชิงถามว่าควรจะทำอย่างไรต่อดี

“เราจัดการเอง” หน่อมว่า

ทุกครั้งที่มีเรื่องความแมนในตัวคุณชายหน่อมแน้มมักจะถูกปลุกออกมา เขาทิ้งมาดองค์หญิงชั่วคราวแล้วจัดการหยิบมีดพกมาแงะประตู ประตูห้องนี้เป็นบ้านไม้สองบานแล้วขัดดานเอาไว้ ขอแค่มีช่องให้แทรกใบมีดเข้าไปตรงกลาง ขยับนิดหน่อยก็เปิดได้แล้ว

สามสาวเรียงแถวกันเข้าไปด้านในอย่างไม่รอช้า โดยมีไป๋อวี้รอลุ้นผลอยู่ด้านนอก ชายหนุ่มไม่เข้ามาด้วยเพราะรู้ดีว่าถ้ามีคนในครอบครัวอยู่ พี่สาวก็ไม่อาจจะระบายสิ่งที่คั่งค้างอยู่ในใจออกมาได้หมด

“ทุกคน!” โบ้ทำท่าตกใจเมื่อเห็นเพื่อน

เขาไม่ได้ยินเสียงเพื่อนเลย เพราะมัวแต่เอาหมอนอุดหู โบ้ต้องการความสงบเพื่อครุ่นคิด เลยปฏิเสธผู้คน เขาไม่รู้ตัวเลยว่าสิ่งที่ต้องการมากที่สุด คือคนที่สามารถรับฟังความในใจได้ พอเพื่อนสนิททั้งสามคนมายืนอยู่ตรงหน้าน้ำตาโบ้ก็ไหลทะลัก

“ฮื่ออออ” โบ้ปล่อยโฮแล้วโผไปกอดแว่นที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุด

เพื่อนที่เหลือเลยเข้าไปร่วมกอดด้วย ช่วยกันลูบหลังลูบไหล่ปลอบ พลางพร่ำบอกว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราก็ยังมีกัน

หลังจากร้องไห้จนสาแก่ใจแล้วโบ้ก็สงบลง สภาพของจอมยุทธ์หญิงโฉมงานในตอนนี้แทบดูไม่ได้ ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ขอบตาดำคล้ำ ผ่ายผอมลงไปมาก เจ้เห็นแล้วทนดูไม่ได้เลยหยิบผ้าเช็ดหน้าไปชุบน้ำมาเช็ดหน้าให้ ระหว่างนั้นแว่นก็ช่วยหวีผมให้เรียบร้อย ส่วนหน่อมยื่นขนมเปี๊ยะที่พกมาให้กิน

โบ้ไม่ปฏิเสธอาหารจากมือเพื่อน พอกินหมดชิ้นก็เริ่มพูดจารู้เรื่องขึ้นบ้าง แว่นจึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น

“มันรุนแรง มันสาหัส มันเจ็บมากจนอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้” ว่าแล้วก็ทำท่าจะร้องไห้อีก

“พอๆ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว อดีตก็คืออดีต อะไรที่เสียไปแล้วก็เสียไป”

เจ้มั่นใจเอามากว่าเรื่องร้ายที่ได้ยินจากไป๋อวี้เป็นความจริง อีกทั้งเจ้าของร่างเดิมที่เธอใช้อยู่ก็ประสบชะตากรรมเลวร้ายมาเช่นกัน เธอเลยพยายามปลอบและให้ข้อคิด

“จำเอาไว้ ‘ชีวิตแค่โดนทำร้าย แต่ที่สุดมันต้องไม่โดนทำลาย’”

“พี่ตูนบอดี้แสลมกล่าว” หน่อมตบมุขแบบไม่ดูสถานการณ์

“อย่าเพิ่งเล่นตอนนี้ ฮาไม่ออก” แว่นติง

หน่อมไม่ขอโทษแต่ทำหน้าจริงจังแทน ที่เขาทำเป็นพูดไม่คิดก็เพื่อดึงความสนใจเท่านั้น

“เราว่าปัญหาของโบ้ไม่ใช่อย่างที่ทุกคนคิดนะ”

ทุกคนรู้ว่าหน่อมเข้าใจความคิดโบ้มากกว่าใคร สองสาวที่กำลังตื่นตกใจได้ยินอย่างนั้น เลยเริ่มสังเกตเห็นว่าบรรยากาศมันแปลกๆ ถึงโบ้จะร้องไห้สะอึกสะอื้นสภาพย่ำแย่แค่ไหน มันก็ยังไม่ให้ความรู้สึกของเหยื่อที่โดนทารุณ

“อิโบ้เรื่องมันเป็นยังไงแน่ เล่ามา!” เจ้หันไปคาดคั้นเสียงดัง

อารมณ์สงสารเปลี่ยนเป็นความโหดทันที เมื่อสำนึกได้ว่าตัวเองและคนอื่นๆ อาจเข้าใจผิด

“ก็...” โบ้พูดได้แค่นี้ก็นิ่งไป

เขายังสะเทือนใจจนพูดไม่ออก แต่ด้วยทักษะการข่มขู่ของเจ้และวิธีกระตุ้นของแว่น ไม่นานความในใจทั้งหมดทั้งมวล รวมถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ตกอยู่ในสภาวะซึมเศร้าก็หลุดออกมาจากปากโบ้

โบ้เล่าถึงรักแรกพบระหว่างประมุขพรรคมารกับตัวเองให้เพื่อนฟัง เขาช็อกมากที่ท่านประมุขปฏิเสธหญิงงาม โบ้ที่มั่นใจในความสวยและลูกตื๊อของตัวเองเกินล้านเลยบุกไปหาชายหนุ่มอีกรอบ

มารเงินสั่งปิดทางเข้าออกแดนมายาทุกทาง แต่โบ้ก็ยังสู้อุตส่าห์ไปค้นเจอทางลับซึ่งเส้นทางนี้ผู้ที่จะผ่านเข้าออกได้มีแต่สมาชิกระดับสูง โบ้เข้าไปได้เพราะแหวนอันธการที่สวมอยู่พิเศษกว่าของทั่วไป มีเพียงผู้อาวุโสในพรรคเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ครอบครอง เรียกว่าเป็นบัตรผ่านวีไอพีสู่แดนมายาของแท้

โบ้ใช้ทักษะวิชาขั้นสูง ตามกลิ่นพลังปราณของท่านประมุขสุดที่รักไปจนถึงห้องนอน มาหนนี้โบ้ตัดสินใจใช้มารยาหญิงแบบยกกำลังสอง ผลคือท่านประมุขไม่เพียงไม่แล แต่สั่งให้คนพาตัวออกไปฆ่าทิ้งอย่างเลือดเย็น โบ้เอาตัวรอดมาได้หวุดหวิดเพราะฝีมือและอาวุธคู่กาย

มารเงินพลาดเสียแล้วที่คืนกระบี่หิมะให้ ทั้งยังไม่ได้ยึดแหวนอันธการเอาไว้แต่แรก โบ้ที่หลบหนีไปได้กลับมาตามตื้อท่านประมุขอีกเป็นระยะ ทุกครั้งที่จอมยุทธ์หญิงบุกไม่มีใครตาย แต่คนของพรรคมารก็บาดเจ็บกันระนาว ข้าวของพังเสียหายจำนวนมาก

ความสงบของมารเงินก็ถูกพรากไปโดยสมบูรณ์ เมื่อเหล่าผู้อาวุโสตัดสินใจร่วมมือกันกดดันให้ท่านประมุขทำอะไรสักอย่างกับนาง มารเงินฆ่าไป๋หลินทิ้งไม่ได้เพราะการบุกมาอย่างครึกโครมของนางทำให้ข่าวแพร่ไปทั่ว หากนางตายเท่ากับเปิดฉากสงครามอย่างสมบูรณ์ ชีวิตคงไม่ได้พักไม่ได้ผ่อนกันพอดี ส่วนจะปล่อยไปแบบนี้เรื่อยๆ ก็ไม่ไหว

มารเงินตัดสินใจออกไปจับตัวนางมาด้วยตัวเอง เขาพูดจารุนแรงเพื่อให้นางถอดใจ จัดการทำให้หมดสติเรียบร้อยแล้วก็ยัดใส่กล่อง ให้คนเอามาส่งถึงมือประมุขพรรคเทพสวรรค์แบบเงียบที่สุด ถ้าฝ่ายนั้นไม่คิดก่อสงครามย่อมรู้ว่าควรทำเช่นไร

เพื่อป้องกันความเข้าใจผิด มารเงินได้เขียนจดหมายอธิบายเหตุการณ์อย่างละเอียด แน่นอนว่าไม่ลืมแนบใบเก็บเงินตามมูลค่าของที่พังเสียหายไปด้วย ชายหนุ่มไม่ต้องการค่าชดเชย แต่ต้องการให้บิดาของนางทราบว่าลูกสาวก่อเรื่องร้ายแรงเพียงไหน นี่เองที่มาของอาการโกรธจนตัวสั่นแล้วเผาจดหมายทิ้งของประมุขมู่

ทางด้านโบ้พอถูกส่งกลับมาหนนี้ก็เสียความมั่นใจอย่างรุนแรง แม้จะโดนบิดาอบรมก็ยังไม่ได้สติ

“เดี๋ยวนะ...ขอถามหน่อย” แว่นขอขัดชั่วคราว “ตอนพี่หยางบอกจะเป็นพ่อเด็กให้ถ้าแกท้อง แกทำไมไม่อธิบายให้เขาฟังว่าไม่ได้มีอะไรกัน”

“ก็มันสะเทือนใจนี่คะ” พูดแล้วเสียงก็เริ่มสั่น “อุตส่าห์มีมดลูกทั้งที แล้วก็สวยขนาดนี้ เขายังไม่เอา”

“เขาอาจจะเป็นเกย์ก็ได้” เจ้ให้ความเห็น “ตอนเจอกันสัญญาณเตือนในหัวแกไม่ทำงานบ้างเลยหรือไง”

คำว่า ‘ผีเห็นผีนั้น’ ยังใช้ได้ผลอยู่สำหรับโบ้ เผลอๆ จะสัญชาตญาณดีกว่าหน่อมด้วยซ้ำ

“ไม่ใช่เกย์ค่ะ คนสวยสืบมาอย่างดี มั่นใจล้านเปอร์เซ็นต์”

ประวัติเรื่องผู้หญิงของมารเงินยาวเหยียด ชนิดที่ว่าเจ้าพ่อนิตยสารเพลย์บอยอาย

“หรือจะเสื่อมสมรรถภาพ” เจ้ตั้งข้อสงสัยอีก

“อย่าแช่งกันแบบนั้นสิคะ” โบ้โวยวายเพราะหวั่นใจว่าอาจเป็นความจริง

“จะยังไงก็ถือว่าโชคดีไม่ใช่เหรอ เก็บความบริสุทธิ์เอาไว้ให้คนที่เห็นค่าของเราดีกว่านะ” หน่อมพยายามช่วยปรับเปลี่ยนความคิด

ปกติโบ้จะคล้อยตามง่ายมาก แต่หนนี้กลับต่อต้าน

“ทุกคนไม่เข้าใจคนสวยเลย ฟังนะคะ ผู้ชายแบบนั้นน่ะ ไม่ต้องเอามาเป็นพ่อของลูกก็ได้ ขอแค่ได้สักครั้งก็เป็นบุญแล้ว”

“อิดอก!/อิแรด!” เจ้กับแว่นพร้อมใจกันด่าเพราะสุดทน

“สำนึกบ้างไหมว่าทำให้คนเขาเป็นห่วง” เจ้แว้ดต่อ

“อยากได้ผู้ชายจนตัวสั่นแค่ไหนฉันไม่ว่า แต่ไม่แคร์ความรู้สึกของพ่อแม่พี่น้องนี่มันเกินไป” แว่นเสริมด้วยความโมโห

“ก็รู้ค่ะว่าทำตัวไม่ดี แต่ใจมันเจ็บนี่คะ ตอนนี้อายุก็ไม่ใช่น้อยแล้ว คนสวยไม่อยากโสดซิง รอวันย่อยสลายไปตามธรรมชาตินี่”

ชาติที่แล้วพยายามมากก็ยังตายก่อนมีผัว ชาตินี้มีครบทุกอย่างพยายามกว่าเดิมหลายเท่าก็ยังพลาดหวัง เมื่อเกินใจจะอดทนก็ต้องขอพื้นที่ส่วนตัวให้พักใจบ้าง

โบ้พยายามขอความเห็นใจ แต่ความสงสารในใจของเพื่อนๆ นั้นหมดไปนานแล้ว

“หุบปากไปเลยชัชชาติ!” หน่อมหันมาดุบ้าง

โบ้อ้าปากเหวอ เขาช็อกไปเลยเมื่อถูกเพื่อนผู้แสนดีต่อว่า

“หน่อมก็เป็นไปกับเขาเหรอคะ ด่าด้วยชื่อจริงนี่เจ็บกว่าขุดโคตรออกมาจิกหัวเรียงตัวอีกนะ”

“ขอโทษทีอารมณ์มันพาไป ช่วงนี้ฮอร์โมนแปรปรวนนิดหน่อย” คนลืมตัวรีบอธิบาย

“ไม่ต้องไม่ขอโทษมัน มันสมควรโดน” เจ้ว่า

“แกไม่สบายหรือหน่อม”

แว่นหันมาทางคนที่สมควรห่วง ไม่บ่อยนักที่หน่อมจะควบคุมคำพูดตัวเองไม่ได้

“ก็ไม่เชิง คือ...” หน่อมก้มหน้าลง ขยำชายเสื้อแล้วบิดตัวอย่างเขินๆ “เรา...ท้องได้สองเดือนแล้ว”

“อ๊ายยย! ฉ่ำสะมิหลา สงขลาปัตตานี แฟนตาซีภูเก็ต หลานป้ามาไวมาก ปาป้าจะได้รับขวัญแล้ว” เจ๊กรี๊ดลั่นอย่างยินดี เธอตรงเข้าไปเขย่ามือเพื่อน แล้วพยายามสังเกตความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย โดยเฉพาะช่วงท้อง

“ยินดีด้วย!” แว่นปรบมือให้ “ใครจะคิดว่าไอ้ตัวที่แมนที่สุดจะมีลูกมีผัวก่อน”

“เอ๊ะ! ท่านแม่ทัพรู้หรือยังว่าแกท้อง” เจ้นึกขึ้นมาได้

ท้องอ่อนๆ อย่างนี้กระทบกระเทือนง่าย ถ้ารู้ต้องไม่ยอมปล่อยให้เดินขึ้นเขามาถึงนี่ เจ้เดาได้ถูกทีเดียว หน่อมยังไม่บอกใคร เขาห่วงว่าจะโดนห้ามไม่ให้มาหาโบ้ก็เลยปิดเอาไว้ก่อน

“อิหน่อมนั่งก่อน นั่งโดยไว แกยืนนานไปแล้ว”

แว่นรีบลากเก้าอี้มาให้คนท้องนั่ง ก่อนจะหันไปจิกตาใส่จอมก่อเรื่อง

“อิหน่อมมันรักเพื่อนขนาดยอมอุ้มท้องเดินขึ้นเขามา แล้วดูแกทำ”

“คนสวยไม่ได้ตั้งใจนี่คะ ไม่คิดว่าจะมากัน แล้วไม่นึกด้วยว่าหน่อมจะท้อง” โบ้พูดเสียงอ่อย แต่ยังไม่วายทำหน้าทะเล้น “ยินดีด้วยนะคะหน่อม ให้อิแว่นกับอิเจ้เป็นป้ากันสองคนพอ คนสวยขอเป็นพี่นะคะ”

“ยังจะกล้าพูดนะยะ” เจ้ดุ “อิหน่อม เอามือปิดหูด่วน ฉันจะไม่ทนกับมันแล้ว”

หน่อมทำตามโดยไม่ซักถามเหตุผล วินาทีต่อมามหกรรมด่ากราดฉลองข่าวดีเรื่องหลานคนแรกก็ดังรัวประหนึ่งร้องแรพ เจ้เหนื่อยแว่นก็ลุยต่อสลับกันอย่างนี้แบบไม่มีเหน็ดเหนื่อย สองสาวคิดตรงกันว่าจะไม่หยุดจนกว่าตุ๊ดสมองกล้าม จะลงไปดิ้นตายเพราะความรู้สึกผิด

-โปรดติดตามตอนต่อไป-
สวัสดีท้ายบทค่ะ วันนี้มาเซย์ไฮแต่เช้า
ไม่ต้องแปลกใจทำไมนักเขียนตื่นเช้า จริงๆ คือยังไม่ได้นอน T^T
กำลังเร่งปั่นเล่มห้าแบบลืมตายค่ะ อย่างเร็วน่าจะออกตุลานะคะ
ระหว่างที่รอหยอดกระปุกเผื่อเล่ม 6 ไปล่วงหน้ากันก่อนก็ได้นะจ๊ะคนดี

เมาท์นิยายกันบ้างบทที่แล้ว ไม่มีมีใครห่วงโบ้ ซึ่งก็ถูกต้องค่ะ 5555

ห่วงนางไปก็เท่านั้น เรามาห่วงความปลอดภัยของท่านประมุขดีกว่า
เจอกันพุธหน้านะคะ ^O^







นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 ก.ค. 2559, 04:33:58 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 ก.ค. 2559, 04:38:47 น.

จำนวนการเข้าชม : 1148





<< ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๑๑ ชะตากรรมอันโหดร้าย   ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๑๓ ที่ซ่อนฉุกเฉิน >>
Zephyr 20 ก.ค. 2559, 11:41:51 น.
คราวนี้ ถ้านางสติกลับ
นางจะทำไรอีกเนี่ย
ทำไมท่านประมุจไม่เอามารนิลมาตบบ้องไปละ
รึ ขนาดมารนิลยังกลัว


นักอ่านเหนียวหนึบ 20 ก.ค. 2559, 22:02:10 น.
อืมมมมมม จริงด้วย ท่านประมุขจะเป็นไงบ้าง นุ้งโบ้มีเพื่อนๆ พี่ๆ ประเคนมาให้อย่างดีแล้ว ปล่อยนางไป


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account