ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๑๕ ซวบลาบ (ตอนที่ ๑๖-๓๐ ติดตามต่อได้ในเล่ม 5 นะคะ)

บทที่ ๑๕ ซวบลาบ

สองวันผ่านไป โดยไม่มีเหตุผิดปกติหรือเรื่องร้ายให้กังวล แว่นกับหน่อมจึงลงเขาไปพร้อมกับแม่ทัพต่ง ตามที่ได้แจ้งกับประมุขมู่เอาไว้ ส่วนเจ้ถูกรั้งตัวให้อยู่ต่ออีกสองสามวัน เพื่อสอนสูตรทำอาหารล้างลำไส้ เจ้มีนัดกับพ่อค้าที่หรงซิ่งแต่ก็ยอมอยู่ต่อ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ด้านการปรุงอาหารกับไป๋หู่ ทั้งสองคุยเรื่องอาหารกันได้ถูกคอ มิตรภาพจึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่มีเรื่องชู้สาวเข้ามาเกี่ยวข้อง

หลังจากกินผักผลไม้เข้าไปสารพัด รวมถึงรับประทานอาหารสูตรพิเศษของเจ้ ในที่สุดแหวนอันธการก็เลิกเล่นซ่อนแอบในลำไส้ ยอมออกสู่โลกภายนอก โบ้ขัดล้างทำความสะอาดมันอยู่สามวันสามคืน แล้วค่อยนำมาคล้องไว้กับสายสร้อย สวมติดคอไว้ไม่เคยถอด

โบ้กำหนดวันคืนสู่แดนมายาเอาไว้ในใจแล้ว แต่หนนี้เขาจะไปอย่างมีสติกว่าเก่า คำพูดของเพื่อนๆ กับความรู้สึกของคนในครอบครัวทำให้โบ้เลิกพุ่งชนเป้าหมายอย่างคนโง่ เขาตั้งใจว่าจะขอโอกาสอีกเพียงครั้งเดียว ถ้าหนนี้ไม่สำเร็จ โบ้ก็จะยอมตัดใจจากชายในฝัน ไม่ขอกลับไปเหยียบแดนมายาและสร้างปัญหาให้ใครอีก

โบ้วางแผนอย่างดิบดีว่าจะรอให้สถานการณ์ในยุทธภพคลายความตึงเครียดลงก่อน ท่านพ่อหายโกรธอีกนิด ท่านประมุขลืมพฤติกรรมแย่ๆ ของตัวเองอีกหน่อย ค่อยแอบย่องไปแดนมายา เขากำหนดเวลาเอาไว้สองเดือน แต่เพิ่งจะผ่านไปสองสัปดาห์ก็มีเหตุให้หลบหนีออกจากหุบเขาหิมะ

อยู่ๆ ไป๋อวี้กับไป๋ซานก็แอบย่องเข้ามาในห้องกลางดึก พร้อมสัมภาระสำหรับเดินทาง

“อาเจ๊ฟังข้านะ ถ้าท่านไม่อยากถูกบังคับให้แต่งงานกับพี่หยาง ท่านต้องรีบไปเสียตอนนี้”

“แต่งงานอะไร ทำไมข้าไม่รู้เรื่อง” คนที่ถูกปลุกขึ้นมาจากเตียงทำเสียงงัวเงีย

ไป๋อวี้เห็นพี่สาวไม่กระตือรือร้น จึงสะกิดให้ไป๋ซานช่วยอธิบาย ในขณะที่ตัวเองเก็บเครื่องใช้ส่วนตัวใส่ย่ามให้ไป๋หลินเพิ่ม

“ข้ากับพี่ห้าแอบได้ยินท่านพ่อตกลงกับท่านลุงเลี่ยงว่าจะยกพี่สี่ให้แต่งงานกับพี่หยาง”

ความจริงเรื่องนี้ไม่ใช่ข่าวแปลกใหม่ ใครๆ ก็รู้ว่าบิดาของสองหนุ่มสาวมีสัญญาใจต่อกันมาเนิ่นนาน ที่ยังไม่จัดพิธีหมั้นเป็นเรื่องเป็นราวก็เพราะรอให้หยางเจี้ยนขึ้นเป็นรองเจ้าสำนักทลายภูผาเสียก่อน แต่ชายหนุ่มก็เลือกทำตามใจไป๋หลิน ยอมทิ้งตำแหน่งแล้วตามนางไปเมืองหลวงเพื่อคุ้มกัน เมื่อไป๋หลินสร้างปัญหา พวกผู้ใหญ่จึงมองว่าการปล่อยปละ รังแต่จะทำให้พากันเหลวไหล ประมุขมู่จึงอาศัยช่วงที่มีผู้อาวุโสในยุทธภพมารวมตัวกัน จัดงานแต่งงานให้บุตรสาวเสียเลย

“อีกหนึ่งเดือนจะมีงานแต่ง ท่านพ่อรู้ว่าท่านต้องไม่ยอมแน่ เลยตั้งใจขังไว้จนกว่าจะถึงวันงาน ท่านพ่อเอาจริงนะพี่สี่ พี่รีบหนีไปเถอะ” ไป๋ซานกระตุ้นให้พี่สาวตื่นตัว

“ขอบคุณที่มาเตือนนะ ข้านึกว่าพวกเจ้าจะเป็นพวกพี่หยางเสียอีก”

โบ้เข้าใจมาตลอดว่าน้องๆ อยากให้ตัวเองกับหยางเจี้ยนลงเอยกัน

“ก็เพราะพวกเราเป็นพวกพี่หยางน่ะสิ ก็เลยต้องพาอาเจ๊หนี”

“เอ๊! ทำไมอย่างนั้นเล่า พี่หยางไม่ชอบข้าแล้วหรือ” โบ้เริ่มงง

“พี่หยางรักพี่สี่แน่นอน” ไป๋ซานรีบแก้ความเข้าใจผิด “แต่พี่หยางรู้ว่าท่านไม่เต็มใจก็เลยไม่อยากบังคับ ในห่อผ้ามีจดหมายเขียนความในใจของพี่หยางเอาไว้ ถ้าออกไปได้แล้วพี่ค่อยเปิดอ่านก็แล้วกัน”

ความไม่เห็นแก่ตัวของหยางเจี้ยนทำให้โบ้ประทับใจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกผิดและเจ็บแปลบในอก ที่ไม่สามารถตอบรับความรู้สึกของเขาได้

‘รอก่อนนะพี่หยาง ข้าจะต้องหาทางตอบแทนท่านให้ได้’

โบ้เชื่อว่ายังมีสิ่งอื่นที่สามารถทำเพื่อหยางเจี้ยนได้ ชายหนุ่มต้องการความช่วยเหลือเมื่อใด เขาจะรีบไปทันที

“แล้วพวกเจ้าเล่า” โบ้หันมาทางน้องๆ “ถ้าท่านพ่อรู้ว่าช่วยข้าหนี จะไม่โดนลงโทษหนักหรือ”

“ข้าทำไม่รู้ไม่ชี้ก็จบแล้ว ไม่มีใครสงสัยข้าหรอก พี่ห้าสิจะแย่” ไป๋ซานบอก

คราวก่อนที่ไป๋หลินหนีไป ทุกคนล้วนสงสัยว่าไป๋อวี้ให้ความช่วยเหลือ ดีที่ว่าเขาอยู่ในห้องฝึกวิชาตลอด มีพยานรู้เห็นเลยรอดมาได้

“ข้าเลยต้องไปด้วยนี่ไง” ไป๋อวี้ว่า

สัมภาระมากมายที่เขาแบกอยู่นี่ไม่ใช่ว่าเผื่อเหลือเผื่อขาด แต่เป็นของตัวเองด้วยกึ่งหนึ่ง

“แล้วการฝึกเล่า” ไป๋ซานทักท้วง เขาไม่รู้มาก่อนเลยว่าพี่ห้าจะไปด้วย

“ไม่สำคัญเท่ากับความปลอดภัยของอาเจ๊หรอก ไม่มีข้าอยู่แล้วใครจะคอยระวังหลังให้”

ไป๋อวี้ไม่ใช่คนไร้ประโยชน์ในสายตาไป๋ซาน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังมองพี่ชายอย่างไม่ไว้ใจ

“ไม่ใช่ว่าไม่อยากฝึกวิชาหรอกรึ”

“นั่นก็ส่วนหนึ่ง” ไป๋อวี้ยืดอกยอมรับอย่างลูกผู้ชาย

ไป๋ซานถึงกับถอนใจ ความรู้สึกของเขาที่มีต่อพี่ชายคนนี้ค่อนไปในทางนับถือ แต่บ่อยครั้งพฤติกรรมของไป๋อวี้ก็ทำให้ผิดหวัง

“ถ้าเช่นนั้นก็รักษาตัวด้วย” ไป๋ซานตัดสินใจไม่ขัดขวาง

เคยมีคนบอกกับเขาว่า ชีวิตนี้มีอะไรให้ทำมากมายกว่าการฝึกวิชา หากพี่ห้าจะเห็นสิ่งอื่นสำคัญกว่า มันก็ช่วยไม่ได้



การหลบหนีเริ่มต้นทันทีที่โบ้เตรียมตัวเสร็จ หนนี้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นเพราะหยางเจี้ยนเตรียมการเอาไว้ดี และมีลู่เสียนเข้าร่วมด้วยในฐานะสัตว์พาหนะ

ม้าเหยียบเมฆายอมช่วยอีกหน เพราะต้องการไปตามตัวสุดยอดข้ารับใช้กลับมา แม้ตอนนี้หยางเจี้ยนจะช่วยแปรงขน จนมันสบายเนื้อตัวขึ้นมาก แต่เรื่องอาหารการกินยังเหลือทน ยอดหญ้าไม่ใช่สายพันธุ์ที่มันปลื้มโปรด รำข้าวก็ไม่รู้จักร่อนก่อน ผักผลไม้นี่ยิ่งด้อยคุณภาพ ได้แต่กินกันตายไปวันๆ ความอดทนของลู่เสียนหมด พอดีกับที่หยางเจี้ยนกับไป๋อวี้แอบมาปรึกษากันในคอกม้า ก็เลยขอเข้าร่วมแผนการด้วย

แผนการของหยางเจี้ยนคือส่งจดหมายปลอมแจ้งว่าม้าเหยียบเมฆาจะผ่านทางออกไปตอนกลางดึก จากนั้นก็ให้ไป๋หลินปลอมตัวเป็นไป๋หลง โดยสวมเสื้อผ้าของพี่ชายและใช้ความมืดอำพรางตัว เรื่องเสียงก็ไม่เป็นปัญหา หยางเจี้ยนให้ยาชนิดหนึ่งมา เมื่อกินเข้าไปแล้วเสียงจะทุ้มต่ำลง ยาออกฤทธิ์ประมาณสามสี่ชั่วยาม นานพอจะผ่านด่านตรวจตราหลายชั้นไปได้สบาย

โบ้ขนสัมภาระออกจากปราการเทพสวรรค์ ลงมายังเชิงเขาด้านล่างได้โดยไม่มีใครพบพิรุธ ส่วนไป๋อวี้นั้นขึ้นชื่อว่าเป็นนักหลบหนีอยู่แล้ว เขาหาทางออกมาเองได้ ทั้งยังมาถึงสถานที่นัดพบก่อนรุ่งสาง

“ขอบคุณพี่ลู่เสียนที่ช่วยแบกสัมภาระ นี่ผิงกั่วจากต้นโปรดของพี่ ข้าเลือกแต่ผลโตๆ มาเลยนะ”

ลู่เสียนหันหน้ามาดมผลไม้ที่กำลังสุกได้ที่ มันแสดงออกว่าพอใจ แต่กลับไม่รีบร้อนเอาเข้าปาก ไป๋อวี้สังเกตท่าทีอยู่พักหนึ่งก็เข้าใจ

“ข้านี่แย่จริง ลืมปอกเปลือกให้เสียได้ พี่รอก่อนนะ”

ชายหนุ่มหยิบกระบี่มาใช้ปอกเปลือกลูกผิงกั่วอย่างขมีขมัน วิชาการต่อสู้ของเขาอาจจะไม่ได้เรื่อง แต่ทักษะการจัดการกับผลไม้กลับเชี่ยวชาญ พริบตาเดียวผิงกั่วลูกใหญ่ก็ถูกปอกและหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ ไป๋อวี้ป้อนให้ลู่เสียนเรื่อยๆ เขาพยายามเอาใจม้าเหยียบเมฆา เพราะถ้ามันอารมณ์ดี สองพี่น้องจะไม่ต้องแบกสัมภาระให้หนัก

การหลบหนีครั้งนี้มีจุดหมายปลายทางอยู่ที่หรงซิ่ง หยางเจี้ยนบอกว่าการประท้วงด้วยการหนีออกจากบ้านเพียงอย่างเดียว เป็นการกระทำที่เปล่าประโยชน์ สู้หนีไปหามู่ฮูหยินแล้วขอความช่วยเหลือจากนางดีกว่า แต่ไหนแต่ไรมาคนเขารู้กันทั้งพรรคว่าประมุขมู่รักและเคารพภรรยาเพียงไหน บางคนนินทาแบบไม่เกรงใจด้วยซ้ำว่ากลัวเมีย ดังนั้นการฟ้องท่านแม่ว่าถูกท่านพ่อบังคับแต่งงาน จึงถือว่าเป็นวิธีการเอาตัวรอดที่ดีที่สุด

ลู่เสียนออกวิ่งทันทีเมื่อกินผิงกั่วหมดแล้ว มันกระตือรือร้นกับการเดินทางมาก จนสองพี่น้องตามไม่ทัน ไป๋อวี้เห็นท่าไม่ดีจึงเร่งฝีเท้าแล้วตะโกนบอก

“พี่ลู่เสียนหยุดก่อน! จะไปหรงซิ่งต้องไปทางตะวันออกสิ ไม่ใช่ตะวันตกเฉียงใต้”

“มาถูกทางแล้ว พี่ลู่เสียนไม่ต้องหยุดนะ” โบ้ตะโกนกลับ

ลู่เสียนเลือกทำตามไป๋หลิน เพราะจุดหมายปลายทางของมันอยู่ในทิศทางที่หญิงสาวบอก ม้าเหยียบเมฆาจำแม่นเลยละว่าขณะนี้ไป๋เจี้ยนอยู่แถบชายป่า ใกล้กับแดนมายา เลยมุ่งตรงไปที่นั่น

“อาเจ๊จะไปที่อื่นอย่างนั้นหรือ”

“ใช่...ข้ามีเรื่องต้องทำที่แดนมายา ถ้าเจ้าไม่อยากมาจะเปลี่ยนเส้นทางไปหาท่านแม่ที่หรงซิ่งก็ได้นะ”

“อาเจ๊! นี่ท่านยังไม่เข็ดอีกหรือ” ไป๋อวี้ครางอย่างอ่อนใจ

เขารู้ว่าพี่สาวปักอกปักใจกับความรักครั้งนี้มาก แต่ไม่คิดว่าจะกลับไปหาประมุขพรรคมารทันที หลังจากเพิ่งถูกผลักไสด้วยการจับยัดใส่กล่องส่งกลับมาบ้าน

“หนนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ถ้าถูกปฏิเสธอีก ข้าค่อยไปหาท่านแม่ที่หรงซิ่ง”

“ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปด้วย”

ไป๋อวี้ไม่คิดทอดทิ้งพี่สาว สนามรบเขาก็ตามไปมาแล้ว บุกพรรคมารอีกสักที่จะเป็นไรไป



สองพี่น้องพร้อมด้วยม้าเหยียบเมฆาเดินทางโดยไม่พัก ไม่ถึงครึ่งวันก็เข้าสู่เขตหมู่บ้านแถบชายแดน เลยจากบริเวณนี้ไปราวยี่สิบลี้ จะเป็นชายป่าซึ่งเป็นเขตตั้งค่ายของเหล่าจอมยุทธ์และที่อยู่ของไป๋เจี้ยน ม้าเหยียบเมฆาจึงหยุดรอให้ทั้งคู่นำสัมภาระลงจากตัว แล้วเดินทางต่อไปลำพัง ส่วนโบ้กับไป๋อวี้แวะพักกินอาหารในหมู่บ้านกันก่อน

หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้เดิมทีไม่มีโรงเตี๊ยมหรือตลาด แต่พอเหล่าจอมยุทธ์มารวมพลที่ชายป่า ก็เจริญขึ้นผิดหูผิดตา โบ้พาน้องชายไปที่เพิงขายอาหาร ซึ่งมีชุดโต๊ะเก้าอี้ตั้งกระจายอยู่เต็มหน้าร้าน เขาสั่งบะหมี่ชามใหญ่พิเศษสามชามและอาหารสำหรับเป็นเสบียงในการเดินป่า

“อาหารเอาเหมือนเดิมใช่ไหมแม่นาง”

“ขอสองเท่า น้องข้าจะไปด้วย” โบ้บอกกับเจ้าของร้าน

ท่าทีคุ้นเคยของเจ้าของร้านบอกให้รู้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ไป๋หลินมา ไปอวี้เลยลองถามดูว่ามาบ่อยหรือ โบ้เลยเล่าอย่างภูมิใจว่าทุกครั้งที่ถูกโยนออกมาจากแดนมายา เขาจะแสร้งทำเป็นถอดใจ เดินทางออกจากป่า แต่ความจริงแล้วแอบมาตั้งหลักที่นี่ หาของอร่อยกินเพื่อเติมพลัง

“โอ้! น้องแม่นางก็งามไม่แพ้กันเลยนะ” เถ้าแก่มองหน้าไป๋อวี้แล้วส่งยิ้มชื่นชมมาให้

“ข้าเป็นผู้ชาย” ไป๋อวี้แก้ความเข้าใจผิด

แล้วก็เหมือนเคยไม่มีใครเชื่อเขา หนุ่มหน้าสวยคร้านจะถอดเสื้อยืนยันเพศตัวเองเลยปล่อยเลยตามเลย ผลคือถูกพวกชาวบ้านทักทายไปตลอดทาง ด้วยถ้อยคำประมาณว่า ‘แม่นางคนสวยมากับน้องสาวคนงาม’ ไม่ก็ ‘คนสวยสองคน เท่ากับงามสองเท่า ช่างเป็นบุญตาจริงๆ’

ไป๋อวี้ไม่ชอบความเข้าใจผิด แต่ก็ยิ้มรับคำทักทาย ผลที่ได้ตอบแทนมาคืออาหาร ไม่ก็ของเล็กๆ น้อยๆ จากชาวบ้าน น้ำใจนี้ได้มาเพราะไป๋หลินทำดีกับทุกคนก่อน นางช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ทั้งยังขับไล่อันธพาลออกไปจากหมู่บ้าน ผู้คนเลยชื่นชมนาง

ไป๋หลินมักเป็นที่รักของผู้คนไป๋อวี้จึงไม่เห็นเป็นเรื่องผิดปกติ จนกระทั่งเข้าไปในป่าเขาจึงนึกได้ว่ามีบางอย่างไม่สมเหตุสมผล ไป๋หลินไม่ได้ปิดบังชื่อแซ่ อีกทั้งหมู่บ้านแห่งนี้ยังไม่ห่างจากค่ายที่พี่ใหญ่อยู่ แล้วเหตุใดพี่ใหญ่จึงไม่รู้ว่านางมาป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้เป็นประจำ

“อาเจ๊มาพักที่หมู่บ้านครั้งละหลายวัน ไม่เจอพี่ใหญ่บ้างหรือ” ไป๋อวี้อดถามไม่ได้

“เจอแบบห่างๆ น่ะ เกือบหลบไม่ทันแน่ะ แต่ก็รอดมาได้”

งานนี้ไม่รู้ไป๋หลินดวงดี หรือไป๋เจี้ยนขาดความใส่ใจ แต่ที่แน่ๆ ถ้าพี่ใหญ่รู้ว่าตัวเองพลาดอะไรไปจะต้องเสียหน้าและโกรธมากแน่



โบ้ซึ่งบัดนี้แทบจะลืมตาเดินในป่าได้ พาน้องชายลัดเลาะหลบหลีกเหล่าจอมยุทธ์มายังหมู่บ้านคนป่า ซึ่งเป็นจุดแวะพักอีกแห่งของตน บัดนี้พวกติโน่เริ่มชินกับการที่แม่มดชุดขาวมาขออาหารกินแล้ว แต่ก็ต้องหวาดระแวงอีกครั้งเมื่อพบว่านางพาคนหน้าตาคล้ายกันมาด้วย

‘นี่อาจจะเป็นแม่มดอีกตน’

ความคิดนี้ทำให้ไป๋อวี้ถูกจับตามองตลอดเวลา ทว่าก็เป็นการกระทำที่สูญเปล่าอีกเช่นเคย แม่มดกับคนที่นางบอกว่าเป็นน้องชายไม่ได้สาปหรือทำร้ายใคร หนนี้มียากับของใช้ของคนนอกมามอบให้หลายชิ้น ทุกคนพอใจมากทีเดียว แม้มันจะแลกมาด้วยเนื้อตากแห้งอันแสนโอชะของหัวหน้าหมู่บ้านก็ตาม

พักผ่อนเอาแรงที่หมู่บ้านคนป่าแล้ว โบ้ก็พาไป๋อวี้เดินทางต่อ ทั้งสองไม่ได้กลับไปที่ป่าหมอกเพราะทางเข้าบริเวณนั้นถูกปิดตายไปแล้ว เหลือก็แต่ทางลับใต้ดินซึ่งอยู่ในโบราณสถาน โบ้ค้นพบวิหารอายุหลายพันปีอยู่กลางป่าโดยบังเอิญ จึงใช้เป็นที่อาศัยหลบแดดฝนชั่วคราว พอตกกลางคืนแหวนกลับเรืองแสงชี้บอกตำแหน่งทางลับสู่แดนมายา

ประตูทางลับถูกซ่อนอยู่ใต้ฐานเทวรูปหักพัง ต้องใช้แรงมหาศาลเลื่อนมันออก จึงแง้มออกเป็นช่องให้สอดตัวลงไป จากจุดนี้มีบันไดทอดยาวสู่ใต้พิภพ สองพี่น้องลงมาได้ไม่กี่อึดใจทางเข้าก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวปิดสนิท ไป๋อวี้หันไปมองอย่างระวังระไว โบ้จึงบอกน้องชายว่าไม่ต้องวิตก

“ประตูมันปิดเองอย่างนี้แหละ ไม่มีกับดักอะไรหรอก”

เมื่อสิ้นสุดทางชันก็เป็นพื้นราบ มีทางแยกทั้งหมดสามทาง แม้จะมีแสงจากแหวนนำทางก็ยังรู้สึกได้ว่าในนี้ซับซ้อนไม่ต่างจากเขาวงกต

การจะออกไปจากที่นี่ไม่สามารถออกไปทางเดิมได้ แต่จะต้องไขปริศนาทั้งหมดสิบอย่าง เพื่อหาที่ซ่อนกลไกให้ครบ ทางลับสู่แดนมายาจึงเปิดออก

“ถ้าตอบคำถามผิดจะมีกับดักและยาพิษร้ายแรงรออยู่” ไป๋อวี้อ่านคำเตือน ก่อนจะหันไปมองพี่สาวอย่างทึ่งจัด “อาเจ๊แก้ปัญหาทั้งหมดนี่ได้อย่างไร”

“ไม่ได้แก้หรอก อาศัยตามกลิ่นเอา”

โบ้ไม่เสียเวลาอ่านคำอธิบายด้วยซ้ำ เคราะห์ดีที่กลไกทุกอันมีพลังปราณของมารเงินหลงเหลืออยู่ โบ้ที่ใช้สัญชาตญาณคลำทางจึงเอาตัวรอดมาได้

ไป๋อวี้ไม่เข้าใจคำตอบ แต่ก็ลองหลับตาเปิดจิตรับสัมผัสจากสิ่งรอบตัว ในที่สุดก็พบสายพลังอันแข็งแกร่งที่หลงเหลืออยู่ในทางลับแห่งนี้ ชายหนุ่มเดินตามพี่สาวไปเปิดกลไกเรื่อยๆ พอครบแล้วพื้นที่ยืนอยู่ก็เริ่มสั่น สภาพแวดล้อมรอบตัวเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จากห้องโล่งกว้าง ก็มีเสาและโครงสร้างต่างๆ ปรากฏขึ้น มันเบียดสองพี่น้องให้ถอยร่นไปติดอยู่มุมห้อง เมื่อหมดทางหนีพื้นก็ยกตัวขึ้นทันที ยังไม่ทันหายตกใจก็มีแสงสว่างจ้าบาดตาอยู่เบื้องหน้า

“ทางออกเปิดแล้ว ไปกันเร็ว” โบ้ร้องเรียกน้องชายที่เอาแต่ยืนอึ้งด้วยความทึ่ง

ไป๋อวี้เร่งตามไปอย่างไม่รอช้า เขาค่อนข้างมั่นใจว่านี่ต้องเป็นวิทยาการที่สาบสูญไปแล้วแน่ พรรคมารครอบครองภูมิปัญญาอันล้ำค่าเช่นนี้เอง จึงเรืองอำนาจและคงอยู่มาได้จนถึงปัจจุบันโดยไม่ล่มสลาย

ขณะที่กำลังชื่นชมศัตรู ชายหนุ่มก็ต้องร้องโอดโอย เมื่อชนเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็นอย่างจัง

“นี่มันอะไรกัน” ชายหนุ่มแตะอากาศแข็งๆ ตรงบริเวณทางออกด้วยความตื่นตระหนก

โบ้ตกใจไม่แพ้กันเมื่อน้องชายไม่สามารถข้ามผ่านมาได้ เขาเดาว่าอาจเป็นเพราะแหวน จึงเดินย้อนกลับไป แต่ก็ผ่านออกไปไม่ได้เช่นกัน

“คราวก่อนไม่เห็นเป็นอย่างนี้เลย” โบ้ลองเขย่าแหวนดูเผื่อว่ามันจะเสีย

“อาเจ๊ถอยไปก่อน ขอข้าลองสำรวจหน่อย”

ผู้เชี่ยวชาญด้านการหาทางออกลองลูบคลำกำแพงอากาศดู สัมผัสของมันเรียบลื่นคล้ายกับโล่ที่สร้างจากพลังปราณ แต่วิชาที่รู้จักสามารถใช้ได้แค่ในระยะประชิดเท่านั้น ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าสามารถสร้างโล่พลังปราณจากระยะไกลได้ด้วย

ชายหนุ่มโยนความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาทิ้งเพื่อไม่ให้เกิดอคติ เขาหลับตาลงแล้วใช้สัญชาตญาณตรวจสอบพื้นที่บริเวณนี้ ฉับพลันก็พบกับบางสิ่ง

“ท่านผู้อาวุโส ท่านกำลังมองดูพวกเราอยู่ใช่หรือไม่ พวกเราขอโทษที่บุกรุกสถานที่ของท่าน”

ไป๋อวี้โค้งคำนับไปยังบริเวณที่มีพลังแผ่ออกมาเข้มข้น เขารู้ตัวว่าไม่มีปัญญาต่อกรกับผู้ที่มีพลังสูงส่งปานนี้ จึงอ่อนน้อมเข้าหา

มีคนกำลังลอบมองทั้งสองอยู่จริง และเขาคนนั้นก็เป็นเจ้าของม่านพลังที่แยกสองฝาแฝดออกจากกัน

“เป็นเด็กน้อยที่ฉลาดไม่เลว” ประมุขพรรคมารเอ่ยขณะมองภาพสะท้อนของไป๋อวี้ผ่านผลึกจันทรา

ขณะนี้มารเงินอยู่ในถ้ำที่ใช้เป็นสถานที่หลับใหล ชายหนุ่มไม่ได้หลบหนีจากไป๋หลิน เขาแค่มาแอบดูนางเพราะอยากตรวจสอบว่าหนนี้จะมาไม้ไหน

การพยายามเข้าหาเขาด้วยกำลังของตัวเอง ทำให้ตัววุ่นวายดูน่ารักขึ้นนิดหน่อย พอมีผู้ติดตามมาด้วยความน่าสนใจจึงลดลงมากโข มารเงินตัดสินใจให้ไป๋หลินผ่านเข้ามาคนเดียว ส่วนไป๋อวี้กะทิ้งให้ตายในทางลับ ทว่าความคิดของคนแก่ขี้เบื่อก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง เมื่อถูกเด็กหนุ่มที่ดูไม่ได้ความจับได้ว่าแอบมอง

ที่นี่คือแดนมายา ดังนั้นเจ้าเด็กน้อยนี่ต้องรู้ว่าคนของพรรคมารกำลังมองตัวเองอยู่ แต่ก็ยังสู้อุตส่าห์ทำความเคารพอย่างนอบน้อม

“ท่าทางพ่อแม่ของเจ้าเด็กพวกนี้จะไม่ได้สั่งสอนศักดิ์ศรีของฝ่ายธรรมะให้”

ฟังดูก็เหมือนด่า แต่ท่าทางของมารเงินกลับดูพออกพอใจ ชายหนุ่มเอื้อมมือไปแตะผลึกจันทรา แล้วใช้มันเป็นสื่อส่งผ่านคำพูดของตัวเอง

“กลับไปเสีย ข้าจะเมตตาชี้ทางออกให้”

ข้อความนี้ดังก้องทางลับ แต่กลับเป็นเสียงแหบแห้งของชายชรา หาใช่เสียงนุ่มน่าฟังของมารเงิน

“แล้วพี่สาวข้าเล่า”

“หากนางสัญญาว่าจะไม่รุกล้ำเข้าสู่แดนมายาอีกข้าจะปล่อยนางไป”

“ข้าขอปฏิเสธ” โบ้ตอบกลับแทบจะทันที

“อาเจ๊...” ไป๋อวี้ทำท่าจะเตือน แต่คำพูดของเขากลับหยุดอยู่แค่นั้นเมื่อได้เห็นความมุ่งมั่นของไป๋หลิน

“เจ้ากลับไปรอที่หมู่บ้านคนป่าก่อน ถ้าครั้งนี้แผนการของข้าไม่สำเร็จ ข้าจะกลับไปเอง”

“ก็ได้ ท่านรักษาตัวด้วย”

ไป๋อวี้ยอมทำตามคำสั่งอย่างง่ายดาย ชายหนุ่มตะโกนบอกคนที่คิดว่าเป็นผู้อาวุโสว่าเขาจะกลับออกไปลำพัง โปรดช่วยนำทางด้วย พฤติกรรมของเขาทำให้มารเงินดูแคลนว่าขี้ขลาดตาขาว แต่เมื่อได้ลั่นวาจาออกไปแล้ว ประมุขพรรคมารก็ยอมรักษาสัจจะ เจ้าของสถานที่ใช้พลังสร้างนกสีเงินขึ้นมา เพื่อให้มันนำทางไป๋อวี้ออกไป

มารเงินหรือแม้กระทั่งโบ้เองไม่รู้เลยว่า ขณะนี้ไป๋อวี้มีแผนพิชิตทางลับใต้ดินอยู่ในใจ เขาจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง หากพี่สาวไม่ตามมาสมทบในเร็ววัน



เมื่อแยกกับน้องชายแล้ว โบ้ก็ลัดเลาะไปตามดงไม้หนา หลบหลีกเวรยามมุ่งตรงสู่เรือนจื่อ เขาตั้งใจว่าจะแอบเข้าไปทางหลังคา เพราะรู้ว่าเพดานห้องนอนของท่านประมุขเปิดออกได้ เอาไว้สำหรับชมจันทร์ กลไกตรงนี้ไม่มีตัวล็อก ผลักเบาๆ ก็แง้มออกเป็นช่องให้ลอดผ่าน

โบ้เตรียมใช้ทักษะวิชาตัวเบาขั้นสูงเล็ดลอดเข้าไปเต็มที่ ทว่าพอไปถึงที่หมายกลับลังเล เมื่อพบว่าทางเข้าทุกทางเปิดโล่ง ไม่ว่าจะเป็นประตูหน้าต่าง แม้กระทั่งตัวหลังคาเองก็เปิดกว้าง ทำเอาเลือกไม่ถูกว่าควรบุกเข้าไปทางทิศใด

คนปกติทั่วไปต้องระแวงคิดว่าเป็นกับดัก แต่สำหรับโบ้คิดอยู่อย่างเดียวว่าจะเปิดตัวแบบไหนให้ท่านประมุขประทับใจที่สุด หลังจากคิดอยู่หลายตลบ ตัวเลือกก็วนกลับไปอยู่ที่หลังคาเช่นเดิม โบ้เลือกทางนี้เพราะการกระโดดจากที่สูงจะทำให้ชุดขาวแสนสวยพลิ้วไปกับแรงลม จัดแสงจัดท่าให้ดี เป็นใครก็ต้องคิดว่านางฟ้าร่วงหล่นลงมาจากสวรรค์

เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด โบ้เลยลองกระโดดลงจากต้นไม้อยู่หลายหน ส่งผลให้คนที่อุตส่าห์รีบกลับมานั่งรอ เริ่มเคาะนิ้วด้วยความหงุดหงิด

หลังจากปิดปากหาวเพราะความเบื่อหน่ายไปหลายรอบ ผู้บุกรุกก็ปรากฏกายจากท้องฟ้า นางร่อนลงมาได้อย่างสวยงามน่าชม ทว่าชายหนุ่มกลับเบือนหน้าไปทางอื่นพอดี ความพยายามที่จะเปิดตัวอย่างอลังการจึงสูญเปล่า ถึงกระนั้นโบ้ก็ไม่ล้มเลิกแผนการโดยง่าย เขาชี้นิ้วไปตรงหน้าบุรุษผู้งามเลิศ แล้วประกาศก้อง

“ข้าต้องการท้าดวลกับท่าน ถ้าข้าชนะท่านต้องให้ข้าอยู่ที่นี่”

“แล้วถ้าแพ้เล่า”

โบ้อ้าปากจะตอบ แต่บทที่เพียรท่องมาอย่างดีกลับติดขัด เมื่อได้เห็นเต็มตาว่าคู่สนทนาอยู่ในสภาพเสื้อผ้ารุ่ยร่าย เผยให้เห็นแผงอกเนียนเรียบกับเรียวขาคู่งาม

“ข้าจะยอมให้กิน...เอ๊ยไม่ใช่” โบ้ปาดน้ำลายโดยพลัน “ถ้าข้าแพ้ข้าจะไม่โผล่มากวนใจท่านอีกเลยตลอดชีวิต”

ข้อเสนออันน่าสนใจนี้ทำให้คนที่กำลังเอนตัวพิงหมอนในท่ากึ่งนอนกึ่งนั่ง ลุกขึ้นเหยียดตัวตรง

“หากเจ้ามั่นใจว่ากระบี่นั่นจะทำร้ายข้าได้อีกก็เชิญ”

ชายหนุ่มกระดิกนิ้วเรียกให้บุกเข้ามา โดยไม่หวั่นว่าต้องใช้มือเปล่าปะทะกับคมดาบ ความมั่นใจของมารเงินนั้นมากล้น เฉกเช่นเดียวกับคู่ต่อสู้ที่ไม่คิดว่าตนจะปราชัย โบ้ชักกระบี่ออกจากฝักแล้วโยนมันทิ้งแทบทันที

“ศึกนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ของมีคม”

โบ้แสยะยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม พร้อมฮัมเพลงหมอลาบลำซิ่งขณะย่างสามขุมเข้าหา

“ซวบลาบกับอ้ายแซ่บคักๆ อ้ายมาซวบลาบกับน้องได้บ่ ซวบลาบกับน้องได้บ่ๆ นะนะ น้องขอน้องอยากกินลาบ”


-โปรดติดตามตอนต่อไป-

วันนี้เกือบลืมไปเลยค่ะว่าวันพุธ โชคดีมีคนเตือน ลงสายหน่อยไม่ว่ากันนะคะ
มาลุ้นกันนะคะว่าโบ้จะได้กินลาบกับท่านประมุขหรือเปล่า (ยิ้มอ่อน)
สำหรับใครที่ไม่เคยฟังเพลงหมอลาบลำซิ่ง ตามไปฟังได้ที่ลิงค์นี้นะจ๊ะคนดี
https://www.youtube.com/watch?v=M_e2DzPJZHA




นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ส.ค. 2559, 10:23:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 พ.ย. 2559, 13:29:44 น.

จำนวนการเข้าชม : 1229





<< ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๑๔ ปราการเทพสวรรค์   ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๑ การกลับมาขององค์ชาย >>
นักอ่านเหนียวหนึบ 10 ส.ค. 2559, 12:51:08 น.
555555
นิวอิโบ้ โอ้ยยยยย ท่านประมุขจะรอดม๊ายยย


Zephyr 13 ส.ค. 2559, 13:38:09 น.
เหม่ มาชวนซดลาบกันสองต่อสอง
ลาบแซ่บ รึ ลาบเลือดฮะ นังโบ้
หยกน้อยจะทำอะไรน้อ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account